คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เด็กชายผู้แปลกประหลาด
เนิ่นนานมาแล้ว โลกได้ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางความมืดมิด แสงสว่างถือกำเนิดขึ้นเป็นลำดับที่สอง เมื่อมีปัจจัยทั้งหมดครบถ้วนสมบูรณ์ ก็บังเกิดเป็นแรงดึงดูดมหาศาล จนก่อกำเนิดเป็น ‘เทร่า’ หรือโลกที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน
ความมืดสร้างแผ่นดินและสิ่งมีชีวิต ส่วนแสงสว่างทำให้เกิดดวงตะวัน จันทรา หมู่เมฆและมหานที ไม่ช้านานสรรพสิ่งก็ล้วนถือกำเนิดขึ้น
มนุษย์ และ อสูร คือหนึ่งในนั้น
เมื่อธรรมชาติครบองค์ประกอบ วัฏจักรแห่งชีวิตจึงถือกำเนิด เมื่อมีผู้ล่าก็ย่อมต้องมีผู้ถูกล่า ช่างโชคร้ายที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ตกเป็นเหยื่อของผู้อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร หรือก็คือ เผ่าพันธุ์อสูรที่มีกมลสันดานกระหายเลือดและเหี้ยมโหด
ไม่ว่ามนุษยชาติหลบลี้หนีไปแห่งหนใด เหล่าอสูรก็ติดตามไปอย่างไม่ลดละ ในประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ เหล่ามนุษย์ถูกรุกรานในทุกยุคทุกสมัย นับตั้งแต่ที่ราบลุ่มจนถึงยอดภูผา ก็ล้วนหาพ้นเงื้อมมือของพวกมันไม่ ราวกับว่าอสูรถูกสร้างขึ้นเพื่อกำจัดเหล่ามนุษย์ให้หมดไป
แต่ถึงเหล่ามนุษย์จะมีอายุขัยที่แสนสั้น และมีสรีระที่อ่อนแอกว่าอีกฝ่ายอย่างเทียบไม่ติด กระนั้นก็มีจุดเด่นที่เรียกว่าความชาญฉลาด ด้วยมันสมองและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ในที่สุดมนุษย์ก็ค้นพบว่า หนทางหนีมิใช่การแก้ปัญหา พวกเขาตัดสินใจลงหลักปักฐาน สร้างหมู่บ้าน เมือง และประเทศขึ้น รวมถึงก่อร่างสร้างพันธมิตรที่เอาไว้ช่วยเหลือกันในยามยาก
กว่าหลายศตวรรษที่เหล่ามนุษย์ได้พัฒนาอาวุธ เกราะ และป้อมปราการ โดยมีเป้าหมายเพื่อต่อต้านการรุกรานของเผ่าอสูร พวกเขาหันหน้าจับมือกันเพื่อแลกเปลี่ยนวิทยาการ รวมถึงการสร้างเครือข่ายเพื่อส่งข่าวสารการเคลื่อนไหวของอริศัตรู
ทว่า ถึงเหล่ามนุษย์จะเตรียมพร้อมสักเพียงใด ก็ไม่อาจลบล้างความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ได้ มนุษย์ได้พัฒนาดาบให้มีความกล้าแกร่งจนทลายภูผาได้ พัฒนาคมหอกให้สามารถแทงทะลุหัวใจม้าได้ในครั้งเดียว สร้างโล่แข็งกล้าให้ต้านทานการโจมตีของสัตว์ร้ายได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นกลับไร้พิษสงเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าอสูร
ดาบที่ถูกหลอมขึ้นจากช่างดีดาบที่ชำนาญที่สุด กลับถูกอสูรร่างยักษ์หักได้ด้วยมือเปล่า หอกยาวที่ถูกสร้างจากไม้ที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่อาจสร้างรอยถลอกให้พวกมันได้สักกระผีก โล่ที่สามารถต้านทานคชสารได้นั้น ถูกพวกมันเหยียบย่ำไม่ต่างจากเศษกระดาษ เมื่อเหล่ามนุษย์รับรู้ว่า ทุกสิ่งอย่างที่ลงแรงไปนี้ช่างไร้ความหมายความหมาย พวกเขาก็ตกอยู่ในความสิ้นหวัง และยอมจำนนต่อการมีชีวิต ต่างพากันคิดไปว่านี่คือชะตาที่ถูกกำหนดให้ต้องสิ้นสูญ
ตอนนั้นเองที่ปรากฏมนุษย์กลุ่มหนึ่งขึ้น พวกเขาคือบุคคลที่ถูกเหยียดหยาม
ระหว่างที่ผู้อื่นให้ความสนใจกับการสร้างอาวุธและพัฒนาป้อมปราการ พวกเขากลับให้ความสนใจในด้านการสวดภาวนา และอ้อนวอนต่อเบื้องบน
‘พวกไร้ประโยชน์’ คือคำจำกัดความที่ถูกเอาไว้เรียกขาน แต่มนุษย์กลุ่มนี้หาได้แยแสไม่ เขาเชื่อว่าโลกใบนี้จะต้องถูกเฝ้าดูโดยสิ่งที่เรียกว่าเหล่าทวยเทพ ส่วนอสูรร้ายคือสิ่งที่เป็นขั้วตรงข้าม หากเหล่ามนุษย์มีศรัทธามากพอ ผู้ที่อาศัยอยู่เบื้องบนจะต้องยื่นมือช่วยเหลืออย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องทนอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหงนานนับศตวรรษ
ท่ามกลางความสิ้นหวัง และมนุษย์พร้อมหมอบคลานดุจเหลือบไรตนหนึ่ง เหล่าทวยเทพก็ได้ตอบสนองต่อความศรัทธาของพวกเขาในที่สุด
เหล่าเทพเจ้าได้ประทานอาวุธ ความรอบรู้ และพลังให้แก่มนุษย์กลุ่มนี้ ด้วยความช่วยเหลือของพระองค์ มนุษย์จึงสามารถต่อกรการรุกรานของเหล่าอสูร จากที่เป็นผู้เพลี่ยงพล้ำ ก็สามารถต่อต้านผลักดันอีกฝ่ายให้ถอยร่น จนในที่สุดฝ่ายมนุษย์ก็ได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรก ทว่าความหอมหวานดำรงคงอยู่ไม่นาน เมื่อจ้าวอสูร ผู้ปกครองอสุรกายทั้งมวลได้ปรากฏกาย
มันมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าสัตว์อสูรทั้งหมดที่มนุษย์เคยพบเห็น นัยน์ตาของมันเป็นสีดำสนิทดุจราตรีกาล กวัดแกว่งดาบทีหนึ่งก็สามารถทลายขุนเขาให้กลายเป็นผุยผง เหวี่ยงหมัดแต่ละครั้ง ก็สามารถแหวกมหาสมุทรให้กลายเป็นสองส่วน ตัวตนของมันช่างน่าสะพรึงดุจเผชิญความหวาดกลัวที่กัดกร่อนจิตใจ
กองทัพของเหล่าทหารหาญต่างสิ้นหวังในโชคชะตา ในที่สุดพวกเขาก็รู้ตัวว่านี่คือสงครามที่ไม่มีวันเอาชนะได้ พวกเขาจะต้องถูกบดขยี้ไม่ต่างจากมดปลวก และสิ้นสลายหายไปโดยไม่มีใครเหลืออยู่ให้จดจำ
แต่เหล่าทวยเทพมิได้ปล่อยให้สิ้นหวังอยู่นาน พวกเขาได้มอบพลังให้แก่มนุษย์กลุ่มหนึ่ง และส่งเหล่าเทวทูตมาเพื่อนำการกรีธาทัพ จนก่อกำเนิดเป็นสงครามนับทศวรรษ
ในท้ายที่สุดมนุษย์ที่มีเหล่าเทวทูตเป็นผู้นำทาง ก็สามารถเอาชนะเผ่าอสูรลงได้ ทว่าเรื่องราวมิได้เรียบง่ายปานนั้น แม้เผ่าอสูรจะพ่ายแพ้ แต่พวกมันยังมีอายุขัยที่ยืนยาว ไม่ช้านานพวกมันจะต้องหวนคืนเพื่อแก้แค้นให้กับความปราชัย เหล่าเทพเจ้าจึงได้มอบความรู้และเครื่องมือให้กับมนุษย์ที่เทิดทูนพระองค์ เพื่อไว้ใช้ต่อกรกับอสูรที่จะคืนกลับมาในวันใดวันหนึ่ง
มนุษย์กลุ่มนั้นถูกเรียนขนานด้วยนาม ‘เดมา’ ที่แปลว่าผู้รับใช้สรวงสวรรค์ และผู้ที่สามารถถือครองอาวุธของเหล่าเทพเจ้าได้ ถูกเรียกว่า ‘ลาเคย์’ ที่แปลว่าอัศวินแห่งทวยเทพ
พวกเขาได้อาศัยความสามารถที่เบื้องบนประทานมาให้ ในการปกป้องคุ้มครองมนุษย์จากเหล่าอสูร เป็นเวลากว่าพันปีที่สงครามระหว่างมนุษย์กับมันยังไม่สิ้นสุด และเดมาได้กลายเป็นผู้นำทาง ส่วนลาเคย์คือความหวังของมวลมนุษย์
“ที่เห็นอยู่นี้ คือมหาวิหารหลังแรกที่ถูกสร้างขึ้นหลังการประกาศเดมาศักราชที่หนึ่ง หรือที่เรียกว่ามหาวิหารเอสลีเซีย ซึ่งในเวลาต่อมา ก็กลายเป็นชื่อของเมืองหลวงไป”
เด็กชายที่มีดวงตาสีอความารีนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาผายมือไปยังสิ่งก่อสร้างที่ดูโอ่อ่าเบื้องหลัง มหาวิหารหลังดังกล่าวกินพื้นที่เกินกว่าหนึ่งในสามของตัวเมือง ทั้งยังสร้างขึ้นจากหินอ่อนเนื้อนวลอันประดับไปด้วยลวดลายวิจิตร ไม่ว่ามองไปทางใดจะเห็นผลงานของศิลปินที่เคยมีชื่อในอดีตประดับประดาไว้ ที่โดดเด่นเป็นที่สุด เห็นทีจะไม่พ้นเทวรูปสูงใหญ่ ที่แผ่สยายปีกสีขาวพิสุทธิ์อยู่เหนืออาคารของวิหารทั้งมวล
“อ้อ” เด็กชายอีกคนร้องขึ้น ดวงตาสีม่วงลาเวนเดอร์ทอประกายระยิบระยับราวกับเด็กห้าขวบที่ได้เห็นทะเลเป็นครั้งแรก “ที่นี่คือวิหารที่ว่างั้นสิ”
เจ้าของผมสีเงินยวงพยักหน้า “นี่คือมหาวิหารที่ท่านถามถึงครับ”
ถึงแม้ไม่ว่าจะดูอย่างไร เด็กชายทั้งสองจะมีอายุใกล้เคียงกันก็ตาม แต่ฝ่ายแรกกลับเลือกใช้วาจาสุภาพ โดยไม่แสดงอาการตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด เขาเอียงศีรษะอย่างฉงนขณะพิจารณาเด็กชายตรงหน้าอีกครั้ง
เด็กชายผู้นี้มีรูปหน้าทรงยาว ดวงตากลมแวววาวอย่างคนยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นนิจศีล อันเข้ากับเรือนผมสีน้ำเงินเข้มที่ถูกจัดแต่งอย่างดี หากดูจากเครื่องแต่งกายแล้ว ก็ไม่ต่างจากคุณชายคนหนึ่งที่มีฐานะภูมิฐาน แต่ท่าทางและกิริยานี่สิที่ชวนให้ข้องใจ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ระหว่างที่เขากำลังเดินทางกลับไปยังมหาวิหาร ก็พบกับเด็กชายผู้นี้เข้า
เด็กชายที่มีเรือนผมสีเข้มไม่มีการอารัมภบทแต่อย่างใด นอกจากมองหน้าตนแล้วฉีกยิ้มร่า ก่อนยื่นกระดาษที่ถืออยู่ในมือมาให้ กระนั้นด้วยความงุนงง เขาก็ยังรับกระดาษเหล่านั้นมา เมื่อกวาดตาดูเพียงแวบเดียว เขาก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายในทันที จะอย่างไรปลายทางของตนก็คือมหาวิหาร การช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกถือเป็นสิ่งที่ควรกระทำ แต่เมื่อเดินทางมาถึง เด็กชายแปลกหน้าผู้นี้ กลับดึงแขนเสื้อตนเองไว้ แล้วร้องขอให้อธิบายที่มาที่ไปของวิหารดังกล่าว เลยเป็นที่มาของการร่ายประวัติศาสตร์ฉบับย่อที่เกิดขึ้น
“เจ้านี่ รู้เยอะจริงนะ” เด็กชายแปลกหน้ากล่าวชม
เขาได้แต่ยิ้มอย่างเก้ ๆ กัง ๆ “...ไม่หรอกครับ” เพราะความรู้ดังกล่าวเป็นเรื่องที่ทุกผู้ทุกคนควรจะรู้อยู่แล้ว ต่อให้เป็นเด็กที่ยังอ่านหนังสือไม่ออกก็ตาม
เจ้าของเรือนผมสีเงินยวงเงยหน้ามองไปยังยอดโดมที่บดบังดวงอาทิตย์ไปครึ่งหนึ่ง ใกล้ได้เวลานัดหมายแล้ว และเพื่อไม่ให้เสียเวลามากไปกว่านี้ เขาจึงชี้ไปด้านหน้า ซึ่งบันไดสูงจำนวนหลายขั้น อันปูด้วยพรมแดงตลอดต่อเนื่อง
“ตามพรมสีแดงนี้ไป แล้วจะพบกับที่ส่งเอกสารครับ”
เด็กชายแปลกพิกลผู้นั้นพยักหน้ารับ แต่สายตากลับยังสำรวจความโอ่อ่าของมหาวิหาร หากไม่ติดว่าใส่เสื้อผ้าที่กำลังนิยมอยู่ในหมู่ผู้มีอันจะกินแล้ว เขาคงคิดว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ต้องเป็นเด็กบ้านนอกคอกนาอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นอีกฝ่ายังมิได้ตอบรับด้วยคำพูด เขาจึงขอตัวในทันที “ข้าขอตัวก่อนนะครับ หากไปไม่ถูกให้ลองถามจากคนที่ใส่เครื่องแบบสีขาวเอาก็ได้นะครับ”
ไม่รู้อย่างไร เขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายต้องหลงทางอีกแน่ จึงให้คำแนะนำก่อนจากลา แต่ก้าวเท้าได้เพียงก้าวหนึ่ง แขนเสื้อก็ถูกรั้งเอาไว้ นัยน์ตาสีม่วงอ่อนจับจ้องตนอย่างไม่วางตา
“เอ้อ...ท่านต้องการอะไรอีกหรือครับ”
เด็กชายฉีกยิ้มจนตาหยี “เจ้าชื่ออะไร”
ช่างเป็นการถามที่ห้วนสั้น กระนั้นเขาก็มีมารยาทมากพอที่จะตอบกลับ
“ข้าชื่อคาโลครับ” เขาแนะนำตัวอย่างสุภาพ
อีกฝ่ายตอบรับ “ข้าชื่อริ...ริอะไรนะ ช่างเถอะ ริเชลก็แล้วกัน ข้าชื่อริเชล จำชื่อข้าไว้ด้วยละ เผื่อข้าลืม”
คาโลเบิกตากว้างกับการทักทายอย่างมีเอกลักษณ์นั้น ยังไม่ทันจะได้ทวงถามว่า หมายความว่าอย่างไร ที่ฝากเขาจำไว้ให้หน่อย ประเดี๋ยวตนเองจะลืม คนที่ดึงรั้งแขนเสื้อไว้ก็ปล่อยมือออก แล้วหมุนตัววิ่งขึ้นบันไดไปด้วยความรวดเร็วดุจพายุ
เด็กชายกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจัดสาบแขนเสื้อย่นยู่ให้เข้าที่เข้าทาง และด้วยสังหรณ์บางอย่าง คาโลเชื่อว่าจะได้พบกับเด็กแปลกประหลาดผู้นั้นอีก
“ริเชลหรือ” เขาส่ายหน้า แล้วหัวเราะในลำคอก่อนเดินขึ้นบันไดตามไป
ไม่ใช่แค่คาโลเท่านั้นที่คิดว่าเด็กชายผู้นี้เหมือนบ้านนอกเข้ากรุง แต่อาเบลก็ด้วยเช่นกัน เขาเป็นนักบวชหนุ่มที่อายุเพิ่งพ้นวัยยี่สิบห้ามาได้เพียงไม่กี่วัน และต้องมารับหน้าที่เป็นผู้รับเอกสารจากผู้เข้าสมัคร ทั้งที่การทำหน้าที่นี้มาหลายปี ทำให้ตนเองเชื่อว่าพบเห็นความแปลกประหลาดมาอย่างครบถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเด็กชายที่เอาแต่ติดอ่าง พวกที่ไม่กล้าสบตาเวลาสนทนากัน หรือกระทั่งพวกที่บอกว่าตนเองอายุสิบสาม โดยที่ส่วนสูงนั้นล้ำหน้าไปไกล
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกถามกลับมาว่า
“ข้าต้องส่งกระดาษพวกนี้ให้เจ้าเพื่ออะไรรึ”
เด็กชายผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่ฝากให้ผู้อื่นจำชื่ออย่างริเชล
อาเบลหน้าเหวอไปเล็กน้อย แต่ในฐานะของนักบวชผู้งามสง่า เขาจำเป็นต้องรักษาท่าทีอันมีมารยาทไว้
“เพื่อเป็นการยืนยันว่าเจ้าจะมาเข้ารับการทดสอบ”
เด็กชายเอามือถูคางแล้วเอียงคอ “ทดสอบอะไรล่ะ”
อาเบลนั่งนับหนึ่งถึงสิบในใจ “ว่าเจ้าเหมาะสมจะเป็นนักบวชฝึกหัดอย่างไรเล่า”
ริเชลเอียงคออีก จนศีรษะแทบจะตั้งฉากกับพื้น “แล้วอะไรคือนักบวชฝึกหัดกันละ เป็นแล้วสนุกหรือไม่ แล้วข้าจะได้กินของอร่อย ๆ หรือเปล่า แล้วได้ไปหลายสถานที่หรือไม่”
คำถามที่ส่งมารัวเร็วเป็นชุดทำเอาอาเบลไปไม่เป็นเลยทีเดียว เดิมทีเห็นท่าทางที่เหลียวตัวมองมหาวิหาร ก็นึกว่าเป็นเด็กจากหมู่บ้านไกลปืนเที่ยงที่ไม่เคยเปิดหูเปิดในเมืองใหญ่ แต่เมื่อเห็นเครื่องแต่งกายที่ดูทันสมัย อาเบลก็เริ่มสับสนแล้วว่าจะจัดเด็กชายผู้นี้ไปอยู่ประเภทใดดี ระหว่างเด็กบ้านนอกที่ไม่ประสีประสา หรือเหล่าทายาทขุนนางที่หยิ่งยโส แต่เมื่อได้เริ่มสนทนา นักบวชก็จัดให้อยู่ในประเภท แปลกประหลาดในทันที
เขายกมือขึ้นนวดศีรษะที่เต้นตุบ ๆ ขึ้นมา ก่อนนับหนึ่งถึงร้อยอีกครั้งเพื่อพยายามสงบจิตสงบใจแทน
“นี่ ถ้าเจ้าตอบคำถามข้าไม่ได้ ข้าไปจะถามคนอื่นแล้วนะ” ริเชลเร่งเร้า ส่วนอาเบลได้แต่ฝืนยิ้มพลางแช่งชักหักกระดูกในใจ
เจ้าเด็กที่มีมารยาทต่ำทรามถึงเพียงนี้มาจากที่ใดกันแน่ พ่อแม่หรือคนข้างตัวไม่รู้จักอบรมสั่งสอนกันเลยหรือ ถึงกล้าเรียกเขาที่อายุห่างกันเป็นสิบปีว่า ‘เจ้า’ และไม่ลงท้ายประโยคด้วยความสุภาพว่า ‘ครับ’ อีกด้วย
ด้วยอารมณ์ที่เดือดดาล อาเบลจึงไม่ตอบคำ แต่เอามือเปิดเอกสารเพื่อดูว่าวิหารน้อยที่ใด ที่กล้าอนุมัติให้เด็กคนนี้เข้ารับการทดสอบที่แสนสำคัญ เขาจะได้ส่งรายงานตำหนิเพื่อให้ทางนั้นปรับปรุงมาตรฐาน หรือไม่ก็อย่าส่งใครสั่ว ๆ มา ต่อให้เป็นบุตรชายของผู้มีอันจะกินก็ตาม
ทว่าอาเบลผู้เดือดดาลก็พลันตกใจจนต้องเด้งตัวลุกขึ้นยืน ใบหน้าถอดสีราวกับเห็นอสูรยืนอยู่ต่อหน้าก็มิปาน นักบวชรายอื่นที่นั่งอยู่ในโต๊ะทรงกลมชำเลืองมองด้วยความแปลกใจ
“เป็นอะไรไปหรืออาเบล”
มืออันสั่นเทาของเจ้าของนามยื่นเอกสารดังกล่าวให้ผู้ที่ถามขึ้น เมื่อนักบวชรายนั้นเห็นบ้าง ก็พลันมีสีหน้าตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
อาเบลรีบขอโทษขอโพยอยู่ในใจ ขณะที่ปรับน้ำเสียงการสนทนาให้สุภาพขึ้นในทันที
“คุณชายริคาโดเองหรือครับ ท่านอลิสเซียน่าแจ้งเรื่องของท่านแล้ว เชิญตามกระผมมาทางนี้ได้เลยครับ”
ท่าทีกระวีกระวาดดึงความสนใจจากบรรดาเด็กชายที่นั่งรออยู่ตรงม้านั่งยาวไปทีละคน
ริเชลเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนร้องอ้อขึ้นมา “ใช่ ๆ ชื่อริคาโดนี่นะ ข้าก็ลืมชื่อตัวเองไปเสียสนิท ว่าแต่ข้าต้องตามเจ้าไปไหนหรือ”
ถึงประโยคดังกล่าวจะชอบกลอยู่ไม่น้อย แต่อาเบลเลือกที่จะมองข้ามไปในทันที และเขาก็ยังไม่ตอบคำถามของเด็กชายอยู่ดี แต่กลับค้อมตัวปลก ๆ ราวกับกำลังบูชาเทพเจ้า อาเบลรีบกระโจนออกจากโต๊ะทรงกลม ราวกับถูกที่เขี่ยถ่านแนบก้น พริบตาเดียวก็มายืนอยู่ข้างริเชลแล้ว และโบกมือนำทางเด็กชายไปยังซุ้มประตูโค้งที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
การกระทำดังกล่าวเรียกเสียฮือฮาจากเด็กชายนับไม่ถ้วนที่นั่งรออยู่ โดยเฉพาะเด็กชายผู้หนึ่งที่แต่งกายราวกับหลุดออกมาจากพระราชวัง เด็กชายรายนั้นเขม้นมองตามหลังริเชลไปด้วยสายตาแห่งความไม่พอใจ
ริเชลที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้คำตอบสักทีหนึ่ง เลิกให้ความสนใจไปนานแล้วว่าตนเองต้องมาที่นี่เพื่อทำอะไร เขาเงยหน้ามองโถงทางเดินที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า มันเป็นทางเดินสีขาวสะอาดตา ที่มีเชิงเทียนทองเหลืองประดับประดาไปตลอดทาง พื้นที่เป็นหินอ่อนขัดมัน ถูกปูด้วยพรมสีน้ำเงินเข้ม ทำให้เสียงฝีเท้าที่ควรดังกึกก้อง กลายเป็นเสียงทึบแผ่วเบา เด็กชายทอดมองออกไปยังนอกช่องหน้าต่างทรงโค้ง เขามองเห็นต้นไม้ สวน และรูปปั้นประดับที่วางเรียงราย แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่ เจ้ากำลังจะพาข้าไปที่ไหนหรือ”
อาเบลสะดุ้งจนตัวโยน เขาเหลียวกายหันมาตอบด้วยท่าทีสุภาพยิ่ง
“กำลังพาท่านไปที่พักครับ”
ริเชลเลิกคิ้ว “ที่พักอะไรเล่า ข้าต้องนอนค้างที่นี่หรือ”
นักบวชคิดขึ้นมาได้ทันทีว่า นี่ต้องเป็นบททดสอบจากท่านหัวหน้าสภานักบวชแน่ ไม่มีใครที่ไหน ที่จะไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ขนาดนี้ เขาจึงเก็บงำสีหน้าที่เหลือจะกล่าว แล้วแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่เคารพนบนอบ
“ที่พักระหว่างที่ท่านเข้ารับการทดสอบครับ ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้รับความสะดวกสบาย พวกกระผมได้เตรียมที่พักให้เรียบร้อยแล้ว”
ขณะที่ริเชลกำลังจะอ้าปากถามอีกครั้งว่า ‘ทดสอบอะไรล่ะ’
นักบวชนำทางก็ชะงักฝีเท้าก่อนค้อมตัวไปด้านหน้า เมื่อเผชิญกับเด็กชายอีกรายหนึ่งที่มีอายุอานามใกล้เคียงกับริเชล เพียงแต่มีความสง่างามกว่า และน่าเคารพกว่า คราวนี้อาเบลทำความเคารพด้วยความเต็มใจ
“มาถึงแล้วหรือครับ ท่านคาโล”
ชื่อนั้นคุ้นหูนัก ริเชลจึงชะโงกหน้าเพื่อมองบุคคลที่สามให้ชัดถนัดตา เด็กชายคนดังกล่าวมีเรือนผมสีเงินยวง และนัยน์ตาสีฟ้าสด เขาคือคนที่พาตนเองมาถึงมหาวิหารอะไรสักอย่างนี่เอง
คาโลเบิกตากว้างเมื่อเห็นผู้ที่ถูกอาเบลบดบังไว้
“เป็นท่านเองหรือ” ขนาดตกใจ เขาก็ยังใช้วาจาสุภาพ
ริเชลยิ้มกว้าง และทักทายกลับอย่างเป็นแบบฉบับ
“เจ้านี่เอง คนที่มีรอยยิ้มปลิ้นปล้อน เจ้าชื่อคาโลใช่หรือไม่”
ความคิดเห็น