ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันราตรี ONE THOUSAND NIGHTS

    ลำดับตอนที่ #8 : สอบสวน

    • อัปเดตล่าสุด 11 ส.ค. 67


    อัลฟองโซ่ ลันซ์ซอฟ คือหนึ่งในทายาทขุนนางที่ได้ไต่เต้าจนเป็นนักบวชอาวุโส โดยที่อายุยังไม่เกินยี่สิบห้าปี เขายังหนุ่มยังแน่น มีใบหน้าเสี้ยนแหลมเหมือนกับหลานชาย และที่เหมือนกันราวกับถอดแบบกันมา ก็คือนัยน์ตาที่หรี่ยาวและชี้ขึ้น ราวกับว่าเอาแต่เหลือบแลคนจากหอคอยสูงทั้งปีทั้งชาติ กระทั่งการเดินยังดูคล้ายกับทวยเทพเสด็จลงเองก็มิปาน เขามีท่าทีหยิ่งผยอง ถือตัว และเอาแต่ใจ โดยเฉพาะมุมปากที่ยักโค้งขึ้นเพื่อเหยียดยิ้มอย่างเสแสร้งนั้น ทำให้นักบวชระดับล่างหลายคนต้องชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ ท่านแกนน่อนมีอายุมากกว่านักบวชหนุ่มรายนี้ถึงยี่สิบกว่าปี และประพฤติตนอยู่ในครรลองคลองธรรม ไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสียเลยแม้แต่น้อย กลับต้องดำรงตำแหน่งทัดเทียมกับทายาทขุนนางที่อาศัยสายเลือดในกายมาไต่เต้าเอาตำแหน่ง

    อัลฟองโซ่ที่อกผายไหล่ผึ่งอย่างคุณชายที่กำลังเดินเล่นในสถานที่ของตน เดินนวยนาดมายังเบื้องหน้าของนักบวชที่กำลังชุมนุมกัน

    ในฐานะที่เยาว์วัยสุด คาร์ลจึงค้อมกายทำความเคารพ

    “ยินดีที่ได้พบครับ ท่านอัลฟองโซ่” เด็กชายกล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร

    แม้โดยปกติแล้วหากพบทายาทขุนนางจะต้องเรียกนามสกุลตามหลังคำว่า ‘ลอร์ด’ หรือ ‘คุณชาย’ เพื่อเป็นการให้เกียรติ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในรั้วของเดมา ยศและตำแหน่งเหล่านั้นจะถูกลบทิ้งไป ดังนั้นทุกผู้ทุกคนจึงมีสิทธิ์เต็มที่ ที่จะเรียกนามของอีกฝ่ายได้โดยไม่เป็นการเสียมารยาท

    นักบวชที่มีท่าทางเย่อหยิ่งอันติดตามอัลฟองโซ่มา ส่งสีหน้าไม่พอใจพร้อมแค่นเสียงเฮอะอย่างไม่คิดจะปิดบัง นักบวชอาวุโสทำเป็นหมางเมินคำทักทายนั้นด้วยการเหลือบตามองทีหนึ่ง แล้วเบือนหน้าไปทางแกนน่อน

    “ข้าได้ยินเรื่องการสอบสวนแล้ว” เขากล่าวและขยับตัวเข้าใกล้ อัลฟองโซ่นั้นสูงเพรียว ถึงมีส่วนสูงที่มากกว่าอีกฝ่ายไปเพียงครึ่งนิ้ว กระนั้นก็ยังจงใจส่งสายตา ‘เหลือบแล’ อย่างผู้สูงส่งกว่าให้ “ข้าคิดว่า ข้าเองก็น่าจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการตัดสินเช่นเดียวกัน”

    แกนน่อนโต้ตอบการเหยียดหยามด้วยการจ้องตอบกลับ “ข้าเชื่อว่าทางสภานักบวชน่าจะออกเอกสารมาแน่ชัดแล้ว” อันหมายถึงว่ามีเพียงผู้ที่มีชื่อในคณะกรรมการสอบสวนเท่านั้นที่จะมีส่วนในการตัดสินความผิดครั้งนี้ด้วย

    อัลฟองโซ่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ แล้วปรายตาไปทางหลานชายที่ราวถอดแบบกันมาทีหนึ่ง อันมีความหมายว่าไม่ต้องกังวลไป เขาแบมือออกไปด้านข้าง เพื่อรอรับม้วนกระดาษจากเลขานุการ “เช่นนั้นข้าก็ยิ่งมีสิทธิ์เข้าไปใหญ่”

    นักบวชที่อาวุโสกว่ารับกระดาษแผ่นนั้นมาไว้ในมือ หลังกวาดตาอ่านแล้วก็ถอนหายใจออกมา เอกสารแผ่นนั้นคือการยืนยันสิทธิ์ของอีกฝ่าย หนึ่งในสภานักบวชที่ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการได้ใช้อำนาจแทรกแซง และเพราะมีการลงลายลักษณ์อักษรอนุมัติโดยสภานักบวชรายอื่น ๆ อีกสองสามคนแล้ว มันจึงมีผลบังคับใช้ในทันที

     

    sds

    แกนน่อนไม่ระมัดระวังเลยที่จะถอนหายใจออกมา เขาจงใจพ่นหายใจอย่างรุนแรงต่อหน้าอีกฝ่าย “เช่นนั้นก็เชิญท่านเถิด การพิจารณาจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”

    นักบวชที่อายุมากกว่าแต่มีตำแหน่งทัดเทียมกันผายมือไปด้านหน้า

    ดังนั้นหลังจากนั้นอีกเพียงไม่นาน ห้องประชุมที่ถูกเอาไว้ทำงานปฐมนิเทศเมื่อครู่ ก็กลายเป็นที่สำหรับสอบสวนเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างผู้เข้าทดสอบด้วยกันไป

    กฎอย่างหนึ่งของผู้เข้าทดสอบที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดก็คือ การห้ามทะเลาะวิวาท พวกเขาจะต้องอยู่อย่างสำรวม หายใจอย่างสำรวม เดินอย่างสำรวม กระทั่งการกะพริบตาก็ยังต้องสำรวมเลย เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า พร้อมจะละทิ้งพื้นเพที่ผ่านมาเพื่อปวารณาตนเพื่อรับใช้เหล่าทวยเทพ ทว่ากฎข้อบังคับดังกล่าวนี้ ไม่เป็นที่ล่วงรู้กันมากนัก หรือหากมีผู้รับรู้ก็ไม่ใส่ใจที่จะปฏิบัติตามอย่างเหล่าทายาทขุนนาง ที่ทราบความเป็นไปของอัครมหาวิหารดีจนเกินพอ กระนั้น การออกรังแกชาวบ้านชาวช่อง ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่เป็นเนืองนิตย์

    อาเบลกวาดตามองผู้ที่นั่งประจำที่ในห้องประชุม แกนน่อนนักบวชอาวุโสนั่งอยู่ตรงหน้า ประสานสองมือไว้ที่น่าโต๊ะ เคียงข้างเขาคืออัลฟองโซ่ผู้รูปงามยิ่ง เขานั่งหลังตรง นิ้วทิ้งสิบประสานเข้าหากัน ดูสมบูรณ์พร้อมดุจดั่งผู้ที่จะถวายชีวิตที่เหลือให้แก่พระองค์ ทว่านักบวชรายอื่น ๆ ในอัครมหาวิหารรู้ดีกว่า นักบวชหนุ่มรายนี้ ยังห่างไกลจากคำว่า ละทิ้งพื้นเพ และชุบตัวใหม่เพื่ออุทิศตนให้แก่ทวยเทพเป็นอย่างมาก

    อาเบลยังคงไล่สายตาต่อไป อีกฝั่งหนึ่งของแกนน่อนคือหัวหน้านักบวช หรือผู้คุ้มกฎฮัมฟรีด เขานั่งหลังตรงด้วยเช่นกัน เพียงแต่แทนที่จะดูสง่างามกลับคล้ายนายทหารในกองกำลังตรวจการณ์ประจำเมืองหลวงเสียมากกว่า เขามีหน้าที่รับผิดชอบในการสอบสวนความไม่สงบที่เกิดขึ้นที่ตลาด หรือกล่าวให้ชัดเจนคือ การวิวาทระหว่างผู้เข้าทดสอบด้วยกัน

    ณ ที่นี้ ในห้องประชุมแห่งนี้ คือการสืบสวนเอาเรื่องว่าให้เป็นต้นเหตุ หรือบ่อนทำลายภาพลักษณ์อันศักดิ์ของเดมา

    กลุ่มทายาทขุนนางที่มีรวมกับร่วมสิบคนนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับอัลฟองโซ่ ส่วนคาร์ลและริเชล นั่งอยู่ตรงข้ามกับแกนน่อน นี่ช่างเป็นการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจนระหว่างพลเรือนกับเหล่าสายเลือดขุนนาง ส่วนบรรดานักบวชที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่แสดงออกไปว่าอยู่ฝ่ายใด

    ฮัมฟรีดเป็นผู้กล่าวขึ้นก่อน

    “วีลิส” เด็กชายที่มีร่างอ้วนกลมสะดุ้งโหยง “ออกมาด้านหน้า”

    ไม่เคยเลยที่เรื่องราวอันไร้สาระระหว่างเด็กสิบกว่าปีจะกลายเป็นเรื่องที่จริงจังขึงขังถึงเพียงนี้ เดิมทีอาศัยแค่การสอบสวนโดยผู้คุ้มกฎและนักบวชระดับล่างอีกสองสามคนก็เพียงพอแล้ว แต่บัดนี้กลับต้องใช้นักบวชอาวุโสถึงสองคน และผู้คุ้มกฎถึงหนึ่งคน

    เด็กชายที่มีแก้มโย้ออกจนใบหน้าเหมือนลูกโป่งน้ำที่บวมเป่งเดินออกมาด้านหน้า ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าเขาประหม่า และรู้สึกหวาดระแวง เด็กชายพยายามชำเลืองมองไปทางอิลยาที่กอดอกหน้าบึ้งอยู่ นัยน์ตาคู่นั้นคมวาวดุจเหยี่ยว และเหมือนจะเป็นการบอกว่า หากพูดผิดไป หรือพูดจาไร้สาระออกมา วีลิสจะถูกลงโทษในภายหลัง

    ฮัมฟรีดเรียกเด็กชายอีกครั้ง “วีลิส”

    “ครับ!” เด็กชายกล่าวตอบด้วยท่วงท่าหลังตรงเหงื่อตกในทันที ทว่าก่อนที่ผู้คุ้มกฎจะได้กล่าวสิ่งใดออกไป เสียงนุ่มทุ้มก็ดังขัดขึ้น เป็นอัลฟองโซ่นั่นเอง เขากำลังหัวเราะอยู่ และเป็นการหัวเราะที่ฟังอย่างไรก็ไม่น่าอภิรมย์

    ผู้คุ้มกฎขมวดคิ้ว “มีอะไรหรือครับ ท่านอัลฟองโซ่”

    การเป็นนักบวชใต้ร่มเงาวิหาร จะต้องเรียงลำดับการเรียกตามตำแหน่ง ต่อให้ฮัมฟรีดมีอายุมากกว่าอีกฝ่าย แต่หากนักบวชหนุ่มผู้นี้มีตำแหน่งสูงกว่า เขาก็ต้องเรียกนำหน้าว่าท่าน และทุกท้ายประโยคด้วยคำว่าครับทุกครั้ง

    “นี่ท่านกำลังสืบสวนทหารยามที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดี หรือเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสากันแน่”

    ฮัมฟรีดจึงกระแอมคอให้โล่ง ก่อนใช้น้ำเสียงที่แข็งกร้าวน้อยกว่าเมื่อครู่

    “วีลิส เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตลาดให้ข้าฟังอีกครั้งหนึ่ง”

    วีลิสตระหนกตกใจเสียยิ่งว่าถูกสั่งให้เอาดาบฟาดลมยี่สิบครั้งเสียอีก เพราะเขาแทบจำไม่ได้แล้วว่า ได้เล่าเหตุการณ์อย่างไรให้อีกฝ่ายฟัง จำได้แต่เพียงว่าตอนนั้น เขาต้องเล่าให้ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงที่สุด สมองที่มีความจุน้อยกว่าความเย่อหยิ่งเริ่มแต่งเรื่อง

    “พวกข้า...กำลังจะออกไปเดินหาที่ระ—เอ้ย หาซื้ออาหารกินครับ!” เขาเกือบจะพูดออกไปแล้วว่า แท้จริงในวันนั้น ด้วยความฉุนเฉียวของอิลยา พวกเราเลยตัดสินใจไปหาที่ระบายอารมณ์ในตลาด “หลังจากนั้น...พวกข้าก็เดินตลาดครับ แล้วก็เอ่อ...ถูก...ถูกทุบตีขึ้นมา”

    วีลิสไม่เพียงเล่าอย่างตะกุกตะกัก แต่เล่าข้ามรายละเอียดไปเกือบจนหมด ฮัมฟรีดหรี่ตาลงราวกับจ้องจับผิด แล้วนั่นทำให้เด็กชายร่างกลมหวาดกลัวขึ้นในทันที แต่เป็นอีกครั้งก่อนที่เขาจะกล่าวอะไรออกไป อัลฟองโซ่ก็พูดขึ้นอีกครั้ง

     

    sds

    “ท่านฮัมฟรีด”

    เจ้าของนามค้อมศีรษะ “ครับ”

    “ให้ข้ามีส่วนร่วมในการสอบสวนได้หรือไม่”

    ฮัมฟรีดคัดค้านในทันที “ไม่ได้ครับ ท่านมีหน้าที่นั่งฟังการสอบสวนเท่านั้น ไม่สามารถมีส่วนร่วมในการสอบถามได้ครับ”

    อัลฟองโซ่เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “เดินที่ข้าเดินเข้ามาในห้องประชุม ท่านแกนน่อนมิได้กำลังถามความเป็นมาเป็นไปอยู่งั้นหรอกรึ”

    แกนน่อนขยับแว่นด้วยนิ้วชี้ เขากำลังสอบถามเหตุการณ์เหล่าทายาทขุนนางอยู่จริง ๆ นั่นละ ฮัมฟรีดแก้ต่างในทันที เขาไม่จำเป็นต้องพยายามรักษาความเป็นกลาง เพราะได้แสดงออกอยู่เสมอมาว่าไม่ชอบใจสายเลือดศักดินามากเพียงไร “นั่นเป็นเพียงการสอบถาม มิใช่การสอบสวน มีเพียงข้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์สอบสวนพวกเขาได้ครับท่าน”

    ผู้คุ้มกฎเน้นสองพยางค์หลังอย่างจนใจ อัลฟองโซ่กอดอกอย่างไม่ยอมรับคำโต้แย้ง “ไม่ได้สิท่านฮัมฟรีด ต่อให้ท่านแกนน่อนสอบถามไปตามประสา แต่จะไม่เอาข้อมูลเหล่านั้นมาประกอบการพิจารณาจริงเชียวหรือ และอีกอย่าง งั้นก็ถือว่าสิ่งที่ข้ากำลังจะถาม เป็นเพียงการชวนสนทนาก็แล้วกัน ในเมื่อท่านแกนน่อนสามารถทำได้ ตัวข้าจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงเลยเชียวรึ”

    เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งไปด้วยขณะที่ส่งรอยยิ้มเย้ยหยัน

    ฮัมฟรีดพ่นลมหายใจอย่างมีน้ำอดน้ำทน และเมื่อเห็นการส่ายศีรษะอย่างเบาบางของนักบวชอาวุโสที่สวมแว่นแล้ว เขาก็ยอมล่าถอย “เช่นนั้น เชิญท่านอัลฟองโซ่ ชวนสนทนาได้

    เจ้าของนามเหยียดยิ้มอย่างมีมารยาทด้วยสายตามุ่งร้าย ก่อนผินหน้าไปทางเด็กชายที่หน้าซีดตัวสั่น “วีลิส”

    วีลิสสะดุ้งอีก แม้นักบวชที่มีสายเลือดของขุนนางผู้นี้จะอยู่ฝั่งเดียวกับตน แต่ทว่าชื่อเสียงอันร้ายกาจของอีกฝ่ายในสมัยที่ยังเป็นเด็กชายอยู่ ก็ทำให้เขาอดเสียวสันหลังขึ้นมามิได้

    “พวกเจ้ากำลังจะไปไหน และทำอะไรงั้นรึ”

    เด็กชายรู้สึกว่าจะต้องเรียบเรียงความคิดให้ถี่ถ้วน “...พวกข้าเพิ่งได้เข้าห้องพักครับ...แล้ว..”

    แล้วอิลยาที่ต้องนั่งรอมาตลอดครึ่งวัน ก็อาละวาดทันทีที่ได้เข้าห้องพัก เก้าอี้สองตัวที่ตั้งอยู่ภายในพังยับ ส่วนข้าวของจิปาถะที่วางไว้บนผิวโต๊ะ ถูกกวาดตกพื้นลงจนหมด ส่วนสาเหตุนั้นเป็นเพราะ เขาต้องถูกจับให้นั่งรอรวมกับสามัญชน และเหมือนพวกไพร่หน้าวิหาร

    “แล้วก็เกิดหิวงั้นสินะ” อัลฟองโซ่ต่อให้ “ในเมื่อจำนวนนักบวชที่ฝ่ายต้อนรับมีไม่เพียงพอ งานเอกสารจึงล้นมือ กว่าจะจัดให้พวกเจ้าเข้าห้องพักได้ ก็ต้องนั่งรอกันเกินครึ่งวัน”

    อาเบลและสหายของตนขยับตัวอย่างอึดอัด ด้วยรู้ตัวว่าถูกค่อนแคะว่าทำงานล่าช้า

    วีลิสรีบพยักหน้ารับ นักบวชหนุ่มถามต่อ “แล้วอย่างไรอีก พวกเจ้าเจอใครเข้าที่ตลาด”

    นี่คือการชี้นำโดยแท้ เพราะสายตาของอีกฝ่ายทอดมองไปทางเด็กชายผมสีน้ำเงินที่ซัดพวกเขาจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า วีลิสยกนิ้วไปทางริเชลที่กำลังบีบนวดคออันเมื่อยขบ “เจอเขาครับ”

    อัลฟองโซ่เหยียดยิ้มแล้วกล่าวถามต่อ “เขาทำอะไรพวกเจ้ารึ”

    เรื่องโกหกพกลมสว่างวาบขึ้นในสมองน้อย ๆ ของเด็กชายในทันที “เขาหาเรื่องก่อนครับ!”

    แล้วหลังจากนั้นวีลิสก็สามารถร่ายได้เป็นฉาก ๆ เมื่อเริ่มจดจำเรื่องโกหกที่อิลยาสร้างไว้ได้ แต่รายละเอียดจะไม่ตรงตามที่อีกฝ่ายกล่าวไว้สักเท่าไร แต่จะมีใครในตลาดกล้ามายืนยันบ้างว่ามีข้อผิดพลาดประการใด เรื่องราวจึงกลายเป็น

    ด้วยความหิวโหย พวกเขาทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปยังตลาดด้วยความสำรวมตามกฎที่อัครมหาวิหารบัญญัติไว้ ในเวลานั้นตลาดกำลังคึกคัก มีผู้คนคับคั่ง ดังนั้นการเดินกระทบไหล่กันจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้สามัญ ระหว่างทางนั้นเองที่ท่านอิลยาไปชนไหล่ของเด็กชายผู้หนึ่งเข้าโดยมิได้ตั้งใจ อิลยาได้ขอโทษอย่างมีมารยาทตามที่ถูกอบรมสั่งสอน แต่มีเด็กชายอีกรายหนึ่ง ที่ดูเหมือนเป็นคนรับใช้ของเด็กชายรายแรก เข้ามาโวยวายใส่อิลยาและพวกของตนอย่างดุเดือด รวมทั้งใจวาจาที่ฟังไม่รื่นหู จนทำให้อัลวินที่เป็นทายาทของบารอนอดรนทนไม่ได้ และด้วยความหุนพลันแล่นเข้านี่เอง อัลวินจึงต่อยตีกับเด็กชายรายนั้นจนได้แผลกันทั้งสองฝ่าย จนเป็นที่วุ่นวายกันไปหมด ส่วนเด็กชายที่มีผมสีน้ำเงินก็ฉวยจังหวะนั้นเข้ามาทำร้ายร่างกายสหายตนคนอื่น ๆ ส่วนที่เด็กผมสีเงินยวงถูกทำร้ายนั้น เกิดจากการถูกลูกหลงช่วงที่กำลังพยายามห้ามปรามกันนั่นเอง

    “กล่าวโดยสรุปคือ สองคนนั้นเป็นคนก่อเรื่องครับ ท่านอิลยาพยายามอย่างเต็มที่แล้วเพื่อจะหยุดยั้งเหตุการณ์” วีลิสกล่าวตอบอย่างมั่นหน้า

    เรื่องพรรค์นี้ไม่ว่าใครมาได้ฟังก็คงได้แต่เบือนหน้าอย่างไม่เชื่อถือ ทว่าเนื่องด้วยสถานะของทายาทขุนนาง ก็เป็นไปได้ว่าพยานในตลาดเหล่านั้นอาจไม่กล้าพอที่จะให้การหากถูกเรียกตัวมา นี่คือช่วงโหว่ระหว่างชนชั้นที่เกิดขึ้น ฮัมฟรีดถอนหายใจอย่างมีน้ำอดน้ำทน แล้วหันไปทางนักบวชอาวุโสวัยเยาว์ ‘การชวนสนทนา’ เช่นนี้ คือการชี้นำให้เด็กชายศักดินารายอื่น ๆ เล่าเหตุการณ์ตรงกันจนหมด ทั้งที่เมื่อวานต่างเล่าอย่างสะเปะสะปะไปคนละทิศคนละทาง และต่อให้ในการสืบสวนนั้นมีนักบวชบันทึกคำให้การอยู่ แต่ฮัมฟรีดก็รู้ดีว่า อัลฟองโซ่จะใช้วิธีทำลายความโปร่งใส ด้วยการบอกว่า ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนของตน

    อัลฟองโซ่ยักไหล่ ก่อนเหลือบสายตาไปทางผู้คุ้มกฎอย่างจงใจ เขารู้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ และคิดถูกเสียด้วย ขณะที่นักบวชอาวุโสขยับริมฝีปากเพื่อทำให้การสืบสวนเมื่อวันก่อนสิ้นสูญความน่าเชื่อถือลงนั่นเอง เสียงปรบมืออย่างเป็นจังหวะก็ดังมาจากอีกทางหนึ่ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเด็กชายคนนั้นมาก่อน แต่ไม่รู้เพราะด้วยเหตุใด ก็ไม่ชอบหน้าขึ้นมาเอาดื้อ ๆ อาจเป็นเพราะเขานั่งอยู่ข้างคาร์ล ผู้ที่ตนไม่ชอบขี้หน้าเอาเสียเลย

    ริเชลตบมือด้วยสีหน้าของคนที่ยอมรับนับถือ

    “เจ้าเก่งจังนะ” เขาบอก และสองมือนั้นก็ยังไม่หยุดปรบมือ คาร์ลมิได้ห้ามปรามแต่อย่างใดด้วยเช่นกัน “สร้างเรื่องได้เก่งขนาดนี้ บ้านเจ้าเป็นโรงละครหรือ”

     

    sds

    วีลิสหน้าแดงในทันที เพราะประโยคนั้นไม่ต่างจากการด่าว่าว่าตนเป็นคนโกหก

    “พูดอะไรของเจ้าน่ะ!” เขาตะโกนลั่น ก่อนลดเสียงลงเมื่อเห็นสายตาต่อว่าของอัลฟองโซ่ “ที่ข้ากล่าวเป็นความจริงทั้งสิ้น เจ้ากล้าหาว่าข้าโกหกหรือ แน่จริงก็ไปหาพยานมาสิ!”

    อัลฟองโซ่เหลือบสายตาไปหาอีกฝ่าย ต่อให้ริเชลกล้ามากพอที่จะออกไปตามหาพยาน แต่จะไม่มีใครกล้าขึ้นให้การเป็นแน่ นั่นเป็นเพราะเขาได้ส่งลูกน้องออกไปจัดการ จนแน่ใจแล้วว่า จะไม่มีใครกล้าเหิมเกริม

    ริเชลที่หยุดปรบมือแล้ว เอียงศีรษะ “ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเจ้าโกหก ข้าแค่ถามว่า บ้านเจ้าเป็นโรงละครหรือ ถึงได้แต่งเรื่องเก่งเพียงนี้ มีคำไหนในประโยคของข้าบ้างที่มีคำว่าโกหก”

    เด็กชายเอ่ยถามด้วยสีหน้าใสซื่อ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความท้าทาย ถูกอ่างที่เขากล่าว ไม่มีคำว่าโกหกอยู่ในประโยคเหล่านั้นเลยสักคำเดียว อัลฟองโซ่และนักบวชที่เป็นลูกน้องของตนเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว นักบวชรายอื่น ๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บงำสีหน้าของความอยากจะหัวเราะ

    การรุกไล่ของริเชลยังไม่จบลงเสียทีเดียว เขายังกล้ามากพอที่จะพูดต่ออีกว่า “ที่ข้าพูดน่ะ เป็นคำชมจากใจข้าเลยนะ มีคนสอนข้ามาว่า หากอยากให้อีกฝ่ายยินดีมีความสุข ก็ต้องเอ่ยชมข้อดีที่เห็นได้อย่างแจ่มชัด ข้าเห็นว่าเจ้าสร้างเรื่องราวได้เก่งมาก จึงเอ่ยปากชมอย่างไรเล่า ทำไมต้องโกรธข้าด้วยล่ะ”

    ใครบางคนที่เส้นตื้นเขินกว่าหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา และนั่นทำให้วีลิสและกลุ่มทายาทขุนนางหน้าแดงก่ำ โดยเฉพาะอิลยาที่หน้าแดงฉานไปจนถึงไรผม เขากำหมัดแน่นอย่างขุ่นเคืองในขณะเดียวกันก็กัดริมฝีปากอย่างอดทน เขาส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางผู้เป็นหน้าที่กอดอกเรียบร้อยแล้ว อัลฟองโซ่หรี่ตาไปทางเด็กชายแปลกหน้าผู้นี้ ด้วยความที่ไม่มีใครเคยล้าตอกหน้าทายาทขุนนางถึงเพียงนี้มาก่อน และดูจะไม่แยแสสายตาวาวโรจน์ของตนที่ส่งไปเลยสักนิดหนึ่ง

    ทว่าดูเหมือนความคิดดังกล่าวจะถูกล่วงรู้ ริเชลจึงผินหน้ากลับมาทางตนแล้วส่งยิ้มยิงฟัน

    “เจ้าเป็นใครหรือ” ริเชลเอ่ยถาม “เหตุใดถึงมองหน้าข้าปานจะกินเลือดกินเนื้ออยู่ตลอดเวลา ข้าไปเหยียบเท้าข้างไหนของเท่าเข้ารึ”

    อย่างแรกที่อัลฟองโซ่คิดขึ้นมาในใจได้ ก็คือไอ้เด็กเปรตนี่!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×