ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันราตรี ONE THOUSAND NIGHTS

    ลำดับตอนที่ #9 : ผู้ปกครอง

    • อัปเดตล่าสุด 12 ส.ค. 67


     กระนั้นเพื่อรักษาภาพลักษณ์อันสูงส่งเลอค่าของตนเองไว้ นักบวชอาวุโสจึงเก็บงำคำผรุสวาทเหล่านั้นกลับลงจิตใจไป อัลฟองโซ่ตอบรับต่อคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มก่อนเอ่ยออกมาว่า

    “เจ้าเด็กที่ไม่รู้จักสัมมาคารวะนี่มาจากที่ใดกันหรือ”

    ประโยคคำถามนั้นส่งให้นักบวชทั้งหลายชะงักงันไป โดยเฉพาะอาเบลที่ลอบจ้องหน้ากับสหาย ด้วยรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเด็กชายเรือผมสีเข้มนั้นเป็นผู้ใด ผู้เดียวที่ไม่ใส่ใจการต่อว่าต่อขานอย่างซึ่งหน้านั้นมีเพียงริเชล เด็กชายที่นั่งอยู่กับโต๊ะ เท้าคางด้วยรอยยิ้ม

    “ป๊ะป๋าของข้าบอกว่า การมีมารยาทดีคือต้องตอบคำถามของผู้อื่นก่อนถามคำถามกลับ บ้านของท่านมิได้สั่งสอนกันมาแบบนี้หรอกหรือ”

    คราวนี้คาร์ลเป็นฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นบ้าง ด้วยสงสัยในสรรพนามอันแปลกประหลาดที่ริเชลใช้เรียก แต่ดูจะไม่ใส่ใจต่อวาจาอันเผ็ดร้อนของอีกฝ่ายเลย เขายังคงนั่งฟังต่อไปด้วยท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อน

    อัลฟองโซ่ที่ถูกด่าทอกลาย ๆ ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนหน้าแดงก่ำ กระนั้นเขาก็ยังรู้จักสำรวมมารยาทในฐานะของผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่ฝ่ายที่อดรนทนไม่ได้เลยกลับเป็นอิลยา ทันทีที่ริเชลกล่าวประโยคนั้นจบ เขาที่มีฐานะเป็นหลานก็ถลันกายขึ้นจากเก้าอี้ แล้วชี้หน้าไปทางริเชลด้วยสีหน้าแดงจัดจนถึงไรผม

    “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาด่าทอท่านปู่ท่านย่าของข้า!”

    เพราะอัลฟองโซ่นั้นมีฐานะเป็นน้าของตน ก็เท่ากับว่าผู้ที่อีกฝ่ายต่อว่านั้นก็หรือผู้หลักผู้ใหญ่ของตนเองด้วย ริเชลยักไหล่ด้วยท่าทีไม่ยี่หระ

    “ข้ามิได้ด่าทอพวกเจ้าสักคนหนึ่ง ข้าก็แค่ตั้งคำถาม การตั้งคำถามในสิ่งที่ตนเองไม่รู้มันผิดนักหรือ” เด็กชายยังคงรักษาใบหน้าแสนซื่อของตนเองไว้ และยังกล่าวต่ออีกว่า “ป๊ะป๋าข้ายังสอนมาอีกด้วยว่า หากกล่าวสิ่งใดออกไปแล้ว แล้วอีกฝ่ายเป็นเดือดเป็นร้อน แสดงว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามนั่นเองที่มีเจตนาชั่วช้า” เขาเอ่ยถ้อยคำดังกล่าวคล่องเป็นต่อยหอย แล้วหันไปทางอัลฟองโซ่ที่ยังรักษามาดเอาไว้อยู่ “เช่นนั้นการที่พวกเจ้ารู้สึกว่าข้าพูดจาไม่ดีใส่ ก็แปลได้ว่าพวกเจ้ามีเจตนาด่าทอบุพการีของตนเองอย่างงั้นสิ ใช่หรือไม่”

    ประโยคสุดท้ายเขาหันไปหาคาร์ลที่ยังคงนั่งยิ้มอยู่ เด็กชายที่มีเรือนผมสีอ่อนไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วเบือนหน้าไปยังทิศทางอื่นอย่างสง่างาม เช่นเดียวกับนักบวชรายอื่นที่พยายามควบคุมอาการหัวร่อไว้อย่างแนบเนียน กระนั้นก็ยังมีเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาอย่างบางเบา ราวกับเทียนที่ยังดับไม่สนิท

    แกนน่อนกระแอมไอเพื่อเป็นสัญญาณให้ยุติการตอบโต้ด้วยวาจา กระนั้นมือที่จับเอกสารไว้ก็ยังสั่นไหวเล็กน้อย

    “กฎของวิหาร ห้ามนักบวชระดับล่าง นักบวชฝึกหัด หรือผู้เข้าทดสอบโต้เถียงด้วยวาจาหรือการกระทำ ข้าจะถือเสียว่าหูหนวกไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเพื่อมิให้เสียเวลา ข้าจะขอทำการสนทนาซักถามต่อได้หรือไม่ ท่านอัลฟองโซ่” นักบวชอาวุโสที่อายุมากกว่าหันไปถามกับผู้ที่ซึ่งเยาว์วัยกว่า และไม่ลังเลเลยที่จะสอดแทรกคำเหน็บแนมลงไปอย่างพอประมาณ

    ทายาทขุนนางชักสีหน้าเล็กน้อย กระนั้นเขาก็มีมารยาทเกินกว่าจะโต้เถียงอย่างเหล่าเด็กชาย นักบวชเลือกที่จะผงกศีรษะ แต่ลงสายตาคาดโทษไปยังริเชล อัลฟองโซ่ยังมิได้คำตอบว่าเด็กชายรายนี้เป็นผู้ใด แกนน่อนกลับไปให้ความสนใจกับการสอบสวน หลังวีลิสได้ให้การแล้ว ก็ถึงตาเด็กชายรายอื่น ๆ

    แต่เมื่อได้คำให้การของวีลิสเป็นเหมือนตัวนำทาง การให้การที่ไม่ใคร่จะตรงกันเมื่อวันก่อน ก็กลับมาเป็นเรื่องราวที่ไปในทางเดียวกันเสียหมด อีกทั้งสายเลือดขุนนางเหล่านี้ก็ได้รับการสอนสั่งเรื่องการเจรจามาระดับหนึ่ง ทำให้วาจาที่เอ่ยนั้นฉะฉานและชัดเจนราวกับเป็นเรื่องจริง เมื่อการสอบสวนดำเนินมาถึงทายาทขุนนางรายสุดท้าย นักบวชที่ไม่ทราบเรื่องราวกว่าหนึ่งในสามก็เริ่มหลงเชื่อในคารมคมคาย อาจคิดได้ว่าไม่ร้ายแรงเท่าเรื่องที่ถูกเล่าออกมาจากปาก แต่เชื่อไปแล้วว่าเด็กชายผมสีน้ำเงินเป็นผู้ก่อเรื่องก่อน ซึ่งออกจะเห็นได้ชัดเจนทีเดียวเชียวเมื่อดูจากที่ปากคอเราะราย

    อัลฟองโซ่หัวเราะหึหึในลำคอเมื่อรู้สึกถึงทิศทางของบรรยากาศที่แปรเปลี่ยนไป อาจไม่มีใครเชื่อว่าเจ้าเด็กชั้นต่ำรายนั้นจะเป็นผู้ลงมือ แต่สำหรับเด็กชายอีกคนที่ทโมนกว่าและมีปากเสียงมากกว่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    ผู้คุ้มกฎหรี่ตาลงอย่างไม่ชอบใจเล็กน้อย แล้วเรียกริเชลเป็นลำดับถัดมา

    “ริคาโด”

    “....อ้อ ครับ” เจ้าของนามถูกคาร์ลกระทุ้งข้อศอกใส่ ก่อนยืนขั้นเพื่อขานรับ

    ฮัมฟรีดถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามต่อ “เจ้าพอจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้หรือไม่”

    ริเชลกล่าวตอบอย่างฉะฉาน “ได้แน่นอน..ครับ” ก่อนเสริมอีกว่า “ข้าต้องเล่าเรื่องละเอียดประมาณไหน...ครับ”

    ทุกครั้งที่เขาจะจบประโยคโดยไม่มีคำลงท้าย ก็จะถูกคาร์ลที่นั่งอยู่ด้านข้างใช้นิ้วหยิกเนื้อตรงเอวเบา ๆ

    แกนน่อนเป็นฝ่ายเอ่ยตอบ “เท่าที่เจ้าจำได้”

    “เท่าที่ข้าจำได้...” เด็กชายเอ่ยทวน ก่อนกลอกตามองบน ราวกับว่าเขาจดจำรายละเอียดใด ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่ได้เสียแล้ว กลุ่มของอิลยาลอบหัวร่ออยู่ในลำคอ วีลิสถึงขั้นสำลักเสียงหัวเราะจนกระแอมไอออกมา แม้อีกฝ่ายจะมีฝีปากที่เป็นเลิศก็จริงอยู่ แต่ดูเหมือนสมองจะมิได้พัฒนาการตามฝีปาก

    ริเชลฉีกยิ้มยิงฟันออกมา “เท่าที่ข้าจำได้สินะ”

    เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น นักบวชอาวุโสอย่างแกนน่อนก็พลันหนักใจขึ้นมา แต่น่าแปลกที่ว่า บนใบหน้าของคาร์ลกลับไม่มีความกังวลอยู่เลยแม้แต่น้อย เขาทำเพียงเงยหน้ามองเพื่อนร่วมห้องก่อนก้มหน้าลงเพื่อเปิดหนังสือกฎประจำอัครมหาวิหาร ราวกับว่าช่วงเวลาที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ต้องอาศัยหนังสือฆ่าเวลากันเลยทีเดียว หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งนาที ทั้งแกนน่อน ฮัมฟรีด คณะนักบวช และแม้แต่อัลฟองโซ่ ก็ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตะลึงงัน

     

    sds

    “ตอนเที่ยงวันข้าเดินออกห่างจากห้องไปประมาณสองร้อยก้าว โดยมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ ตอนนั้นในตลาดที่ผู้คนเดินขวักไขว่อยู่ราว ๆ แปดสิบถึงหนึ่งร้อยคน มีคนในพื้นถิ่นประมาณสองในสาม ที่เหลือน่าจะเดินทางข้ามหาสมุทรมาด้วยเรือ ตอนที่พวกข้าหยุดยืนอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้ายก่อนที่จะออกจากอาณาเขตของวิหาร อิลยาก็ได้เดินมาชนไหล่คาร์ลตอนที่ลมตะวันตกพัดผ่านมาพอดิบพอดี ตอนนั้นมีชายที่เดินขายแผ่นหนังสัตว์ และหญิงชราที่ออกมาซื้อของกินให้แก่หลานชายเห็นเข้า ตัวผู้ชายสูงราว ๆ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร มีผิวดำคล้ำแบบคนตากแดดเป็นประจำ ไว้หนวดเคราเตียนสั้น น้ำหนักประมาณแปดสิบกิโลกรัม และมีแผลเป็นที่นิ้วก้อย ส่วนนิ้วหัวแม่เท้าข้างขวาหายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนแม่เฒ่านั้นสูงเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดเซนติเมตร น้ำหนักอยู่ราว ๆ หกสิบกิโลกรัม นางสวมเสื้อผ้าป่านสีขาวมีลายสีน้ำเงินจากการย้อมพาดตรงกลางและขอบแขนเสื้อ นางติดเดินโดยชอบถ่ายน้ำหนักไปที่ขาขวา เพราะสะโพกด้านซ้ายมีปัญหาทำให้พื้นรองเท้าด้านซ้ายสึกกว่าด้านขวาอย่างเห็นได้ชัด หากข้าฟังไม่ผิด นางชื่อแมรี่ มีลูกชายทำงานเป็นทหารตรวจการณ์ และมีบ้านพักอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง...”

    และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ริเชลไม่เพียงจะเป็นผู้มีฝีปากแกว่งหาเท้าชั้นเลิศ แต่ยังมีความสามารถในการจดจำรายละเอียดรอบตัวได้เป็นอย่างดี และแสดงให้เห็นได้ชัดผ่านการเล่าเหตุการณ์ในตลาด เขาไม่เพียงจดจำได้ว่าพบใครบ้าง แต่ล่วงรู้ว่าบุคคลนั้นมาจากที่ใด กำลังจะไปที่ใด เป็นคนท้องถิ่นหรือต่างถิ่น รู้แม้กระทั่งว่าทำอาชีพอะไร หรือในเช้าวันนั้นทะเลาะกับใครมา และรู้แม้กระทั่งว่าพวกเขามีชื่อเสียงเรียงนามอะไร

    ไม่ใช่แค่อิลยาและกลุ่มเด็กชายเท่านั้นที่อ้าปากค้าง อัลฟองโซ่เองก็มีสภาพไม่ต่างกัน เขาสามารถแย้งได้ว่าสิ่งที่เด็กชายเอ่ยออกมานั้นมีแต่เรื่องเหลวไหล เป็นเพียงการโกหกพกลมขึ้นมา หรือเป็นการปั้นน้ำเป็นตัวก็ว่าได้ แต่ริเชลไม่ได้เปิดช่องว่างเหล่านั้น

    เด็กชายลงได้เปิดปากสาธยายก็ไม่ต่างจากน้ำที่ไหลบ่าลงจากหุบเขาในหน้าฝน ไม่ว่าอัลฟองโซ่จะกระแอมไอสักเท่าไร หรือฮัมฟรีดจะพยายามขัดจังหวะแค่ไหน ริเชลก็ไม่เว้นจังหวะเลยสักครั้งหนึ่ง เขายังเล่าสิ่งที่ตนเห็นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเด็กชายในเสื้อมอซอที่ถือสิ่งที่หน้าตาเหมือนขนม แต่ต้องเสียของในมือไปเพราะถูกเด็กชายที่มีใบหน้าทรงสามเหลี่ยมล้มใส่ตอนที่เขาเตะตัดขา หรือเรื่องว่าที่หญิงรายหนึ่งที่มีลูกมาแล้วสองคนต้องถูกทำให้กระโปรงขาดจากฝีมือของเด็กชายที่มีส่วนสูงกว่าอิลยา แต่ผอมแห้งกว่าถึงสองเท่าเหยียบเข้า

    เหล่าคณะนักบวชที่อ้าปากค้างเริ่มติดตามการเล่าอย่างเรื่อยเปื่อยนั้นไป พวกเขาเองก็เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในเอสลีเซียมาหลายปี มีนับครั้งไม่ถ้วนที่เคยเดินตลาดซื้อของในวันหยุด ยิ่งได้ฟัง และยิ่งนึกภาพตาม พวกเขาก็เริ่มรู้แล้วว่าใครเป็นใคร เด็กชายที่สวมซื้อมอซอรายนั้นคือหลานของป้าที่ขายเบียร์ตรงตรอกไม้มะฮอกกานี หญิงสาวที่กระโปรงขาดคือผู้ช่วยช่างตัดเสื้อในร้านขายเสื้อของชาวต่างถิ่นที่อยู่ห่างออกไปสองช่วงถนน นี่ไม่ใช่การพูดขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย แต่ริเชลได้จดจำบุคคลเหล่านั้นมาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นหลังเวลาผ่านไปนานเกินกว่ายี่สิบนาที นักบวชทั่วทั้งห้องก็ต่างเชื่อในเหตุการณ์ฝั่งของริเชล

    อาเบลที่เคยปรามาสเด็กชายเอาไว้ได้แต่ยืนตะลึงงัน ก่อนร้องขอเหล่าทวยเทพให้อภัยต่อความเขลาเบาปัญญาของตน ที่มีตาหามีแววไม่ ไม่ว่าจะดูอย่างไร เด็กชายที่มีนัยน์ตาสีม่วงนี้ก็เหมาะสมและคู่ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นบุตรชายบุญธรรมของท่านอลิสเซียน่า

    “แล้วเจ—เอ้ย ท่าน! ก็พาพวกเขาไปก่อนที่พระอาทิตย์จะตกราว ๆ ห้าชั่วโมงกับอีกสิบสองนาที ก่อนจะสั่งให้พวกข้าพาอลันไปห้องพยาบาล ตอนนั้นมีคนได้ยินประโยคเดียวกันนี้ประมาณยี่สิบสามคนโดยที่ไม่รวม ข้า อลัน คาร์ล ทหารตรวจการณ์ทั้งสิบนาย และพวกนั้น”

    ริเชลชี้นิ้วไปยังกลุ่มของอิลยาที่นั่งอยู่ในที่ของตน ไม่มีใครเลยที่ไม่มีสีหน้าตระหนกตกใจ และไม่มีใครเลยที่มีสีหน้าโกรธแค้นเท่าอิลยา

    เมื่อเห็นว่าเด็กชายเว้นจังหวะเสียทีฮัมฟรีดก็รีบขัดจังหวะ “ข้าทราบเหตุการณ์ในส่วนนั้นแล้ว...” ผู้คุ้มกฎนิ่งหาคำอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามออกไป “...เจ้าจำทุกอย่างได้จริง ๆ น่ะหรือ”

    ริเชลสั่นหน้าปฏิเสธ “ก็ไม่ทั้งหมดหรอก...ครับ” เขานิ่วหน้าอีก คาร์ลปิดหนังสือแล้ว และกลับมารับบทผู้คุมมารยาทต่อ “มีบางคนที่ข้าจำหน้าจำชื่อไม่ได้ แต่ก็พอจะจำลักษณะท่าทางได้อยู่หรอก แต่พวกเขาไม่ได้เป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ระยะประชิดนะ พวกเขายืนอยู่ห่างออกไปราว ๆ ห้าเมตรแต่ก็น่าจะได้ยินทุกอย่าง เจ—ท่านอยากให้ข้าอธิบายรูปร่างหน้าตาด้วยหรือไหมเล่า”

    “ไม่ต้อง!” แกนน่อนตะโกนขึ้นมาในทันที และเพราะเสียงออกจะดังไปสักนิด จึงกระแอมไอแล้วเบาเสียงลงเล็กน้อย เขาเหลือบสายตามองเด็กชายด้วยทึ่งในความสามารถ ตลอดเวลายี่สิบนาทีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายมีความสามารถในการจดจำและช่างสังเกตสังกาเพียงไร “...นี่คือเหตุการณ์ทางฝั่งเจ้าใช่หรือไม่”

    ริเชลพยักหน้าอย่างไม่ลังเลเลย

    นักบวชอาวุโสยังไม่ละสายตาจากหน้าของริเชล “เจ้ากล้ายืนยันต่อหน้าทวยเทพหรือไม่ว่า สิ่งที่เจ้าเล่ามาเป็นความจริงทุกประการ”

    เด็กชายเอียงคอด้วยความไม่เข้าใจ กระนั้นก็ยอมตอบคำถามแต่โดยดี “ให้ข้าสาบานเลยก็ได้ ว่าหากข้าโกหก ยอมตัดแขนให้ข้างหนึ่งเลย!”

    เพราะพูดเรื่องโหดร้ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั่วทั้งห้องจึงชักสีหน้า แกนน่อนย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจกับสิ่งมีชีวิตประหลาดที่อยู่ต่อหน้านี้ ก่อนจะหันไปทางผู้เกี่ยวข้องรายสุดท้ายที่ปิดหนังสือลงเรียบร้อยแล้ว

    “ตาท่านเล่าแล้ว” ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าเสียงของนักบวชอาวุโสอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนสีหน้าของอัลฟองโซ่กลับแสดงให้เห็นถึงความชิงชังอย่างเห็นได้ชัดเช่นเดียวกัน

    คาร์ลขยับตัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ลุกขึ้นยืน เขาเดินออกจากโต๊ะของตน แล้วนำกระดาษปึกหนึ่งไปมอบให้แก่เหล่านักบวช มันเป็นเอกสารที่ถูกทำสำเนาด้วยการคัดตัวอักษรอย่างบรรจง และเหนือยิ่งกว่าการทำมาครบจำนวนคน คือการที่เขาทำเอกสารมาเพื่อท่านอัลฟองโซ่และนักบวชที่ติดตามมาด้วยเช่นกัน เลขาของนักบวชอาวุโสรับกระดาษเหล่านั้นไปแทนเจ้านายตน ก่อนวางคว่ำหน้าลงกับโต๊ะ โดยไม่เสียเวลาอ่านเลยสักวินาทีหนึ่ง

    sds

    เด็กชายไม่สนใจการกระทำอันเสียมารยาทนั้นเลยแม้แต่น้อย “ข้าไม่ถนัดการพูดมากสักเท่าไรครับ แต่เอกสารพวกนั้น น่าจะให้ข้อมูลแทนข้าได้เป็นอย่างดี”

    เมื่อคณะนักบวชก้มอ่านเอกสาร จึงพบว่าบนกระดาษคือคำให้การของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ บางคนที่พอจะเขียนหนังสือได้ มีการเซ็นกำกับไว้ว่าคำให้การนี้เป็นความจริงทุกประการ ส่วนบางรายที่ไม่รู้หนังสือ ก็ใช้วิธีการพิมพ์ลายนิ้วมือไว้ และนี่ไม่ใช่เฉพาะคำให้การที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่ยังมีคำให้การจากความเสียหายอื่น ๆ ที่เหล่าทายาทขุนนางได้ก่อเอาไว้อีกด้วย เอกสารเหล่านี้มาจากรายงานของทหารตรวจการณ์ที่คาร์ลไปรวบรวมมา

    และในทุกการให้ปากคำนั้น ได้มีการเขียนลงลายลักษณ์อักษรไว้ว่า ขอสาบานต่อหน้าทวยเทพ

    สำหรับชาวเมืองเอสลีเซียแล้ว... ไม่สิ สำหรับประชาชนทุกพื้นที่แล้ว หากต้องการยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง ก็มักจะใช้วิธีการสาบานเข้าร่วมด้วยเช่นกัน

    กลุ่มของทายาทขุนนางหน้าซีดเผือด กระทั่งในกลุ่มของสายเลือดศักดินา ก็ให้ความสำคัญกับการลงนามเช่นนี้มากทีเดียว พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่า พวกชาวบ้านที่ขลาดเขลาเหล่านั้นจะกล้าสาบานเป็นพยานด้วยชีวิต

     

    sds

    แกนน่อนอ่านเอกสารดังกล่าวเช่นเดียวกับผู้คุ้มกฎ ก่อนเบือนหน้าไปทางกลุ่มของเด็กชายขุนนาง “มีใครจะกล่าวทัดทานหรือหลักฐานเหล่านี้หรือไม่”

    เหล่าทายาขุนนางมองหน้ากันเลิกลัก และเป็นวีลิสอีกครั้งที่ต้องรับหน้า เขายืนขึ้นเมื่อถูกอิลยาค้อนใส่ “ข้าครับ!”

    ฮัมฟรีดหรี่ตาดุดัน “เจ้าจะคัดค้านเอกสารเหล่านี้อย่างงั้นรึ” ก่อนเว้นจังหวะ “ตรงส่วนไหนเล่า”

    วีลิสตอบกลับไปเกือบจะในทันที “ทั้งหมดครับ! ที่มัน--” แล้วรีบแก้คำเมื่อถูกนักบวชอาวุโสจับจ้อง เพราะกฎอีกข้อหนึ่งของอัครมหาวิหาร คือห้ามใช้คำหยาบคายกับผู้ร่วมหลังคาเดียวกัน “ที่เขาพูดมาทั้งหมด รวมถึงเอกสารเหล่านั้นเป็นเรื่องโกหกครับ!”

    แกนน่อนพ่นลมหายใจออกจากปาก “เจ้ามีอะไรมายืนยัน”

    วีลิสเพิ่มความหนักแน่นของคำพูดตนเองด้วยการยืนอกผายไหล่ผึ่ง “เรื่องของสายเลือดครับ เอกสารเหล่านั้นไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่าเป็นชาวบ้านที่เขียนมาจริง ๆ และคำให้การของเขาก็ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีทางที่คนเราจะจดจำรายละเอียดได้มากมายเพียงนั้น เขาเป็นคนโกหก ส่วนพวกข้านั้นมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีค้ำคออยู่ด้วยเกียรติของสายเลือดขุนนาง พวกข้าไม่มีทางโกหกแน่ครับ แต่พวกมั—พวกเขาเป็นใครมาจากไหน ไม่มีหัวนอนปลายเท้าจะเชื่อได้อย่างไร ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นการปั้นน้ำเป็นตัว และหลักฐานเหล่านั้นต้องถูกปลอมแปลงขึ้นมาแน่ครับ อย่าได้หลงเชื่อเชียวนะครับท่านนักบวชอาวุโส!”

    เสียงอุทานดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันไว้ นักบวชระดับล่างต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าเลิกลัก อัลฟองโซ่เอามือเท้าเข้ากับหน้าผากเพราะความไม่ยั้งคิดของเด็กชาย เหล่าทายาทขุนนางต่างขมวดคิ้วด้วยความสงสัยต่อพฤติกรรมเหล่านั้น วีลิสพูดสิ่งใดไปหรือ เหตุใดพวกนักบวชจึงมีสีหน้าเช่นนั้นกันเล่า

    ริเชลเจ้าประจำ หันไปทางคาร์ลที่นั่งยิ้มกริ่ม เขายกนิ้วชี้หน้าตนเอง ก่อนชี้ไปยังอีกฝ่าย

    “ข้ากับเจ้าเป็นพวกไม่มีหัวนอนปลายเท้าหรือ”

    ผู้ถูกถามเหยียดยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ “ไม่นะ ข้าคิดว่า ข้ากับเจ้าน่าจะมีผู้ปกครองที่น่าเชื่อถืออย่างที่สุดแล้ว”

    แกนน่อนพยายามรักษากฎของเดมาที่ว่า ห้ามตะโกนใส่นักบวชชั้นผู้น้อย หรือผู้ที่อยู่ใต้ร่มเงาของวิหาร ไม่ว่าจะโกรธมากเพียงไรก็ตาม แม้ว่าเสียงที่เอ่ยออกไปจะสั่นเทาก็ตาม

    “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใครอย่างนั้นสินะ”

    วีลิสพยักหน้ารับด้วยความงงงวย ก่อนหันไปมองอิลยาเพื่อค้นหาคำตอบ แต่เขาเองก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน จึงผินหน้าไปทางน้าชายของตนที่เบือนสายตาหลบไปทางอื่นอย่างจงใจ ฮัมฟรีดพ่นลมหายใจออกจากปอดโดยแรงมากพอที่จะดังกังวานไปทั่วห้องประชุม

    “ริคาโด เดอ แมซิแยร์” ผู้คุ้มกฎเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ ฉับพลันนั้นเหล่าทายาทขุนนางก็เกิดขนหัวลุกขึ้นมา ด้วยรู้จักนามสกุลนั้นเป็นอย่างดี ฮัมฟรีดเอ่ยต่อ “เขาเป็นบุตรชายบุญธรรมของท่านอลิสเซียน่า เดอ แมซิแยร์ หรือที่พวกเจ้ารู้จักในฐานะหัวหน้าสภานักบวช”

    แกนน่อนเป็นผู้กล่าวแนะนำเด็กชายที่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า “คาโล วอน ชวาซเบิร์ก” อิลยาและทายาทขุนนางสะดุดห้วงลมหายใจของตนเองทันที และรู้สึกถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลผ่านจากกลางกระหม่อมไปจนถึงกลางหลัง “เขาเป็นบุตรชายของท่านแมคโลริค วอน ชวาซเบิร์ก”

    นักบวชอาวุโสเว้นจังหวะและกล่าวอย่างช้า ๆ ชัด ๆ ทีเดียวว่า

    “หรือที่พวกเจ้ารู้จักในฐานะของเจ้าวิหาร ซึ่งก็คือผู้ปกครองสูงสุดแห่งไกอา”

    sds


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×