ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันราตรี ONE THOUSAND NIGHTS

    ลำดับตอนที่ #5 : ผู้คุ้มกฎ

    • อัปเดตล่าสุด 8 ส.ค. 67


     แม้ทหารตรวจการณ์อาจไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินโทษเหล่าทายาทขุนนาง แต่ในเวลาซึ่งเป็นช่วงแห่งการคัดเลือก ‘ผู้เข้าทดสอบ’ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้สายเลือดของผู้สูงส่งมาเดินกร่างในเอสลีเซียได้นั้น ฐานะของพวกเขาก็ไม่อาจลอยตัวอยู่เหนือกฎหมายทั้งหมดได้

    ‘ผู้คุ้มกฎ’ คือตำแหน่งของนักบวชแห่งเดมา ที่มีหน้าที่กวดขันผู้เข้าทดสอบ หากมีเด็กชายรายใดทำผิด หรือ ไม่ปฏิบัติตามกฎของวิหารเกินสามครั้ง จะถือว่าขาดคุณสมบัติในการเข้าทดสอบในทันที อาจดูเหมือนไม่ร้ายแรงเท่าไร แต่มันคือการตัดเส้นทางในอนาคตได้ในพริบตา

    ในปัจจุบันนี้ ‘เดมา’ ไม่เพียงเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คน แต่ยังเป็นสถาบันการปกครองที่มีเสถียรภาพอย่างที่สุด เหล่าบรรดาผู้ปกครองต่างก็อยากให้ลูกหลานของตนได้เข้ารับการทดสอบเป็นนักบวช เพราะหากพวกเขาเหล่านี้สามารถผ่านการทดสอบ ก็ถือได้ว่าเป็นตัวรับประกันอนาคตและฐานะในภายภาคหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย มันมีความหมายมากทีเดียว โดยเฉพาะกับเหล่าสายเลือดขุนนาง พวกเขามักปรากฏอยู่ในรายชื่อของผู้สอบผ่านอยู่เสมอ และสามารถไต่เต้าไปอยู่ตำแหน่งอันมีบทบาทสำคัญในสภานักบวช ผู้ที่ไม่ผ่านบททดสอบก็จะถูกตราหน้าว่าเป็น ‘สิ่งที่มีข้อบกพร่อง’ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้อิลยาหน้าซีดเผือด

    หากผู้คุ้มกฎตัดสินว่าสิ่งที่ตนกระทำอยู่เป็นเรื่องร้ายแรง และขับไล่พวกตนกลับสู่บ้านเกิดที่คาลิเดียแล้วละก็ เขานึกไม่ออกเลยว่าจะมองหน้าบิดามารดาได้อย่างไร

    เด็กชายจ้องมองดวงตาที่มีรอยช้ำจากฝีมือของตน คาร์ลอาจดูไร้พิษสงในสายตาของผู้อื่นแต่ไม่ใช่กับตนแน่ อิลยาเกือบจะเห็นภาพเด็กชายที่ถูกตนต่อยหน้าแสยะยิ้มใส่ สิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดก็คือการถูกหยามหมิ่นจากพวกคนระดับล่าง แต่ครั้นจะพุ่งปราดเข้าไปหาด้วยการกระชากคอ เสียงของชาวบ้านที่มุงอยู่ด้านหลังก็ตะโกนขึ้นมาว่า

    “ผู้คุ้มกฎมาแล้ว!”

    ทหารตรวจการณ์เองก็ยังตกตะลึงในความว่องไวนี้

    หัวหน้าทหารหันไปค้อมกายแสดงความเคารพเมื่อเห็นผู้มาเยือนรายใหม่ ผู้มาใหม่รายนั้นอยู่ในเครื่องแบบเช่นเดียวกับนักบวชทั่วไป แต่ตราบอกระดับชั้นทำให้ผู้คนรู้ว่า เขาคือนักบวชที่มีสิทธิ์ตัดสินชะตาลูกหลานของขุนนาง

    “ท่านฮัมฟรีด” หัวหน้าทหารตรวจการณ์ค้อมกายคำนับ

    นักบวชฮัมฟรีดก็ค้อมกายให้อย่างสุภาพเช่นเดียวกัน เขาเป็นชายร่างหนา ที่ดูเหมาะแก่การเหวี่ยงหอกถือโล่ มากกว่าเทศนาสั่งสอนผู้คนด้วยคัมภีร์ เขาสูงกว่าหัวหน้าทหารไปเกือบสองนิ้ว และมีท่อนแขนที่ล่ำกว่าทหารเกือบทั้งหน่วย

    ฮัมฟรีดกวาดสายตามองชาวบ้านด้วยความสุภาพเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อหยุดลงที่คาร์ล เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

    “เกิดอะไรขึ้นหรือครับท่านคาโล”

     

    sds

    อิลยาและพรรคพวกชะงักค้างไป ด้วยรู้ว่าตราที่ประดับอยู่ตรงอกนั้นหมายถึงตำแหน่งของหัวหน้านักบวช อันมีสิทธิ์อำนาจไม่ต่างจากเจ้าเมือง และการที่เขาได้รับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกฎ ก็หมายความว่าฮัมฟรีดคือหัวหน้านักบวชประจำเอสลีเซีย

    และเจ้าเมืองรายนั้นกำลังเรียกเด็กชายที่เขาเพิ่งต่อยหน้าด้วยท่าทีเคารพนบนอบ

    คาร์ลยิ้มให้แก่คนคุ้นเคย “น่าอายเหลือเกินที่ต้องบอกว่า ข้าเอาตัวเข้าไปยุ่งกับเรื่องของผู้อื่นอีกแล้ว”

    เขากล่าวราวกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกทำร้ายร่างกายเพราะเอาตัวเข้าไปขวางกั้นเรื่องของผู้อื่น ฮัมฟรีดขมวดคิ้วมากยิ่งขึ้นไปอีก และหากอิลยามองไม่ผิด สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เด็กชายสะดุ้งโหยงเมื่อถูกหัวหน้านักบวชจับจ้องมาทางตนด้วยสายตามาดร้าย เขาไม่คุ้นชินเอาเสียเลย กับการถูกจ้องมองด้วยความเป็นศัตรู เขาเคยชินแต่กับสายตาของผู้ที่อยู่ต่ำต้อยกว่า หัวหน้านักบวชรายนี้ คงไม่พ้นเป็นพวกที่ต่อต้านขุนนาง

    อิลยาจ้องตอบผู้คุ้มกฎด้วยท่าทีของผู้ที่อยู่เหนือกว่า เขาเป็นขุนนางย่อมต้องมีค่ามากกว่าพวกไพร่ ต่อให้เป็นผู้คุ้มกฎ เด็กชายก็ไม่คิดจะเกรงกลัว เพราะอย่างไรในเดมาก็มีสายเลือดขุนนางที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งกว่านี้อีกมากมาย

    ฮัมฟรีดดึงสายตาไปที่อลันผู้มีบาดแผลทั่วตัว ก่อนมองริเชลที่ไม่สนใจเหตุการณ์ตรงหน้าอีกต่อไป เด็กชายกำลังหันไปพูดคุยกับพ่อค้าขายเนื้อกระทิงอีกครั้ง และพยายามยัดจำนวนเงินที่สามารถซื้อกระทิงได้ทั้งคอกให้แก่เจ้าของร้าน หัวหน้านักบวชขมวดคิ้วเล็กน้อย ก็หันกลับมาจับจ้องรอยแผลที่ข้างแก้ม เขาเข้าใจสถานการณ์เกือบทั้งหมดแล้ว

    “ข้าจะจัดการต่อเอง” เขาหันไปแจ้งแก่หัวหน้าทหาร

    และหัวหน้าทหารรายนั้นก็เต็มใจที่จะปลดความยุ่งยากให้เป็นภาระแก่ผู้อื่น เขาจึงค้อมศีรษะให้แก่หัวหน้านักบวช และเรียกให้ทหารทั้งหน่วยตามตนกลับไป ฮัมฟรีดผินกายไปทางกลุ่มของอิลยา

    “ขอเชิญพวกเจ้าทั้งหมด ตามข้ากลับไปที่วิหาร”

    อิลยาขมวดคิ้วกับคำว่า ‘เจ้า’ เขาต้องไม่พอใจแน่ละ เพราะที่มาผ่านมีแต่คนเรียกตนว่า ‘ท่าน’ ดวงตาที่ดื้อรั้นฉายความไม่พอใจ แต่ต่อให้เขามีผู้หนุนหลัง อิลยาก็ไม่คิดจะท้าทายอำนาจของเดมาก่อนที่จะได้มันมาครอง เขาจึงเม้มปากก่อนชี้นิ้วไปทางริเชลที่มีเนื้อกระทิงไม้ใหม่อยู่ในมือ

    “ท่านมาก็ดีแล้ว” เขาเริ่มเบี่ยงประเด็น แล้วบุ้ยคางไปทางลูกไล่ที่มีรอยถลอกตามแขนขาจากการล้มลุกคลุกคลาน “เขารังแกคนของข้า”

    สายตาของผู้ที่ชุมนุมอยู่มีความหมายเดียวกันในทันทีว่า หน้าไม่อายอะไรอย่างนี้ แต่อิลยาหน้าหนาเกินกว่าจะสะทกสะท้าน เขาโป้ปดออกมาได้หน้าตาเฉยและไร้ความละอาย

    “ข้ากับพวกเขากำลังอุดหนุนผู้ยากไร้อยู่ดี ๆ เขาก็เข้ามาหาเรื่อง และต่อยตีกับพวกข้าเพียงเพราะเดินเฉี่ยวไหล่กันเท่านั้นเอง” พ่อค้าแม่ขายที่ถูกปรามาสว่าเป็นผู้ยากไร้มองอิลยาเป็นตาเดียว ทายาทขุนนางไม่สนใจและกล่าวต่อไปว่า “ระหว่างที่เขาก่อเรื่องอยู่นั้น สองคนนี้...” ย่อมหมายถึงคาร์ลและอลัน “ก็เข้ามาร่วมรังแกพวกข้าด้วย พวกเขาถูกลูกหลงเพราะคิดจะรังแกพวกข้าครับ”

    อลันถึงขั้นอึ้งเหวอ มิใช่ไม่เคยเจอคนช่างตอแหลมาก่อน เพียงไม่เคยเจอใครที่ไร้ความละอายถึงเพียงนี้ อิลยาไม่เพียงเปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ยังบิดเบือนให้ออกห่างจากความเป็นจริงอย่างกลับตาลปัตร

    ริเชลผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นจำเลยไม่สนใจเช่นเดิม เขาเอาแต่เคี้ยวเนื้อกระทิงอย่างเอร็ดอร่อย ฮัมฟรีดหันไปหาอลันที่เป็นผู้เสียหายตัวจริง

    “เป็นความจริงรึ ผู้เข้าทดสอบ”

    อลันรีบกระวีกระวาดตอบในทันที “ไม่จริงครับ! พวกเขารังแกข้าต่างหาก แล้วท่านทั้งสองคนนี้เข้ามาช่วยข้าไว้ ไม่ว่าใครก็เป็นพยานได้!”

    เด็กชายเลือกใช้คำว่าท่าน ตามสรรพนามที่ผู้คุ้มกฎใช้เรียกเด็กชายผมสีเงิน และแม้เขาจะกวาดตาไปทั่วเพื่อขอความเห็นด้วยจากชาวบ้านที่มุงดู แต่อิทธิพลของสายเลือดของขุนนางก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอยู่ดี แทนที่จะมีเสียงตอบรับ กลับมามีแต่สายตาที่หันเหกันไปคนละทิศคนละทาง ด้วยกลัวว่าหากออกปากไปจะเดือดร้อนจากการคุกคามในภายหลัง และไม่มีใครช่วยเหลือพวกตนได้ ทว่าผู้ที่แค้นเคืองจากการที่คาร์ลถูกทำร้ายก็มีอยู่ พวกเขาเหล่านี้จึงตะโกนออกมาท่ามกลางความเงียบที่กระจายตัวเป็นหย่อม

    “ที่เด็กคนนั้นเล่าน่ะถูกแล้ว!”

    “ใช่ ๆ พวกนั้นน่ะ มาหาเรื่องเด็กคนนั้นก่อน!”

    “ท่านคาร์ลเข้ามาช่วยเหลือเด็กคนนั้นต่างหาก!”

    หนึ่งในลูกไล่ที่หัวเสียตะโกนโต้ตอบกลับไปอย่างไร้ยางอาย “หุบปากไป กล้ากล่าวหาท่านอิลยาเลยรึเจ้าพวกไพร่! ดูบาดแผลบนตัวพวกข้านี่!”

    พวกเขาต่างชี้ให้เห็นรอยถลอกและรอยเปื้อนบนเสื้อผ้า อันเทียบไม่ได้เลยกับรอยช้ำเลือดช้ำหนองบนตัวอลัน ด้วยความกล้าหาญที่ผุดขึ้นมาจากที่ใดก็ไม่อาจทราบได้ อลันก็ตะโกนด่ากลับไป

    “ไอ้พวกลูกหมานี่! แล้วรอยบนตัวข้านี่มันเกิดจากอะไร เกิดจากไอ้พวกลูกสุนัขไร้พ่อและไร้แม่มันทำรึ!”

    คำด่าทอแบบนี้ มีหรือที่พวกสายเลือดขุนนางจะเคยได้ฟังมาก่อน ด่าเพียงไม่กี่ประโยคแต่ลามปามไปถึงบุพการีได้ในครั้งเดียว เหล่าเด็กขุนนางทำท่าจะถลกแขนเสื้อเพื่อเข้าไปตีไอ้คนปากปีจออีกสักครั้ง แต่ก็ถูกเสียงกระแอมไอของหัวหน้านักบวชขัดเข้าเสียก่อน ฮัมฟรีดที่อายุอานามมากกว่าพวกไปมากโขเขม้นมองด้วยสายตาดุดัน พวกเขาจึงหยุดอยู่กับที่ในทันที

    “ตามข้ากลับไปที่วิหาร” นี่เป็นการประกาศว่าเขาจะเอาเรื่องเด็กชายเหล่านี้

    อิลยาเบิกตากว้างด้วยความตระหนกตกใจ ไม่เคยเลยที่ตนเองจะถูกหมางเมินความเป็นขุนนาง และยังถูกเรียกไปลงโทษอีกด้วย ฮัมฟรีดแสดงให้เห็นถึงความสองมาตรฐานด้วยการผินหน้าไปทางคาร์ล

    “ท่านไปห้องพยาบาลเถิดครับ รอยช้ำนั่นปล่อยทิ้งไว้นานคงจะไม่ดี”

    คาร์ลนั้นมีผิวที่ขาวกว่าเด็กทั่วไป จึงปรากฏรอยช้ำได้ง่ายกว่าคนปกติ ทั้งที่เพิ่งถูกต่อยไปเพียงไม่นาน แต่ก็กลายเป็นสีม่วงไปเสียแล้ว ผู้คุ้มกฎหันไปทางอลันและริเชล เขาจ้องเขม้นไปทางเจ้าของเรือนผมสีเข้มอย่างไม่วางตา และเมื่อเขาส่งเสียงกระแอมไอออกมา ก็ปรากฏร่างของนักบวชที่มีตำแหน่งต่ำกว่าราวสองสามคนเดินเข้ามาสมทบ ฮัมฟรีดออกคำสั่งให้หนึ่งในสามพาคาร์ล อลันและริเชลไปที่ห้องพยาบาล ส่วนอีกสองรายนั้นให้คุมตัวกลุ่มเด็กขุนนางไปกับตน

    เช่นนี้เองความวุ่นวายที่ตลาดจึงจบลงท่ามกลางความพึงพอใจของคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่กับอิลยา เขาไม่เคยถูกทำให้เสียหน้าถึงเพียงนี้มาก่อน อีกทั้งไม่เคยเลยที่จะถูกปฏิบัติราวกับเป็นพลเมืองชั้นสอง เด็กชายกัดริมฝีปากแน่นแล้วส่งสายตาแค้นเคืองไปทางคาร์ลและริเชล

     

    sds

    ในอีกไม่ถึงสิบห้านาทีถัดมา อลันก็ได้รับการรักษาอย่างดีในห้องพยาบาล

    นี่คือสถานที่อำนวยความสะดวกที่มหาวิหารตระเตรียมไว้ และไม่ได้มีไว้เพื่อเหล่านักบวชเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้การรักษากับชาวบ้านทั่วไปด้วย อลันเป็นเด็กชายที่เดินทางมาจากหมู่บ้านขนาดเล็ก เขาจึงไม่เคยเห็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่เท่ามหาวิหารมาก่อน แค่ห้องพยาบาลก็ใหญ่กว่าบ้านห้าหลังมาเรียงต่อกันแล้ว เขามองตามเตียงผู้ป่วยที่ถูกจัดเรียงออกเป็นสามแถว เตียงส่วนใหญ่นั้นว่างโล่ง แต่ก็มีบางเตียงที่ถูกดึงผ้าม่านปิดบังไว้อยู่สองถึงสามหลัง อันบ่งบอกว่ามีผู้ใช้งานอยู่ อลันถูกดึงความสนใจกลับมาด้วยความเจ็บปวด เด็กชายร้องโอ๊ยเมื่อถูกยาบางอย่างแต้มเข้าที่รอยถลอกตรงเข่าซ้าย เขานั่งอยู่บนเตียงหลังหนึ่ง และผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามคือนักบวชที่ประจำอยู่ในห้องพยาบาล

    “นิ่ง ๆ !” นักบวชรายนั้นส่งเสียงดุขณะที่เขาพยายามขยับตัวหนี แต่จะด้วยเล่ห์กลอันใดก็ตามแต่ รอยถลอกเหล่านั้นก็จางลงในทันที บาดแผลอาจไม่หายไปทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าสภาพก่อนหน้า รวมถึงรอยช้ำที่เคยปรากฏทั่วทั้งตัว ก็เหลือเพียงรอยสีน้ำตาลบางเบา

     

    sds

    อลันรู้ว่านี่คือ ‘น้ำยารักษา’ ที่มีเฉพาะในมหาวิหารเท่านั้น ถึงมิได้แสดงอาการของเด็กบ้านนอกเข้ากรุงออกไป แต่ผู้ที่อยู่ในชุดโก้หรูกลับกล้าเอ่ยถามออกไปอย่างไม่มีความเขินอาย จะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากริเชลที่นั่งอยู่ข้างนักบวชประจำห้องพยาบาล

    เด็กชายที่มีเรือนผมสีเข้มชะโงกหน้าเข้ามา “เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรหรือ”

    นักบวชที่ไว้ทรงผมไถด้านข้างจนเตียน และมัดหางม้าสูงเลิกคิ้ว ริมฝีปากของเขาดำคล้ำจากการสูบบุหรี่จัด หนวดเคราที่ขึ้นประปรายจากการโกนที่ไม่เรียบร้อย อลันไม่เคยเห็นนักบวชที่มีมาดรุงรังเช่นนี้มาก่อน ภาพลักษณ์ของผู้เผยแผ่ศาสนาเดมามักมีความสำรวม และน่าเชื่อถือ นักบวชรายนี้ไม่มีเลยสักข้อหนึ่ง และเขาก็ดูไม่สนใจที่จะรักษาไว้เช่นกัน

    นักบวชรายนั้นก้มมองริเชลตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า นักบวชที่พาพวกเขาเข้ามาเรียกขานริเชลและคาร์ลด้วยคำว่า ‘ท่าน’ ในทุกประโยค แต่ดูเหมือนว่านักบวชรายนี้จะไม่ใส่ใจ

    “บ้านนอกเข้ากรุงรึไงเจ้าน่ะ” เขาหันไปถามริเชล และยังเอามือดันแก้มของเด็กชายออก “ถอยออกไปมันเกะกะ พ่อแม่ไม่สั่งสอนเลยหรือ ว่าอย่ามาเกะกะคนทำงาน”

    เมื่อดูจากนิสัยอันเป็นเอกลักษณ์นี้ อลันไม่แปลกใจเลยที่นักบวชผู้นี้จะอยู่ในตำแหน่ง ‘นักบวช’ ทั่วไป ทั้งที่อายุอานามควรจะอยู่ในตำแหน่งอื่นแล้ว ริเชลไม่สนใจคำต่อว่าถึงบุพการีเลย

    “น้ำที่เจ้าใช้มันคืออะไรหรือ” เขายังคงให้ความสนใจกับน้ำสีใสที่ใส่อยู่ในกระปุกแก้วสีชา

    เมื่อแลเห็นแล้วว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่ยอมลดความสนใจลง ฮัมดีที่เป็นนักบวชประจำห้องพยาบาลก็เดาะลิ้นใส่ “ก็น้ำยาที่เอาไว้รักษาแผลไงเล่า ตาบอดหรือยังไง”

    เขากล่าวอย่างคนขี้หงุดหงิด แล้วลุกออกจากเก้าอี้ไม้ไร้พนักพิง เพื่อเดินไปยังเตียงที่คาร์ลนั่งอยู่ ริเชลเดินตามราวกับลูกเจี๊ยบที่เดินตามแม่ไก่

    “ข้าเห็นว่ามันรักษาบาดแผลได้ แต่อยากรู้ต่างหากเล่าว่ามันทำมาจากอะไร”

    ริเชลเอ่ยพร้อมรอยยิ้มยิงฟัน ฮัมดีเลิกคิ้วใส่เด็กชายอย่างรำคาญ และยังไม่ยอมตอบคำถามอยู่ดี เขานั่งลงตรงข้ามคาร์ล

    “ท่านไปเก็บเขามาจากไหนกัน”

    นักบวชเอ่ยถามอย่างคนคุ้นเคย คาร์ลหัวเราะเล็กน้อยก่อนสะดุ้งเมื่อเจ็บแผลที่มุมปาก “เขาชื่อริเชลครับฮัมดี”

    เป็นการบอกอย่างกลาย ๆ ว่าอีกฝ่ายเองก็มีนามให้เรียกขานเช่นกัน นักบวชยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แล้วนำผ้าผืนใหม่ที่มีขนาดเท่าอุ้งมือจุ่มลงในยารักษาดังกล่าว ก่อนเอาแต้มเข้าที่มุมปากของคาร์ล

    “มีคนกล้าต่อยท่านด้วยรึ” เขาเอ่ยถาม แต่เมื่อเห็นสายตาที่มีความนัย ฮัมดีก็แค่นหัวเราะออกมา “เจ้าประจำอีกแล้วละสิ”

    เขาหมายถึงสายเลือดขุนนางอย่างไม่ต้องสงสัย และเลื่อนสายตาไปหาอลันที่กำลังสำรวจแผลที่หายแล้วบนร่างกายของตน

    “ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่ถูกเด็กเปรตเหล่านั้นรุมประชาทัณฑ์” ฮัมดีเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เชื่อข้าเถอะ ข้ารักษาเด็กอย่างที่โดนแบบเจ้ามาไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว”

    มหาวิหารเพิ่งเปิดรับผู้เข้าทดสอบได้วันเดียว แต่กลับมีเหยื่อของทายาทขุนนางแล้วหลายราย อลันเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจที่คนพวกนั้นเหมือนถูกโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกันได้ขนาดนี้ ฮัมดีผู้อ่านความในใจนั้นออกพูดออกมาว่า

    “แล้วเจ้าจะแปลกใจว่าการเลี้ยงดูส่งผลต่อสติปัญญาถึงขนาดไหน”

    นี่ไม่ใช่คำชมแน่ อลันคิด และเป็นการกล่าวถึงเด็กเหล่านั้นอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่นักบวชผู้นี้จะทำได้ เขาผินหน้ากลับไปหาคาร์ลที่รอยช้ำตรงมุมปากจางลงมากแล้ว

    “ข้าละแปลกใจนัก ที่ผู้ที่ต่อยท่านยังไม่ถูกโยนเข้าคุก”

    คาร์ลส่ายศีรษะ “การต่อยข้าไม่มีบทลงโทษระบุไว้ในกฎของเดมาสักหน่อยครับ”

    ฮัมดีแค่นเสียง เฮอะ ในลำคอ “ถ้าท่านถูกต่อยบ่อยกว่านี้ พวกของท่านแกนน่อนต้องวิ่งวุ่นหาทางใส่มันลงไปจนได้แน่” เขากล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ

    คาร์ลจึงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนบาง “ท่านก็พูดเกินไป ข้ายังมิได้มีตำแหน่งอันใดนะครับ” เขายังคงลงท้ายอย่างสุภาพในทุกประโยค

    ฮัมดีเผยยิ้มแต่มิได้กล่าวตอบสิ่งใด กระทั่งอลันก็ยังรับรู้ได้ว่าเด็กชายผมสีเงินยวง ต้องมีบทบาทอันสำคัญยิ่งในมหาวิหาร เขาไม่เคยเห็นนักบวชยศสูงก้มศีรษะให้กับพลเรือนทั่วไปมาก่อน เด็กชายคิด แต่อันที่จริงแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นนักบวชที่มียศสูงมาก่อน จนกระทั่งได้มาเยือนเมืองหลวงเช่นเดียวกัน

    ริเชลที่ยังไม่ละความสนใจจากน้ำยารักษา เขานั่งลงบนเตียงเคียงข้างคาร์ล เขาหยิบฉวยน้ำยาที่อยู่ในกระปุกแก้วไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ นัยน์ตาเปล่งสีม่วงทอประกายระยิบระยับขณะสำรวจมัน ดูเหมือนว่าริเชลจะเป็นเพียงผู้เดียวที่ไม่สนใจบทสนทนาเหล่านั้นเลย ฮัมดีขมวดคิ้วอย่างรำคาญใจ และดึงกระปุกยามาไว้ในมือ เขาต่อว่าเด็กชายด้วยสายตา ทว่าริเชลกลับไม่สนใจเลย นอกจากบุ้ยปากเพราะถูกชิงของเล่นกลับคืนไป

    ในตอนนั้นเองที่จู่ ๆ เด็กชายก็หันหน้าไปทางคาร์ลที่มีใบหน้าเกลี้ยงเกลาแล้ว

    “ข้าสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งน่ะ” เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง

    คาร์ลเอียงคอเล็กน้อยอย่างผู้ที่ได้รับการสอนสั่งมาอย่างดี “สงสัยเรื่องอะไรหรือครับ”

    ริเชลชี้นิ้วเข้าที่มุมปาก “ทำไมเจ้าต้องเสนอหน้าไปให้อีกฝ่ายต่อยด้วยหรือ”

    ห้องพยาบาลตกสู่ความเงียบสงัดในบัดดล

     

    sds


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×