ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    POKEMON | RAIN BATTLE

    ลำดับตอนที่ #2 : 02 พลาดพลั้ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 283
      24
      1 ก.ย. 66

     

    02

    พลาดพลั้ง

     

     

    แพนซี่เคยเป็นนักข่าวที่ออกเดินทางไปทั่วทุกภูมิภาค ทำสารคดีเกี่ยวกับโปเกม่อน ส่วนหนึ่งของความสุขคือเวลาในช่วงชีวิตของเธอที่ได้ออกเดินทางคลุกคลีและสัมผัสถึงธรรมชาติต่าง ๆ หลังจากนั้นจึงถ่ายทำ เก็บภาพความสุขเหล่านั้นมาแบ่งปันผู้คนที่ได้รับชมผ่านหน้าจอ

    แพนซี่บอกได้เลยว่าการเป็นนักข่าวทำให้เธอมีความสุขพอ ๆ กับที่น้องสาวของเธอทำหน้าที่เป็นยิมลีดเดอร์ในภูมิภาคคาลอส

    ได้พบผู้คนมากมายผ่านเลนส์ของกล้องที่ผู้ชมมองเห็นร่วมกัน หรือในตอนที่ผจญภัยลุ้นระทึกจนไม่มีเสี้ยววินาทีที่จะกดกล้องจับภาพเหล่านั้น แพนซี่มองผ่านเลนส์กล้องเป็นล้าน ๆ ครั้ง และทุกครั้งเธอมองเห็นความสัมพันธ์ของมนุษย์และโปเกม่อน

    มันคือความรัก ความห่วงใย หรือสายสัมพันธ์ การพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลกหล่อหลอมให้เธอเห็นถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านั้น

    แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอมองเห็นรอยแตกร้าวบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ

    แพนซี่ไม่ใช่นักสืบ ไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลที่มีเครือข่ายหรือรู้อะไรมากนัก แต่หัวใจของเธอมักสั่นอย่างหวาดกลัวอยู่เสมอเมื่อเห็นข่าวความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์และโปเกม่อน มันเกิดขึ้นจากพื้นที่เล็ก ๆ จากนั้นจึงลามขึ้นเป็นพื้นที่ใหญ่ เกิดความเสียหาย และสร้างข่าวฉาวโด่งดัง

    แพนซี่กลัว

    และมันทำให้นึกถึงเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เคยเจอ

    ทั้งที่รู้ว่าการขอให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่หายตัวไปมาช่วยแก้ไขเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเขลาก็ตาม เด็กผู้ชายที่ติดอยู่ในเฟรมที่เรียกว่าความทรงจำของแพนซี่

    ซาโตชิ

    เด็กผู้ชายที่ทำให้เธอรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจเมื่อเขาสามารถคว้าชัยชนะมาได้ด้วยความพยายามที่ไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะในยิม ลีก หรือข่าวคราวนอกภูมิภาคที่กล่าวถึงแชมป์คนใหม่ของอโลล่า เธอส่งรูปไปหาวิโอล่าและบอกว่าเด็กคนนี้ทำได้ดีมากแค่ไหน

    แพนซี่ภูมิใจในตัวซาโตชิเหมือนเป็นน้องชายคนหนึ่ง

    จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีก่อนข่าวคราวก็หายไปเหมือนถูกลบออกจากหน้ากระดาษ ความรู้สึกแย่และความคิดด้านลบเกาะกินเธอทีละน้อย หลังจากการยกเลิกการแข่งเวิร์ลแชมป์เปี้ยนชิปส์ครั้งที่ 2 เหมือนโลกทั้งใบตกอยู่ในห้วงลึกที่นิ่งและหยุดหมุนไปชั่วขณะ

    เธอไม่รู้อะไรเลย

    ไม่มีร่องรอย

    ไม่มีอะไรเลย

    แพนซี่ลูบขมับตัวเองเบา ๆ ขณะวางกล้องประกอบอาชีพไว้ม้านั่งข้างตัว ใบหน้าสวยขมวดคิ้ว เธอค้อมตัวเล็กน้อยขณะวางแขนไว้กับต้นขา แจ็กเกตสีขาวสะอาดถูกพับวางไว้บนหน้าตัก เสื้อเชิ้ตของเธอมีรอยยับเล็กน้อยเพราะความเร่งรีบ อาจดูไม่สุภาพและไม่เคารพสถานที่เท่าไหร่เมื่อตัวนักข่าวมืออาชีพเช่นเธอแต่งตัวไม่เรียบร้อยเข้ามาในพื้นที่หอประชุมกลาง

    “ทำไมเวลาเครียดทีไรต้องนึกถึงเธอมาเป็นคนแรกด้วยล่ะเนี่ย”

    เธอถอนหายใจ

    แพนซี่ลูบหน้าตัวเองก่อนจะเงยศีรษะขึ้น ถึงแม้จะอยู่ภายในพื้นที่ของหอประชุมกลางแต่พื้นที่ที่เธออยู่คือบริเวณโถงทางเข้า

    หอประชุมกลางจะแบ่งออกเป็น 3 พื้นที่และเขตยิบย่อยอื่น ๆ

    ส่วนแรกคือส่วนใจกลางของพื้นที่และเป็นหัวใจหลัก เป็นพื้นที่สำหรับประชุมซึ่งบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาตจะไม่สามารถเข้าไปข้างในได้

    ส่วนที่สองคือห้องโถงทางเข้า หรือบริเวณที่เธอนั่งอยู่ ส่วนนี้จะเป็นทางเข้าที่คล้ายกับล็อบบี้ หากคุณมีบัตรอนุญาตหรือมีรายชื่อก็สามารถนั่งรอได้ ซึ่งส่วนห้องโถงนี้จะมีทั้งหมด 3 แห่งคนละที่ เพราะต้องเชื่อมกับทางเข้าทั้งสามทางจากหอประชุมกลาง

    ส่วนที่สามคือบริเวณรอบนอกที่นักข่าวจะถูกกักไว้ด้านนอก ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาด้านใน

    เพราะหอประชุมกลางเป็นสถานที่สำคัญ ทั้งยังรวบรวมบุคคลที่มีชื่อเสียง การรักษาความปลอดภัยจึงสำคัญ ตัวเธอที่มีใบรับรองจากด็อกเตอร์โอกิโดะยังไม่สามารถเข้าไปร่วมการประชุมได้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ขอขอบคุณด็อกเตอร์โอกิโดะที่ทำให้เธอได้มีโอกาสเข้ามาด้านใน ถึงข้อกำชับจริง ๆ จะเป็นการมาช่วยดูแลหลานชายที่รับช่วงต่ออย่าง โอกิโดะ ชิเงรุ ก็ตาม

    แต่แพนซี่ถือว่ามันเป็นเรื่องดี

    นักข่าวสาวทิ้งตัวเอนพิงกับม้านั่ง สอดสายตามองไปโดยรอบ ห้องโถงรับรองมีขนาดใหญ่ มีการตกแต่งที่เรียบหรูเหมือนกับล็อบบี้โรงแรมหรูที่เธอเคยเข้าไปพักตามโอกาส ทั้งม้านั่ง พรม หรือหลอดไฟระหย้าขนาดใหญ่เหนือหัวล้วนเป็นของแพงที่จับต้องไม่ได้ด้วยเงินเดือนนักข่าว

    แต่ทำยังไงได้ตอนนี้ที่นี่ก็มีแค่เธอคนเดียว

    นัยน์ตาเหนื่อยล้าจับมุมสายตาไปเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งถัดไปโดยข้างกันก่อนจะส่งเสียงหัวเราะขันกับตัวเอง

    กับเด็กคนหนึ่งล่ะนะ

    เอ๊ะ

    เดี๋ยวนะ

    “อ๊ะ นี่เธอ! นั่งตรงนี้นานแล้วเหรอ”

    แพนซี่ส่งเสียงออกมาดังมากไปหน่อยจึงทำให้เสียงก้องสะท้อนไปทั่วทั้งห้องโถง ด้วยความเผลอตัวทำให้เธอตะครุบปากตัวเองเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจ โล่งอกที่พนักงานรักษาความปลอดภัยจะไม่ลากตัวเธอออกไปข้างนอกเสียก่อน

    เด็กหนุ่มกดโทรศัพท์ต่อ

    “ไม่ครับ มาเมื่อกี้”

    “งั้นเหรอ”

    แพนซี่อาจจะจบบทสนทนาเช่นนั้นหากว่าอีกฝ่ายไม่สวมเสื้อโค้ทของนักวิจัย ถึงแม้จะติดใจกับการใส่หมวกแก๊ปในที่ร่มเล็กน้อยแต่มันทำให้เธอคิดถึงเด็กผู้ชายในความทรงจำขึ้นมา มันอาจจะเป็นเหตุผลที่แพนซี่ไม่รู้สึกเกร็งที่จะพูดคุยต่อไป

    “ฉันชื่อแพนซี่ เธอล่ะ”

    “คุณแพนซี่มาทำข่าวเหรอครับ”

    ตอบไม่ตรงคำถาม

    “เห็นกล้องก็รู้แล้วสินะ แต่ที่นี่ช่วงนี้นักข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำข่าวหรอก ฉันแค่มารอคนน่ะ”

    “ผมก็เหมือนกัน”

    แพนซี่ยกยิ้ม

    เพราะน้ำเสียงหรือเส้นผมสีเข้มแบบนั้นที่ทำให้เธอคิดถึงซาโตชิขึ้นมา ถ้าอีกฝ่ายโตขึ้นมาจนถึงตอนนี้ส่วนสูงก็คงประมาณนี้เหมือนกัน ถึงท่าทางที่หันไปกดโทรศัพท์ไม่สนใจคู่สนทนาจะไม่นับว่าเป็นมารยาทเท่าไหร่แต่แพนซี่ถือว่าเพราะเป็นเด็กแล้วกัน

    “รอด็อกเตอร์คนไหนล่ะ”

    “ด็อกเตอร์ราแวนด์”

    “...”

    “รู้จักเหรอครับ จริง ๆ ก็เหมือนว่าเขาจะดังอยู่มากเลยล่ะ”

    “ใช่ ดัง แต่ไม่ใช่เรื่องนั้นสิ!”

    แพนซี่อยากจะเข้าไปเขย่าคอเด็กคนนี้แรง ๆ แล้วถามว่าด็อกเตอร์คนนั้นชื่อราแวนด์จริง ๆ ชื่อคล้าย หรือแค่พูดผิดกันแน่ แต่ดูจากท่าทางก็ไม่ใช่ท่าทางของเด็กที่เที่ยวแกล้งคนไปทั่วเธอจึงนิ่งเงียบ

    ด็อกเตอร์ราแวนด์เป็นด็อกเตอร์ที่มีความสามารถขนาดที่ว่าลีกเคยเชิญเขาเข้ามาทำงานในโครงการภายใต้อำนาจกลาง แต่จู่ ๆ เพราะเหตุผลภายใน งานวิจัยก็ถูกยุบไปและด็อกเตอร์ราแวนด์ก็หายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ตลอดมา

    ข่าวใหญ่

    แพนซี่หันข้างไปหาเด็กหนุ่ม วางแขนข้างหนึ่งไว้บนที่พิงม้านั่ง

    “เธอเป็นผู้ช่วยนักวิจัยของด็อกเตอร์ราแวนด์สินะ”

    นิ้วมือที่กำลังกดแป้นพิมพ์นิ่งไปชั่วขณะคล้ายกำลังครุ่นคิด

    “เปล่าครับ ผมเป็นเด็กถือกระเป๋า”

    “อะไรล่ะนั่น”

    แพนซี่หัวเราะเบา ๆ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าถือขนาดเล็กบนตักของอีกฝ่าย ก่อนจะส่งเสียงถามอะไรออกไปก็มีประกาศออกมาผ่านทางลำโพงที่เหนือหัว เธอเงยหน้า เสียงนั้นได้ยินไม่ชัดมากนักเพราะเสียงตามสายที่ขาด ๆ หาย ๆ ซึ่งดูเหมือนลำโพงฝั่งนี้จะทำงานไม่ปกติ

    จับเค้าได้ว่ามีคนลืมของไว้ที่ประตูทางเหนือ

    “คุณแพนซี่”

    ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ละสายตาออกมา เด็กหนุ่มที่เคยนั่งบนม้านั่งก็ลุกขึ้น หันมาทางเธอ ตอนนั้นเธอถึงงุนงงและไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ฉุกคิดถึงความเหมือนที่มากเกินไประหว่างคนสองคนในความคิด ทั้งเส้นผมสีเข้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลสีน้ำตาลที่คุ้นเคย รอยที่ข้างแก้มฝาด หรือเพราะสมองเธอไม่เคยคิดในแง่บวกกับตัวเองเลยสักครั้งเลย

    แพนซี่เชื่อว่าไม่มีทางจะใช่เขา หรือเป็นเรื่องจริง

    “ซาโตชิคุง?”

    “ผมจะฝากกระเป๋าใบนี้ไปให้ด็อกเตอร์โอกิโดะ” ใบหน้าอ่อนเยาว์ทำหน้าเซ็งชั่วครู่ “ผมหมายถึง ให้ใครก็ได้ระหว่างคนใหม่กับคนเก่า”

    “เดี๋ยว เดี๋ยวนะ นี่เธอ”

    แพนซี่ลุกพรวดขึ้นจากม้านั่ง ใบหน้าสวยปรากฏรอยเหงื่อพราวตามโครงหน้า

    “จะรับฝากไหมครับ”

    “เธอหายไปนานมากเลยนะ หรือวันดีคืนดีเธออยากจะมานั่งข้าง ๆ ก็ทำเลยเหรอ ไม่สิ เดี๋ยวนะ”

    ซาโตชิเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ในมือยื่นกระเป๋าใบเล็กส่งมาให้อีกฝ่ายค้างเติงกลางอากาศ

    แพนซี่ปวดหัว เธอขมวดคิ้ว บีบขมับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือไปรับกระเป๋านั้นมาให้สมใจเด็กหนุ่มที่ปั่นหัวเธอเมื่อครู่จนไม่เหลือชิ้นดี มันเป็นกระเป๋าหนังธรรมดาที่หาซื้อได้ทั่วไปและของภายในก็เบามากจนแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของน้ำหนักเดิมของกระเป๋า

    “เธอพลาดงานแต่งฉันแล้วยังกล้าหลอกกันอีกนะ”

    แพนซี่ยังคงขมวดคิ้ว แต่น้ำเสียงและรอยยิ้มนั้นล้วนเปี่ยมไปด้วยความยินดี

    ซาโตชิยิ้ม

    “ผมหลอกคุณแพนซี่ตอนไหน”

    “โอ๊ย เจ้าเด็กนี่”

    แพนซี่โอดครวญ สิ้นคำจะว่าเจ้าเด็กคนนี้จริง ๆ เธอมองไปที่กระเป๋าในมือก่อนจะเอ่ยปากถาม

    “จะไปหาด็อกเตอร์โอกิโดะหน่อยไหม เขาก็เป็นห่วงเธอเหมือนกันนะ”

    ด็อกเตอร์โอกิโดะก็เป็นหนึ่งในคนที่เธอรู้ว่าเขาคอยเกื้อหนุนและดูแลซาโตชิเหมือนหลานชายอีกคนเลยก็ว่าได้ แต่ท่าทางของซาโตชิที่ได้ยินคำถามก็นิ่งเงียบไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากใบหน้าอ่อนเยาว์ทำให้เธอสงสัย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูไม่น่าจะใช่ปัญหาแท้ ๆ

    แพนซี่ประมวลผลคำพูดในหัวเพียงชั่วครู่เท่านั้น

    “ถ้าเธอ–”

    “ส่งให้ถึงมือของเขาทีครับ”

    ซาโตชิตัดประโยค นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองเธอด้วยท่าทางนิ่งงันเหมือนความเงียบที่เต็มไปด้วยความอึดอัดที่แพนซี่คุ้นเคย ในโลกของผู้ใหญ่เธอคิดว่าความอึดอัดแบบนี้มันน่ารังเกียจเมื่อเกิดมาจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น แต่เธอไม่ใช่ผู้ปกครองหรือพ่อแม่

    แพนซี่อาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวของซาโตชิมีความสัมพันธ์หรือรู้จักกับด็อกเตอร์ราแวนด์ได้ยังไง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมอีกฝ่ายถึงจงใจให้เธอเป็นคนที่เจอกับเขา บางทีเธออาจจะไม่รู้อะไรเลยก็ได้

    “คุณแพนซี่”

    ซาโตชิเอ่ยต่อ

    “มันนอกเหนือหน้าที่ของผมไปแล้ว แต่ว่าช่วยบอกกับด็อกเตอร์โอกิโดะ”

    ซาโตชิเงียบไปครู่นึงราวกับกำลังนึกสิ่งที่เหมาะสมมากที่สุด สูดลมหายใจช้า ๆ

    “ช่วยบอกให้เขาอยู่เฉย ๆ จนกว่าทุกอย่างจะเงียบลงด้วยเถอะครับ”

    แพนซี่ไม่เข้าใจว่าการอยู่เฉย ๆ ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงหมายถึงเรื่องอะไรกันแน่ สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกตัวคือการเก็บกระเป๋าใบนั้นไว้ที่เบาะด้านข้างคนขับ แพนซี่ยืนรออยู่ที่ตัวรถ ในมือของเธอถือโทรศัพท์บนหน้าจอปรากฏเป็นเบอร์ของหลานชายด็อกเตอร์โอกิโดะตามที่ได้ถูกไหว้วานเอาไว้

    และอีกอย่างคือการนำกระเป๋าใบนี้ส่งไปให้ถึงมือของด็อกเตอร์ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม

    “ผมขอโทษที่ไม่ได้พูดคำนี้ในวันพิเศษของคุณ แต่ยินดีกับการแต่งงานด้วยนะครับคุณแพนซี่”

     

    “กว่าจะมานะแชมป์”

    อัลลิซเอ่ยปากแขวะคนที่เปิดประตูรถออกเป็นคนสุดท้าย ซาโตชิไหวไหล่ขณะเขยิบตัวเข้าไปในด้านในโดยไม่คัดค้านเมื่อเห็นเด็กหนุ่มนักวิทยาศาสตร์เปลี่ยนที่นั่งมานั่งเบาะหลังด้วยกันกับเขา

    “ปกติเธอจะทำงานเร็วกว่านี้นี่นะ”

    เสียงของด็อกเตอร์ราแวนด์ดังมาจากด้านหน้า ตอนนี้ที่นั่งคนขับรถเต่าเก่าคร่ำครึเป็นหน้าที่ของคนที่เลือกรถมาเองกับมือ ด้านข้างคนขับที่เคยเป็นที่นั่งของอัลลิซบัดนี้คนเป็นพี่สาวอย่างลิลก็ครอบครองไปโดยปริยาย ไม่แปลกใจว่าทำไมสุดท้ายซาโตชิกับอัลลิซจะต้องมานั่งเบียดกันที่เบาะหลังอย่างจำยอม

    เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปดึงบานประตูรถให้ปิดลงก่อนจะตามมาด้วยเสียงสตาร์ทรถ

    “ฉันเป็นห่วงเธอแทบแย่ คิดไม่ตกเลยนะกับการที่ต้องให้พวกเธอแยกกันไปทำ”

    “ด็อกเตอร์เป็นคนสั่งเองนะคะ ไหนใครบอกว่าแค่มารับกันนะ”

    “ฉันเชื่อใจพวกเธอหรอกนะ”

    ราแวนด์พูดพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามประสาอย่างทุกครั้ง และพวกเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกเสียจากการถอนหายใจ

    ภายนอกของด็อกเตอร์ราแวนด์ที่คนอื่นมองเห็นเป็นยังไงพวกเขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อย แต่ลิลเคยพูดอยู่เสมอว่าลึก ๆ แล้วราแวนด์ก็เป็นคนที่จริงจัง ยุติธรรม ขณะเดียวกันเขาก็รักครอบครัวและเป็นคนอบอุ่นมากเช่นกัน แต่เชื่อเถอะว่าบางครั้งพวกเขาก็อ่านความคิดของเขาไม่ออกเลยจริง ๆ

    ลิลเปิดโน้ตบุ้กบนตัก กดปลายนิ้วลงกับแป้นพิมพ์คนเดียวเงียบ ๆ สักครู่ ดวงตาคู่สวยปราดมองข้อความสลับกับหน้าจอที่ขยับไปมาเหมือนภาพเคลื่อนไหว

    “เป็นยังไงบ้าง”

    ด็อกเตอร์ราแวนด์ถามขณะที่สายตาจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้า

    “หมายถึงเรื่องไหนเหรอคะ” ลิลถามขณะทำหน้านิ่งเรียบ อัลลิซไหวไหล่กับเหตุการณ์ตรงหน้าที่เริ่มปะทุเหมือนพ่อกับลูกสาวทะเลาะกันไม่มีผิด

    “เธอคงไม่ได้โกรธที่ฉันให้ซาโตชิออกไปข้างนอกเองหรอกนะ”

    คนอายุมากที่สุดเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งและใจเย็นในเวลาเดียวกันเหมือนกับกำลังคุยกับลูกสาวอยู่จริง ๆ ยังไงยังงั้น

    ท่าทางดังกล่าวทำให้เด็กสาวคนเดียวภายในทีมหันไปมองก่อนจะถอนหายใจ เธอหันกลับมาที่หน้าจอต่อแล้วพิมพ์หาบางอย่างภายในแหล่งหาข้อมูล ราแวนด์ชำเลืองมอง เขาเข้าใจว่าเด็กคนนี้นิสัยเป็นอย่างไรและเธอมีเหตุผลเสมอในการจัดการปัญหาหรืออารมณ์

    หน้าที่ของราแวนด์คือไม่เซ้าซี้จนทำลายความเชื่อใจเด็กของตัวเอง

    “เปล่าค่ะ ลิลเข้าใจ การที่จะทำให้จับหางพวกนั้นให้ได้ง่ายก็ต้องให้ซาโตชิออกไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปกับนักข่าวแพนซี่”

    อัลลิซยืดตัว

    “นี่คุณให้ซาโตชิไปเจอนักข่าวคนนั้นเหรอครับ”

    ด็อกเตอร์ราแวนด์นึกขบขัน เด็กพวกนี้จะอายุบรรลุนิติภาวะอยู่รอมร่อแต่ยังมีบางส่วนที่คล้ายกับเด็กไม่มีผิด ครั้นเขามองไปยังกระจกที่สะท้อนไปยังเบาะหลังเป้าสนทนาคนที่ว่าก็หลับไปเรียบร้อยเสียแล้ว

    “เชื่อเถอะว่าเขาทำได้ ซาโตชิไม่ได้ใจอ่อนขนาดทำให้ทุกอย่างพังเพราะเรื่องง่าย ๆ หรอก”

    ราแวนด์กระซิบ

    เพราะเชื่อสุดหัวใจมากกว่าใคร ๆ

    ราแวนด์รู้ว่าแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่การค้ำจุนหัวใจให้ก้าวเดินต่อไปได้ของเด็กคนนั้นหมายถึงอะไรหรือสิ่งไหน ราแวนด์จึงเชื่อด้วยทั้งหัวใจที่มีทั้งหมด

    ลิลกับอัลลิซนิ่งเงียบฟังก่อนที่สองพี่น้องจะถอนหายใจด้วยความจำยอมในความมั่นใจบางอย่างในสายตามุ่งมั่นของด็อกเตอร์ราแวนด์ พวกเขารู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ต่อให้พูดอะไรออกไปก็ไม่เข้าหูหรือไม่สามารถเปลี่ยนผู้ใหญ่คนนี้ได้แต่ในขณะเดียวกันเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงนับถือและเชื่อใจมากกว่าใคร ๆ

    ลิลพับโน้ตบุ้กลงไปดังเดิม เธอเท้าคางมองไปยังถนนเบื้องหน้า อัลลิซหยิบโดนัทขึ้นมาเงียบ ๆ ก่อนจะนำเข้าปาก

    “แต่ถ้าเรื่องที่คุณถามว่าเป็นยังไงบ้างหมายถึงเรื่องนั้นด้วยหรือเปล่าครับ มันต้องเริ่มเคลื่อนไหวเร็ว ๆ นี้แน่” เสียงของเด็กหนุ่มอู้อี้เต็มไปด้วยขนมโดนัทในปาก แม้จะถูกคนเป็นพี่สาวปรามว่าให้เคี้ยวก่อนพูดก็ตาม

    อัลลิซเลียน้ำตาลที่ปลายนิ้ว

    ปกติเจ้าตัวไม่ค่อยเปิดหัวข้อบทสนทนาหรือชอบเป็นคนที่ต้องเริ่มพูดเท่าไหร่นัก เพราะเรื่องเดียวที่จะทำให้อัลลิซคล้อยตามได้ก็มีแค่ไม่กี่เรื่อง หรือเจ้าตัวก็แค่ขี้เกียจมากเกินไปเท่านั้นเอง

    นัยน์ตาสีชาดภายใต้เลนส์แว่นเฉื่อยชาเหมือนท่าทางปกติของเจ้าไม่มีผิด

    “สัญชาตญาณเหรอ” ราแวนด์ถาม

    “ด็อกเตอร์คิดว่าใครที่มีพรสวรรค์แล้วก็สันนิษฐานได้อย่างแม่นยำมาตลอดกันครับ” อัลลิซอวดอ้างด้วยความถือตัวอยู่ลึก ๆ

    “ไม่นานจะต้องมีประกาศขึ้นมาแน่ ๆ งานแข่งเพื่อหาแชมป์เปี้ยนที่แข็งแกร่งที่สุด”

     

    “กลับมาแล้วครับปู่”

    “ยินดีต้อนรับกลับชิเงรุ อ้าว คุณแพนซี่ ขอบคุณมากเลย”

    ชิเงรุมองปู่ของตนที่เดินออกมารับ มองอีกฝ่ายที่เดินมาตบบ่าแล้วหันไปทักทายนักข่าวสาว

    ด็อกเตอร์โอกิโดะที่ใครต่างรู้จักตอนนี้แก่ตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะมีความกระตือรือร้นไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่ด้วยร่างกายที่เดินทางผ่านเวลามาอย่างยาวนานทำให้สุขภาพเริ่มแย่ลงจนไม่สามารถทำงานได้อย่างที่ใจต้องการอีกแล้ว ตำแหน่งด็อกเตอร์โอกิโดะจึงตกมาที่ชิเงรุอย่างช่วยไม่ได้

    ชิเงรุเดินมาที่โต๊ะกลาง แก้วกาแฟใบประจำของเขาเติมกาแฟยี่ห้อโปรดเอาไว้จนเต็ม ควันสีอ่อนลอยเหนือตัวแก้วแสดงให้เห็นว่าพึ่งจะถูกชงรอเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้นี่เอง

    “ดีใจที่เห็นด็อกเตอร์สุขภาพแข็งแรงนะคะ”

    แพนซี่ยิ้มก่อนจะยื่นกระเป๋าใบเล็กมาตรงหน้าปู่โอกิโดะ ชิเงรุเลิกคิ้วช้า ๆ เมื่อเห็นท่าทางดังกล่าว เดิมทีเขาเห็นกระเป๋าใบนั้นบนเบาะรถข้างคนขับ มันเป็นกระเป๋าหนังที่หาซื้อได้ทั่วไปจนชินตาแถมยังดูมีของข้างในไม่มาก เขาจึงคิดว่าอาจจะเป็นพวกเครื่องสำอางหรือใส่พวกครีมกันแดดอะไรจำพวกนั้นมากกว่า

    แต่ท่าทางของแพนซี่ทำให้เขารู้ว่าตัวเองคิดผิด

    “นี่คือ?”

    “ฉันไปเจอซาโตชิมาค่ะ เขาฝากมาให้พวกคุณ ให้บนรถคงจะไม่ดีเท่าไหร่เลยคิดว่าเอามาให้ด้วยตัวเองดีกว่าน่ะค่ะ”

    “ครับ?”

    ชิเงรุส่งเสียงออกมา

    “ตอนไหนที่คุณ”

    “ตอนรออยู่ที่ห้องโถงค่ะ”

    แพนซี่ตอบอย่างรวดเร็ว เธอไม่มีเจตนาจะโกหกหรือปิดบังอะไรใด ๆ ในน้ำเสียงหรือสายตา

    ด็อกเตอร์โอกิโดะมีท่าทางตกใจไม่ต่างกันแต่ก็เก็บอาการได้เป็นอย่างดีก่อนจะหันมามองหลานชายที่ทำตัวไม่ถูก เพราะเป็นเพื่อนสมัยเด็กแล้วก็เป็นคู่แข่งทั้งเป็นเพื่อนในเวลาเดียวกัน คงจะทำให้หวั่นวิตกได้ไม่น้อย

    ชิเงรุกระดกแก้วกาแฟรวดเร็วแล้วหันมาหาแพนซี่

    “ผมขอดูหน่อยครับ”

    ทั้งสามคนเดินไปที่โต๊ะกลาง แพนซี่เป็นคนที่วางกระเป๋าลงอย่างเบามือ ถึงแม้ตัวกระเป๋าจะเบามากเมื่อเทียบกับของด้านในแต่เธอก็พยายามเต็มที่ที่จะไม่ทำมันเสียหายไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม ส่วนชิเงรุเป็นคนที่หยิบกระเป๋าขึ้นมาต่อแล้วรูดซิปกระเป๋าออกเพื่อเช็กของด้านใน

    นัยน์ตาสีเขียวหรี่ลง พิจารณาก่อนจะเอ่ยปากเรียก

    “ปู่ครับ มาดูนี่หน่อย”

    ด็อกเตอร์โอกิโดะเดินเข้าไปหาหลานชาย แต่ดูท่าจะไม่ดีเท่าไหร่ ชิเงรุเห็นดังนั้นจึงหยิบของด้านในออกมาวางไว้บนโต๊ะให้สังเกตได้โดยง่าย

    “คีย์การ์ด"

    “คุณแพนซี่เคยเห็นเหรอครับ”

    ด็อกเตอร์โอกิโดะถาม

    “เปล่าค่ะ แต่มันก็..” แพนซี่จับคางคล้ายกับครุ่นคิด ใบหน้าสวยติดฉงนก่อนที่เธอจะไหวไหล่และส่ายหน้าปฏิเสธ

    คีย์การ์ดสีขาวสะอาดเหลือบทอง มันไม่มีตัวอักษรอื่นใดนอกจากตัวอักษรสีดำยึกยือจากลายมือคนเขียนบนคีย์การ์ดด้านหลังว่า FREE ข้างกันกับคีย์การ์ดเป็นแฟรชไดร์ฟสีดำอันใหม่เอี่ยมที่ไม่มีอะไรเขียนกำกับ ถ้าเอาตามความรู้สึกโดยตรงชิเงรุไม่อยากจะเสียบมันกับคอมของตัวเองเท่าไหร่ ถ้าหากว่ามันเป็นไวรัสของใครบางคนที่ต้องการหรือมีจุดประสงค์คลุมเครือ

    ชิเงรุเหลือบมองแพนซี่

    แต่เธอดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่โกหก

    ถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องเป็นที่คนที่เอาของมาให้

    ซาโตชิ

    “หมอนั่นสบายดีไหมครับ”

    แพนซี่สะดุ้ง มองไปยังเด็กหนุ่มที่ได้ขึ้นชื่อว่าเพื่อนสนิทสมัยเด็กของซาโตชิ เธอถอนหายใจ

    “สบายดีค่ะ”

    “งั้นเรามาดูแฟรชไดร์ฟนี่กันเถอะครับ” ชิเงรุควงแฟรชไดร์ฟที่ว่าขึ้นมาอย่างมั่นใจ

    ด็อกเตอร์โอกิโดะที่หายไปจากบริเวณโต๊ะเมื่อไหร่ไม่รู้กลับมาพร้อมกับโน้ตบุ้กขนาดพกพา เขาวางมันไว้บนโต๊ะราวกับรู้ใจหลานชายว่ายังไงก็ต้องเปิดแฟรชไดร์ฟขึ้นมาอย่างแน่นอน ซึ่งชิเงรุทำเป็นไม่สนใจรอยยิ้มกริ่มภาคภูมิใจในตัวหลานชายราวกับเขาเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ เหมือนแต่ก่อน ในสายตาปู่เขาก็ดูเป็นเด็กไปเสียทุกอย่าง

    “ถ้าเป็นไวรัสขึ้นมาล่ะก็” ชิเงรุพึมพำขณะเสียบแฟรชไดร์ฟลงกับตัวเครื่อง “ฉันจะหานายแล้วไปต่อยหน้าซะ”

    ดูเหมือนจะไม่เป็นดั่งหวังเมื่อด้านในตัวเก็บข้อมูลเป็นคลิปวิดิโอเกือบ 20 คลิป หรือจะมากกว่าด้วยซ้ำ

    เมื่อเปิดคลิปจะเป็นคลิปเกี่ยวกับเรื่องโปเกม่อนที่กำลังอาละวาดอยู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งคลิปจากข่าวที่ถูกสั่งจากภายในที่ถูกลบออกไปแล้ว คลิปจากกล้องวงจรปิด คลิปที่ประชาชนบริเวณใกล้เคียงเป็นคนบันทึกเอาไว้ ทั้งจากที่เดียวกันแต่คนละมุมหรือคนละเวลาก็ตาม

    “นี่เป็นคลิปที่เกิดขึ้นในคาลอส” ชิเงรุชี้ไปที่หน้าปกคลิปขวาสุดก่อนจะกดเข้าไปดู ซึ่งเป็นเรื่องจริงและแพนซี่จำสถานที่ได้แม่นทีเดียว

    “เธอรู้ด้วยเหรอ”

    ด็อกเตอร์โอกิโดะมองผ่านด้านหลังของหลานชาย เมื่อเห็นคลิปเขาก็ทำชวนหวาดเสียวขึ้นมาทันตา มันเป็นเหตุการณ์ที่ถูกกำชับอย่างถูกต้องแล้วที่ห้ามเผยแพร่ภาพไปสู่สาธารณะ

    “เป็นคลิปที่เคยเห็นน่ะครับ”

    ชิเงรุนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

    “ด็อกเตอร์ราแวนด์เปิดในห้องประชุม”

    “เขาเข้าร่วมการประชุมด้วยเหรอ?”

    คำตอบของชายชราถูกตอบด้วยการสั่นหัวยอมรับอย่างตรงไปตรงมาของชิเงรุ

    ท่าทางของแพนซี่เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินข่าวใหม่อย่างการที่คลิปในแฟรชไดร์ฟนี้เคยถูกเปิดในการประชุม ในขณะเดียวกันที่ชิเงรุพบกับด็อกเตอร์ราแวนด์ ตัวเธอเองก็พบกับซาโตชิโดยได้รับฝากเอามาให้ด็อกเตอร์โอกิโดะ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไปหน้าค้นหาสักครู่ท่ามกลางความสงสัยของด็อกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญทั้งสอง

    “ฉันเจอซาโตชิเพราะเขาบอกว่ามารอด็อกเตอร์ราแวนด์ค่ะ คิดว่าต้องมีอะไรที่เชื่อมถึงกันแน่นอน”

    ด็อกเตอร์โอกิโดะจับคางคล้ายกับครุ่นคิด

    ชิเงรุมองท่าทางกระสับกระส่ายของปู่ตนแต่ก็ทำเพียงหรี่ตามองด้วยความสงสัย ราแวนด์เป็นด็อกเตอร์ที่มีช่วงระยะการทำงานใกล้เคียงในยุคของด็อกเตอร์โอกิโดะที่ใคร ๆ ต่างก็เริ่มรู้จักมากขึ้น จึงน่าจะพอรู้จักกันหรืออาจจะเคยติดต่อกันมาด้วยซ้ำไป

    “งั้น FREE บนคีย์การ์ดคงเป็นที่นี่แหละค่ะ”

    แพนซี่วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะให้คนที่เหลือสามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น บนหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏเป็นตำแหน่งหมู่เกาะขนาดย่อยทางตะวันออกของภูมิภาคโฮเอ็น มันแทบจะอยู่แถบระหว่างเส้นกึ่งภูมิภาคและห่างไกลจากชายฝั่งความเจริญพอควร

    “เขากำลังเชิญเราไปที่ฟรีไอน์แลนด์” ชิเงรุสรุป

    แพนซี่มองหน้าจอที่กำลังฉายคลิปก่อนจะเม้มปาก

    “แต่ว่าความต้องการของซาโตชิคุงอาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้นะคะ”

    “หมายความว่ายังไงครับ?”

    แพนซี่ยังจำคำพูดของซาโตชิได้แม่น ถึงแม้จะไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของการเชื้อเชิญที่แสนตรงไปตรงมาเช่นนี้แต่กลับเอ่ยปากขอร้องไม่ให้มาข้องเกี่ยวด้วย บางทีของมันอาจจะเกี่ยวข้องไปถึงปรากฏการณ์ที่ทำให้ทั้งทวีปสั่นสะท้านนี่ก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะสอดมือเข้าไปร่วมด้วย

    “ขอร้องให้อยู่เฉย ๆ จนกว่าเรื่องจะจบลง”

    ชิเงรุเงียบ

    เขารู้ว่านั่นต้องเป็นคำพูดที่เพื่อนเก่าฝากเอาไว้

    “ด็อกเตอร์ราแวนด์เป็นคนดีและตรงไปตรงมามากเลยล่ะ”

    เสียงของชายชราทำให้ทั้งสองคนเงียบ หันไปมองด็อกเตอร์โอกิโดะที่กำลังหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาพลิกไปพลิกมาราวกับพินิจ คีย์การ์ดสีสะอาดสะท้อนเล่นกับแสงไฟแต่จุดจับสายตาของด็อกเตอร์โอกิโดะกลับห่างไกลออกไปเหมือนกับนึกหวนถึงอดีตที่ชิเงรุชอบเห็นบ่อย ๆ

    “ปกติราแวนด์จะเข้ามาคุยด้วยความสุภาพ เป็นผู้ชายที่สุขุม เป็นผู้นำที่ดีพอจะยินดีรับฟังข้อโต้แย้งของทุกคนเสมอ ผู้ชายที่เถรตรงแบบนั้นไม่เคยทำอะไรยุ่งยากแบบนี้เลยสักครั้ง”

    “งั้นครั้งนี้เขาคงทำเรื่องยุ่งยากเป็นแล้วล่ะปู่”

    ชิเงรุขัดช่วงเวลานึกถึงเรื่องเก่าของปู่ตัวเองทันที เขาอาจจะไม่รู้จักด็อกเตอร์ราแวนด์อะไรนั่นมากพอ แต่ชิเงรุรู้จักซาโตชิมากพอกับที่หมอนั่นรู้จักเขาเช่นกัน

    การห้ามไม่ให้ยุ่งก็คือการเตรียมตัวรับผลที่จะตามมา เพราะยังไงคนอย่าง โอกิโดะ ชิเงรุ ก็ไม่มีทางถอย

    “ถ้าอยากรู้ว่าทำไมคงต้องไปถามกับเจ้าตัว”

    ชิเงรุพูดขณะเดินไปยังเก้าอี้ที่ตนพาดเสื้อทิ้งเอาไว้

    เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากระเป๋าเสื้อเลื่อนหน้าจอท่ามกลางสายตาสองคู่ที่จับจ้องมาด้วยความสงสัย ก่อนที่ชิเงรุจะยกยิ้มพอใจเมื่อเอาโทรศัพท์แนบลงที่ข้างหู ปลายสายคงเป็นใครที่ทำให้ด็อกเตอร์ไฟแรงคนนี้อารมณ์ดีได้ในพริบตา

    นัยน์ตาสีเขียวหันมาสบกับนักข่าวสาวสลับกับชายชราผู้มีศักดิ์เป็นปู่ที่เคารพรัก

    “ผมจะหาเพื่อนไปที่ฟรีไอน์แลนด์ เราจะไปหาความจริงด้วยกัน หรือถ้าหาก..”

     

    “ถ้าหมอนั่นอยู่ที่เกาะนั่นก็จะได้ลากคอกลับบ้านมาด้วยกันสักที”

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×