คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ท่านน้า
แกนน่อนผู้เป็นนักบวชอาวุโส เขามีลักษณะของผู้คงแก่เรียนอย่างครบครัน คือสวมใส่แว่นที่มีกระจกราวกับก้นขวด และตัดผมจนเตียนสั้นแต่ยังยาวมากพอที่จะแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยน้ำมัน ตามสาบคอเสื้อและตากระดุมที่ติดอยู่ด้านหน้า ถูกจัดแจงให้เรียบร้อยจดงามราวกับผ้าที่ถูกพับไว้ ไม่ว่าจะมองจากมุมใด เขาก็ดูเป็นพวกหัวโบราณคร่ำครึ ชนิดที่ว่าหากพบเห็นใครประพฤติตนออกจากรูปแบบอันมีวินัยที่เขาจินตนาการไว้ ก็จะออกปากสั่งสอนอย่างไม่มีความลังเลเลยทีเดียว
และแกนน่อนก็ตอบสนองต่อความนึกคิดของเหล่าเด็กชาย ด้วยการปรายสายตาที่แข็งกร้าวไปทางริเชลที่ยังนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ แม้ว่าคาร์ลจะพยายามกระตุ้นเพื่อนร่วมห้องด้วยการหยิกเข้าที่เอวเป็นรอบที่สามแล้วก็ตาม แต่ความขี้เกียจมีชัยเหนือความเจ็บปวดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แกนน่อนกระแอมไอเล็กน้อย แต่มิได้ทำอะไรมากไปกว่าส่งสายตาขุ่นเคืองไปให้ เขากลับไปกล่าวต้อนรับผู้เข้าทดสอบทั้งหมด และแสดงให้เห็นถึงความตรงทื่อราวกับไม้บรรทัด ด้วยประโยคที่มีแบบแผน แต่ไร้ความปรานี
“อย่างที่พวกเจ้าทราบกันดี ผู้ที่จะได้รับสิทธิ์เข้าทดสอบเป็นนักบวชฝึกหัด จะเหลือไม่ถึงครึ่งของห้องประชุมนี้” เด็กชายทั้งหลายหน้าซีดเผือดลงทันตา และต่างสบตากันราวกับถูกตัดสินให้โดนโทษแขวนคอเพราะขโมยขนมปังหนึ่งก้อน “ดังนั้น ข้าขอแนะนำว่า อย่าได้สร้างสายสัมพันธ์อันไม่จำเป็น หน้าที่ของพวกเจ้าคือการพิสูจน์ว่าควรค่าแก่การเป็นผู้รับใช้เดมา และเป็นหน้าที่ที่ต้องแสดงให้เห็นว่ามีคุณสมบัติมากเพียงพอที่จะได้รับภาระอันหนาหนักในฐานะของตัวแทนเหล่าทวยเทพ และด้วยความที่อาวุโสกว่า ข้าจึงอยากบอกกล่าวว่า จงลืมกำพืดเดิมไปเสีย หากอยากเป็นส่วนหนึ่งของเดมา อัครมหาวิหารไม่มีพื้นที่ให้กับคนที่ไร้วินัย และไร้หัวคิด พวกเจ้าอาจมีความเก่งกาจในถิ่นที่จากมา จงละทิ้งมันไปเสีย เพราะพวกเจ้าทั้งหลายจะได้รับการสอนสั่งให้ชุบตัวเป็นคนใหม่”
ยิ่งได้ฟัง ใบหน้าของเด็กชายทั้งหมดก็ขาววอก ภาพลักษณ์ของนักบวชที่ประจำตามหมู่บ้าน มักจะเป็นนักบวชที่ใจดี สุภาพ นอบน้อมและถ่อมตน ทั้งยังโอบอ้อมอารีไม่กล้าดุด่าใครเลยต่อให้เป็นขโมยก็ตาม แต่นักบวชที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้ ไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับนักบวชชั้นผู้น้อยเหล่านั้นเลย ราวกับเป็นอีกด้านของกระจกก็มิปาน
ความตระหนกตกใจที่สะท้อนอยู่ในม่านตาของผู้เข้าทดสอบ หาได้สะท้านสะเทือนต่อแกนน่อนไม่ เขากล่าวต่ออย่างไม่ยี่หระเลยว่า
“พวกเจ้าทั้งหมด จะได้รับการอบรมสอนสั่งเป็นเวลาสามวันนับจากวันพรุ่งนี้ โดยนักบวชที่ยืนเรียงรายอยู่ต่อหน้าเจ้า” เขาผายมือไปยังคณะของบุรุษที่สวมเครื่องแบบของเดมา และยืนเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน “พวกเขาจะสอนถึงประวัติศาสตร์ที่แท้จริง การกำเนิดของเดมา ระบบการปกครองของยุคก่อนหน้า รวมถึงกฎการปฏิบัติตนในฐานะของนักบวชผู้ทรงภูมิ และภาระหน้าที่อันหนักหนาสาหัสในฐานะของนักบวชแห่งเดมา พวกเจ้าจะได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่รออยู่ภายภาคหน้ามีความสำคัญต่ออนาคตของพวกเจ้าและประเทศอย่างไร” แกนน่อนเว้นจังหวะเมื่อเสียงแหบห้าวลง แต่ไม่รับน้ำดื่มที่นักบวชรายอื่นส่งมาให้ ราวกับว่าการต้องดื่มน้ำระหว่างทำหน้าที่ก็เป็นเรื่องที่ผิดกฎของอัครมหาวิหาร “นี่คือเนื้อหาที่พวกเจ้าต้องเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดภายในสามวัน”
แม้จะรู้อยู่แล้วจากการทดสอบของปีก่อน ๆ แต่ครั้นได้ฟังกับหู ก็ชวนให้ตระหนกอยู่ดี
อัครมหาวิหารจะเปิดรับเด็กชายอายุตั้งแต่สิบเอ็ดปีขึ้น ให้เข้ามารับการทดสอบเป็นนักบวชฝึกหัด การทดสอบนี้จะจัดขึ้นทุก ๆ สี่ปี และตามวิหารในแถบชนบทจะมีหน้าที่เฟ้นหาเด็กชายที่มีคุณสมบัติ ก่อนจะออกเอกสารและหลักฐานการเป็นชาวเดมา เด็กชายที่ได้รับเลือกเหล่านั้นจะคล้ายกับเป็นตัวแทนหมู่บ้าน เดินทางมายังเอสลีเซียโดยแบกความหวังของผู้คนเอาไว้ การได้เข้าเป็นนักบวชมีความสำคัญต่อชาวประชามากทีเดียว เพราะไม่เพียงเป็นการเดินไปบนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าเด็กชายผู้นี้คือคนที่ทวยเทพได้เลือกสรร ดังนั้นการทดสอบคัดเลือกนักบวชฝึกหัดจึงเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างมากในช่วงชีวิตหนึ่ง
พวกเขาจะได้เข้ารับการอบรมก่อนเข้ารับการทดสอบด้วยข้อเขียน เพียงแค่ขั้นตอนนี้ก็ส่งให้เด็กชายที่เข้าร่วม สอบตกเกินกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ยังไม่นับบททดสอบอีกสองอย่างที่เหลือ ที่มีขึ้นเพื่อทดสอบความอดทนและความศรัทธา หากผ่านกระบวนการนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ผู้เข้าทดสอบที่เหลือก็จะกลายเป็นนักบวชฝึกหัด ซึ่งจะได้รับการสอนสั่งจากอัครมหาวิหารต่ออีกสามปีเพื่อให้กลายเป็นนักบวชที่ทรงคุณค่า และควรค่าแก่การเป็นตัวแทนแห่งเดมา หลังจากนั้นพวกเขาจะได้รับมอบหน้าที่ให้เป็นนักบวชประเภทใด ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคล ซึ่งหนึ่งบทบาทที่ผู้คนต่างฝากความหวังไว้ก็คือ ‘ลาเคย์’
แกนน่อนกล่าวต่อเมื่อเชื่อว่าสิ่งที่ตนกล่าวได้ซึมซาบลงในทุกการรับรู้ของเหล่าเด็กชายแล้ว “การอบรมจะเริ่มต้นพรุ่งนี้เวลาเจ็ดโมงเช้า พวกเจ้าจะได้รับเอกสารเกี่ยวกับการเรียนในวันพรุ่งนี้ หากใครไม่สามารถเขียน แต่อ่านได้ ขอให้แจ้งแก่นักบวชที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้ก่อน แต่หากผู้ไม่สามารถอ่านหรือเขียนได้เลย ก็แนะนำว่า กลับบ้านไปเสีย อย่ามาทำให้เสียเวลาอันมีค่าของเหล่านักบวชเลย”
แม้จะมีการสอนความรู้พื้นฐานโดยนักบวชประจำวิหารน้อยในแต่ละพื้นที่ แต่ต้องยอมรับว่าบางครั้งพื้นที่เหล่านั้นก็หาปรากฏเด็กชายที่เหมาะสมไม่ พวกเขาอาจเข้าวิหารเพื่อภาวนาตามบิดามารดา แต่มิได้ใส่ใจที่จะตักตวงความรู้เหล่านั้นเลย และการที่ถูกส่งให้เดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อเข้ารับการทดสอบได้ก็เป็นเพราะไม่มีใครอื่นใดในที่นั่นอีกแล้วต่างหาก เด็กชายหลายคนที่เข้าข่าย เบิกตากว้างและแสดงท่าทีร้อนรนอย่างไม่รู้จะทำประการใด ทว่าสายตาที่เฉียบคมและหนักหน่วงของแกนน่อนนั้น ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะโวยวายออกมา
เขามองลอดแว่น และกวาดสายตาจนทั่วห้องทรงครึ่งวงกลม คล้ายรอให้มีผู้ที่กล้าทักท้วงขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามีแต่ความเงียบเป็นคำตอบ แกนน่อนก็กล่าวต่ออย่างไม่รั้งรอ
“จงมองที่หน้าโต๊ะตนเอง” เด็กชายทั้งหลายก้มลงตาม พวกเขาเห็นเอกสารอยู่ตรงหน้าตั้งแต่ต้น แต่ไม่มีใครให้ความสนใจ มันคือกระดาษปึกหนึ่งที่มีขนาดเท่าสมุดคัมภีร์ที่เห็นได้ตามวิหาร ภายในปรากฏตัวอักษรขนาดเล็กเรียงรายอย่างเป็นระเบียบแต่แออัดยัดเยียดอยู่ภายใน สำหรับเด็กชายที่ควรอยู่ในวัยวิ่งเล่นซุกซน จึงไม่มีใครเลยที่ให้ความสนใจกับกองเอกสารเหล่านี้ และคิดเอาเองว่ามันคือของประดับห้อง “สิ่งนั้นคือกฎระเบียบของอัครมหาวิหารที่เจ้าต้องปฏิบัติตาม สิ่งที่ควรปฏิบัติ ข้อต้องห้าม วิธีการวางตัว และการพูดการจา ล้วนถูกระบุลงในนั้นทั้งหมดแล้ว ข้อบังคับนี้มีทั้งหมดสองร้อยแปดสิบบัญญัติ และแบ่งออกเป็นหกภาค จงไปอ่านดูแล้วปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากมีผู้ใดละเมิดและฝ่าฝืนเกินสามครั้งสำหรับข้อบังคับในภาคพลเรือนจะถูกปลดออกจากการทดสอบในทันที หากทำผิดเกินสองครั้งในภาคผู้เข้าทดสอบ ก็จะถูกขับไล่เช่นกัน มีข้อไหนที่อ่านแล้วมิได้ความกระจ่าง ก็สามารถสอบถามนักบวชที่คอยเฝ้าดูแลได้ตลอดเวลา”
ผู้เข้าทดสอบทั้งหมดส่งเสียงฮือฮาอย่างเบา ๆ แต่เบิ่งตากว้าง นี่พวกเขาจะต้องปฏิบัติตามสิ่งที่เขียนอยู่ในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมดเลยงั้นหรือ
สีหน้าที่เรียบเฉยของแกนน่อนเป็นคำตอบที่เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว พวกเขาจึงเงียบเสียงลงในทันใด และเช่นเดียวกับตอนเริ่มต้น นักบวชอาวุโสไม่ได้แสดงท่าทียินดียินร้ายแต่ประการใด นอกเหนือไปจากค้อมตัวอย่างสุภาพและมีแบบแผน ก่อนกล่าวว่า
“พิธีปฐมนิเทศจะสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ พวกเจ้าทั้งหมดสามารถใช้เวลาที่เหลือทำอะไรก็ได้จนกว่าจะถึงเวลาอบรมในเช้าวันพรุ่งนี้ นำกฎของอัครมหาวิหารติดตัวกลับไปด้วย เอกสารเหล่านั้นมีจำนวนพอกับทุกผู้ทุกคน ขอทวยเทพอวยพระพร”
ประโยคสุดท้ายคือการอำนวยชัย อลันสงสัยเหลือเกินว่า การอวยพรนั้นมีขึ้นเพื่อพวกเขาที่ต้องใช้เวลาที่เหลือไปกับการท่องจำกฎเหล่านี้ใช่หรือไม่ หากไม่ต้องการถูกขับไล่ออกจากอัครมหาวิหารโดยไม่ทันได้เข้ารับการทดสอบ
ข้อเท็จจริงที่ชวนน่าสงสัยดังกล่าวส่งให้ผู้เข้าทดสอบทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยความอึมครึม พวกเขาคว้าหนังสือหนาหนักนั้นหย่อนลงกระเป๋าย่าม ใครบางคนที่มิได้พกสิ่งใดมาด้วยนอกจากตัวเปล่าก็หนีบมันไว้ที่ข้างชายโครง สีหน้าของพวกเขาทั้งหมดล้วนเศร้าหมอง บ้างก็ตกตะลึง บางคนที่วาดหวังอนาคตในภายภาคหน้าอย่างแช่มชัด ปรากฏความตั้งมั่นขึ้นในคลองจักษุ การประกาศของนักบวชอาวุโสเป็นสัญญาณให้นักบวชที่มียศต่ำกว่าเดินไปเปิดประตู และไม่ต้องใช้ความพยายามเลย เด็กชายทั้งหลายต่างเข้าแถวโดยไม่ต้องมีใครกำชับ แค่สายตาวาววับราวกับครูที่ถือไม้เรียวของแกนน่อนก็มากเพียงพอแล้ว
อลันที่กำลังขบคิดถึงเวลาที่เหลือของวันไปกับการอ่านกฎบ้า ๆ ของอัครมหาวิหาร อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปยังเก้าอี้แถวแรกสุดที่อยู่ด้านล่าง ต่างจากเด็กชายรายอื่น ๆ ที่กำลังเคลื่อนตัวออกจากที่นั่งของตน ผู้มีพระคุณทั้งสองของตนยังคงนั่งอยู่ที่เดิม หรือหากกล่าวให้ชัดเจนหน่อย คาร์ลกำลังนั่งหลังตรง และเปิดอ่านหนังสือเล่มหนาอย่างเงียบงัน ส่วนริเชลใช้หนังสือเล่มดังกล่าวหนุนต่างหมอนแทน
ยังมีเด็กชายอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยังไม่เคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน เด็กกลุ่มนั้นคือเหล่าทายาทขุนนางที่กลุ้มรุมตนเมื่อวาน แม่จะอยากรู้อยากเห็น แต่ช่องว่างที่เกิดขึ้นด้านหน้า ส่งให้เด็กคนอื่น ๆ ดันให้เขาก้าวเท้าไป เมื่ออลันเดินผ่านวงกบประตูที่สูงเกินสองเมตรไปแล้ว เขาจึงไม่เห็นสิ่งใดอีก
อลันจึงไม่ทันเห็นนัยน์ตาวาววับของอิลยา ที่ส่งต่อไปยังคาร์ลและริเชล
พวกเขาถูกนักบวชสองสามรายกำชับให้รออยู่ก่อนหากพิธีปฐมนิเทศจบสิ้นลง อิลยาผู้เป็นฝ่ายออกคำสั่งมาโดยตลอดจึงไม่ค่อยชินสักเท่าไร เขาตอบโต้กลับไปด้วยการนิ่วหน้าและขมวดคิ้ว แต่ครั้นหนึ่งในคนตามติดเข้ามากระซิบกระซาบว่า นักบวชยศต่ำทั้งสามรายคือลูกน้องของฮัมฟรีดผู้เป็นหนึ่งในผู้คุ้มกฎคราวนี้ อิลยาจึงหุบปากที่กำลังจะพ่นคำเกรี้ยวกราดลง เขาเพิ่งก่อเรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อน แม้จะมีอำนาจบาตรใหญ่เพียงไร ก็ควรที่จะรู้ว่าจุดใดที่ตนควรพอ
ยามนี้ขณะที่ผู้เข้าทดสอบรายอื่น ๆ กำลังทยอยเดินออกจากห้อง เขาจึงได้เห็นหน้าอริศัตรูชาติที่พบที่ตลาดเข้าจนได้ เด็กชายผมสีเงินยวงไม่มองมาทางตนเลยสักครั้งหนึ่ง ราวกับว่าเขาเป็นธาตุอากาศและไร้ความสำคัญอย่างไรอย่างนั้น ส่วนเด็กชายที่จัดการลูกน้องของตนเสียหมอบ ก็ไม่ทำอะไรอื่นใดนอกจากการก้มหน้าหลับใหล พฤติกรรมดังกล่าวส่งให้อิลยาเลือดขึ้นหน้า เขาเคยเป็นที่ได้รับความสนใจมาก่อน และไม่มีผู้ใดกล้าหันหน้าหนีหากเขามิได้สั่ง
ความคั่งแค้นแบบเด็ก ๆ ที่ไร้สาระกำลังกลายเป็นฝืนที่สุมไฟแห่งความคับแค้นให้ลุกโชนอย่างเงียบงัน
เมื่อนักบวชรายหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของอาเบลปิดประตูลง แกนน่อนที่รออยู่อย่างเงียบงันก็เดินออกมาด้านหน้าอีกครั้ง
“ออกมารวมกันตรงนี้”
เป็นอีกครั้งที่ทายาทดยุกทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อิลยาไม่เคยชินกับการโดนสั่งเอาเสียเลย แต่เมื่อเห็นนักบวชรายใหม่ที่เดินเข้ามา เขาถึงยอมลุกจากเก้าอี้และเดินไปหานักบวชอาวุโสก่อนค้อมกายทำความเคารพด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
“ยินดีที่ได้พบครับ ท่านแกนน่อน ท่านฮัมฟรีด”
นักบวชรายใหม่ที่เข้ามา คือผู้คุ้มกฎที่เขาเจอในตลาดนั่นเอง
แกนน่อนเพียงจ้องเขม็งไปยังเด็กชายโดยไม่กล่าวสิ่งใด ก่อนผินหน้าไปทางเด็กชายที่สองคนที่เหลือ ที่ยังไม่ทันได้ลุกจากเก้าอี้เสียด้วยซ้ำ
ริเชลยังคงตั้งอกตั้งใจนอนหลับ ราวกับว่าห้องประชุมนี้เป็นห้องนอนหาใช่ที่จัดงานปฐมนิเทศไม่ คาร์ลจึงพยายามปลุกด้วยการหยิกเอวอีกครั้งหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าหนังหนาของเขาจะทานทนขึ้นมาเสียอย่างนั้น ออกแรงสักกี่ครั้ง ก็หาแสดงท่าทีสะท้านสะเทือนไม่ คาร์ลจึงป้องมือเพื่อกระซิบกระซาบ
“หากไม่ตื่น คืนนี้ก็ไม่ต้องนอนครับ” เป็นการประกาศว่าเขาจะจับริเชลอ่านหนังสือทั้งคืนเหมือนช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
และวิธีนี้ยังคงได้ผลอยู่ เจ้าของเรือนผมสีเข้มจึงเด้งผางลุกขึ้น เขาเอามือเช็ดรอยน้ำลายที่ไหลอาบแก้ม แต่ไม่จัดผมกระดกที่เกิดจากการนอนทับให้เข้าที่เข้าทาง เด็กชายรีบถลันกายออกจากที่นั่งและเป็นฝ่ายเดินจูงมือคาร์ลไปในทันที เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาได้ยินทุกถ้อยคำ แต่เลือกที่จะไม่สนใจ
คาร์ลถอนหายใจเบา ๆ ราวกับคนแก่ ก่อนค้อมกายเพื่อแสดงความเคารพต่อนักบวชยศสูงทั้งหลาย โดยไม่ลืมที่จะลากให้ริเชลค้อมตัวตามด้วย
“ยินดีที่ได้พบครับ ท่านแกนน่อน ท่านฮัมฟรีด”
ต่างจากตอนที่อิลยาและพรรคพวกทักทายราวฟ้ากับเหว แกนน่อนเผยยิ้มน้อย ๆ และสายตาที่เป็นประกายราวกับอาจารย์ที่ได้พบศิษย์คนโปรด
“หวังว่าท่านจะได้รับความสะดวกสบาย” แกนน่อนเอ่ย ส่วนคาร์ลยิ้มรับอย่างสุภาพ
“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงเป็นใยนะครับ ท่านแกนน่อน”
และก่อนที่นักบวชอาวุโสจะลืมเป้าหมายสำคัญ ผู้ช่วยที่มีตำแหน่งเป็นนักบวชทั่วไปก็เข้ามาเอ่ยเตือนหัวหน้าของตนเบา ๆ แกนน่อนจึงขยับแว่นให้เข้าที่เข้าทางทั้งที่ไม่จำเป็นเลย ก่อนเอ่ยเข้าประเด็นอย่างไม่มีการเท้าความ
“ข้าทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนแล้ว”
ประโยคดังกล่าวส่งให้เหล่าทายาทขุนนางสะดุ้งเฮือก ในวันนั้นหลังจากที่เสร็จสิ้นเรื่องที่ตลาด พวกเขาก็ถูกผู้คุ้มกฎฮัมฟรีดเรียกไปสอบสวนที่ห้องทำงานของตน การสนทนาในวันนั้นเต็มไปด้วยความอึดอัดและระเบียบแบบแผน ฮัมฟรีดแยกซักถามพวกเขาเป็นรายบุคคลด้วยชุดคำถามเดียวกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าอิลยาจะพยายามอวดเบ่งเท่าไรว่าตนคือสายเลือดของดยุก อันมีน้าชายเป็นหนึ่งในนักบวชอาวุโสทั้งที่อายุยังน้อย หรือมีญาติเป็นสภานักบวชก็ตาม แต่ก็เหมือนกับการโยนหญ้ากระทบกับหินผา หรือก็คือฮัมฟรีดไม่ตอบสนองต่อวาจาเหล่านั้นของเด็กชายเลยแม้แต่น้อย หากเขาออกนอกเรื่องไป อีกฝ่ายก็ย้อนถามประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับหุ่นกระบอก โดยจะไม่เข้าสู่คำถามถัดไปหากว่าตนไม่ตอบให้ตรงประเด็น
หลังผ่านการพูดคุยอันน่าเบื่อหน่าย อิลยาและสมุนรายอื่น ๆ ก็ถูกบังคับให้อยู่แต่ในห้องพัก จนกว่าการสอบสวนเรื่องวุ่นวายที่ตลาดจะจบสิ้น
เด็กชายกำลังรออยู่พอดีเชียวว่าคำตัดสินดังกล่าวจะมาถึงตนเมื่อไหร่ แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีนักบวชอาวุโสที่เป็นผู้ดูแลการทดสอบครั้งนี้เข้าร่วมด้วย
อิลยาสัมผัสถึงการตั้งตัวเป็นศัตรูจากอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็น ทว่าแกนน่อนนั้นส่งสายตาที่ห่างจากความเป็นมิตรให้แก่ทุกผู้ทุกคน ยกเว้นแต่เด็กชายผมสีเงินยวง เรื่องดังกล่าวสร้างความตะขิดตะขวงใจอย่างช่วยไม่ได้ขึ้นในใจของอิลยา
“ข้าทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว” แกนน่อนกล่าว “และในฐานะของนักบวชที่รับหน้าที่ดูแลผู้เข้าทดสอบ ข้าต้องการจะทราบเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”
อิลยาเหยียดยิ้มในทันที เรื่องโกหกพกลมที่เขาเอ่ยขึ้นในตลาด ถูกถ่ายทอดออกไปอีกครั้ง อีกทั้งตนยังได้กำชับให้ผู้ติดตามคนอื่น ๆ ท่องจำมันให้ขึ้นใจ แต่เพราะเขายืนอยู่หน้าสุด จึงไม่ทันเห็นปฏิกิริยาสะดุ้งโหยงจากผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลัง พวกเขาต่างมองหน้ากันราวกับกำลังจะพูดออกมาว่า ‘มันเป็นแบบนั้นหรอกหรือ’
เป็นเพราะตอนที่อิลยากล่าว แล้วถูกพาไปยังห้องสอบสวนของฮัมฟรีด พวกเขาไม่มีโอกาสได้ทบทวนเรื่องราวกันอีกครั้งหนึ่ง ตอนที่ถูกเรียกเข้าห้องสอบสวน ต่างฝ่ายจึงต่างสร้างเรื่องในแบบฉบับของตนเองขึ้นมา และหวาดกลัวว่าจะถูกอิลยาตบตีเข้าที่จดจำเรื่องโกหกของตนไม่ได้ เลยเลือกปิดปากเงียบกันเอาไว้ พวกเขาต่างรู้ข้อเท็จจริงนี้ดี ทว่ามีแต่อิลยาเท่านั้นที่ไม่รู้
ครั้นฟังจบ แกนน่อนก็เลิกคิ้วแต่พองามทีหนึ่ง ก่อนหันหน้าไปหาฮัมฟรีดเป็นคำถาม รายหลังผงกศีรษะอย่างเบาบาง นักบวชอาวุโสจึงหันไปทางคาร์ลและริเชลที่ยืนรออยู่ เช่นเดียวกับฝ่ายอิลยา แกนน่อนได้ขอให้เด็กชายทั้งสองเปิดปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตลาด
ทว่าในเวลานั้นเอง ประตูที่ถูกปิดลงแล้วกลับเปิดออก นักบวชรายหนึ่งที่อยู่ในเครื่องแบบของวิหาร แต่ดูหรูหราด้วยการประดับอย่างเกินความจำเป็น เช่นการปักลวดลายวิจิตรตามแขนเสื้อก็เดินเข้ามา
เขามีอายุที่น้อยกว่าแกนน่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับมีทีท่าหยิ่งผยองอันเป็นเอกลักษณ์ อิลยาที่จดจำใบหน้านั้นได้ร้องเรียกขึ้น
“ท่านน้า!”
เขาคือนักบวชอาวุโสที่เลื่อนตำแหน่งได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของวิหาร อัลฟองโซ
ความคิดเห็น