ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แอตแลน มหาสงครามแห่งทวยเทพ ATLAN The Great War of Gods

    ลำดับตอนที่ #1 : I เส้นผมสีทอง

    • อัปเดตล่าสุด 10 เม.ย. 66


     

    sds

     

    sds

    เสียงลมกระทบช่วงอินทรีกระพือปีก สายตาเฉียบคมมองอย่างยาวไกล จะงอยปากอันคมกริบราวกับมันสามารถจิกทะลุผิวหนังและล้วงกินตับของมหาไททันยักษ์ได้ รูปร่างสีน้ำตาลสง่างามยามท่องนภา เหล่าสรรพสัตว์อยู่ใต้เงาของนักล่าเหินฟ้า ไม่เว้นแม้แต่มหาเมืองอันยิ่งใหญ่อย่างเอเทนส์ ที่ต้องอยู่ใต้เงาของปีกขนาดใหญ่ที่กำลังบินสูงเฉียดสวรรค์ สายตาจ้องสำรวจหาเยื่อในยามเช้า ทันใดนั้นนัยน์ตาของมันจับจ้องไปที่จุดที่โดดเด่นที่สุดในเมือง เห็นแสงสะท้อนเปล่งรัศมีเรืองรองสีทอง แผ่ออกมาบนศีรษะสตรีผู้หนึ่ง

    เส้นผมสีทองอร่ามสะบัดพลิ้วเหมือนกำลังเต้นรำอย่างชีวิตชีวา ส่องรัศมีเจิดจ้าไปถึงเทพอพอลโลผู้ครอบครองดวงตะวัน ทำให้บุรุษเทพเกิดความหลงใหลในความงามเช่นนี้ จึงสาดแสงยามรุ่งอรุณที่สดใสที่สุดในรอบหลายทศวรรษ มาพร้อมกับเสียงบรรเลงพิณ แล้วตามด้วยการขับขานลำนำอันไพเราะว่า “โอ๊ย โอ๊ย ตำนานความงดงามอยู่ที่ใบหน้านาง หัวใจของข้าแตกสลาย เส้นผมดุจดังไหมทองที่เปล่งประกาย ดวงตาสีเขียวดุจดังอัญมณีหยกหายาก ร่างกายส่องแสงพร่างพราวยิ่งกว่าแสงใด จะหาผู้ใดมาเทียบเคียงโฉมงามนี้คงไม่ แม้แต่มหาเทพีผู้ยิ่งใหญ่ต้องยอมจำนน บัดนี้ นางได้ส่องรัศมียิ่งกว่าดวงอาทิตย์ เลอค่าจนไม่มีผู้ใดคู่ควรที่จะครอบครอง”

    นามเจ้าของเส้นผมสีทองนั้นคือ "เมดูซ่า"

    ข่าวลือเส้นผมสีทองอันเฉิดฉายกับใบหน้างามสะดุดตาของนางเมดูซ่านั้น ถูกแพร่สะพัดไปถึงไปทั่วหูผู้ชายทั้งเจ็ดนครแห่งกรีก บุรุษมากมายต่างใคร่ยลโฉมนาง เกิดเหตุสามีภรรยาทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่เทวราชอย่างซุสบนยอดเขาโอลิมปัส ก็อยากดื่มกินเรือนร่างของนางแทบใจจะขาด แต่ทำได้แค่มองเป็นอาหารตาแค่นั้น ใจหนึ่งกลัวทำให้เทพีตาวัวคู่ครองตนทำมิดีมิร้ายแก่นาง

    ไม่มีชายผู้ใดกล้าจับต้องเนื้อหนังรูปโฉมโนมพรรณนางเมดูซ่าได้ ขณะนี้นางเป็นหญิงสาวโฉมสะคราญเจริญวัย สวมชุดนักบวชหญิงพรหมจารีแห่งอธีนา ซึ่งอยู่ในการดูแลของเทพแห่งการสงคราม และผู้อุปถัมภ์เมืองเอเธนส์ เทพีผู้นี้เป็นแสงแห่งความหวังของสตรีชาวกรีกทั้งมวล ตำนานเล่าขานว่าเทพีอธีนามีพลังอำนาจเทียบราชาเทพ หากไปเผลอทำให้นางเมดูซ่าผิดคําปฏิญาณรักษาพรหมจรรย์ ก็จะถูกความพิโรธของมหาเทพีลงทัณฑ์จนชีวิตผู้นั้นต้องไปเยือนยมโลก

    ตอนนี้ชีวิตของนางเมดูซ่ามีความสุขในใจอย่างมาก ได้รับทั้งคำชมชอบจากเหล่าเทพทั้งมวล ได้รับเกียรติยศศักดิ์ศรีจากผู้คนมากมาย ในทุก ๆ วันนางทำหน้าที่ดูแลวิหารพาร์เธนอนได้อย่างดีเยี่ยม ชาวกรีกทุกคนรู้ดีว่าวิหารยิ่งใหญ่บนเนินเขาอะโครโพลิสแห่งนี้ เสร็จสมบูรณ์ได้ก็เพราะนางเมดูซ่าใช้ความงามผูกมิตรกับเหล่าบุรุษชาวกรีก ไม่เว้นแม้แต่บุรุษเทพเจ้า นางร้องขอให้ช่วยสร้างวิหารให้กับเทพีอธีนา

    เมื่อมีการเริ่มขึ้นก่อสร้างวิหารของเทพีอธีนา บุรุษทั่วทั้งจักรวาลมีทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียง กษัตริย์ วีรบุรุษ นักรบ ผู้กล้า เทพเจ้า พวกเขาเหล่านี้พร้อมใจกันออกแรงแบกก้อนหินอ่อนสีขาวขนาดยักษ์ที่หนักมหาศาล แลดูแล้วเห็นว่าล้ำค่ามากมาย พวกชายมีกล้ามพยายามอย่างหนักเพื่อลากหินยักษ์ขึ้นบนเนินเขาอะโครโพลิสเพื่อสร้างวิหารแห่งนี้จนเสร็จสมบูรณ์ เพียงใช้เวลาแค่สามปีเท่านั้น

    ผู้คนต่างเห็นความงดงามยิ่งใหญ่ของวิหารพาร์เธนอน ต่างพากันยืนอึ้งกับสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ที่เห็น ช่างเป็นสถาปัตยกรรมที่โอ่อ่า สง่างาม ยิ่งใหญ่ และหรูหรา ที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างได้เพียงลำพัง เทพเจ้าเท่านั้นที่ช่วยสร้างได้ หลายปากพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวิหารนี้ไม่ต่างจากวิหารของราชาเทพบนเขาโอลิมปัส

    ชื่อเรียกวิหารพาร์เธนอนเกิดจากความบริสุทธิ์ของนางเมดูซ่า ได้นำมาซึ่งความมั่งคั่ง ความเจริญทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมให้กับเมืองเอเทนส์ ชาวเมืองต่างเริ่มนับถือศรัทธาในตัวเมดูซ่ามากขึ้น จนเริ่มบูชานางให้เทียบเท่ากับเทพเจ้าและเทพีทุกองค์ ผู้คนต่างเรียกนางว่า “เทพีพาร์เธนอน”

    นางเมดูซ่าขอร้องผู้คน อย่านำตัวนางไปเทียบกับเทพเทพีเบื้องบนเลย มิเช่นนั้นจะเป็นบาปให้ตนต้องอัปลักษณ์ทั้งกายทั้งใจในภายภาคหน้า แต่ดูเหมือนว่ายิ่งนางขอร้องเท่าไร กับยิ่งทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนในใจของนาง จากที่บุรุษมากมายที่หลงงมงายในความงดงามของนางอยู่แล้ว กับยิ่งทำให้พวกเขาทำการลั่นวาจาสาบานตนพร้อมใจถวายชีวิตให้ บุรุษบางคนแอบดูนางทุกฝีก้าวอย่างลุ่มหลง บุรุษบางคนเสียสติหยิบเส้นผมสีทองที่ร่วงหล่น แล้วนำมาสูดดมกลิ่นหอมหวานที่บ้านทั้งวันทั้งคืนจนเคลิ้มหลับไปถึงยมโลก บุรุษบางคนที่ขั้นเก็บภาพใบหน้านางเมดูซ่าที่เจิดจรัสไปนอนจินตนาการฝันเจ็ดวันเจ็ดคืน จนไม่ตื่นอีกเลย หัวใจบุรุษหลายคนหยุดเต้นตายคาที่ เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณที่ยิ้มอย่างมีความสุขดูแปลกพิสดาร

    ชาวกรีกจำนวนหนึ่งโทษการตายของบุรุษทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะนาง นางทำได้เพียงเมินเฉยไม่แสดงอาการใด ๆ นางยังคงรักนวลสงวนตัวและทำหน้าที่เป็นนักบวชประจำวิหารสืบต่อไป นางลั่นวาจาสาบานตนเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ทั้งกายใจ และต้องตัดกิเลสทั้งปวงตราบใดที่นางยังคงเป็นนักบวช จะพยายามปิดบังอารมณ์ไม่แสดงอาการใด ๆ ให้ใครเห็น

     หลายฤดูพลันเปลี่ยนอันเป็นอนันตกาล นางเมดูซ่ามั่นคงในความภักดีต่อเทพีอธีนาไม่แปรเปลี่ยนตามสายลม หัวใจยังคงซื่อสัตย์ตราบนิรันดร์

    ***

    เวลาใกล้รุ่ง เสียงไก่ขันคอยปลุกทั่วปฐพี เหล่าเทพและเทพีที่ลักลอบเป็นชู้รักต่างตื่นหนีหาย ไม่มีทางที่เทพแห่งสุริยะจะพบเห็นเจอเรื่องน่าอับอายของเทพผู้สูงส่งได้ นางเมดูซ่าชอบช่วงเวลานี้ที่สุด อากาศที่เย็นเงียบสงบ กลิ่นดิน ใบหญ้า ก้อนหินรอบตัวทำให้ความคิดเบิกบานใจ ช่างสดชื่นเกินคณานับ หูแว่วยินเสียงธรรมชาติร้องเพลงและเต้นรำอย่างร่าเริง ดวงตะวันค่อย ๆ ขึ้นฉายแสงสีเหลืองอบอุ่น ผกาหลากสีขยายเกสรชวนหอมชื่นใจ ยังคงเห็นดวงจันทร์กับดวงดาวกำลังเข้านิทรา นางก้าวเท้าอย่างนุ่มนวลเป็นจังหวะ ร่างกายงามขยับตามลีลาของอารมณ์ มืออ่อนนุ่มสองข้างถือถาดเสิร์ฟเซรามิกพร้อมของถวายแก่องค์เทพี

    นัยน์ตาสีเขียวดุจดังอัญมณีเปล่งประกาย เคลื่อนไหวมุ่งไปบนเนินเขาที่มีวิหารพาร์เธนอน มนตร์เสน่ห์ของสุดยอดสถาปัตยกรรม แม้ระยะทางไกลและเป็นเนินเขาสูงชันจนทำให้ลำบากบ้างในการเดินขึ้น แต่นางคุ้นชิน เพราะเดินขึ้นทุกวัน ไม่มีอาการรู้สึกเหนื่อยจนหายใจลำบากเลยสักนิด เมื่อเป็นเช่นนั้น กลับทำให้นางพลังขาแข็งแรงมากขึ้นไปอีก นางเดินอย่างช้า ๆ ด้วยชุดนักบวชผ้าลินินสีขาวมีขลิบสีทองดูสมส่วนสง่างาม

    ระหว่างทางไปวิหารพาร์เธนอนอันโอ่อ่า เท้าหยุดเดินเมื่อจังหวะพอเหมาะ เหลียวมองวิวมุมสูงเห็นทั้งเอเธนส์ถูกแสงตะวันอาบสะท้อนสีเหลืองทองทั้งเมือง วิจิตรงามจนหัวใจนางเมดูซ่าพองโต แล้วจึงเดินขึ้นเนินเขาต่อไป จมูกนางเมดูซ่ารับรู้ได้ถึงกลิ่นความคิดกิเลสตัณหาของเหล่าบุรุษที่ดักรอ พวกเขายืนใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าวิหาร นัยน์ตานับสิบคู่จับจ้องมองหญิงสาวเจ้าของเส้นผมสีทองอันงดงาม หลายสิบมีสีใบหน้ากระหายใคร่ครองเรือนร่างของนางอย่างเด่นชัด สีหน้าพิศวาสของผู้ชายนับสิบที่ซุ่มมองอย่างเอาจริงเอาจัง ทำเอานางขนลุกขนชันอย่างหวาดกลัว นับวันคนพวกเขาเหล่านี้เริ่มหยาบคายในวาจา

    บุรุษคนหนึ่งพูดลอย ๆ ว่า “ข้าไม่อยากให้นางต้องบวชรักษาพรหมจรรย์ ข้าเสียดายยิ่งหนัก” บุรุษคนหนึ่งไม่รีรอที่จะร่วมวงสนทนาได้กล่าวออกไปว่า "เรือนร่างของนางช่างงดงามยิ่ง ข้าชอบเส้นผมสีทองของนาง ข้าชอบดวงตาสีเขียวของนาง ข้าอยากสัมผัสผิวกายที่นุ่มนวลนั้น และข้าอยากลิ้มรสริมฝีปากอวบอิ่มของนางแทบใจจะขาด” ทุกบุรุษพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนี้ บุรุษอีกคนไม่รอท่าในวาจา "สักวันคงมีพวกเทพีต่างมาอิจฉาเรือนร่างของนางที่บังอาจทำตัวสูงกล่าว" บุรุษคนหนึ่งแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วยกับการกล่าวถึงเบื้องสูง แล้วเปล่งวาจาออกไปว่า "เทพเจ้าคอยฟังเราอยู่ ผู้คนชาวกรีกนับถือมากมาย เจ้าอย่าบังอาจลั่นคำหยาบคายพูดถึงเหล่าเทพไปมากกว่านี้เลย เดี๋ยว..." "พอกันที --- เรามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน" ชายคนหนึ่งพูดขัดทันที ทุกคนต่างเงียบแล้วหันมาแอบมองนางเมดูซ่าอย่างใคร่กระหายเช่นเคย

    ทุก ๆ วันจะมีเหล่าบันดาลบุรุษมากมายต่างดักซุ่มรอแอบมองนางทุกฝีก้าว บางบุรุษถึงกับพยายามขนสมบัติเพชรทอมาอวดต่อหน้านางเมดูซ่าให้ยอมตรงใจ บางบุรุษก็มีมากมายด้วยกำลังทาสจำนวนนับพันพร้อมให้นางใช้งานได้หมด บางคนมากด้วยยศฐานบันดาลศักดิ์เป็นกษัตริย์ หรือเป็นองค์ชาย แม้แต่บุรุษเทพรูปงามยังตามดอมดมกลิ่นหอมของนางไม่ห่าง

    นางเมดูซ่าเดินผ่านด้วยท่าทีไม่สนใจใด ๆ เหล่าบุรุษต่างโกรธกริ้ว ความคิดนางตอนนี้เกิดคำถามขึ้นว่า ความงามเปลือกนอกย่อยเป็นบาปหรือใจคิดกิเลสเป็นบาปกันแน่ เรือนร่างสตรีงามมีไว้เพียงเป็นแค่เครื่องประดับแค่นั้นเป็นจริงหรือมายา ข้าจะหาคำตอบนี้ได้ที่ไหน ในเมื่อไม่ช้าร่างกายนี้ย่อมเหี่ยวย่นตามกาลเวลา

    เหล่าบุรุษต่างน้อยใจในการกระทำของนางเมดูซ่าที่มีท่าทีไม่สนใจผู้ที่ลุ่มหลง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนางซึ่งเป็นนักบวช จะแสดงสีหน้าตามอารมณ์ถือเป็นเรื่องไม่ควร​

    นางเมดูซ่าก้าวขึ้นบันไดเข้าวิหาร มืออ่อนนุ่มถือถาดสีทองอย่างอ่อนช้อย นางตั้งใจนำมาถวายแด่เทพีอธีนาโดยเฉพาะ บนถาดทองบูชามีเหยือกพร้อมเหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก เครื่องหอม ดอกไม้ นางนำมาวางไว้หน้าองค์รูปปั้นเทพีอธีนาทองคำขนาดใหญ่ในวิหารแห่งนี้

    ภายในค่อนข้างมืด มีแสงแดดลอดเข้ามาเล็กน้อย รอบ ๆ มีคบเพลิงติดแนบกับเสาดอริกหินอ่อนสีขาว

    นางเมดูซ่ายิ้มให้กับองค์รูปปั้นเทพีอย่างสุขใจ นางปฏิบัติทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมมาตลอดในฐานะนักบวช นางค่อย ๆ กวาดเก็บเช็ดถูกทำความสะอาดภายในวิหารให้ดูเหมือนใหม่ตลอดเวลา

    อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงหนึ่งทำนางตกใจ นางเมดูซ่าสังเกตเห็นเงาดำบางอย่าง รูปร่างเหมือนผู้ชาย อยู่ด้านหลังรูปปั้นเทพี

    "ความงามภายในของวิหาร ไม่อาจกลบความงดงามของเจ้าได้เลย" น้ำเสียงทุ้มลวนลามแฝงความลึกลับของเงาดำของบุรุษที่แอบซ่อนอยู่หลังองค์รูปปั้นเทพีขนาดยักษ์

    นางเมดูซ่าขนลุกซู่ขึ้นอย่างลืมตัว แล้วหันไปหาเสียงบุรุษที่พูดกล่าวออกมาอย่างหยอกล้อลวนลามด้วยคำหวาน นางปากสั่นถามหาคนที่ซ่อนตัว “ใคร --- บอกข้ามา” น้ำเสียงสั่นอย่างเย็นเยียบ ก้าวเท้าเดินเข้าหาอย่างระมัดระวัง คอยสังเกตเงาน่ากลัวที่อยู่ตรงนั้น

    เงานางค่อย ๆ คืบคลานเข้าใกล้สิ่งน่ากลัวอย่างนิ่งสงบ แต่หัวใจเต้นเร็วแรงจนได้ยิน นางพยายามกลั้นลมหายใจไม่ให้มีเสียงดัง ในนี้มีแค่นางกับบุรุษปริศนาเท่านั้น ภาพความคิดหนึ่งเป็นบุรุษโรคจิตที่ตามนางทุกฝีก้าว แต่ถ้านางคิดผิดแล้ววิ่งไปฟ้องคนข้างนอกวิหาร บุรุษผู้นี้ต้องโดนรุมฆ่าแน่นอน นางอาจจะเป็นสาเหตุทำให้เขาสิ้นชีวิต ข้อหาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนโจรที่พยายามลวนลามนักบวชสตรีในวิหารพาร์เธนอน หรือถ้าไม่ใช่อย่างที่คิด แล้วเกิดความเข้าใจผิด เขาเป็นผู้สูงส่ง นางอาจถูกตัดหัวเสียบประจานได้

    นางหยิบคบเพลิงคอยส่องไฟที่สั่นไหวเข้าหาเงาร่างบุรุษที่ซ่อนอยู่ แล้วมองหาบางสิ่งที่จะเป็นอาวุธได้ มือนางยกเหยือกดินเผา เตรียมพร้อมที่จะป้องกันตัวหากมีอันตราย จะได้ทุบหัวทีเดียวหวังให้เจ้าของเงาดำลึกลับสลบล้มกองกับพื้นทันที

    เพียงแวบหนึ่ง ก็มีหยดน้ำตกลงมาสัมผัสผิวนาง 'ทำไมฝนถึงตกในนี้ได้ ' นางคิดพลางแหงนมองบน

    กะพริบตานิดเดียว น้ำฝนก็ตกในวิหารอย่างน่าประหลาดใจ นึกว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ เนื่องจากหลังคาเพดานปิดกั้นด้วยหินอ่อนหลายชั้นเป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดเข้ามาได้จากด้านบน

    'น่าแปลก หรืออาจมีรอยรั่วหรือเปล่า' นางคิด

    หยดน้ำในอากาศลงมาจำนวนมากขึ้นไปอีก เปลวไฟในวิหารต่างดับเกือบทั้งหมด จนวิหารมืดลง แสงตะวันที่ลอดเข้ามามอบความสว่างให้น้อยนิดเหลือเกิน เหลือแต่คบเพลิงที่นางถือยังคงสว่างอยู่ และกำลังค่อย ๆ จางหายไป นางไม่รอให้ไฟดับหมด รีบขยับเปลวเพลิงริบหรี่ที่สั่นไหว ค่อย ๆ ขยับแสงเข้าสาดส่องเงาบุรุษที่พูดคำหวานเมื่อตะกี้ หวังดูให้แน่ชัดว่าใครแอบซ่อนตรงนั้น

    หรือเงานั้นอาจไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นปีศาจ หรือถ้าไม่ใช่ ก็อาจเป็นปาฏิหาริย์จากเทพเจ้า ยังหาคำตอบไม่ได้ เพียงต้องได้พบให้แน่ชัดเท่านั้น

    ฝนตกช่วงระยะเวลาเพียงครู่หนึ่ง...ก็หยุดตกทันที

    ทันใดนั้นร่างเงาดำค่อย ๆ ขยับออกจากหลังรูปปั้นเทพีขนาดยักษ์ นางเมดูซ่ามีสีหน้าสนใจสิ่งที่ปรากฏออกมา สิ่งนั้นกำลังเผยตัวตนที่แท้จริงให้เห็น นางมองอย่างตาโต แล้วขยับเพลิงเข้าไปใกล้เพื่อมอบความสว่างให้สาดเข้าร่างบุรุษตรงหน้า หวังให้เห็นชัด ภาพปรากฏเป็นบุรุษทรงโฉมสง่า สิ่งที่โดดเด่นในใบหน้าของบุรุษผู้นี้เป็นแววตาสีฟ้าดุจดังน้ำทะเล ดูเหมือนว่านางมีอาการสนใจเป็นพิเศษ บุรุษมีใบหน้าคมสัน หล่อเหล่า หนวดเคราเล็กน้อย ดูโดยรวมน่าจะอายุได้สามสิบกว่า ๆ

    "ขอโทษที่ทำให้ตกใจ ข้าแค่อยากเห็นเจ้าเท่านั้น ข้าสัญญาจะไม่ทำอะไรเจ้าในที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้" บุรุษดวงตาฟ้าพูดอย่างนอบน้อมพร้อมก้มศีรษะเล็กน้อย หวังนางจะให้อภัย

    นางรู้สึกสบายใจมากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ใช่โจรโรคจิต พร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก วางเหยือกเหล้าองุ่นไว้ที่เดิม กับคอยจุดคบเพลิงที่ดับ หวังให้ติดไฟเพื่อมอบแสงสว่างในวิหาร แต่ไฟก็ไม่ติดง่าย ๆ เนื่องจากความชื้นเกาะคบเพลิง

    สักพักก็เกิดเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ คบเพลิงรอบวิหารต่างมีไฟลุกโชนขึ้นมาทันที ทำให้นางตกใจอีกครั้ง แต่นางเก็บอาการไว้อยู่หมัด วิหารเริ่มสว่างไสวมากขึ้น

    เมื่อภายในได้รับแสงจากเพลิง นางเมดูซ่าไม่ลืมว่าตอนนี้อยู่กับใคร นางหันไปหาบุรุษที่แสดงตัว สายตาเพ่งมองไปที่แววตาสีฟ้าของเขาอย่างประหลาดใจ

    ท่านผู้นี้เป็นใคร แล้วมาทำอะไรที่นี่ นางคิด

    "อย่ากลัวไปเลยข้าไม่คิดจะมาทำอะไรเจ้าให้เสียหาย ข้าได้ข่าวลือความงามของเจ้า จึงอยากเห็นกับตา" น้ำเสียงบุรุษดวงตาฟ้าอ่อนโยนดูเป็นมิตร

    'แล้วเมื่อไรจะไปสักที' นางคิดส่งสายตาเย็นชา

    "เดี๋ยวก็ไปแล้ว" เขาพูดเหมือนอ่านใจนาง

    'เหมือนบุรุษผู้นี้อ่านใจข้าได้หรือนี่' นางพยายามเก็บความคิดในใจและอารมณ์ตกใจปิดบังไว้ภายใน อย่าแสดงความรู้สึกออกมา แม้ม่านตานางจะโตกว่าปกติ บอกได้เลยว่านางสนใจในบุรุษตรงหน้าอย่างไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

    "หากท่านไม่มีธุระอะไรที่นี่ จงไปเถอะ ที่นี่สำหรับไว้บูชาเทพีอธีนา ไม่ใช่ที่เล่นซ่อนแอบ" นางเมดูซ่าพูดอย่างเยือกเย็นไร้ไมตรี ริมฝีปากขยับเหมือนกำลังพ่นน้ำแข็งออกมา พร้อมปั้นสีหน้างดงามของนักบวชหญิงพรหมจรรย์ผู้นิ่งเฉยและสูงศักดิ์ "ไม่ควรมีใครมาทำเรื่องไม่เหมาะสมที่นี่"

    สตรีดวงตาเขียวไล่บุรุษดวงตาฟ้าให้ออกไปจากที่วิหารแห่งนี้ คิดในใจว่าถ้าใครมาเห็นนางอยู่กับผู้ชายสองต่อสอง อาจถูกมองเป็นเรื่องไม่ดี

    แต่นางก็ยังไม่อาจละสายตาจากเขาได้ ห้ามใจอยู่ แม้นางจะเจอเหล่าบุรุษผู้สูงศักดิ์มากมาย แต่ผู้นี้ต่างจากบุรุษที่เคยเจอ นอกจากสีทะเลในดวงตา บุรุษผู้นี้มีเส้นผมหยักศกสีดำ มีเคราทรงเสน่ห์ ชายวัยฉกรรจ์ที่แข็งแรงเหมือนนักรบหนุ่ม แต่สีหน้าดูเป็นผู้ใหญ่ น่าแปลกที่รู้สึกสัมผัสได้ถึงรัศมีแห่งอำนาจที่ยิ่งใหญ่แพร่ออกมา ดูก็รู้ว่าบุรุษผู้นี้ทำตัวเป็นคนปกติธรรมดาจนน่าสงสัย

    "ยืนมองอะไร ท่านควรออกไปตามทางที่ท่านเข้ามาได้แล้ว" นางเมดูซ่าพูดไล่อีกครั้ง

    บุรุษดวงตาฟ้าเมื่อได้ยินนางผมทองไล่ออกไปจากที่นี่ถึงสองครั้ง จึงยืนกอดอกแสดงถึงความดื้อดึง ยิ่งไล่ก็ยิ่งต้องอยู่ต่อ จะยืนมองสตรีที่สวยงดงามจนหลงชื่นชมทั้งวันทั้งคืนย่อมได้ แล้วไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยด้วยสิ จนนางเมดูซ่าเริ่มอดกลั้นอาการไม่ได้แล้ว

    นางพยายามสรรหาคำพูดให้เขาเป็นคนผิด “เมื่อกี้ท่านทำให้ข้าตกใจ” นางเมดูซ่าพูดพลางโกรธเคือง สีหน้าเริ่มปะทุเหมือนภูเขาไฟ

    "ข้าขอโทษ ข้าสำนึกผิดแล้ว" เขาพูดเหมือนพ่นน้ำทั้งมหาสมุทรดับภูเขาไฟตรงหน้า

    นางหลับตาหายใจลึก ๆ จะเถียงต่อคงจะยาว วันนี้ไม่น่าจบง่าย ๆ เกรงว่าอีกไม่นานจะมีสตรีนักบวชด้วยกันมาเห็นนางยืนคุยกับบุรุษผู้นี้ แล้วอาจคิดไปเองว่าตัวนางกำลังให้ท่าผู้ชาย จึงหยุดสนใจเขา พยายามเดินออกห่าง มุ่งไปกับการทำหน้าที่การงานต่อ อย่าไปใส่ใจบุรุษปากหวานน่าจะดีที่สุด

    บุรุษดวงตาฟ้ายิ้มหัวเราะ ในการแสดงออกของนางที่ทำตัวไม่สนใจเขา

    นางเมดูซ่ามองรอบพื้นหินอ่อนที่เปียก สีหน้านางเริ่มแดงอย่างหงุดหงิดอารมณ์เสีย แต่ปิดบังอาการไว้ในใจ เมื่อกี้พึ่งทำความสะอาดพื้นเสร็จเรียบร้อย แต่กับมีฝนประหลาดภายในวิหารทำให้เปียกไปหมด จะไม่ให้เสียอารมณ์ได้อย่างไร

    บุรุษดวงตาฟ้าสัมผัสถึงอารมณ์นาง พยายามเดินเข้าใกล้ร่างงาม ใจหนึ่งคิดอยากสร้างความใกล้ชิดสนิทสนมกับนางเหลือเกิน

    "ให้ข้าช่วยอะไรเจ้าแทนคำขอโทษได้ไหม" บุรุษดวงตาฟ้าถาม

    เมื่อนางได้ยินอย่างนั้น ปกตินักบวชสตรีแห่งเทพอธีนาไม่ควรให้ใครช่วย แต่นางจำเป็นต้องแสดงการปฏิเสธน้ำใจแบบมีมารยาทจึงตอบไปว่า “ท่านคงไม่ใช่ผู้ทำให้ฝนตก ไม่เป็นไร ข้าขอรับน้ำใจจากท่านก็พอ ข้าไม่กล้าทำให้ท่านเสื่อมเสียเกียรติด้วยการทำงานที่ต่ำต่อยเช่นนี้ การทำความสะอาดเป็นหน้าที่ข้าอยู่แล้ว ข้าให้อภัยท่านแล้ว ท่านไปเถอะนะ” นางเมดูซ่าพูดไล่เขาครั้งที่สาม

    บุรุษผู้นี้ไม่ลดละความพยายามในการตามประกบนาง "มันเป็นความผิดของข้า ที่ทำตัวไม่ต่างจากโจร แอบถ้ำมองอย่างไร้เกียรติและศักดิ์ศรี ทำไมข้าถึงช่วยเจ้าทำความสะอาดไม่ได้ เจ้าเป็นคนที่น่าเคารพ บางทีอาจยิ่งกว่าทุกตนที่อยู่บนโอลิมปัส ข้าเป็นคนทำให้เจ้าเดือดร้อนต้องตกใจในการกระทำของข้า" บุรุษดวงตาฟ้าพูดพลางย่อตัวกับพื้นที่เปียก แล้วนำมือแตะพื้นหินอ่อน ใช้พลังสูบน้ำทั้งหมดเข้าฝ่ามือของเขา พื้นภายในวิหารทั้งหมดแห้งภายในพริบตา "นี่พอแก้ไขสิ่งที่ข้าทำลงไปได้"

    นางเมดูซ่ายืนอึ้งไม่เชื่อกับตา นี่คือพลังพิเศษของแท้ ซึ่งดูประหลาดตาและมหัศจรรย์ใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน 'มีเทพเจ้าเท่านั้นที่ทำได้'

    'ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถเช็ดถูพื้นที่เปียกน้ำได้เร็วเช่นนี้ได้ --- ไม่ใช่สิ บุรุษคนนี้ไม่ใช่มนุษย์แน่นอน เป็นเทพเจ้าต่างหาก' นางคิดในใจ แล้วคุกเข่าทันทีพร้อมกล่าวว่า "ขอประทานอภัยให้ข้าด้วย ข้ามีตาหามีแววไม่ ท่านเป็นเทพเจ้าผู้สูงศักดิ์"

    เมื่อบุรุษเทพดวงตาฟ้าเห็นนางผมทองคุกเข่าเช่นนั้นแล้ว ไฉนเลยจะไม่ลองสัมผัสเนื้อกายบริสุทธิ์นี้ได้ แอบยิ้มอย่างมีเลศนัย มือกว้างใหญ่สองข้างจับผิวเนื้อหนังอ่อนนุ่มตรงไหล่ พยุงนางลุกขึ้นทันทีแล้วพูดว่า "เจ้าอย่าทำแบบนี้เลย ข้าเป็นเทพปลายแถว มีพลังแค่นิดหน่อย" ฝ่ามือกว้างใหญ่จับเนื้อผิวนวลผุดผ่องประกาย ผิวสัมผัสผิวเท่าที่จะนานได้ นางพยายามขัดขืนเล็กน้อยให้เขารู้ว่านางไม่ชอบให้ใครมาจับต้อง แต่นางไม่พยายามสะบัดหนีเพราะเกรงกลัวเทพจะระบายโทสะบนเรือนร่างนาง บุรุษเทพดวงตาฟ้ารู้ตัวว่านางคิดอย่างไร จึงค่อย ๆ ปล่อยเนื้อหนังของสตรีอย่างช้า ๆ

    "ข้าเป็นมนุษย์ผู้ต่ำต้อย" นางเมดูซ่าพูดแล้วหลบสายตาไม่ให้เทพผู้นี้มองออกได้ว่าในใจกำลังคิดรังเกียจ ถึงจะรู้สึกผิดบ้างที่ก่อนหน้าพูดจาเย็นชาใส่ แต่เทพผู้จี้เองกับทำให้ใจนางรู้สึกอับอาย

    บุรุษเทพจ้องมองนารีบริสุทธิ์ เกิดความคิดข้างในว่า 'ใจอย่าหลง แม้ผิวปากอวบอิ่มจะน่าจูบก็ตาม'

    "อย่าพูดอย่างนั้นเลยเจ้าคนงาม ข้ามานี้เพียงแค่มายลโฉมเจ้าแค่นั้นเอง แล้วข้าก็จะไป ข้าต่างหากที่ผิดต่อเจ้า ทำให้เจ้าตกใจ แล้วข้าก็เกือบล่วงเกินเจ้า เพื่อแทนคำขอโทษที่ข้าทำไม่ดี เจ้าสามารถขอพรได้หนึ่งข้อ" บุรุษเทพผู้นี้พูดจาอ่อนโยน สารภาพว่าตัวเองผิด

    นางคิดว่า 'การให้มักหวังผลตอบแทนเสมอ' จึงปฏิเสธไปว่า "ข้าไม่อยากได้พรจากท่าน ข้าขอทราบนามของท่านละกัน เพื่อข้าจะได้นำของเส้นไหว้มาบูชาท่านเมื่อมีโอกาส" นางเมดูซ่าพูดแบบต้องการตัดจบแฝงด้วยประโยคไล่เขาครั้งที่สี่ เพื่อให้บุรุษเทพรีบออกไปจากนางได้แล้ว

    "เจ้าไม่เสียดายหรือที่ไม่ขอพร"

    "ข้ามีพร้อมทุกอย่างแล้ว"

    "ก็ได้ ข้าไปก็ได้ ถือว่าข้าติดหนี้ให้พรเจ้าหนึ่งข้อ นามของข้าคือ โซไพ ข้าเป็นเทพเจ้าแห่งความสำราญ ข้าไม่มีวิหาร หรือที่บูชา เจ้าไม่ต้องเอาของมาบูชาข้าหรอก วันนี้เราพบกันไม่ใช่เพราะชะตากำหนด แต่ข้าอยากพบเจ้าจริง ๆ" บุรุษเทพดวงตาฟ้าพูดพลางหัวเราะ แล้วเดินไปหลังรูปปั้นเทพี เขาหายไปในพริบตา

    นางเมดูซ่ามีสีหน้าประหลาดใจ แม้นางจะรู้จักชื่อเทพเจ้าโอลิมปัสเกือบทั้งหมด แต่เกิดมาไม่เคยได้ยินชื่อนามของเทพเจ้าองค์นี้เลย โซไพเทพเจ้าแห่งความสำราญมีจริงหรือ นี่อาจเป็นปีศาจร้ายก็เป็นไปได้ ช่างน่าสงสัยเหลือเกิน ตอนนี้เทพเจ้าองค์นี้หายไปแล้ว และนางไม่อยากจะคิดถึงบุรุษเทพผู้นี้อีกต่อไป ถ้าไล่ครั้งที่ห้าแล้วยังดื้อนางก็จะเดินออกมาเอง

    ลืม ๆ ไปเถอะบุรุษเทพเจ้าที่มีดวงตาสีฟ้า โอ๊ย จะลืมได้อย่างไร ในเมื่อร่างกายข้าถูกมือเขาประทับตราใส่แล้ว คำหวานกับทำให้ใจสั่น นางส่ายหัวผมทองให้สลัดความจำเกี่ยวกับเขาทิ้งไปให้ไกล แล้วอย่าหวนคืนกลับมาอีกบัดเดี๋ยวนี้ แต่โอ๊ย...ลืมไม่ได้สักที

    "ออกไปจากหัวข้าเดี๋ยวนี้ ไปเลย ไป"

    "เจ้ากำลังพูดกับใคร" เสียงนักบวชสตรีผู้หนึ่งพร้อมกับเสียงฝีเท้ากำลังเดินเข้าไป ทำให้นางเมดูซ่าตกใจ...อีกแล้ว

    นางเมดูซ่ามองตามเสียงนั้นอย่างคุ้นเคย "ท่านพี่แคลล่า"

    "เจ้าพูดคนเดียว เป็นบ้าหรือเปล่า" นางแคลล่าพูดพลางกวาดสายตาสำรวจภายในวิหาร อย่างกับคนจ้องจับผิด มองหาจุดผิดสังเกต นางถือเป็นสตรีผู้งดงามอีกคนที่ประจำวิหารแห่งนี้ และเป็นรุ่นพี่ของนางเมดูซ่า หลายคนแอบตั้งฉายานางว่า จอมจับผิด นางมองรอบตัวนางเมดูซ่าอย่างสงสัย "ทำไมเจ้าตัวเปียก ทำไมเจ้าหน้าแดง"

    เมดูซ่าตกใจ...อีกแล้วหรือนี่

    "พอดีข้าซุ่มซ่ามทำน้ำหกใส่" นางเมดูซ่าพูดพลางหลบหน้าหลบตาไม่ให้ถูกอ่านสีหน้าได้ "ท่านพี่แคลล่าวันนี้จะให้ข้าทำอะไรบ้าง" นางพูดกลบเกลื่อนพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยทันที ในใจไม่อยากอธิบายสิ่งที่พบเจอเมื่อสักครู่ โดยเฉพาะเรื่องบุรุษเทพสำราญผู้นั้น คิดแล้วอยากไปขัดเนื้อขัดตัวเจ็ดวันเจ็ดคืนตรงจุดที่ถูกสัมผัส "ข้าใจดีใช่ไหมล่ะ ใช้ข้ามาเถอะ ข้ายินดีทำตามท่านพี่แคลล่าทุกอย่าง"

    "หึ -- อยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง ไม่แปลกที่ใคร ๆ ต่างบอกข้าว่านางเมดูซ่าฉลาดใช้วาจาที่ทั้งคมและกินใจ ดีไม่ดี วาจาเจ้าสามารถโน้มน้าวมหาเทพซุสให้ทำสิ่งที่เจ้าร้องขอได้ หรือเจ้าอาจกล่อมเทพโพไซดอนให้ทำลายโลกนี้ --- ข้าว่า อีกหน่อยเจ้าไม่ต้องพูดเยอะ แค่มองตา ทุกคนก็พร้อมทำตามเจ้าทุกอย่างแล้ว แต่อย่ามองใครนานละ เดี๋ยวคนแข็งเหมือนหินเพราะหน้าตาสวยของเจ้าทำให้ใครต้องอยากหยุดมอง"

    "แหม ท่านพี่ก็ล้อเลียนข้าเกินจริงไปนะ ข้าก็เป็นของข้าอย่างนี้แหละ ท่านพี่ก็งดงามกว่าข้าสักอีก" นางเมดูซ่าพึมพำ "บอกข้ามาเถอะนะ ว่าวันนี้ให้ข้าช่วยอะไรไหม ข้ายินดีทำตามท่านพี่ทุกอย่าง"

    "ทำเป็นพูดหวาน ข้ามีสิทธิ์ใช้คนงดงามที่สุดในโลกด้วยหรือ"

    "ท่านพี่ --- ได้โปรดอย่าพูดอย่างนั้น ข้านับถือท่านเหมือนเป็นแม่ของข้า หากท่านไม่ได้เก็บข้ามาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก ข้าคงไม่มีวันนี้"

    "เจ้านี่ --- ทำเป็นพูดดีไป ปกติเจ้าก็ทำหน้าที่ของเจ้าทุกวันอยู่แล้ว โดยที่ข้าไม่ได้สั่ง วันนี้เจ้าดูแปลก ๆ " นางแคลล่าพูดอย่างสงสัย

    "ข้าก็ปกติของข้า ท่านพี่แคลล่าสั่งข้ามาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ" นางเมดูซ่าพูดด้วยรอยยิ้ม

    "ก็ได้ ๆ ดื้อดีหนัก เดี๋ยวข้าคิดก่อนว่าให้เจ้าทำอะไรดี" นางแคลล่าใช้เวลาคิดแป๊บเดียวก็พูดสั่งว่า "นั้น เจ้าไปรับภูษาใหม่สำหรับรูปปั้นพระเทพีอธีน่าที่อยู่กับนางอารัคเน่ให้หน่อย"

    "นางอารัคเน่หรือ" เมดูซ่าพูดพลางเงยหน้ามองบนด้วยความสงสัย

    "เจ้าไม่รู้จักนางหรือ"

    "ข้าพอได้ยินอยู่บ้างว่านางทอผ้าได้สวยที่สุดในเมืองนี้ หาผู้ใดเทียบไม่ได้ แต่ข้าไม่เคยพบเห็นนางเลย"

    "นั้น ข้าไปเอง ไม่ลำบากเจ้าแล้ว"

    "ท่านพี่แคลล่า --- ขอให้ข้าไปเถอะ ข้าอยากเดินเข้าเมืองเปิดหูเปิดตาบ้าง ข้าไม่ได้เข้าเมืองนานแล้ว ทุก ๆ วันข้าเดินจากบ้านมาวิหารไม่เคยได้แวะไปไหนเลย อีกอย่างเสื้อผ้าข้าก็เปียก หากโดนแดดโดนลมบ้างมันจะได้แห้งสักที"

    "ก็ได้ หากเจ้ายืนกรานที่จะไป ถึงไม่รู้ทางก็แค่ถามคนแถวนั้นเอาละกัน นั้นเจ้าไปเถอะ" นางแคคล่าพูดพลางสะบัดมือไล่ "แต่เดี๋ยวก่อน" ความคิดแว๊บหนึ่งเข้ามาในหัว นางพึ่งนึกอะไรออกจึงพูดสั่งให้นางเมดูซ่าหยุดเดินแล้วพูดว่า "เจ้าไปได้ แต่เจ้าต้องนำผ้าคลุมหัวของเจ้าตลอดเวลา ไม่นั้นทั้งเมืองสติแตกแน่"

    นางเมดูซ่าจำเป็นต้องทำตามที่นางแคลล่าแนะนำ นางสัมผัสได้ถึงความห่วงใย ซึ่งมีเพียงสายใยความผูกพันระหว่างพี่น้องสองคนนี้เท่านั้น ก็นางเมดูซ่างดงามขนาดนี้จะไม่ให้ทั้งเมืองวุ่นวายได้อย่างไรกัน ปกปิดเรือนร่างไว้เป็นอันดีกว่าเผยโฉมสะคราญ เดี๋ยวเอเทนส์กลายเป็นภูเขาไฟขึ้นมา จะเกิดเรื่องใหญ่ทำสงครามเพื่อสตรีผู้เดียว

    นางเมดูซ่าเข้าเมืองอย่างตั้งหน้าตั้งตาไปที่ร้านทอผ้าของนางอารัคเน่ ขณะเดินทางนางใช้ผ้าคลุมหัวปิดบังผมสีทอง และใบหน้าที่งดงามไว้บดบังเหล่าบุรุษที่กระหายเรือนร่างนาง

    วันนี้อากาศดี ลมผัดสัมผัสใบหน้าอ่อนนุ่ม เดินชมเมืองอย่างผ่อนคลาย นางเมดูซ่าแวะถามทางไปร้านทอผ้ากับคนที่พบเจอ จนพอทราบทิศทางที่ตั้งร้านแล้ว แต่ดูเหมือนว่านางเมดูซ่าจะเอ้อระเหยปล่อยกายใจผสมกลมกลืนกับเหล่าฝูงชนที่เดินซื้อของ ใจนางคิดว่า ขอไปช้าหน่อยคงไม่เสียหายอะไร นาน ๆ จะเข้าเมืองที ก็น่าจะแวะชมสินค้าตามร้านด้วยความเพลิดเพลินใจ ตานางจ้องมองอย่างชื่นชมงานประดิษฐ์ศิลปะต่าง ๆ ทั้งอาวุธดาบ หอก ธนู เสื้อผ้า เครื่องประดับมากมาย อย่างตื่นตาตื่นใจ

    ขณะใจนางกำลังตื่นเต้นกับหลายสิ่ง ก็หาได้เท่ากับเครื่องปั้นดินเผามีลายเขียนรูปเล่าเรื่องราวเทพเจ้าโอลิสปัส โดยเฉพาะรูปเรื่องราวเทพีอธีน่าในคราบหญิงสาวนักรบผู้งดงามที่ยืนข้างรูปต้นมะกอก สีหน้านางเมดูซ่าชื่นชมไปกับเทพีที่คุ้มครอง

    เอ๋ะ นั้นอะไร! นางตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมเมื่อพบรูปวาดประหลาดใจ จนอดขำไม่ได้แล้ว จะกลั้นหัวเราะได้อย่างไร เมื่อเห็นเหยือกดินเผาสาดสีเป็นรูปวาดเทพบุรุษมหาสมุทรร่างใหญ่โพไซดอนถือสามตรีศูลสามง่ามขี่ฉลามยักษ์ อะไรนะ ฉลามยักษ์ เทพนะ จะขี่ฉลามได้อย่างไร ดูแล้วตลกพิลึก กลั้นขำภาพเทพที่ขี่ฉลามไม่ได้จริง ๆ โชคดีมีผ้าโพกหัวปิดหน้าช่วยให้ไม่มีใครเห็นท่าทางไม่เหมาะสมของนาง ด้วยกฎเหล็กนักบวชสตรีแห่งอธีน่าที่ห้ามแสดงอารมณ์ต่อหน้าผู้คน ถ้าใครมีเห็นนางขำใส่เหยือกดินเผา ก็อย่าบรรยายเลยดีกว่าว่านางต้องเจอโทษอะไรบ้าง ผ้าโพกหัวปิดบังความงามดีแล้ว เพราะทำให้นางแอบแสดงอาการตามอารมณ์จนเลยเถิด

    นางชี้นิ้วรูปเทพโพไซดอนพลางหัวเราะตลกในลำคอ ตอนนี้หยุดขำไม่อยู่แล้ว น้ำตาแทบไหล น้ำลายเต้นรำกระเด็นใส่ผลงานศิลปะอย่างมีชีวิต

    "ฉลามยักษ์" นางเมดูซ่าพูดลอย ๆ พลางหัวเราะไปด้วย "คิดว่าตำนานเทพเจ้าแห่งมหาสมุทรไม่ได้ขี่ฉลาม น่าจะเป็นม้าที่มีหางเป็นปลา ข้านึกแล้วนึกอีก ยังจำชื่อไม่ได้ว่าเรียกสัตว์ประหลาดนั้นว่าอะไร แต่เทพขี่ฉลามนี่ช่างดูแปลกพิลึกอย่างมาก"

    พ่อค้าเฝ้าร้านได้ยินเสียงนางพร่ำเพ้อรำพันจึงพูดกับนางว่า "เจ้าพูดถึงฮิปโปแคมปัส ม้าทะเลมีขาเป็นครีบเหมือนปลา รถเทียบศึกของเทพเจ้าโพไซดอนใช่ไหม"

    "ฮิป -- โป -- แคม -- ปัส -- ชื่อดูประหลาดจัง" นางเมดูซ่าส่งสายตายิ้มให้พ่อค้า

    "แล้วเจ้ากำลังสงสัยอะไรหรือ หรือเจ้าจะอยากได้เหยือกใบนี้ ข้าขายให้เจ้าในราคาพิเศษเลย"

    "ให้อภัยข้าด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของ ข้าแค่เดินผ่านทางมา และต้องการชื่นชมความงามศิลปะอย่างภาพนี้" นางเมดูซ่าพูดน้ำเสียงอ่อนโยน "ภาพเทพีอธีน่างดงามมากจริง ๆ แต่ที่ข้าประหลาดใจตรงที่เทพสมุทรขี่ฉลาดยักษ์"

    พ่อค้าพยายามจ้องมองสตรีที่ซ่อนความงามไว้ในผ้าคลุมหัวสีขาว ผ้านั้นปิดปาก เหลือเพียงแววตาเขียวอัญมณี แต่ก็ยังชวนหลงใหล แล้วพูดเสริมอธิบายไปว่า "เจ้าผู้เป็นสตรีที่เก็บซ่อนความงามอยู่ น่ารู้ดีว่าเทพสมุทรองค์นี้เป็นคนเจ้าชู้เพียงใด จะขี่บนเรือนร่างนางพายนับพัน เดรัจฉานตนไหนก็เป็นเรื่องธรรมดาทั้งนั้น ศิลปินจะวาดให้เทพองค์นี้ขี่กับอะไรก็อย่าแปลกใจเลย"

    "ข้าไม่เข้าใจ" นางเมดูซ่าสีหน้างุนงงสงสัยกับคำอธิบายของพ่อค้า

    พ่อค้าเห็นนางออกท่าออกทางไม่เข้าใจที่สิ่งเขาเสียแรงอธิบายยืดยาว จึงมีสีหน้าขุ่นเคืองพูดไล่นางว่า "หากเจ้าไม่คิดจะซื้อของ ก็จงอย่ามายืนเกะกะหน้าร้านของข้า ข้าไม่อยากพูดกับสตรีที่เอาผ้าโพกหัวปิดบังตนใบหน้า เจ้าคงอัปลักษณ์"

    เมื่อนางได้ยินพ่อค้าด่าว่ามา นางไม่รู้สึกโกรธเขาเลย แต่กับเข้าใจเขา แววตานางเมดูซ่ารู้สึกผิดกับพ่อค้า แล้วพูดว่า "ข้าขอโ--"

    "ข้าขอซื้อเหยือกใบนี้ ที่มีเทพสมุทรเจ้าชู้ขี่ฉลามยักษ์ น้ำเสียงเข้มหนักแน่นดังผ่านหลังนางเมดูซ่า เมื่อนางได้ยิน นางหลับตาอย่างอดทนกับเสียงนี้ทันที นางจำเสียงเอกลักษณ์นี้ได้ดี จะใช่ใครที่ไหนละ ก็บุรุษเทพเจ้าที่มีดวงตาสีฟ้าที่นางพยายามจะสลัดออกจากหัวไปไกล ๆ นางจำประโยคที่เขากล่าวตอนนั้นได้ดีว่า 'นามของข้าคือ โซไพ ข้าเป็นเทพเจ้าแห่งความสำราญ '

    ปัญหาหนักของนางเมดูซ่าตอนนี้คือ จะหนีออกจากเทพจอมตื๊อได้อย่างไร เคยพบกันในวิหารแล้ว แล้วยังมากันตรงนี้อีก สิ่งที่นึกได้ตอนนี้ที่นางจะทำคือ นิ่งเฉย นิ่งเฉย และนิ่งเฉย รอให้เทพโซไพนักตื๊อที่ตามประกบแอบมองนาง ให้เขารับของที่ซื้อ แล้วอวยพรให้เทพองค์นี้เดินจากไปไกล ๆ แล้วอย่าหวนกลับมาอีก

    บุรุษเทพโยนเหรียญทองตรานกฮูกให้พ่อค้า แล้วรับเหยือกดินเผารูปเทพโพไซดอนขี่ฉลามยักษ์ อุ้มไว้ทั้งสองมือ

    นางเมดูซ่าหลับตาลงในใจอ้อนวอนให้เจ้าเทพองค์นี้ไปไกล ๆ สักที ไปไกล ๆ จะไปไหนก็ไป

    "ดวงตาเขียวของเจ้า...ข้าจำได้ดี" เสียงกระซิบลอดผ่านเข้าหูของนางเมดูซ่าอย่างเย็นเยียบ หัวใจนางกระตุกวูบหล่นไปอยู่ตรงตาตุ่ม นางหันหน้าอย่างตกใจเพื่อมองแหล่งเสียงอันตรายนั้น

    แล้ว..

    ปากนางกับปากเขาก็เลยต้องบังเอิญประกบกันทันที แววตาจ้องมองกันและกัน รอบข้างคนเดินเหมือนลมพัดผ่านไปมา จะโชคดีก็ว่าได้ที่ผ้าปิดปากนางยังคงกลั่นกลางไว้ไม่โดนปากเขาตรง ๆ

    ตอนนี้หัวใจนางเมดูซ่าเต้นผิดจังหวะแล้วนะ เหมือนโดนเทพเด็กน้อยมีปีกและเปลือยกายอย่างคิวปิดยิงธนูเสน่ห์ทะลุหัวใจนางกับเขาไม่ให้แยกออกจากกัน ในหัวตอนนี้สับสนไปหมด สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลยและต้องทำคือผลักร่างเขาออกไกล ๆ

    ร่างบุรุษเทพไม่ขยับจากที่นางดันร่างให้ออกห่างเลยแม้แต่นิด มีนางเท่านั้นที่ออกห่าง นางหันหน้าเดินหนีไปจากเขาทันที โดยไม่พูดอะไรสักนิด ทิ้งบุรุษเทพตาสีฟ้าร่างบึกบึนไว้กลางทาง

    ชาตินี้ขออย่าพบกันอีกเลยดีกว่า ไม่นั้นนางอาจทำการอะไรบางอย่างที่ไม่คาดคิด ใจนางพยายามที่จะแข็งดังหินผา แล้วพยายามลืมบุรุษเทพผู้นี้ออกจากหัวไปทันที นางเดินไปอย่างไร้จุดหมายแล้ว

    เออ...ว่าแต่...นางเมดูซ่าคงไม่ลืมนะว่าตนต้องไปร้านทอผ้าของนางอารัคเน่

    ***

    แสงอพอลโลสาดส่องอยู่เหนือศีรษะ คงได้เห็นนางเมดูซ่าที่เจอเรื่องซวยมาทั้งวัน แอโอลัสเทพเจ้าแห่งลมคงได้เปิดประตูนำพาพายุแห่งโชคร้ายมาหานางเป็นแน่แท้ แต่นางไม่หยุดที่จะก้าวต่อไป เดินไปเดินมานางก็ถึงที่หมายอย่างตั้งใจ ความหงุดหงิดในใจโอบล้อมนางไว้พร้อมกับเสียงถอนหายใจเบา ๆ นางเงยมองสถานที่ไม่เคยมา ร้านทอผ้าอารัคเน่ 

    บ่อยครั้งที่เคยได้ยินชื่อเสียงผลงานการทอผ้านางอารัคเน่ พื้นผ้าที่ประณีตละเอียดซับซ้อน ผลงานชิ้นมหัศจรรย์ของนางที่มีชื่อเสียงและทรงพลังที่สุด ผ้าคลุมที่ใช้ขนของแกะทองคำในการทอ มหาสมบัติที่ใคร ๆ ก็อยากครอบครอง เล่ากันว่าขนแกะทองคำนั้นเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความเป็นกษัตริย์ ซึ่งผลงานของนางชิ้นนั้นหายสาบสูญไปแล้ว

    นางอารัคเน่รับมอบหมายให้ทอภูษาสำหรับรูปเคารพเทพีอาทีน่า เป็นสิ่งที่นางเมดูซ่าต้องนำกลับไปวิหารให้ได้

    เมื่อนางเมดูซ่าก้าวเดินเข้าร้าน ภายในร้านมีผู้คนแออัดยัดเยียด อึกทึกครึกโครม ดูผิดปกติ "วันนี้มีอะไรกันล่ะรึ" นางถามผู้คนแถวนั้นด้วยความสงสัย 

    "มีการแข่งขันที่น่าจับตาที่สุด" ชายหนุ่มคนหนึ่งมีอาการอยากไขข้อสังสัยของนาง เขาตอบอย่างตื่นเต้นด้วยแววตาเร่าร้อนดุจเพลิง "เชิญเบิกตาของเจ้าดูเถิด นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่เทพเจ้าก็ยากจะพบเห็น นางอารัคเน่จะแสดงฝีเข็มให้เราดูเป็นบุญตา หากเทียบแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เจ้ามองเส้นผมสีทองของนางเมดูซ่า แต่คู่แข่งน่าประหลาดใจยิ่งกว่าอีก"

    คิ้วขมวดด้วยตวามสงสัยจนถึงที่สุด  จับผ้าคลุมหัวให้มั่นอย่าให้หลุด ตะเกียกตะกายเบียดเสียดผู้คนเข้าไปยืนอยู่หน้าสุด หวังชื่นชมฝีเข็มของนางอารัคเน่ตามชื่อเสียงอันลือลั่น มองเห็นนางอารัสเน่ผู้งดงามด้วยเส้นผมสีดำเงา กับเด็กน้อยผู้หญิงตัวเล็กกับเส้นผมสีทองที่ดูเหมือนเป็นคู่แข่งฝีเข็มในเวลานี้ ดูแล้วช่างประหลาดใจ

    "นางอารัสเน่แข่งกับเด็กอายุสิบกว่าขวบ เป็นไปได้อย่างไร" ชายแถวนั้นพูด

    "อย่าถามเลยว่าเป็นไปได้ไง มันเป็นไปแล้ว" หญิงด้านข้างพูด "แต่พวกเราในเอเธนส์ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเจ้าเด็ดน้อยคนนี้มาก่อนเลย"

    "การแข่งขันครั้งนี้รู้ผลตั้งแต่ยังไม่แข่งแล้ว เด็กตัวเล็กจะเอาชนะผู้ใหญ่ได้ไง อีกอย่าง นั้นคือนางอารัคเน่ สตรีที่มีฝีเข็มที่เก่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นแล้ว" ชายชราแถวนั้นกล่าว "ให้ตายเถอะ ก่อนข้าจะเข้าเฝ้าเฮดีส ขอข้าได้เห็นเส้นผมเมดูซ่ากับฝีเข็มของอารัสเน่ ชีวิตนี้ข้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว" 

    "ตามที่ข้าเห็น ก็ถือว่าเป็นคู่ที่ไม่เหมาะสมจริง ๆ แต่พวกเจ้าทุกคนมองดูเด็กผมทองคนนั้นให้ดี ๆ เถอะ ข้ารู้สึกแปลก ๆ" หญิงชราที่สวมผ้าสีดำคุมหัวเอ๋ย

    "แปลก?" น้ำเสียงสงสัยของนางเมดูซ่าพูดแทรกกลางวงสนธนาดังขึ้น ทุกสายตาจับจ้องนาง เมดูซ่านำมือจับผ้าคุมหัวให้มั่น

    "ฮา ฮ่า เจ้าอยากรู้ เจ้าน่าจะรู้จักเด็กคนนั้นดีกว่าใคร ดูให้ดี ๆ " หญิงชราสวมผ้าสีดำส่งสายตาลึกลับให้นางเมดูซ่ามองไปที่เด็กน้อยคนนั้น "เด็กคนนั้นสิ่งที่เจ้าเห็นอยู่บ่อย ๆ"

    นางเมดูซ่าปั้นหน้าสงสัย จ้องมองที่เด็กผมสีทองที่สวมมงกุฎใบมะกอก เกิดเห็นรูปปั้นในวิหารที่คุ้นตาเหลือเกิน

    "หวังว่าเจ้าอย่าเชียร์ผิดฝั่งล่ะ ข้าเสียดายเส้นผมสวย ๆ ของเจ้าจริง ๆ" เสียงหญิงชรากระซิบจากด้านหลัง นางเมดูซ่าหันกลับไปก็ไม่พบเจ้าของเสียงนั้นอีกแล้ว  

    ทุกคนรอบตัวยืนวงล้อมแล้วจับจ้องเพ่งเล็งไปยังจุดเดียวกัน เมดูซ่ามองเห็นหญิงสาวกับเด็กหญิงร่างน้อยกำลังร้อยเข็มปักผ้าด้วยไหมทองอย่างประณีบ การแข่งขันที่เงียบที่สุด แต่ในใจผู้ชมดุเดือดดังภูเขาไฟระเบิด การประลองนี้ต้องใช้สมาธิอย่างมาก อารัคเน่ขยับเรือนร่างเป็นธรรมชาติ มือแขนขยับร้อยด้านลงบนผ้าลินินอย่างรวดเร็วดังได้เห็นมีแปดมือยื่นออกมา ดูมีความละเอียดละอ่อนคล้ายกำลังเต้นรำอย่างมีความสุข แต่เมื่อมองไปที่เด็กน้อยที่มีผิวพรรงดงาม ถึงกับต้องตกใจในรัศมีเรืองรองฉายแสง ไม่รู้ว่าทำไมกัน เมื่อเห็นมงกุฎใบมะกอกอยู่บนเส้นผมสีทองของเด็กน้อย มันทำให้รู้สึกเห็นใบหน้าเทพีที่ตนเคารพ 

    แต่แล้ว....

    เด็กน้อยคนนั้นก็มองมาที่นางเมดูซ่าด้วยรอยยิ้มแห่งอำนาจจนนางถึงกับผวา ใจเต้นรัวกลองอยากจะกรีดร้องออกมาให้หยุดการแข่งขันทันที มือสั่นขณะนำมาปิดประตูปากตัวเอง เด็กน้อยเอานิ้วชี้มาวางตรงปาก นั่นคือคำสั่งว่า จงเงียบ 

    พลังฝีเข็มมหัศจรรย์ทั้งสองร้อยเรื่องราวด้วยไหมทองบนผ้าลินินจนแล้วเสร็จ ด้านเด็กหญิงตัวน้อยร้อยเรื่องราวภาพเทพีอธีนาปลูกต้นมะกอกเอาชนะเหนือเทพเจ้าสมุทร ชาวเอเทนส์ต่างชื่นชอบใจ นางเมดูซ่าเมื่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกยิ่งภูมิในในเทพีที่ตนกราบไหว้ทุกวัน ส่วนงานทอผ้าของนางอารัดเน่ดูประหลาดยิ่งกว่า

    "นั้นเจ้ากำลังทำอะไรกัน" น้ำเสียงไม่พอใจของผู้คนดังขึ้น

    นางเมดูซ่ามองเห็นภาพความน่าอับอายของเทพซุตที่แอบย่องกายมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นจนเทพีฮีราโกรธเคือง ชาวเอเทนส์ที่มองอยู่แสดงสีหน้าไม่พอใจ ทว่านางเมดูซ่ามองต่างออกไป 

    "อารัคเน่ เจ้าเป็นคนโอหัง แม้กระทั่งมหาเทพสูงสุด เจ้าก็ยังทำเรื่องต่ำช้า" เสียงตะโกนดุจไฟนรกดังขึ้น

    จับนางต่ำช้านี้ไปตัดมือซะ!

    "ได้โปรด ไม่ใช่อย่างนั้น ฟังข้าก่อน" ความหวาดกลัวกลืนกินบนนางอารัคเน่

    อย่าไปฟังนาง! เจ้าสร้างรูปแบบนี้ได้อย่างไรกัน! เจ้าลบหลู่เทพเจ้าแล้ว! จิตเจ้าจิตวิปริต!

    "ได้โปรด" น้ำเสียงขอร้องของนางดังขึ้น ดูเหมือนว่าผู้คนจะไม่ต้องการคำแก้ตัว แต่เมดูซ่าไม่เห็นด้วยกับความโกรธอันไม่มีเหตุผลในครั้งนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ เด็กน้อยคู่แข่งอารัคเน่เป็นผู้ที่มีพลังและอำนาจมากที่สุด แม้แต่มหาเทพสูงสุดยังหวั่นเกรง

    ทำลายงานของเจ้าต่ำทรามเดี๋ยวนี้!

    นางอารัคเน่คุกเข่าขอร้องถึงที่สุด ในจุดจุดนี้ ไม่มีสิ่งใดห้ามไฟโกรธขอผู้คนได้ พวกนั้นหยิบคบเพลิงจุดไฟเผาผ้าอัปมงคลนั้นทันที แต่แล้ว...

    สตรีคนหนึ่งไม่ทนอีกต่อไป หยิบเยือกที่มีน้ำด้านข้างดับไฟที่กำลังกลืนกินผลงานของนางอาลัคเน่ดับจนเกิดควันทมิฬ ส่งกลิ่นไหม้ทั่วบริเวณ

    เจ้าเป็นใครกัน! ทำอย่างนี้ทำไม!

    เปิดผ้าโพกหัว เผยเส้นผมสีทองกับใบหน้าโฉมงาม ฝีปากเกลี้ยกล่อม ผู้คนรอบ ๆ ต่างตกใจ 

    นางเมดูซ่า!

    sds

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×