คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ทายาทขุนนาง
คำถามดังกล่าวดูจะถามได้อย่างไร้กาลเทศะ ผู้คนที่ทำเป็นมองไม่เห็นสถานการณ์นี้เมื่อก่อนหน้า เผลอไผลหันมามองที่ริเชลกันเป็นตาเดียว เขาแย้มยิ้มโดยที่ปากยังเคี้ยวเนื้ออยู่ จนเมื่อละเอียดพอแล้ว เขาจึงกลืนเนื้อชิ้นนั้นลงคอไป ในมือของริเชลจึงเหลือแต่ไม้เปล่าเปลือย เด็กชายเอาปลายไม้ชี้หน้าอีกฝ่ายแล้วถามซ้ำ
“พ่อแม่เจ้าเป็นอะไรกันเล่า สุนัขขี้เรื้อนหรือหมูสกปรก”
นี่คือการยียวนกวนประสาทของแท้ เท้าที่เงื้อกลางอากาศถูกดึงกลับมายังที่เดิม เด็กชายที่เป็นศูนย์กลางของความวุ่นวายทั้งปวงปัดมือริเชลและไม้เสียบเนื้อกระทิงออก จนไม้ดังกล่าวกระเด็นตกลงสู่พื้น ริเชลชำเลืองมองและรู้สึกโชคดีที่กินเนื้อเหล่านั้นไปหมดแล้ว
บรรดาเด็กชายที่ยืนดูมาตั้งเมื่อครู่ถลาเข้ามาแทรกกลางระหว่างริเชล และผู้นำกลุ่มของตน เขามีรูปร่างที่ออกไปทางเตี้ยและกลมกว่า ดวงหน้าดูจ้ำม่ำและบานออกเป็นทรงกลม ริเชลมองทรงผมที่ถูกตัดเป็นทรงกะลาแล้วหัวเราะคิกคักออกมา
“เจ้าเป็นใคร ถึงกล้ามาขวางคุณชายลันซ์ซอฟได้!”
“ข้าชื่อริเชล” เขากล่าวตอบ “ทีนี้ก็รู้จักกันแล้วสินะ แล้วเขาจะตอบคำถามข้าได้หรือยัง”
เด็กชายถามด้วยท่าทีพาซื่อเกินกว่าจะเป็นการยียวน ฝ่ายที่ออกมารับหน้าแทนเจ้านายถึงกับผงะถอยหลังด้วยความไม่แน่ใจ เขาเบือนหน้าไปหาเด็กชายที่รูปงามกว่า และพบกับดวงตาวาววับอย่างโกรธเคืองที่ถูกขัดจังหวะ
“เจ้าเป็นใคร เป็นเพื่อนของมันหรือ” เมื่อตัวเด็กชายที่เป็นหัวโจกเอ่ยขึ้น เจ้าลูกไล่จึงกอยกายไปด้านหลัง ริเชลยังคงมองตามผมทรงกะลาครอบนั้นไปอยู่ ก่อนตวัดสายตากลับมายังเด็กชายรายแรก
“เจ้าชื่ออะไร” นอกจะไม่ยอมตอบคำถามแล้ว ยังจะถามกลับเสียอีก
เด็กชายหัวโจกขบกรามแน่น กระนั้นด้วยความมีมารยาทที่สั่งสมมา ก็ยังพูดตอบกลับไป “ข้าชื่อ อิลยา ลันซ์ซอฟ เป็นบุตรชายของอดีตดยุกลันซ์ซอฟ”
เขาเน้นพยางค์หลังด้วยน้ำเสียงแห่งความภาคภูมิใจ ชาวบ้านร้านตลาดที่มุงดูอยู่ ต่างหลบสายตาไปทางอื่นในทันที นั่นคืออากัปกิริยาโดยทั่วไปของคนชั้นต่ำยามที่ได้ยินที่มาของตน อิลยารู้สึกปลาบปลื้มกับช่วงเวลาเหล่านี้จนถึงขั้นเสพติด
ริเชลเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้ฟังแล้วก็ไม่สนใจใยดีแต่อย่างใด เขาร้องอ้อด้วยท่าทีไร้อารมณ์ ก่อนเอ่ยถามว่า “อดีต นี่มีความหมายว่าอย่างไร”
แต่ผู้ที่เขาพูดด้วยกลับเป็นเด็กชายที่นอนพังพาบอยู่ที่พื้น ริเชลส่งยิ้มอย่างไรพิษภัย และด้วยความงุนงงเด็กชายจึงตอบคำถามกลับไป “เอ้อ...” เขานึกหาคำ “เวยาทีหย่านไยแย้ว”
เพราะเด็กชายถูกต่อยเข้าที่ริมฝีปากจนบวมช้ำ ประโยคที่ออกมาจึงเพี้ยนอยู่บ้าง แต่ริเชลฟังแล้วเข้าใจ เขาหันกลับไปหาอิลยาที่ขมวดคิ้วรออยู่
“เวลาที่ผ่านไปแล้ว” เด็กชายทวนความหมาย อย่างมีนัยสำคัญ “งั้นก็หมายความว่าพ่อของเจ้าไม่ได้เป็นดยุกอะไรนั่นน่ะสิ แล้วทำไมต้องโอ้อวดอย่างลำพองด้วยล่ะ”
ช่างเป็นคำถามที่เข้าเป้าอะไรเช่นนี้ ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก เสียงหัวเราะดังผ่านลำคอราวกับเสียงของแมวที่ฝนเล็บกับกล่องไม้
อิลยาที่มีใบหน้าซีดขาว แดงก่ำขึ้นมาทันใด ด้วยเป็นครั้งแรกที่ถูกเย้ยหยันอย่างซึ่งหน้า ปกติแล้วเวลาเอ่ยนามของตระกูลออกไปก็มีแต่ผู้คนบ่ายหน้าหนี เป็นครั้งแรกที่ถูกสวนกลับโดยไม่มีความเกรงกลัว ริเชลยังคงเติมเชื้อไฟลงไปด้วยรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า
“ตกลงแล้วพ่อแม่ของเจ้าเป็นสุนัขหรือหมูกันเล่า จึงต้องบังคับให้คนอื่นเรียกตาม”
ใบหน้าของอิลยาแดงก่ำมากยิ่งขึ้นไปอีก คราวนี้โทสะส่งให้เลือดลมพลุ่งพล่านจนแดงเถือกไปถึงลำคอ ประโยคดังกล่าวคือการด่าทอไปถึงบิดามารดาอย่างไม่ต้องสงสัย ไอ้เจ้าคนตรงหน้านี้เป็นใคร ถึงอาจหาญทุ่มเถียงกับสายเลือดขุนนางอย่างตน
นับตั้งแต่ในอดีต ก่อนที่สงครามระหว่างมนุษย์และเผ่าอสูรจะบังเกิด บ้านเมืองได้ปกครองโดยชนชั้นศักดินา กล่าวคือมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีขุนนางเป็นผู้ดูแลปวงประชา หลังการถอยร่นของเผ่าอสูร และศาสนาเดมาเริ่มมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต เหล่าขุนนางจึงได้สละยศถาและมอบอำนาจของการปกครองให้แก่มหาวิหาร เพื่อเป็นการตอบแทนความเสียสละอันใหญ่หลวงแก่ประชาราษฎร์ เดมาจึงได้มอบดินแดนส่วนหนึ่งให้อยู่ในการปกครองของเหล่าอดีตขุนนาง และให้อภิสิทธิ์พิเศษแก่ทายาทของขุนนางเหล่านั้น
และด้วยความเป็นอภิสิทธิ์ชนนี่เอง ที่ทำให้เหล่าผู้สืบสายเลือดของขุนนางในอดีตกำเริบเสิบสาน ก่อเรื่องวุ่นวายโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และไม่ไว้หน้าผู้ใดด้วยถือว่าเป็นผู้เสียสละเพื่อบ้านเมือง จนเกิดเป็นปัญหาเรื้อรังตามมาอย่างไม่จบไม่สิ้น ไม่มีผู้ใดกล้าต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขาเหล่านี้ เพราะมีกฎหมายคุ้มครองอยู่อีกต่อหนึ่ง ดังนั้นแม้ว่าจะเห็นเด็กชายถูกรังแกอย่างไร้ทางสู้ ชาวบ้านชาวช่องที่หาเช้ากินค่ำก็ต้องทำเป็นเมินเฉยไปเสีย
อิลยาที่ถูกลูบคมเป็นครั้งแรกในชีวิต ชี้นิ้วที่ได้รับการบำรุงอย่างดีขึ้น เขาตะโกนลั่น “เจ้ากล้าว่าท่านพ่อท่านแม่ข้าเป็นหมูปักโคลนกับสุนัขขี้เรื้อนงั้นรึ!”
ริเชลผู้มีสีหน้างุนงง เท้าสะเอวแล้วเอานิ้วข้างหนึ่งแคะขี้หู “คนที่พูดขึ้นมาน่ะมันเจ้าเองนะ ข้าไปว่าพ่อแม่เจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าแค่ถามเฉย ๆ เท่านั้นเอง”
ก็ถูกอย่างที่เด็กชายว่า เขามิได้เป็นฝ่ายที่เริ่มก่อน คราวนี้อิลยาไม่ได้เพียงแดงแค่ลำคอหรือใบหน้า แต่ว่าความโกรธเกรี้ยวนั่นแล่นริ้วมาถึงส่วนของฝ่ามือเลยทีเดียว และยิ่งโมโหโทโสมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่ออีกฝ่าเมินเฉยด้วยการยอบการสนทนากับเด็กชายที่ถูกรังแกแทน
“สวัสดี ข้าชื่อริเชล เจ้าชื่ออะไรรึ”
เด็กชายที่อยู่ในสภาพขะมุกขะมอมรายนั้นกะพริบตาปริบ ๆ มองดวงหน้าที่มีรอยยิ้มแต้มอย่างถ้วนทั่ว ขนาดรูปทรงของคิ้วยังแสดงออกถึงความทะเล้นและเป็นคนอารมณ์ดี ทั้งที่เขาเพิ่งถูกรุมประชาทัณฑ์มายังเกือบจะยิ้มตาม แค่เพียงแค่ยกยิ้มมุมปาก อาการเจ็บจากการถูกต่อยก็ส่งให้เขากลับไปหุบปากเช่นเดิม แต่ก็ยังเอ่ยรับคำทักทายออกไป
“ย้ายื่อยลัน” ปากที่บวมเป่งทำให้เสียงของเด็กชายอู้อี้
ริเชลเอียงคอเล็กน้อย ก่อนยิ้มยิงฟัน “เจ้าชื่ออลันงั้นรึ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
จังหวะนั้นเองอิลยาที่ถูกละเลยความสนใจไปก็เดือดดาลถึงขั้นสุด แน่นอน เขาไม่ใช่ประเภทที่ลงมือด้วยตัวเองหรอก เขาถูกเลี้ยงมาในฐานะคนสั่งการ ครั้นโมโหจนถึงขีดสุดก็ชี้นิ้วสั่งให้ลูกไล่ของตนออกไปทำหน้าที่ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีเพียงคนเดียว พวกเขามีกันถึงหกคน และชาวบ้านชั้นต่ำเหล่านี้ย่อมไม่มีความกล้ามากพอที่จะเข้ามาช่วยเหลือแน่
แม้พวกเขาจะเป็นเพียงเด็กชายอายุสิบกว่าปี แต่ก็ได้รับการฝึกฝนวิชาดาบขั้นพื้นฐานมาแล้ว ถึงจะเหลาะแหละไปบ้าง แต่ก็ถือว่ามีฝีมือพอจะฟาดคนไร้ทางสู้ได้
เด็กชายที่ตัวอ้วนกลมอันมีนามว่าวีลิสพุ่งเข้ามาเป็นรายแรก เขามีกระบองเหล็กอยู่ในมือ และดูออกว่าเป็นของที่พกติดกายอยู่เป็นประจำ แม้จะอ้วนกลมจนเลยคำว่าอุดมสมบูรณ์ไปแล้ว แต่กลับปราดเปรียวผิดรูปร่าง กระโจนทีเดียวก็พุ่งมาถึงตัวริเชล พร้อมเงื้อแขนหมายจะฟาดกบาล
อลันร้องเตือนทั้งที่ปากยังเจ็บอยู่ ริเชลชำเลืองมองฝ่ายตรงข้ามแล้วเอี้ยวตัวหลบโดยที่สองมือยังซุกอยู่ในกางเกง ก่อนยกเท้าไปสกัดขาทั้งสองข้างจนอีกฝ่ายล้มหน้าคว่ำลง กระบองเหล็กกระเด็นหลุดออกจากมือไปในอากาศ เด็กชายเข้าคว้าไว้อย่างชำนิชำนาญ
“เจ้าถือมันไม่แน่นพอนะ” ริเชลให้คำแนะนำ ก่อนขว้างอาวุธในมือใส่เด็กชายที่มีใบหน้าทรงสามเหลี่ยม จมูกที่ยืดยาวกว่าคนปกติถูกท่อนเหล็กอัดจนยุบเข้าไปในใบหน้า เขาที่ถือไม้หน้าสาม ซึ่งคว้าหยิบได้จากแถวนั้นถูกแรงกระแทกจนหงายหลังลงไปนอนอยู่กับพื้น ท่อนไม้กระเด็นหลุดออกจากมือเข้าไปขัดขาเด็กชายที่วิ่งตามมา ยังไม่ทันจะได้ร้องโวยวาย หรือทำท่าออกอาวุธ ก็ล้มหน้าคว่ำกระแทกพื้นไปเป็นรายที่สาม
ลูกไล่อีกสองคนที่วิ่งไปด้านข้าง หวังเข้าจู่โจมจากมุมอับตะลึงลานจนได้แต่มองพรรคพวกของตัวสิ้นท่า จึงไม่ทันสังเกตเห็นริเชลที่เข้ากระหนาบด้วยความว่องไว เขามีท่วงท่าราวกับเดินเล่น สองมือยังคงล้วงกระเป๋าไว้ และวาดขาทีเดียวอีกฝ่ายก็ล้มคว่ำไปอีกราย เหยื่อรายนี้มีดาบไม้อยู่ในมือ ริเชลจึงริบเอามาเป็นของตนก่อนหมุนตัวไปด้านข้าง แล้วใช้ด้ามดาบทุบเข้าที่ท้ายทอยของเด็กชายรายสุดท้ายที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับตะโกนลั่นไปด้วย
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เพียงชั่วกะพริบตาเด็กชายทั้งหกก็นอนเกลื่อกลาดอยู่กับพื้น โดยมีริเชลที่ยืนอยู่อย่างผู้กำชัยโดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วน อลันที่ถูกซ้อมเสียยับเยินเงยหน้ามองผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือ ในขณะที่ตนถูกซ้อมอย่างไม่ชิ้นดี แต่ฝ่ายตรงกันข้ามนั้นกลับลงมือได้อย่างหมดจด แม้เหงื่อยังไม่ปรากฏเลยแม้แต่นิดเดียว
ริเชลโยนดาบไม้ที่ถืออยู่ในมือเล่นราวกับลูกหนัง ก่อนโยนไปแทบเท้าของอิลยาที่ตัวสั่นระริกด้วยความโกรธ
ทายาทขุนนางใหญ่ไม่เคยเสียหน้าเท่าวันนี้มาก่อน การแสดงฝีมือของริเชลส่งให้ทั่วทั้งตลาดเผยยิ้มเย้ยหยันระคนสะใจอย่างปิดไม่มิด ใครบางคนพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถจนมีใบหน้าเหยเก นั่นยิ่งทำให้อิลยาอับอายมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อแลเห็นบรรดาลูกน้องที่นอนร้องโอดโอย แทนที่เด็กชายจะสงสาร เขากลับเดินเข้าไปหา และยกเท้าเตะซ้ำเพื่อระบายความอัดอั้น
ไอ้พวกไร้ประโยชน์เอ้ย!” เขาคำราม
มีหลายคนนิ่วหน้าเมื่อเห็นหนึ่งในนั้นถูกเตะเข้าที่สีข้าง แต่เพราะพฤติกรรมอันน่าเอือมระอาจึงไม่มีผู้ใดสงสารพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว มีแต่การเยาะเย้ยเท่านั้นที่ปรากฏอย่างเห็นได้ชัด ริเชลยักไหล่แบบเชิญชวน
“เจ้าไม่เข้ามาแบบพวกเขาด้วยหรือ”
นี่ไม่ต่างจากการหยามหมิ่นซึ่งหน้า อิลยาที่หน้าแดงก่ำจนกลายเป็นสีเขียว ตวัดสายตาเดือดดาลมาทางริเชลอย่างเอาเรื่อง และเหมือนเป็นการรับคำท้าทายนั้น เขาก็พุ่งเข้าหาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่แม้แต่จะคว้าเอาดาบไม้ที่นอนนิ่งอยู่ตรงปลายมาเป็นอาวุธ เด็กชายกำหมัดแน่น แล้วพุ่งเข้าไปหาริเชลด้วยความเหลืออด นัยน์ตาแดงซ่านไปด้วยเส้นเลือดฝอย และในวินาทีถัดมา ก็มีเด็กชายผู้หนึ่งเอาตัวเข้ามาขวางกั้นไว้
เพราะการกระทำนั้นเป็นไปอย่างปุบปับ และอิลยาไม่มีความคิดจะยับยั้งชั่งใจ หมัดดังกล่าวจึงถูกประเคนใส่ใบหน้าของคาร์ลอย่างจัง
ร่างในเสื้อสีเทาดูสะอาดตาล้มกลิ้งลงกับพื้นจนเปื้อนฝุ่น ต่างจากตอนที่อลันถูกซ้อมเป็นนักหนา ขาวบ้านต่างส่งเสียงด้วยความตกตะลึงก่อนตามมาด้วยสายตามุงร้ายไปทางอิลยาอย่างไร้ความหวาดกลัว
เจ้าของร้านขายสมุนไพรพุ่งออกมาจากตัวร้าน นางเข้าไปประคองคาร์ลที่ล้มนั่งอยู่ที่พื้น
“เป็นอะไรมากไหมคะท่านคาร์ล ตายแล้ว! โดนเต็ม ๆ เลยนี่คะ แบบนี้จะบวมเอานะ ปากแตกด้วยหรือไม่คะ รีบกินยาของข้าเถอะ!”
นางรีบละล่ำละลักกล่าว และยังล้วงเอาขวดยาที่แผงขายของออกมาให้ คาร์ลที่ถูกต่อยหน้าจนแก้มแดงก่ำ รีบยกมือปฏิเสธ ก่อนดันตัวขึ้นจากพื้นโดยมีพ่อค้าแม่ค้าหลายรายเข้ามาช่วยประคอง
จากที่เคยสงสัยว่าเด็กชายที่เข้ามาช่วยตนเป็นใคร อลันก็เริ่มสงสัยขึ้นมาแทนว่า ผู้ที่เข้ามาใหม่รายนี้เป็นใครกันแน่
ริเชลที่ยืนอยู่ห่างออกไปสองช่วงตัวเหลือบแลไปทางคาร์ลด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ ก่อนยักไหล่อย่างใคร่ไม่ใส่ใจนัก
คาร์ลที่ยืนขึ้นแล้วยกมือทาบบริเวณพวงแก้มที่เริ่มปวดบวม ตรงมุมปากปรากฏหยาดเลือดสีเข้ม
“พอแค่นี้เถอะนะครับ” เขาร้องขอ
อิลยาถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อรู้สึกถึงสายตามุ่งร้าย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเลยที่กล้าแม้แต่จะสบตา หรือยื่นเท้าเข้ามายุ่งเกี่ยว แต่บัดนี้กลับพร้อมใจกันแสดงความขุ่นเคืองอย่างไม่คิดจะปิดบัง
พ่อค้าร้านขายเนื้อกระทิงโกรธจัดจนผลุบออกจากร้าน เขาตะโกนลั่น “ทหาร ๆ มีคนทำร้ายท่านคาร์ลตรงนี้!”
เมื่อเห็นว่าชื่อเสียงเรียงนามอีกฝ่ายถูกพ่วงเข้าไปในประโยคนั้นด้วย อิลยาก็หันควับไปเด็กชายที่มีผมสีเงินยวง เสียงก่นด่าดังขึ้นมาเป็นระยะจนเขาสับสน ก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน ยังไม่มีใครกล้าต่อกรกับตนเลยแท้ ๆ
เสียงรองเท้าเหล็กกระทบกับพื้นดังตามมาเป็นระยะ ท่ามกลางฝูงชน อิลยามองเห็นทหารในชุดเกราะหนัก สวมหมวกเหล็กปีกกว้าง ในมือถืออาวุธหอกที่มีตราของทหารรักษาการณ์
บุรุษวัยฉกรรจ์ที่มีหนวดเฟิ้มและไม่ได้รับการจัดแต่ง เพ่งมองไปยังคาร์ลที่มีรอยช้ำปรากฏตรงแก้ม
“เกิดอะไรขึ้นครับ!” เขาอุทานลั่น ก่อนตวัดสายตาไปยังตัวต้นเหตุในทันที “ฝีมือของเจ้า-- เฮ้ย!” ทหารรักษาการณ์รีบเปลี่ยนคำพูดในทันทีเมื่อเห็นการแต่งกายของอีกฝ่าย “ของท่านหรือ”
ไม่เพียงวิธีการพูดที่เปลี่ยนไป ท่าทีก็ยังเปลี่ยนแปลงไปด้วย หัวหน้าทหารรักษาการณ์พบว่า ตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่หันไปทางไหนก็เจอแต่หุบเหว ฝ่ายหนึ่งก็เป็นทายาทของเหล่าขุนนาง ที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์สามัญ ส่วนอีกฝ่ายนั้น... เขาเหลียวไปหาคาร์ลที่ส่งยิ้มให้ แม้ใบหน้าจะบวมเป่งไปข้างหนึ่ง
เด็กชายผมสีอ่อนอ่านบรรยากาศกระอั่กระอ่วนออกในทันที เขาถอนหายใจออกมา แล้วอธิบายความเป็นไป
แม้คาร์ลจะไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งแต่ต้น แต่เขาเล่าเรื่องราวได้ครบถ้วนทีเดียว เริ่มจากอลันกำลังเดินเลือกซื้อย่ามใบใหม่อยู่ แล้วบังเอิญในเวลานั้นกลุ่มของทายาทขุนนางก็ปรากฏตัวอย่างพอดิบพอดี เขาที่ดูเป็นเด็กชายชาวบ้านที่เพิ่งเข้ากรุงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ากลายเป็นที่ต้องตา อิลยาที่กำลังหงุดหงิดด้วยสาเหตุบางประการจึงไม่ลังเลเลยที่จะเข้าไปหาเรื่อง โดยใช้วิธีบ้าน ๆ อย่างการเดินชนไหล่ และโทษว่าเป็นความผิดของอีกฝ่าย และด้วยจุดเริ่มต้นเพียงเท่านี้เอง ก็ลามไปสู่การด่าทอฟาดฝีปากกัน อลันที่เติบโตมาจากถิ่นชนบท ย่อมมีฝีปากที่จัดจ้านกว่า สายเลือดขุนนางที่พ่ายแพ้ย่อยยับไปในศึกนี้ จึงใช้วิธีการเอาพวกเข้ารุมตีจนเกิดเป็นเหตุการณ์ที่อลันต้องวิ่งหนีตายมาถึงจุดที่ริเชลยืนอยู่ คาร์ลได้ยินเรื่องราวเหล่านี้จากพ่อค้าแม่ค้าที่ตนสนิทสนม และตัดสินเข้ามาห้ามเมื่อเห็นว่าเกิดการลงไม้ลงมือกันขึ้นอีกครั้ง
แน่นอนว่าคาร์ลบรรยายเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยความเป็นกลาง เขาตัดถ้อยคำที่ออกรสออกชาติของชาวบ้านไป หัวหน้าทหารตรวจการณ์ได้รับฟังจบก็ถอนหายใจออกมา เขามองไปทางกลุ่มทายาทขุนนาง ที่ลุกขึ้นมายืนรวมกันเป็นขโยงเรียบร้อยแล้ว ก่อนส่งสายตาไปทางคาร์ลที่ยืนยิ้มอย่างมีมารยาทอยู่ แม่ค้ารายหนึ่งได้นำผ้าชุบน้ำมาให้เขาประคบแก้มไว้ ส่วนอลันที่ยับเยินกว่า ยืนอยู่กับริเชลที่กำลังให้ความสนใจกับอย่างอื่นอยู่
“ท่านคาร์ล คือ...” หัวหน้าเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก
เจ้าของนามยกมือขึ้นห้าม อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องอธิบาย เขาก็เข้าใจดี “ข้าเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก”
สิ่งที่ทุกคนทราบแต่มิได้กล่าวออกมานั้นก็คือ สายเลือดของขุนนางจะลอยตัวอยู่เหนือกฎหมาย หากมีการกระทำผิดในพื้นที่สาธารณะ ทหารตรวจการณ์จะไม่มีสิทธิ์ลงโทษใด ๆ ทั้งสิ้น ทำได้แต่เพียงส่งเรื่องให้แก่ศาลขุนนาง ซึ่งศาลดังกล่าวนี้ก็เป็นที่รู้กันไปทั่วว่าทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ไม่เคยมีขุนนางรายใดถูกไต่สวนอย่างเป็นจริงเป็นจัง ต่อให้ความผิดนั้นร้ายแรงถึงขั้นฆ่าคนก็ตาม
และสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือ ทายาทขุนนางมีสิทธิเต็มที่ในการเอาผิดประชาชนทั่วไป
ด้วยเหตุนี้เอง ที่ส่งให้พวกเขากล้าทำตัวเหิมเกริมไม่เกรงกลัวผู้ใด
อิลยาที่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว เดินนำหน้ากลุ่มเด็กชายที่สะบักสะบอม เขาชี้นิ้วไปทางริเชลที่กำลังหยิบขวดหลากสีต่าง ๆ มาดอมดม
“ข้าของแจ้งความจับมันผู้นี้!” อิลยาตะคอก “มันทำร้ายสหายของข้าอย่างโหดร้ายทารุณ!”
หากเทียบดูด้วยตาเปล่าแล้ว บรรดาทายาทขุนนางมีเพียงรอยฟกช้ำเล็กน้อย เทียบไม่ได้เลยกับรอยช้ำที่มุมปากของคาร์ล หรือรอยช้ำม่วงทั่วตัวของอลัน
หัวหน้าทหารรักษาการณ์ยกมือรวบประสานเข้าไว้ด้วยกัน รู้สึกลำบากในการตัดสินใจ หากเขาเลือกเข้าข้างท่านคาร์ล ก็จะตกระกำลำบากเพราะทายาทขุนนางในภายหลัง หรือหากเขาเลือกเข้าข้างทายาทขุนนาง ก็จะเป็นที่ครหาและทรยศต่อวิหาร ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางใด ก็ไม่ต่างจากการเลือกว่าจะกระโดดลงไปในหุบเหวฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
และก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกไป คาร์ลก็กล่าวขึ้นว่า
“ไม่ต้องลำบากใจไป ขอแค่ท่านเรียกผู้คุ้มกฎมาก็เพียงพอแล้ว”
หัวหน้าทหารตรวจการณ์เห็นทางสว่างขึ้นมาทันใด
ส่วนเหล่าทายาทขุนนาง โดยเฉพาะอิลยาหน้าซีดเผือดลงทันตา
ความคิดเห็น