คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เดินตลาด
คนที่ตกตะลึงกับการทักทายแบบมีเอกลักษณ์นี้ มีเพียงแค่อาเบลเท่านั้น นักบวชวัยหนุ่มหันซ้ายทีชวาทีด้วยความตกตะลึง คาโลรับมือกับถ้อยคำนั้นด้วยรอยยิ้ม แม้กระทั่งนัยน์ตาสีฟ้าสว่างก็ยังไม่มีร่องรอยของความขุ่นเคืองปรากฏให้เห็น
“ใช่ครับ ข้าชื่อคาโล” เด็กชายตอบรับด้วยท่าทีสุภาพ ก่อนเงยหน้าขึ้นเพื่อสนทนากับนักบวชที่มีสีหน้าราวกับตัดสินใจมิได้ว่า จะโกรธเคืองดีหรือพินอบพิเทาดี “ท่านอาเบล เขาคือคนที่อาศัยร่วมห้องกับข้าหรือครับ”
เจ้าของนามสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกขานเช่นนั้น
“เรียกข้าด้วยชื่อเถอะครับท่านคาโล เกิดใครมาได้ยินเข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะสมครับ” อาเบลกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนตอบคำถาม “ใช่ครับท่านคาโล ท่านผู้นี้คือ ริคาโด เดอ แมซิแยร์ ครับ”
เด็กชายผมสีอ่อนเพียงยิ้มเยื้อน เขาพึมพำแผ่วเบา ด้วยตาสีสว่างดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่างได้ในเดี๋ยวนี้ ก่อนหรี่ตาตาอย่างสง่างาม และสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน ชนิดที่ว่าเหลือช่องว่างเพียงนิดเดียว
ริคาโดหรือริเชลเอื้อมมือไปแตะเข้าที่แพขนตาของอีกฝ่าย “ขนตาเจ้ายาวนัก ไม่รำคาญเลยรึ”
คาโลเอามือของอีกฝ่ายออกด้วยท่าทีสุภาพที่สุด และรับมือด้วยการถอยหลังหนึ่งก้าว ก่อนกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมคาโล หรือเรียกว่าคาร์ลก็ได้ นับตั้งแต่วันนี้เราจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกันนะครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
เด็กชายผู้มีรอยยิ้มสว่างไสวดุจแสงตะวันยื่นมือมาด้านหน้า ริเชลเอียงคอมองด้วยสายตาค้นหาอยู่ครู่หนึ่งก่อนยิ้มแฉ่ง แล้วเอื้อมมือไปรับการทักทายนั้นด้วยท่าทีเต็มอกเต็มใจ “ถึงจะไม่เข้าใจที่เจ้าพูดเท่าไรก็เถอะ แต่ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ ข้าชื่อริเชล!”
อาเบลถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สถานการณ์จบลงด้วยดี เขาเหลือบมองคาโลที่ยังรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้อย่างหมดจด เมื่อถูกสายตาคู่นั้นหันมาสบตาเข้า นักบวชหนุ่มจึงนึกถึงหน้าที่ของตนเองออกในทันที เขารีบกระวีกระวาดล้วงกระเป๋าทุกช่องที่มี ก่อนหยิบกุญแจออกมาดอกหนึ่ง
กุญแจดอกนี้ทำมาจากทองเหลือง ตรงปลายด้านหนึ่งเป็นทรงวงรีที่มีลวดลายประดับอยู่พอประมาณ ตรงกลางประดับด้วยหินสีม่วงเหลือบฟ้า ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็หาใช่กุญแจธรรมดาไม่ เขายื่นมอบให้แก่เด็กชายด้วยมืออันสั่นเทา ทั้งยังค้อมกายให้โดยอัตโนมัติ
คาร์ลรับมาก่อนผงกศีรษะเพื่อเป็นการขอบคุณ “ขอบคุณมากนะครับ พวกข้าไม่รบกวนท่านแล้ว งานที่แผนกคัดกรองเอกสารคงยุ่งวุ่นวายมากทีเดียว”
นี่คือการบอกกล่าวอย่างสุภาพว่า เขาจะรับช่วงต่อจากตรงนี้เอง อาเบลย่อมเข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่ จึงค้อมกายลงอีกครั้ง สิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวก็ไม่ผิดไปจากความเป็นจริง วันนี้คือวันที่เปิดรับสมัคร ‘ผู้เข้าทดสอบ’ เป็นวันแรก จึงมีเด็กชายจากทั่วสารทิศพุ่งเข้ามาราวกับห่าฝน ทำให้เอกสารการที่เอาไว้ยืนยันตัวตน ตั้งสูงเป็นกองพะเนินราวกับภูเขา การขาดอาเบลคนหนึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มงานให้แก่นักบวชรายอื่น ๆ ทว่าเขาจำเป็นต้องเดินมาส่ง ‘ผู้เข้าทดสอบ’ รายนี้ด้วยตนเอง
เมื่อเห็นว่าได้รับอนุญาตให้หน้าที่นี้สิ้นสุดลงแล้ว เขาจึงค้อมกายอีกครั้ง ก่อนเดินถอยไปหลายก้าวเพื่อหมุนตัวจากไปอย่างสุดสุภาพที่สุด เพราะกฎข้อหนึ่งในหลายร้อยข้อของมหาวิหาร มีข้อบังคับห้ามเดินเร็วเกินกว่าห้าสิบก้าวต่อนาที นักบวชหนุ่มจึงต้องก้าวเท้าไปอย่างเนิบนาบ ขณะนั้นก็พลางคิดไปถึงเด็กชายที่มีเรือนผมสีเข้ม และมีบุคลิกที่แปลกประหลาด กับท่านคาโลที่มีบุคลิกเรียบร้อยสูงสง่า ยิ่งเอามาเทียบกันดูแล้ว ก็ไม่น่าเชื่อเลยว่า เด็กชายทั้งสองนี้ต่างเป็นบุตรชายของผู้มีอำนาจมากล้นแห่งวิหาร
คาร์ลมองตามแผ่นหลังของนักบวชที่ค่อยๆ กลืนหายไปกับโถงทางเดินที่ยาวเหยียด บริเวณที่พวกเขายืนอยู่นี้เป็นระเบียงที่ทอดยาวไปสุดอีกด้านหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามเป็นกระจกสี ขนาดสูงเท่าผู้ใหญ่คนหนึ่ง เมื่อแสงแดดส่องผ่านจึงเห็นสีสันเหล่านั้นตกกระทบกับประตูและกำแพง ส่งให้เกิดความรู้สึกตระการตานัก ทว่าสำหรับคาร์ลแล้ว นี่คือภาพที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนเป็นภาพคุ้นชินตา แต่ไม่ใช่กับอีกฝ่ายเป็นแน่ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำทะเลเบือนไปทางริเชลที่กำลังจด ๆ จ้อง ๆ ลวดลายบนกระจกด้วยความสนใจอยู่ ภาพเหล่านั้นถูกจำลองขึ้นจากเหล่านักบวชที่เลื่องชื่อในอดีต เด็กชายที่ดูเหมือนหลุดมาจากดินแดนอันแปลกประหลาด กำลังพิจารณากระจกที่มีสีสันแปลกตาด้วยความสนอกสนใจ
“เจ้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลยหรือ?” คาร์ลเอ่ยถามอย่างชวนสนทนา
เด็กชายที่ทักทายผู้อื่นว่ามีรอยยิ้มปลิ้นปล้อนส่ายศีรษะ “ไม่เลย อันที่จริงก็คือ ทุกอย่างน่าสนใจไปหมดสำหรับข้าทั้งนั้นนั่นแหละ”
หากคำตอบนั้นชวนให้รู้สึกชอบกลนัก คาร์ลก็ซุกซ่อนมันไว้ได้เป็นอย่างดี เขาเพียงยิ้มรับ และทอดมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเอ็นดูเป็นนักหนา ก่อนก้มมองกุญแจที่มือ และบานประตูที่อยู่เบื้องหลัง วันนี้ยังมีเวลาเหลืออีกมาก และหากเข้าสู่วันพรุ่งนี้ไปแล้วจะไม่มีเวลาให้ได้หายใจหายคออีก คาร์ลค่อนข้างมั่นใจว่า สหายนิสัยแปลกตรงหน้าต้องไม่รู้เรื่องเหล่านี้เป็นแน่ จึงเก็บกุญแจนั้นลงกระเป๋าและเดินตรงเข้าไปหา
“เจ้าอยากไปเดินตลาดกับข้าไหม?”
นัยน์ตาสีม่วงเบิกกว้างและส่องประกายในทันที “ที่นั่นมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่หรือ?”
คาร์ลพยักหน้า “มากมายเชียวละ หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าจะพาเจ้าไปเดินชมเมืองสักหน่อย น่าสนใจหรือไม่?”
มีหรือที่ริเชลจะปฏิเสธ เด็กชายผงกศีรษะรับในทันที และแทนการตอบรับด้วยคำพูด เขาชิงบ่ายหน้าไปยังทิศทางที่นักบวชวัยหนุ่มเดินจากไป อีกฝ่ายจึงเข้ามารั้งแขนของตนไว้ “ให้ข้าเป็นคนนำทางเถิด ที่นี่ทางเดินสลับซับซ้อน หากไม่เคยชินอาจหลงทางได้ง่ายนะ”
ริเชลผินหน้ากลับมามองผู้พูด “เจ้ารู้จักที่นี่ทุกซอกทุกมุมเลยรึ?”
คาร์ลเอียงคอเล็กน้อย “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” ก่อนเอี้ยวตัวชี้นิ้วเลยออกนอกหน้าต่างไป “ที่ที่ข้าอาศัยอยู่ลึกเข้าไปอีก แต่ก็พอรู้จักหนทางในที่แห่งนี้เป็นอย่างดี”
เจ้าของเรือนผมสีเข้มพูดขึ้น “ประหลาด”
คาร์ลเลิกคิ้วเล็กน้อยกับบทสนทนาที่ดูไม่ข้องเกี่ยวกัน “อะไรประหลาดหรือครับ?”
เด็กชายชี้นิ้วใส่หน้าตนในทันที “วิธีที่เจ้าพูดถึงที่นี่น่ะ ข้าว่ามันประหลาด แต่ไม่รู้ว่าประหลาดอย่างไร”
นัยน์ตาสีม่วงสว่างสบจ้องลึกราวกับค้นหาว่ามีอะไรซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจของอีกฝ่าย จนใบหน้าห่างกันแค่ฝ่ามือเดียวอีกครั้ง เป็นคาร์ลที่ต้องยกมือดันอกของริเชลให้ถอยห่าง แต่ก่อนที่เขาจะได้กล่าวอะไรอีก ริเชลที่ถูกเขาจับแขนไว้ได้พลิกมือกลับมาเป็นฝ่ายจับแทน แล้วกระชากเขาให้เดินหน้าตามไป
“เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ พาข้าไปตลาดที่ว่าสักทีเถอะ”
ทั้ง ๆ ที่เป็นฝ่ายรีรอเองแท้ ๆ แต่กลับทำราวกับว่าคาร์ลไปฝ่ายทำให้เสียเวลา เด็กชายเพียงส่ายศีรษะให้กับนิสัยที่เหมือนพายุ ก่อนก้าวตามไปด้วยความเร็วที่ใกล้เคียงกัน
อย่างที่ได้กล่าวไว้ว่า ในมหาวิหารห้ามให้มีการเดินไวไปมากกว่าห้าสิบก้าวต่อหนึ่งนาที กว่าจะพ้นจากอาณาบริเวณดังกล่าวจึงต้องใช้ระยะเวลาสักพักหนึ่ง ยังไม่ถึงตลาดดี คาร์ลก็รู้สึกหมดแรงเสียแล้ว เนื่องจากตลอดการเดินในวิหาร เขาต้องคอยรั้งมิให้ริเชลกระโดดโลดเต้นราวกับกระต่าย เด็กชายที่เพิ่งได้พบหน้ากันนี้ช่างมีพลังงานล้นเหลือเสียจริง คาร์ลได้แต่คิดอยู่ในใจ จนเมื่อพ้นบริเวณของบันไดหินอ่อนที่ทอดยาวลงไปเบื้องล่าง เขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก รู้สึกเมื่อยขบไปทั้งท่อนแขนจากการดึงรั้ง กระนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยกระต่ายป่าผู้นี้ไปอยู่ดี
เลยอาณาเขตของมหาวิหารไปคือเขตที่อยู่อาศัย ที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างคับคั่ง คาร์ลมองเห็นเด็กชายแต่งตัวแปลกตาจำนวนหนึ่ง กำลังเดินขึ้นบันไดด้วยท่าที่กล้า ๆ กลัว ๆ ทั้งมาคนเดียวบ้าง มาเป็นหมู่คณะบ้าง หากเป็นแบบหลังก็มักจะมีเครื่องแต่งกายที่ดูดีมีราคากว่าฝ่ายที่มาหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นจะมีเอกสารอยู่ในมือ ไม่ก็หิ้วกระเป๋าย่ามที่มักจะมีเอกสารโผล่ออกมาให้เห็น เป็นอันบ่งบอกว่ามาเพื่อจุดหมายเดียวกัน
แรงดึงจากข้อมือทำให้เขาเลิกสนใจคนเหล่านั้นไป ริเชลก้าวลงขั้นบันไดลงไปต่ำกว่าตนสองขั้นแล้ว และมีทีท่าอยากก้าวลงขั้นที่สามไปใจจะขาด คาร์ลนึกสงสัยขึ้นมาเดี๋ยวนั้นว่า คนผู้นี้จะสามารถอยู่นิ่งได้ถึงห้านาทีหรือไม่กันนะ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเวลานี้จะเหมาะแก่การค้นหาคำตอบ หากพลั้งเผลอปล่อยมือไป อีกฝ่ายต้องหลงหายไปในตัวเมืองที่เต็มไปด้วยฝูงชนคับคั่งเป็นแน่ คาร์ลจึงก้าวตามติดลงไปจนถึงขั้นล่างสุด จนเมื่อจะก้าวพ้นลูกบันไดนั่นเอง แรงชนที่ไม่เบานักก็กระแทกเข้าที่ไหล่
เด็กชายอีกรายหนึ่งที่แต่งตัวราวกับหลุดออกมาจากนิทานที่เอาไว้กล่อมนอน เขม้นจ้องคาร์ลอย่างไม่วางตา ผมเผ้านั้นถูกรวบเสยด้วยน้ำมันแต่งผมราคาแพง เมื่อพิจารณาจากกลิ่นดอกกุหลาบที่โชยมาเป็นระยะ ดวงตาสีซีดจางเหลือบมองตนราวกับเป็นมดปลวกตนหนึ่ง นี่ต้องเป็นผู้สืบสันดานของเหล่าขุนนางเป็นแน่ เมื่อดูจากขบวนเด็กชายอีกราว ๆ สี่ถึงห้าคนที่มีลักษณะท่าทางไม่ต่างจากลูกไล่ในกลุ่มอันธพาล ท่าทีเช่นนี้อย่าได้คาดหวังคำขอโทษจากอีกฝ่ายเลย
“เกะกะ! ถอยไปเจ้าสามัญชน!”
คาร์ลเหยียดยิ้มเมื่อการคาดเดานั้นถูกต้อง เขามิได้ต่อล้อต่อเถียงอันใดแล้วถอยหลังให้ก้าวหนึ่ง อีกฝ่ายแค่นเสียงเฮอะอย่างเหยียดหยาม ก่อนเอามือปัดบริเวณที่เข้ามาชนกับคาร์ลราวกับกลัวว่าเสนียดจะติด เด็กชายที่มีใบหน้าทรงสามเหลี่ยมอีกคนหนึ่งถือผ้าเช็ดมือเข้าไปทำความสะอาดให้กับอีกฝ่าย หัวหน้ากลุ่มเด็กที่บิดรมารดาลืมสั่งสอนมาตั้งแต่กำเนิด ชำเลืองมองคาร์ลอีกครั้งแล้วสะบัดหน้าจากไปราวกับการหายใจเอาอากาศเดียวกันเข้าไปจะทำให้เขาติดโรคร้าย
หากเด็กชายขุ่นเคืองก็เป็นอีกครั้งที่เขาก็ซุกซ่อนไว้ได้อย่างมิดชิด คาร์ลเพียงส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ ก่อนหันตามแรงดึงที่ข้อมืออีกครั้ง ริเชลกำลังสบใบหน้าของตนอย่างพินิจพิเคราะห์ทีเดียว แล้วหันไปมองกลุ่มเด็กชายที่ผลุบหายไปเข้าไปกับฝูงชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ประหลาด” เขากล่าวซ้ำถ้อยคำเดิมอีกครั้ง และเช่นเดียวกับหนที่แล้ว ริเชลเพิกเฉยคำกล่าวอย่างเลื่อนลอยนั้นอีก แล้วเร่งเร้าให้คาร์ลพาตนไปยังตลาดที่ว่านี่เสียที เจ้าของเรือนผมสีอ่อนจึงเดินนำไปอย่างไม่มีอิดออด และทิศทางที่เขาบ่ายหน้าไปนั้น เป็นทางเดียวกับกลุ่มเด็กชายเมื่อก่อนหน้า
เอสลีเซียนั้นจัดว่าสมฐานะของเมืองหลวง นอกจากจะเป็นที่ตั้งของมหาวิหารที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่อดีต ก็ยังเป็นศูนย์รวมของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ มีชาวต่างแดนจำนวนไม่น้อยที่อาศัยขึ้นเรือโดยสาร แล้วเอาของจากดินแดนตนมาค้าขาย ตามถนนหนทางจึงมีผู้คนที่แต่งกายแปลกตาออกไปอยู่เต็มไปหมด บ้างก็มีผิวขาวจัด บ้างก็ผิวเข้มจนแทบจะกลายเป็นสีน้ำตาล บ้างก็โพกหัวด้วยผ้าจนมีขนาดที่ใหญ่เท่าศีรษะของคนสองคน
ริเชลมองไปทางนั้นทีทางนี้ทีอย่างพวกบ้านนอกเข้ากรุง ทุกอย่างในสายตาของเขาดูจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์พันลึกไปหมด สำหรับคาร์ลที่อาศัยอยู่ในเอสลีเซียมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ภาพเหล่านี้เป็นที่เจนตาไปเสียหมดแล้ว กระนั้นกลับอดรู้สึกสนุกสนานขึ้นมาไม่ได้ เมื่อเห็นสหายใหม่รายนี้ให้ความสนใจไปกับทุกสิ่งอย่าง โดยเฉพาะของกินที่ริเชลดูจะให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ
“นี่มันอะไรน่ะ?!” เขาตะโกนถาม
“เนื้อกระทิงย่างครับ” คาร์ลเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม เขายังไม่ยอมปล่อยมือจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด
ร้านที่พวกเขาหยุดยืนนั้น เป็นร้านที่ถูกสร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ ด้วยไม้ท่อน ด้านบนมีเพียงผ้าหนาทึบสีขาวปูไว้กันแดด แต่เพราะใช้มานานแล้วมันจึงอมฝุ่นจนเกือบจะกลายเป็นสีน้ำตาล ด้านหน้ามีเตาถ่านที่วางเทินบนแท่นหิน และมีเนื้อสีแดงที่กำลังถูกความร้อน น้ำที่ไหลเยิ้มออกมาหยดลงบนถ่านจนมีเสียงฉ่าดังขึ้นเป็นระยะ กลิ่นหอมหวนนั้นดึงความสนใจคนที่เดินผ่านไปมาได้ชะงักนัก แล้วมีหรือริเชลจะไม่ถูกดึงดูด เด็กชายวิ่งตรงเข้าไปหาร้านดังกล่าวในทันที ด้านข้างของเตาถ่านมีเนื้อกระทิงที่สุกแล้ววางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด คุณลุงเจ้าของร้านกำลังเพิ่มรสชาติด้วยการทาน้ำหมักสุดพิเศษลงบนเนื้อที่สุกกำลังได้ที่ ชายวัยห้าสิบปี่ที่หัวล้านไปครึ่งหนึ่งเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นลูกค้ารายใหม่
เขาแย้มยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดมาเยือน “มาเดินเลือกซื้อของกินหรือครับคุณชายน้อย”
“เรียกคาร์ลเฉย ๆ เถอะครับลุงบาล ข้าไม่ใช่คุณชายสักหน่อยนะครับ” เด็กชายกล่าวด้วยเสียงอันบางเบา
บาลหัวเราะลั่นแล้วเอามือเกาศีรษะแกรกกราก “ครับ ๆ ข้าก็ชอบพลั้งปากเรียกไป แล้วสหายรายนี้คือใครหรือครับ”
เขาหันไปมองเด็กชายอีกรายที่กำลังโน้มตัวจดจ้องเนื้อกระทิงย่างอย่างไม่วางตา ไม่เคยเลยที่จะเห็นใครมีแววตาระยิบระยับขนาดนี้เวลาเห็นของกิน
“เพื่อนใหม่ของข้าเองครับ เขามาเข้ารับการทดสอบในปีนี้ด้วย” คาร์ลอธิบายอย่างเรียบง่าย และเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่แนะนำตัวแน่ เขาจึงแนะนำตัวแทนให้เสียเสร็จสรรพ “เขาชื่อริเชลครับ”
บาลลอบพิจารณาการแต่งกายของริเชลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันกลับมาป้องปากกระซิบกระซาบราวกับว่ากลัวใครจะได้ยินเข้า “ลูกหลานของขุนนางหรือครับ”
คาร์ลหัวเราะในทันที “เขาดูเหมือนหรือครับ”
ลุงขายเนื้อหันกลับไปจ้องอีกฝ่ายเพียงเสี้ยววิ ก่อนที่ใบหน้าจะผ่อนคลายลง “ไม่เหมือนเลยสักนิด ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าคุณ— เอ๊ย คาร์ลจะหันไปคบหากับพวกนั้นเสียแล้ว”
คาร์ลส่ายศีรษะ “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นแค่คนทั่วไปครับ คนพวกนั้นไม่อยากเข้ามาสุงสิงกับข้าหรอก”
คู่สนทนาพ่นลมพรืดออกจากปาก “กลับกันต่างหาก ไม่มีใครอยากยุ่งกับพวกมันนักหรอก!”
เด็กชายอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนล้วงหยิบเหรียญขึ้นมาจะกระเป๋าผ้า “ข้าเอาสองไม้ครับ ช่วยเลือกไม้อร่อย ๆ ให้เขาสักไม้หนึ่งนะครับ”
ลุงบาลหัวเราะร่า แล้วกล่าวอย่างอวดตัวว่า “เนื้อย่างฝีมือข้า ไม้ไหนก็อร่อยเหมือนกันหมดนั่นแหละ”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ก็ยังเดินเข้ามาชำเลืองมองไม้ที่ดูย่างได้เข้าที่ ที่สุด ก่อนยื่นให้กับริเชล ทันทีที่เด็กชายรับไว้ก็กัดเข้าปากในทันที คาร์ลแย้มยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องว้าว แล้วกินเนื้อต่ออย่างตะกละตะกลาม เขารับเนื้อย่างอีกไม้มาไว้ในมือ ก่อนหันกลับไปหาลุงบาล
“ปีนี้พวกเขาลงมือหนักหรือไม่ครับ”
ลุงขายเนื้อถอนหายใจออกมาแล้วส่ายศีรษะ “ก็เหมือนกับทุกปีนั่นแหละ ร้านค้าเดือดร้อนกันไปหมด คราวนี้ชอบไปก่อเรื่องตรงย่านร้านอาหาร ยัยอีฟเพิ่งมาเล่าให้ข้าฟังเองว่า อาละวาดทำลายโต๊ะเก้าอี้ไปทั่ว แถมยังซ้อมเด็กคนอื่นจนน่วมไปทั้งตัว ขนาดไปเรียกทหารยามมาช่วยแล้ว พวกนั้นก็ยังไม่เกรงกลัว”
คาร์ลหรี่ตาลง รอยยิ้มคล้ายจะจางหายไปเล็กน้อย “ทำไมไม่เรียกคนจากวิหารกันละครับ”
บาลทอดถอนใจออกมาอีก “ใครมันจะไปกล้า เดี๋ยวนี้คนคิดกันไปหมดแล้วว่าวิหารให้ท้ายเจ้าเด็กพวกนั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ตัวหัวโจกน่ะ เห็นว่าเป็นหลานชายของหนึ่งในสภานักบวชไม่ใช่หรือ”
เด็กชายขมวดคิ้วเล็กน้อย “รู้กันได้อย่างไรหรือครับ”
“ก็ป่าวประกาศกันเองเลยนั่นละ พังข้าวของไป ทุบตีคนอื่นไป ก็ตะโกนประกาศไป ว่าปีก่อน ๆ ย่ำแย่แล้ว เจ้าพวกที่มาปีนี้ย่ำแย่ยิ่งกว่า ทั้งยังจับกลุ่มราวกับเป็นเจ้าของถนน ไม่ชอบหน้าใครก็เข้าไปหาเรื่องไปเสียทั้งหมด เดือดร้อนกันไปถ้วนหน้าแล้วทีนี้ ร้านข้าก็ไม่รู้จะดวงซวยเจอถูกหมายหัวเข้าเมื่อไหร่ เมื่อครู่ก็เห็นเดินเข้าตลาดมากันแล้ว ร้านแถวนี้น่ะขยาดกันหมดแล้วละคุณชายน้อย”
สุดท้ายด้วยความเคยชิน บาลก็เผลอเรียกอีกฝ่ายว่าคุณชายน้อยอีกแล้ว แต่คาร์ลมิได้ทักท้วงใด ๆ เนื้อกระทิงย่างยังส่งควันฉุย แต่เขายังไม่ได้กัดเข้าไปสักคำหนึ่ง
“เมื่อครู่ข้าก็พบพวกเขาก่อนเดินเข้าตลาดมาครับ” เขาหมายถึงกลุ่มเด็กชายที่ชนไหล่กันตรงบันไดหน้ามหาวิหาร “คราวนี้มาจากตระกูลของลันซ์ซอฟ คิดไม่ถึงว่าจะก่อเรื่องถึงเพียงนี้”
เมื่อได้ยินนามสกุลอันโด่งดังนั้นเข้า บาลก็นิ่วหน้าในทันที เมื่อเขาอ้าปากจะนินทาอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากทิศทางตรงกันข้าม
เพราะส่วนของตลาดถูกตั้งเรียงเป็นแถวยาวตามถนนเส้นหลัก จึงมองหาต้นเหตุแห่งความวุ่นวายได้ไม่ยากเย็น เลยจากจุดที่คาร์ลและริเชลยืนอยู่เล็กน้อย ปรากฏเด็กชายกลุ่มหนึ่งในเครื่องแต่งกายที่ดูภูมิฐาน พวกเขาเหล่านั้นยืนเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดาน ผู้ที่ยืนอยู่หน้าสุด คือเด็กชายที่เหลือบแลคาร์ลราวกับมดปลวก เขากำลังแสยะยิ้ม มือสองข้างซุกเข้าที่กางเกง และกำลังโน้มตัวไปข้างหน้า โดยเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบมือของเด็กชายอีกรายไว้
เด็กชายที่ร่างกายเตี้ยกว่า และสวมใส่เสื้อที่มอซอกว่ากำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น โดยเอาหน้าผากแนบดินไว้ ตามเนื้อตัวมีร่องรอยถูกทุบตี แขนข้างที่ถูกเหยียบไว้มีรอยจ้ำแดงจ้ำม่วงเต็มไปหมด เจ้าของรองเท้าหนังสั่งตัดคู่งามมองเหยื่อรายนี้ของตนอย่างเหยียดหยาม แล้วบรรจงออกแรงที่ปลายเท้าหนักขึ้นไปอีก
“พูดสิ ว่าพ่อแม่เป็นไอ้หมูตัวเหม็นสกปรก แล้วข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป”
เด็กชายผู้ถูกเหยียดหยามร้องลั่น “พ่อแม่แกสิที่เป็นหมูสกปรก! ต่อให้ข้าแขนหักก็ไม่พูดออกมาหรอก ไอ้สุนัขขี้เรื้อน!”
ดูเหมือนว่าคำด่านั้นจะส่งผลมากทีเดียว ดวงหน้าที่ถูกดูแลเป็นอย่างดีจึงปรากฏความเดือดดาลแล่นริ้ว เขายกเท้าขึ้นกลางอากาศเหนือพื้นหลายนิ้ว แล้วคำรามออกมา “งั้นก็เอามือเป็นไปอาหารหมูเสียเถอะ ไอ้พวกชั้นต่ำ!”
ตอนนั้นเองใครบางคนก็เอานิ้วจิ้มเข้าที่พวงแก้มของเด็กชาย
ริเชลที่กำลังเคี้ยวเนื้ออย่างเอร็ดอร่อยกล่าวถามอย่างสงสัยนักว่า
“ตกลงพ่อและแม่ของเจ้า เป็นหมูสกปรก หรือสุนัขขี้เรื้อนกันเล่า”
ความคิดเห็น