คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บุตรชายบุญธรรม
แม้จะเจอคำถามอันอุกอาจเช่นนั้น แต่คาร์ลก็ยิ้มรับอย่างสุภาพ “เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ ที่ว่าข้าเสนอหน้า”
ริเชลตอบโต้กลับโดยไม่มีความลังเลเลย “ก็หมายความว่า ที่เจ้าเอาตัวเข้ามาขวางกั้น ก็เพื่อจงใจรับหมัดอย่างไรเล่า”
อลันที่นั่งฟังอยู่ไม่ห่าง รีบแก้ตัวแทนในทันที “เขาเอาตัวเข้าไปปกป้องเจ้าต่างหาก”
อีกฝ่ายโต้ตอบโดยไม่หันไปมอง “เปล่าสักหน่อย เจ้านั่นน่ะไม่มีทางแตะต้องตัวข้าได้หรอก เจ้าก็มองออกนี่ แล้วเหตุใดถึงต้องจงใจมารับการโจมตีแทนข้าด้วยเล่า”
เจ้าของเรือนผมสีเข้มถามย้ำขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง นัยน์ตาสีม่วงอ่อนแสดงถึงความไม่ยอมแพ้ในการค้นหาคำตอบ ฮัมดีที่นั่งอยู่ใจกลางบทสนทนาอันแปลกประหลาดนี้ก็ส่งเสียงหัวร่อออกมาอย่างไม่เกรงใจ เขายกมือตบบ่าริเชลราวกับเป็นสหายสนิท ทั้งที่เพิ่งพบหน้าไม่ถึงชั่วโมงดี
“ในฐานะที่ข้าอายุมากกว่า เรื่องบางเรื่องก็ควรมองข้ามไปบ้างนะ สหายเอ๋ย”
ริเชลมองผู้พูดก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่า ข้าควรเลิกสนใจเรื่องนี้ไปอย่างงั้นหรือ”
ฮัมดีเหยียดยิ้มกว้าง ในขณะที่หรี่สายตาไปทางคาร์ลและพูดไปด้วยว่า “ให้ดีก็เลิกสนใจเรื่องยิบย่อยทุกอย่างที่เจ้ามองเห็นนั่นละ”
เด็กชายที่ช่างสงสัยไปทุกเรื่องเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย กระนั้นเขาก็รับฟังถ้อยคำของผู้ใหญ่อย่างนักบวชด้วยการยิ้มรับอย่างว่าง่าย
“ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้น ข้าก็จะเชื่อเจ้าก็แล้วกัน”
นักบวชห้องพยาบาลเลิกคิ้วตามบ้าง ด้วยไม่คิดว่าพูดไปแล้วอีกฝ่ายจะรับฟัง ด้วยความสงสัย เขาจึงเป็นฝ่ายถามออกไปบ้าง “เจ้าเป็นลูกหลานใครละนี่”
ฮัมดีทำงานอยู่ในอัครมหาวิหารก็ตั้งหลายปีดีดัก ถึงจะไม่ได้คลุกคลีกับผู้มีอำนาจบาตรใหญ่นอกเหนือจากพี่ชายของตนเองก็ตามที แต่ก็พอจะรับรู้ถึงสายสนกลในของผู้ที่อยู่ใต้ร่มเงาวิหาร อย่างเด็กชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามตนเอง ก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่ควรประมาทเป็นอย่างมาก ทว่าเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงอ่อนนี่สิ นับว่าเป็นของที่หาได้ยากยิ่ง ถึงไม่อาจเรียกได้ว่าไร้เดียงสาอย่างเต็มปาก แต่ก็นับว่าซื่อใสได้อยู่บ้าง เขาจึงอยากรู้นักว่าอุปนิสัยเช่นนี้ได้จากใครมา
คาร์ลเป็นผู้ตอบคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มเยื้อน “เขาเป็นบุตรชายของท่านอลิสเซียน่าครับ”
ช่างเป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงนัก ฮัมดีถึงกับสำลักน้ำลายขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เขาไอค่อกแค่กจนต้องความหาน้ำมาดื่มเพื่อตั้งสติ ริเชลที่นั่งอยู่ข้างกันยังอุตส่าห์ลูบหลังให้อย่างมีไมตรี นักบวชหนุ่มที่มีเครางอกอย่างไร้ระเบียบ หันไปมองหน้าคาร์ลอีกครั้ง แต่ชี้นิ้วไปหาริเชลด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“หา ท่านอลิสเซียน่านี่นะ” เขากล่าวถามอย่างไม่เชื่อหู “ท่านไปไข่ไว้ตอนไหน ...ไม่สิ มีสตรีนางใดที่ทนเขาได้ด้วยรึ” และไม่รอให้เด็กชายได้เอ่ยตอบ เขาก็หันไปทางริเชลอีกครั้งหนึ่ง “แม่ของเจ้าเป็นผู้ใด ถึงได้ทนคนเช่นท่านอลิสเซียน่าได้”
ทั้งที่ปากเรียก ‘ท่าน’ แท้ ๆ แต่ประโยคที่เหลือกลับไม่มีความสำรวมต่อเจ้าของนามอย่างยิ่ง ริเชลตอบสนองด้วยการเอียงศีรษะ แต่เมื่อเขาอ้าปากเตรียมจะเอื้อนเอ่ย คาร์ลก็เป็นผู้ให้คำตอบเสียก่อน
“ริเชลเป็นบุตรบุญธรรมเหมือนกับข้าน่ะ”
ฮัมดีจึงร้อง อ้อ ขึ้นมา สีหน้าพลันโล่งใจเหมือนถูกปลดปล่อยจากจินตนาการอันร้ายกาจ และไม่ได้มีเพียงนักบวชแต่เพียงผู้เดียวที่อึ้งค้างไป อลันที่เสมือนจะถูกลืมก็ยังอ้าปากค้างด้วยเช่นกัน เขาเอ่ยถามด้วยเสียงตะกุกตะกักทีเดียวว่า
“ขะเขา..เขาเป็น...” นิ้วอันสั่นเทาของเด็กบ้านนอกชี้ไปที่หน้าของอีกฝ่ายอย่างไร้มารยาท “เขาเป็นบุตรชายของท่านหัวหน้าสภานักบวชหรือ!”
ไม่ใช่แค่เสียงเท่านั้นที่สั่นเครืออย่างตื่นตระหนก เสียงของอลันยังดังก้องไปทั่วห้องพยาบาลด้วยความตกตะลึง จนทำให้ผู้ที่นอนอยู่หลังม่านสะดุ้งไหว จนต้องเปิดผ้าออกดูว่าใครบังอาจมารบกวนตน
คาร์ลตอบสนองด้วยท่าทีสง่างามอันเป็นธรรมชาติ “ถูกแล้ว เขาคือบุตรชายของท่านอลิสเซียน่า”
ในระบบการปกครองของเดมา จะมีการแบ่งลำดับชั้นไม่ต่างจากขุนนาง โดยจะมีหัวหน้านักบวชเป็นผู้ปกครองประจำแต่ละหัวเมือง มีนักบวชอาวุโสเป็นผู้ดูแลประจำภาค และเหนือกว่าพวกเขาคือสภานักบวชที่ควบคุมดูแลอีกต่อหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นงานบริหาร การจัดเก็บภาษี และการดูแลสารทุกข์สุกดิบ ปากท้องของชาวบ้านก็ล้วนมีสภานักบวชเป็นผู้จัดการดูแล และผู้ที่อยู่เหนือนักบวชชั้นปกครองเหล่านั้น ก็คือหัวหน้าสภานักบวช หรือท่านอลิสเซียน่าผู้ลือเลื่องนั่นเอง แม้อลันจะอายุเพียงสิบกว่าปี แต่เด็กวัยเยาว์ทั้งหลายจะได้รับการสอนสั่งขั้นพื้นฐานจากวิหารน้อยที่ประจำอยู่ในแต่ละหมู่บ้าน พวกเขาไม่เพียงได้เรียนเขียนอักษร แต่ยังต้องเรียนเรื่องระบบการปกครองอันเป็นความรู้พื้นฐาน เพื่อนำไปต่อยอดเมื่อมีโอกาสได้เข้ารับการทดสอบเป็นนักบวชฝึกหัด ดังนั้นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงรู้จักนามของหัวหน้าสภานักบวชเป็นอย่างดี ตำแหน่งนี้คือผู้ที่อยู่เหนือคนทั่วหล้า แต่อยู่ใต้คนผู้เดียว
ไม่น่าเชื่อว่า การได้เข้ามาเมืองหลวงครั้งแรก ก็ได้พบเข้ากับลูกของผู้มีอิทธิพลเข้าเสียแล้ว เขาหันไปมองริเชลอย่างหวาด ๆ และรู้สึกอยากตีปากที่ตนเองพูดขัดขึ้นมาเมื่อก่อนหน้า ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบสนองด้วยการหันไปทางคาร์ล ผู้ที่เพิ่งเปิดเผยฐานะของตน
“หัวหน้าสภานักบวชคืออะไรหรือ อร่อยหรือไม่”
คราวนี้ไม่ใช่เพียงอลันเท่านั้นที่มีสีหน้าฉงนสนเท่ห์ แต่เป็นทั้งห้องเลยทีเดียว ยกเว้นเพียงแต่คาร์ลที่เอาแต่เหยียดยิ้มมาตั้งแต่เมื่อครู่ เขาเพียงแต่ส่ายหน้าอย่างสุภาพ
“ไว้ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังทีหลังเองครับ”
ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด ริเชลจึงอดขนลุกวาบขึ้นมาไม่ได้
เมื่อฮัมดีทำท่าจะเอ่ยถามต่อ คาร์ลก็ลุกขึ้นเดินไปจับมือของอีกฝ่ายไว้ “ไปกันเถอะครับ”
นี่คือสัญญาณให้นักบวชหนุ่มหุบปากลง ถึงฮัมดีจะติดแหง็กอยู่ในตำแหน่งนี้เพราะปากพาจนก็ตาม แต่เขาก็ยังพอจะรู้ว่าจุดใดที่ควรจะระมัดระวังเป็นพิเศษ และนี่ก็คือขอบเขตที่ว่านั้น คาร์ลส่งยิ้มให้แก่นักบวชประจำห้องพยาบาลด้วยความสุภาพยิ่ง และยังแฝงไปด้วยความยินดีที่อีกฝ่ายรู้สถานะของตน ฮัมดีกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก
ริเชลเองเมื่อถูกกระตุ้นให้ลุกขึ้นด้วยการบีบมือก็ยักไหล่แล้วเดินตามเพื่อนร่วมห้องไปอย่างว่าง่าย เจ้าของผมสีเงินยวงหันกลับมาหาอลันที่ยังนั่งตะลึงกับสถานะของริเชล แล้วพูดขึ้นมาว่า “พักอยู่ที่นี่สักคืนหนึ่งเถอะครับ พรุ่งนี้แข็งแรงดีแล้วค่อยกลับไปพักผ่อนที่ห้อง”
อลันพยักหน้าอย่างว่าง่ายเช่นเดียวกัน บางสิ่งบางอย่างบอกตนว่า การเชื่อฟังคำพูดของเด็กชายที่อายุไม่ต่างจากตน เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด เมื่อผู้ช่วยเหลือทั้งสองหายลับออกจากห้องพยาบาลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็เอนตัวไปหาฮัมดีที่กำลังจัดผ้าปูเตียงที่ยับย่นให้เรียบขึงอย่างตั้งอกตั้งใจ ถึงนักบวชประจำห้องพยาบาลจะมีท่าทางซอมซ่อจนไม่เหมือนนักบวชก็ตาม แต่เขามีนิสัยเจ้าระเบียบติดตัวอยู่
“เขาเป็นใครหรือครับ” อลันหมายถึงคาโลหรือคาร์ล เขารู้จักนามของฝ่ายนั้นจากผู้คนในท้องตลาด
ฮัมดีเลิกคิ้ว ก่อนกลอกตาเพื่อคิดหาคำตอบดี ๆ “ท่านอลิสเซียน่าอยู่ใต้ผู้ใด คนผู้นั้นก็คือผู้ปกครองของเขานั่นละ”
อลันคิดตามประโยคดังกล่าว ก่อนที่ขนทั่วสรรพางค์กายจะลุกชัน หัวหน้าสภานักบวชอยู่ใต้คนเพียงผู้เดียวเท่านั้น นั่นก็คือเจ้าวิหารผู้ปกครองแผ่นดินทั้งมวล
อลันที่เชื่อคำพูดของคาร์ลนอนจับไข้จนหัวโกร๋นไปอีกตลอดสองวันที่เหลือ ถึงฮัมดีจะบอกว่าเป็นเพราะผลจากการช้ำในก็ตาม แต่เขาเชื่อว่าเป็นเพราะตนได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองโดยไม่รู้ตัวต่างหาก หากเปรียบสถานะของสภานักบวชกับขุนนางแล้ว ตำแหน่งหัวหน้าสภาก็ไม่ต่างจากยศของดยุก ส่วนตำแหน่งผู้นำเดมา ก็คือกษัตริย์ดี ๆ นี่เอง
อลันที่นั่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน ลูบต้นแขนเบา ๆ หากนำประสบการณ์นี้ไปเล่าให้แก่เพื่อนที่วิ่งเล่นด้วยกันฟัง ก็คงไม่มีใครเชื่อ ว่าเด็กบ้าน ๆ อย่างตนจะได้ชิดใกล้กับคนระดับนั้น ในช่วงสองวันอลันพยายามจดจำรายละเอียดของเด็กชายทั้งสองให้มากที่สุด ด้วยไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดอีกต่อไปแล้ว
“อยู่นี่นี่เอง หายหัวไปไหนมาตั้งสองวัน”
เด็กชายที่มีรูปร่างใหญ่โตกว่า และมีส่วนสูงมากกว่านั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง เขาคือเพื่อนร่วมห้องที่อลันมีโอกาสได้แค่แนะนำตัว แต่ไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลยหลังเขาขอตัวออกไปหาซื้อของกินที่ตลาด อลันยังจำชื่อของอีกฝ่ายได้แม่นยำ
“ไง พลูโต เจ้าต้องไม่เชื่อแน่ว่าข้าหายไปไหนมา”
เด็กชายหัวเราะเป็นคำตอบ “ห้องพยาบาลน่ะสิ”
อลันผิดหวังในทันทีที่อีกฝ่ายรู้ทัน ถึงจะพบหน้ากันเพียงชั่วครู่ แต่กลิ่นอายของความเป็นคนต่างถิ่นเหมือนกัน ทำให้เป็นกันเองได้อย่างไม่ยากเย็น “เจ้ารู้ได้ยังไงน่ะ”
พลูโตยักไหล่ “เรื่องที่เจ้าพวกนั้น...” เขาลดเสียงลงต่ำ “ก่อเรื่องในตลาด ใคร ๆ ก็รู้กันว่ามีเด็กดวงซวยคนหนึ่งไปขัดหูขัดตาพวกมันเข้า ก็เลยโดนรุมประชาทัณฑ์อยู่กลางตลาดอย่างน่าอดสู แล้วในวันเดียวกันกับข่าวที่แพร่สะพัด เจ้าก็ไม่ได้กลับห้องมาอีกเลยตลอดสองวัน ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่า”
อลันพยักหน้ารับ หากกลับกันเป็นเขาที่ต้องอยู่โยงเฝ้าห้อง ก็คงจะรู้ในทันทีว่าคนในข่าวลือก็คือเพื่อนร่วมห้องนี่เอง
“ว่าแต่เจ้าก็ดูปกติดีอยู่ แขนไม่หัก ขาไม่หัก ตาก็ไม่บอด เจ้ารอดมาได้อย่างไรกันนี่” พลูโตพูดราวกับว่าอลันเพิ่งไปเผชิญสิงโตมา หาใช่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันไม่ แต่เมื่อเขานึกถึงนิสัยอันหยาบช้าป่าเถื่อนที่รุมสกัมเขาอย่างไม่มีเหตุผล เจอหน้ากับสิงโตอาจยังจะดีกว่า
“นักบวชที่ห้องพยาบาลรักษาข้า” อลันนึกถึงฮัมดีขึ้นมา ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นเช่นนั้น แต่นักบวชห้องพยาบาลมีนิสัยที่ใส่ใจผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง ตลอดสองวันที่ผ่านมา เขาได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทั้งถูกปลุกขึ้นมาเพื่อวัดไข้ หรือกินยาแก้ช้ำใน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงประจำอยู่ในห้องพยาบาล อลันเอียงตัวไปหาเพื่อนร่วมห้องอีกครั้ง “เจ้าได้ยินมาเพียงแค่นี้หรือ”
พลูโตเลิกคิ้ว “มีข่าวอื่นใดที่ข้าพลาดไปอีก”
เด็กชายร่างท้วมผู้นี้อาจดูเหมือนอันธพาลก็จริงอยู่ แต่เขาจัดอยู่ในบุคคลประเภทที่ชื่นชอบเรื่องของชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีทีท่าว่าตนพลาดข่าวอื่นใดไป ก็พาลคันหนังศีรษะยิบด้วยความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
“เล่ามาอลัน” เขาเอาแขนไปคล้องคออีกฝ่ายให้เข้าใกล้ “เจ้าเจอสิ่งอื่นใดอีก”
เด็กชายเหยียดยิ้ม เขาเองก็จัดอยู่ในพวกปากสว่าง แต่เมื่อทำท่าป้องปากจะเล่าเรื่อง เสียงเคาะโต๊ะก็ดึงความสนใจไปจนหมด
บัดนี้พวกเขากำลังนั่งอยู่ในห้องโถงทรงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ แม้การอยู่ในอัครมหาวิหารมาสามวันจะทำให้เริ่มชินตากับของสวยงามขึ้นมาบ้าง แต่สถาปัตยกรรมกรรมที่ออกแบบมาเพื่ออวดโฉมความวิจิตรและสง่างาม ก็ทำให้ใครหลายคนละลานตาอยู่ดี สถาปนิกที่ออกแบบห้องดังกล่าว ได้ทำให้แน่ใจว่า เสียงของผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าจะส่งตรงไปถึงผู้ที่นั่งอยู่แถวหลังสุดโดยไม่ต้องพยายาม ดังนั้นการเคาะไม้เพียงหนึ่งครั้ง จึงทำให้เสียงเซ็งแซ่เงียบลงในทันใด
เด็กชายทั้งหลายในชุดที่ดูดีที่สุดเท่าที่หามาได้ นั่งหลังตรงในทันทีเมื่อแลเห็นนัยน์ตาดุดันจากผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เขาเป็นบุรุษวัยย่างหกสิบที่ไว้ผมรองทรงตัดสั้น และอาจด้วยความเครียดจากงาน จึงทำให้ใบหน้าที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมดูแก่กว่าอายุ เรือนผมเองก็เริ่มเห็นผมหงอกประปรายไปทั่วศีรษะ กระนั้นก็ไม่อาจลดทอนความเกรี้ยวกราดที่มีอยู่ตามธรรมชาติไปได้เลยแม้แต่น้อย นักบวชรายนั้นอยู่ในเครื่องแบบสีขาวทองเช่นเดียวกับนักบวชรายอื่น ๆ ในห้อง แต่ตราที่ประดับอยู่ตรงหน้าอก บ่งบอกถึงตำแหน่งที่สูงกว่าผู้อื่น หลายคนจดจำได้จากการเรียนในหมู่บ้านว่า มันคือตราประจำตำแหน่งของนักบวชอาวุโส พวกเขาจึงนั่งหลังตรงขึ้นมาในทันที
เมื่อฝูงเด็กชายที่กระจัดกระจายอย่างไร้ระเบียบเข้าที่เข้าทางแล้ว อลันที่นั่งอยู่แถวหลังสุดจึงเห็นภาพเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน หากคะเนด้วยสายตาแล้ว เด็กชายทั้งหลายที่นั่งอยู่ในห้องนี้คงมีไม่ต่ำกว่าห้าร้อยคน ตัวโต๊ะและเก้าอี้ถูกแบ่งออกเป็นสามแถวใหญ่ ๆ เบื้องหน้าที่อยู่ใกล้ตำแหน่งตรงกลางที่สุด คือพื้นที่ของทายาทขุนนาง กลุ่มเด็กชายที่รุมกระทืบตนเมื่อวันก่อนนั่งสลอนอยู่พร้อมหน้า และเหมือนเป็นการยืนยันว่าข่าวลือได้แพร่สะพัดไปอย่างถ้วนทั่ว รอบตัวของกลุ่มทายาทขุนนางจึงถูกเว้นว่างเอาไว้ และไม่มีใครเลยที่กล้าจ้องไปยังทิศทางนั้นแม้แต่คนเดียว อลันละสายตาของเด็กชายเหล่านั้นไปเพื่อที่จะค้นหาผู้ที่น่าสนใจมากกว่า ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานเลย เพราะที่แถวหน้าสุด ถัดจากจุดที่ทายาทขุนนางนั่งอยู่ เขาก็มองเห็นสองเด็กชายที่สูงส่งกว่าประจำอยู่ในตำแหน่ง คาร์ลยังคงแต่งกายด้วยชุดสีเทาอย่างที่ตนเห็นเมื่อสองวันก่อน ส่วนอีกรายที่ดูไม่ปกติสักเท่าไรกำลังฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะอย่างไม่แยแสผู้ใด นักบวชที่ยืนอยู่แถวนั้นเพ่งมองริเชลอยู่เป็นระยะด้วยสายตาตำหนิติเตียน แต่เมื่อนักบวชอีกรายที่อยู่ในยศเดียวกันป้องปากกระซิบกระซาบ เขาก็ส่งสีหน้าตะลึงลานและขยับถอยหนีในทันใด ผู้ที่เข้ามาแถลงไข ว่าแท้จริงแล้วริเชลมีใครเป็นผู้หนุนหลังนั้น คืออาเบลนักบวชที่พาเขาไปยังห้องพักนั่นเอง
คาร์ลสะกิดไหล่เพื่อนร่วมห้องที่เอาแต่ฟุบหน้า
“ตื่นเถอะครับ ท่านแกนน่อนจะเริ่มพิธีปฐมนิเทศแล้ว”
ริเชลเอามือปัดนิ้วอีกฝ่ายออกแล้วโอดครวญ “เจ้าไม่ยอมให้ข้านอนทั้งคืน แล้วจะยังไม่ยอมให้นอนตอนนี้อีกหรือ”
นักบวชที่อยู่ใกล้สุด รวมถึงเด็กชายรายอื่นที่อยู่แถวถัดไปพากันคิดอกุศลในทันที
คาร์ลเหยียดยิ้มอย่างอ่อนโยน “หากไม่ยอมตื่นขึ้นมาตอนนี้ คืนนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้นอนเลยครับ”
นี่เปรียบได้ดั่งคำประกาศิต ริเชลที่มีทีท่าราวกับแมวขี้เกียจเด้งผึงขึ้นมาในทันที ก่อนส่งสายตาขุ่นเคืองไปทางสหายรายใหม่ “ทำไมเจ้าต้องทรมานข้าแบบนี้ด้วย หนังสือพวกนั้นทำข้าปวดหัวจะตาย”
เจ้าของเรือนผมสีเงินยวงตอบกลับอย่างสุภาพ “เชื่อข้าแล้วจะได้ดีนะครับ”
ริเชลโต้ตอบด้วยสีหน้าราวกับถูกป้อนยาพิษ “ได้อ่านหนังสือน่ะสิ ข้าเกลียดการอ่านหนังสือเป็นที่สุด” เขาประกาศลั่นอย่างไม่อายใคร
ความคิดที่ส่อไปทางใต้สะดือจึงถูกพัดปลิวหายไปในทันที
นักบวชอาวุโสมองตามต้นเสียงที่โวยวายขึ้นอย่างไม่สนหน้าไหนทั้งสิ้น ก่อนส่งสายตาพิฆาตไปใส่เพื่อให้ริเชลสงบปาก ทว่าเจ้าตัวกลับโต้ตอบด้วยการห้อยศีรษะไปด้านหลังอย่างคนเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา โดยยังใช้มือทั้งสองข้างจับโต๊ะด้านหน้าไว้ คาร์ลตอบสนองด้วยการยื่นมือไปบิดเนื้อที่ช่วงเอว ริเชลจึงสะดุ้งโหยงแล้วตวัดสายตาตัดพ้อมาทางคู่สนทนา
ดูเหมือนว่าระยะเวลาในช่วงสองวันนี้จะย่นระยะห่างของทั้งสองได้เป็นอย่างดี
ถึงริเชลจะไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ยอมนั่งหลังตรงและสงบปากสงบคำลงแล้ว คาร์ลจึงผินหน้ากลับไปหานักบวชอาวุโสที่ยังปรายตามองอยู่โดยตลอด เด็กชายค้อมศีรษะอย่างสุภาพที่สุด ในขณะที่นักบวชก็ค้อมรับด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผยเช่นเดียวกัน
อิลยาและพลพรรคที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก ส่งสายตาแวววาวด้วยโทสะไปทางอีกฝ่ายอย่างไม่คิดจะปิดบัง
แกนน่อนที่รับหน้าที่ดูแลผู้เข้าทดสอบกลุ่มใหม่ในปีนี้ส่งเสียงกระแอมเล็กน้อย เพื่อเป็นการส่งสัญญาณ เริ่มพิธีปฐมนิเทศ
“ยินดีต้อนรับพวกเจ้าทั้งหลาย” เขากล่าวด้วยเสียงดังกังวาน “ในฐานะของนักบวชอาวุโส ข้าขอเป็นตัวแทนเหล่าทวยเทพ เพื่อกล่าวต้อนรับผู้ที่ต้องการเข้ามาเป็นตัวแทนของพระองค์”
สายตาของเด็กชายทุกคู่จับจ้องไปยังผู้กล่าวเป็นสายตาเดียว พวกเขากำหมัดแน่น นี่คือการเริ่มต้นบททดสอบเพื่อคัดเลือกนักบวชอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น