ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันราตรี ONE THOUSAND NIGHTS

    ลำดับตอนที่ #13 : อสูร

    • อัปเดตล่าสุด 16 ส.ค. 67


     เรื่องตำนานปรัมปราอย่างทวยเทพฆ่าอสูรลงได้นั้น เป็นอะไรที่พวกเขาเคยได้ยินมากันจนชินหูเสียแล้ว เพราะเป็นนิทานก่อนนอนที่บรรดาแม่ ๆ ชอบเอามากล่อมให้พวกเขานอนหลับ รายละเอียดเล็ก ๆ น้อยอย่างว่าองค์เทพคาร์เนหน้าตาเป็นอย่างไรก็ต่างออกไปตามพื้นที่ มีแต่เจ้าอสูรเท่านั้นที่มีหน้าตาเหมือนปีศาจจากขุมนรก ร่างกายใหญ่โตดุจยักษ์ปักหลั่น ผิวเป็นสีหมึกดูน่าพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องวาจาทิ้งท้ายที่ว่ามันจะหวนกลับคืนมาในอีกหนึ่งพันปีให้หลังนั้นถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับบรรดาผู้เข้าทดสอบ แต่หาได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับทายาทขุนนาง และคาร์ลไม่ ทั้งสองกลุ่มต่างมีสีหน้าเฉยชาออกไปทางเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำไป อาจยกเว้นแค่บุตรชายของเจ้าวิหาร ที่ยังรักษาสีหน้าท่าทางใคร่รู้อยู่พอประมาณ

    ทั่วทั้งห้องจึงนิ่งอึ้งไปหลังนักบวชอาวุโสอรรถาธิบายเรื่องราวในอดีตจนจบ แต่เพราะสีหน้าเครียดเขม็ง และน้ำเสียงดุดันจึงไม่มีเด็กชายคนใดกล้าส่งเสียงเลยสักแอะหนึ่ง มีเจ้าเก่าเจ้าเดิมอย่างริเชลเท่านั้นก็กล้าพูดทะลุกลางปล้องอย่างห้าวหาญ เป็นตัวแทนถามเรื่องที่บรรดาเด็กชายใคร่สงสัยอยู่เช่นเดียวกัน

    นั่นก็คือ นี่ถึงช่วงเวลาที่เจ้าอสูรจะหวนกลับมาแล้วใช่หรือไม่

    แกนน่อนรับฟังข้อสงสัยด้วยท่าทีเย็นยะเยือกดุจก้อนน้ำแข็ง ใครบางคนที่เป็นเด็กแสบสันประจำหมู่บ้านก็นึกสงสัยขึ้นมาเดี๋ยวนั้นว่า ต่อให้ขว้างก้อนหินใส่ นักบวชรายนี้ก็คงไม่แสดงท่าทีสะทกสะท้านแต่อย่างใด ใบหน้าของแกนน่อนเรียบเฉยราวกับผืนผ้าใบที่ถูกขึงใส่กรอบไม้ เขากระแอมคอให้โล่งทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบ

    “ถูกต้องแล้ว” คำตอบดังกล่าวเรียกเสียงอุทานขึ้นมาอย่างบางเบาก่อนเลียบลงเมื่อเขากวาดสายตาคมกริบอย่างถ้วนทั่ว กฎข้อหนึ่งของอัครมหาวิหารก็คือ ห้ามผู้น้อยเอ่ยสิ่งใดออกมาก่อนจะได้รับอนุญาต แม้จะเป็นแค่เสียงไอค็อกแค็กก็ตามที “พวกเจ้าคงสงสัยว่า เหตุใดผู้ปกครองของพวกเจ้าถึงไม่เคยเล่าถึงใช่หรือไม่?”

    ผู้เข้าทดสอบพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน แกนน่อนขยับแว่นให้กลับมาอยู่บนดั้ง “นั่นเป็นเพราะว่า เรื่องสัตย์สาบานของเจ้าอสูรรู้กันแต่ในหมู่ผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นนักบวชเท่านั้น”

    นักบวชอาวุโสวางหนังสือเล่มหนาเตอะในมือลงกับโต๊ะด้านหน้าของตน มันมีหนังสือปกแข็งจำนวนหลายเล่มวางเรียงกองเป็นตั้ง

    “นี่คือสาเหตุที่เดมาถูกก่อตั้งขึ้น ก็เพื่อรับมือกับเจ้าอสูรที่กำลังจะหวนกลับมา” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเครียดเขม็งทำให้เด็กชายทั้งหลายกลืนน้ำอันเหนียวหนืดลงคอ เขายังกล่าวต่อด้วยท่าทีเนืองเนือยอีกว่า “เรื่องที่ข้าได้กล่าวไปแล้วนั้น และกำลังจะกล่าวต่อจากนี้ถือว่าเป็นความลับต่อประชาชนทั่วไป หากพวกเจ้าแพร่งพรายออกไป ย่อมนับว่าผิดกฎหมาย หากสงสัยว่าจะถูกจับได้อย่างไรก็ลองเล่าให้คนที่เจ้าดูก็ได้ จะได้รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น”

     

    sds

    นี่หาใช่คำขู่เข็ญแต่อย่างใด แต่จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงต่างหาก ผู้เข้าทดสอบที่เข้าใจถึงการ ‘เตือน’ จึงพร้อมใจกันเม้มปากโดยพลัน

    “หลังการลั่นวาจาของเจ้าอสูร บรรดานักบวชในยุคแรกเริ่มก็หาได้นิ่งนอนใจ พวกเขารู้ว่าเจ้าอสูรจะต้องหวนกลับมาตามที่ได้ให้คำสัตย์ไว้ ถึงได้มีการวางระบบกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อเตรียมการรับมือมาตั้งแต่เนิ่น ๆ แบ่งนักบวชที่เก่งกาจในงานด้านการบริหาร แกจากนักบวชที่เก่งกาจด้านการสู้รบ จนเป็นที่มาของนักบวชฝ่ายบริหาร และลาเคย์นั่นเอง”

    เด็กชายหลายคนตาเป็นประกายขึ้นมาในทันที และขยับตัวอย่างขยุกขยิกอยู่บนเก้าอี้ แกนน่อนร่ายยาวต่อว่า

    “ฝ่ายบริหารมีหน้าที่รวบรวมข่าวสารจากทั่วทั้งทวีป เพื่อดูการเคลื่อนไหวและการโจมตีของเหล่าอสูร และมีการจดบันทึกเพื่อดูรูปแบบการเคลื่อนไหว หากมีการเคลื่อนไหวที่ผิดแปลกไป ก็จะทราบได้ในทันทีว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น พวกเจ้าอาจไม่ทราบ แต่ในหลายปีที่ผ่านมานี้ การโจมตีของเผ่าอสูรทวีเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ และร้ายแรงมากขึ้นเป็นลำดับ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า การกลับมาของเจ้าอสูรในเร็ววันนี้เป็นเรื่องจริง”

    นักบวชอาวุโสส่งสายตาอันคมกริบลอดผ่านแว่นไป ในขณะที่เด็กชายทั้งหลายหน้าซีดเซียวลงทุกที เป็นริเชลอีกนั่นละ ที่กล้าพูดแทรกขึ้นอีก

    “เก็บข้อมูลกันมาเป็นพันปี หมายความว่ารู้แน่ชัดแล้วใช่หรือไม่ว่าเจ้าอสูรจะกลับมาในวันใดเวลาใด”

    แกนน่อนขมวดคิ้วจนยุ่งต่อคำถามดังกล่าว ที่เหมือนจะสื่อความหมายไปในตัวว่า ‘รู้ล่วงหน้ามาตั้งพันปี ของแค่นี้ก็น่าจะรู้ใช่หรือไม่’ นัยน์ตาสีเข้มที่ทอประกายระยิบระยับอันมีความทะเล้นแอบแฝงอยู่ ก็ดูจะส่อไปในข้อหลังเสียด้วย

    นักบวชผู้รับหน้าที่บรรยายกระแอมคอให้โล่งอีก แล้วตอบออกมาอย่างผ่าเผยว่า “ไม่” แล้วเอามือลูบปกหนังสือ “นั่นไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า” เขาจงใจส่งสายตาเฉียบคมไปทางริเชลอย่างจงใจ “พวกเจ้าจะมีสิทธิ์รู้รายละเอียดเหล่านี้ได้ ก็ต่อเมื่อได้เข้าเป็นนักบวชแล้วเท่านั้น”

    อันมีความหมายอีกว่า หากอยากรู้มากกว่านี้ ก็พิสูจน์เสียสิว่ามีความสามารถพอ และการอบรมก็จบลงดื้อ ๆ เช่นนี้นี่เอง

    แน่นอนว่าบรรดาผู้เข้าทดสอบต่างเอาไปเป็นหัวข้อพูดคุยเสียยกใหญ่ ยกเว้นแต่เหล่าทายาทขุนนางที่ลุกขึ้นอย่างแข็งขืนและเดินออกจากห้องอบรมไปอย่างแข็งขืน ผู้ที่นำหน้าต้องเป็นอิลยาอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กชายที่มีคิ้วโก่งชี้เป็นคันศรมีใบหน้าบูดบึ้งราวกับว่าโกรธเคืองคนทั้งโลก ส่วนเหล่าทายาทขุนนางรายอื่น ๆ มีสีหน้าเหมือนถูกสั่งให้กล้ำกลืนของขมปี๋ ไม่มีใครเลยในหมู่พวกเขาที่มีความเย่อหยิ่งหลงเหลืออยู่ เมื่อประตูห้องประชุมปิดลงดังปัง ผู้เข้าทดสอบที่เหลือก็กวาดของลงย่ามแล้วทยอยออกจากห้องไป เสียงพูดคุยอึงมี่จึงดังกระหึ่มขึ้นมา แน่นอนว่าหัวข้อสนทนาจะต้องเป็นเรื่องของเจ้าอสูร ก่อนจะลดเสียงเบาลงเมื่อถูกนักบวชที่ประจำการตรงประตูส่งสายตาตักเตือน

    หลังเริ่มต้นการอบรมมาได้เพียงวันกว่า ๆ พวกเด็กชายบ้านนาก็เคยชินไปโดยปริยาย พวกเขาจะต้องรอให้กลุ่มสายเลือดของขุนนางเดินออกไปก่อน และหากเจอกันระหว่างทาง ก็ต้องยอมให้อีกฝ่ายนำหน้าไปด้วยเช่นกัน หากไม่อยากมีเรื่องบาดหมาง

    ริเชลยังคงเหยียดแข้งเหยียดขาอยู่บนตรงตำแหน่งเดิม เด็กที่เหลือทยอยไปออกันอยู่ตรงประตูแล้ว แต่พวกเขาทั้งสองยังคงนั่งอยู่ในที่เก่า คาร์ลกำลังเก็บหนังสือต่าง ๆ ที่เขาเอาออกมาตั้งเรียงเป็นกำแพงสูงลงกระเป๋าทีละเล่ม ระหว่างเก็บไปก็เปิดอ่านไปจึงยังไม่เสร็จเสียที ส่วนริเชลบิดขี้เกียจแล้วบิดขี้เกียจอีกก็ยังไม่หนำใจ เอนหลังลงนอนราบกับเก้าอี้เสียเลย ระหว่างที่กำลังไล่สายตาดูรูปวาดงามวิจิตรที่ประดับอยู่บนเพดาน ผู้ร่วมห้องของตนก็ถามขึ้น

    “สงสัยหรือ” เขาหมายถึงเรื่องที่อีกฝ่ายถามออกไประหว่างการอบรม มีเพียงคาร์ลคนเดียวที่เข้าใจเจตนาของริเชล บุตรชายของหัวหน้าสภานักบวชก็แค่อยากรู้ตามที่ถามเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นใดแอบแฝงเลย เจ้าของเรือนผมสีเข้มพยักหน้า

    “อือ” ก่อนจะสำทับอีกว่า “ข้าอยากรู้ว่าปีศาจร้ายที่ทำลายสถานที่ต่าง ๆ หน้าตาเป็นอย่างไร”

    คาร์ลเงยหน้าขึ้น “...เพราะอะไร”

     

    sds

    ผู้ถูกถามเด้งตัวขึ้นนั่ง แต่เท้าทั้งสองข้างยังตั้งชันอยู่บนเก้าอี้ “ก็...ดูเสียสิ” ริเชลชี้นิ้วขึ้นเหนือศีรษะ “ภาพนี้ก็สวย ข้าว่าคนวาดต้องใช้เวลาและพลังงานทั้งหมดเพื่อวาดมันแน่ แล้วก็นี่อีก” เขาเลื่อนนิ้วไปที่พนักพิงอันสร้างจากไม้ และมีลวดลายของเถาไอวี่แกะสลักเอาไว้ “คนที่แกะสลักต้องมีฝีมือและตั้งใจมากแน่ พวกรูปปั้นเหล่านั้นก็ต้องใช้ความอุตสาหะและจิตวิญญาณในการทำขึ้นมา ยังมีพวกอาหารต่าง ๆ อีกเล่า ที่ต้องใช้ประสบการที่สั่งสมมาถึงจะทำขึ้นมาได้ ของพวกนี้น่ะไม่ใช่ว่าคิดออกมาได้ แล้วจะได้ทันทีเสียเมื่อไหร่ ทุกอย่างก็ต้องใช้เวลาทั้งนั้น ข้าเลยอยากรู้ว่า คนที่อยากทำลายสิ่งเหล่านี้หน้าตาเป็นอย่าง คิดอะไรอยู่ ถึงทำลายได้ลงคอ

     

    sds

    บุตรชายเจ้าวิหารมองดวงตาที่ใสซื่อของคู่สนทนา ก็เผยยิ้มที่อธิบายไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกแบบใดกันแน่ จะว่าเป็นความเอ็นดูก็มิใช่ จะว่าเป็นความชิงชังก็บอกไม่ถูก และเป็นรอยยิ้มที่ส่งให้แก่ริเชลหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ชัด

    มันต่างหาก” คาร์ลเอ่ยแก้สรรพนาม ก่อนจะพูดต่อว่า “เรื่องนั้นไม่สำคัญนี่ ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร แค่รู้จุดประสงค์ก็เพียงพอแล้ว”

    ริเชลนิ่งงันไป ก่อนเผยยิ้มที่มีความนัยแอบแฝงดุจเดียวกัน “หมายความว่า การจะฆ่าใคร ก็ไม่เห็นต้องทำความเข้าใจใช่หรือไม่ แค่รู้เป้าหมายก็เพียงพอแล้ว”

    คาร์ลยังคงนิ่งเฉยไม่ตอบคำ ริเชลเองก็พร้อมที่จะนั่งรอ เขาขยับกายเล็กน้อยก็อยู่ในท่าที่นั่งสบายก้นแล้ว ก่อนจะส่งสีหน้าเป็นเชิงท้าทาย บุตรชายเจ้าวิหารถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง เขาหันไปเก็บหนังสือลงกระเป๋า เหลืออีกเพียงสองเล่มเท่านั้นบนโต๊ะก็จะว่างเปล่าลง แต่แล้วฝ่ามือข้างนั้นก็วางลงบนขอบโต๊ะ แล้วหันไปทางริเชลก่อนกล่าวว่า

    “รู้หรือไม่ว่าทำไมมนุษย์ถึงเรียกอสูรว่าอสูร

    เด็กชายส่ายศีรษะ

    คาร์ลหลุบตาลงต่ำ “อสูรมีความหมายว่ายักษาหรือมารที่ชอบก่อความวุ่นวายให้แก่มนุษย์ เกิดมาเพื่อเข่นฆ่าสังหาร มีร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัว บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ร้ายที่กินเนื้อมนุษย์ นั่นหมายความว่า พวกมันไม่สนใจหรอกหรอกว่าคนที่วาดภาพเหล่านี้เป็นใคร สร้างเก้าอี้ตัวนี้ด้วยความตั้งมั่นเพียงไร หรือต้องขบคิดหัวแทบแตกเพียงไรถึงจะได้อาหารมากสักจานหนึ่ง พวกมันไม่มีเหตุผล มีแต่สัญชาตญาณว่าจะต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ และยึดครองดินแดนทั้งหมด”

    เขาหันไปหาริเชลอีกครั้ง นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนจางวาวโรจน์ดุจมีเพลิงลุกโชติช่วง “พวกมันเกิดขึ้นมาเพื่อฆ่าพวกเราเท่านั้น หาได้มีเหตุผลอื่นใดไม่”

    ทั้งน้ำเสียงทั้งวาจาดูเยียบเย็นผิดแปลกไปจากทุกทีราวกับเป็นคนละคน ทั้ง ๆ อย่างนั้น ริเชลก็ยังเผยยิ้มแต้ใส่ แล้วพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาทีเดียวว่า “เข้าใจแล้วละ! ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นข้าก็จะเชื่ออย่างนั้น! แล้วเจ้าเก็บของเสร็จหรือยัง ข้าหิวแล้ว”

    เมื่อสองประโยคสุดท้ายคือการท้วงติง คาร์ลถึงหยิบหนังสือที่เหลือใส่ลงกระเป๋า และเดินออกจากห้องประชุมไป

    เรื่องของเจ้าอสูรที่จะหวนกลับมาอีกหนึ่งพันปีให้หลังเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ได้เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น เมื่อบรรดาเด็กชายกลับถึงห้อง พวกเขาก็มีอย่างอื่นให้กังวลมากยิ่งกว่า นั่นก็คือการอบรมเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาของการทดสอบ ไม่มีเวลาในการพักอ่านทบทวนเนื้อหาที่ถูกยัดเยียดเข้าสมองน้อยในสามวันแต่อย่างใด กล่าวคือ เมื่อการอบรมสิ้นสุดลง ก็จะถึงเวลาแห่งการพิสูจน์ว่าศักยภาพของผู้เข้าทดสอบนั้นเป็นอย่างไร

    เพราะการเป็นนักบวชไม่ได้หมายถึงผู้ที่เป็นตัวแทนของปวงเทพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังหมายถึงผู้ที่บริหารจัดการบ้านเมือง บำบัดทุกข์บำรุงสุขอะไรเทือกนั้นด้วยอีกต่างหาก ดังนั้นจึงต้องถึกทนทายาดต่อแรงกดดันได้เป็นอย่างดี เพราะพวกเขาไม่เพียงต้องเผยแผ่คำสอนของเหล่าทวยเทพเพื่อให้บ้านเมืองอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข แต่ต้องมีการจัดการทรัพย์สิน ที่ดิน เสบียงกรัง การแบ่งสันปันส่วนพืชไร่ และยังต้องรับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นการทดสอบที่ต่อเนื่องจากการอบรมโดยไม่มีการเว้นวรรคนั้นถือเป็นการทดสอบอย่างหนึ่งก็ว่าได้

    เด็กชายอายุยังไม่พ้นสิบสามปีทั้งหลายต้องเรียนรู้เรื่องการคิดคำนวณภาษี บทลงโทษต่าง ๆ ต่อชาวบ้านที่ไม่ยอมผันน้ำจากไร่ของตนให้แก่ไร่ข้างเคียง และยังต้องรู้ให้ลงลึกอีกว่า ภาษีที่ต้องใช้ในการเลี้ยงม้าของเดมาเทียบเท่ากับอาหารกี่มื้อของประชาชน เรียกได้ว่าเด็กชายที่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนหน้ายังวิ่งจับปลาอยู่ในแม่น้ำ และยังนับเลขหนึ่งถึงสิบได้ไม่คล่อง แทบจะกรีดร้องโหยหวนออกมา และฝันร้ายถึงเรื่องพวกนี้ในยามค่ำคืน เวลาเพียงสามวันได้เปลี่ยนให้ผู้เข้าทดสอบมีรอยดำคล้ำใต้ตา และความร่าเริงแบบเด็ก ๆ ก็พลันหายวับไป

    การทดสอบนั้นแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน

    หนึ่งคือการสอบข้อเขียน ซึ่งคือการทดสอบในวันแรกนั่นเอง

    ข้อมูลที่บรรดานักบวชพากันสลับมาบรรยายตั้งแต่เช้าจรดค่ำนั้น จะถูกเขียนออกมาเป็นข้อสอบ มิหนำซ้ำข้อสอบเหล่านี้ยังมิใช่ข้อสอบแบบปรนัย แต่เป็นอัตนัยอีกต่างหาก โดยมิได้แบ่งการสอบออกเป็นรายวิชา แต่สรุปรวมรวบยอดมาในข้อสอบเดียว ตัวอย่างเช่น ข้อแรกอาจถามว่า เจ้าวิหารคนที่สามมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร เริ่มการปกครองในปีใด และสิ้นสุดสมัยของท่านในปีใด ขอให้เล่าประวัติของพระองค์โดยสังเขป ส่วนข้อสองก็อาจจะเป็น หากชาวไร่ผู้หนึ่งได้จุดไฟเผากองฟางในที่ของตน แล้วบังเอิญไฟกองนั้นได้ลุกลามไหม้ไปจนถึงที่นาของเพื่อนบ้าน ชาวไร่ผู้นั้นมีความผิดต่อกฎข้อใดบ้าง และต้องเสียค่าปรับรวมถึงถูกลงโทษในรูปแบบใด ขอให้เขียนอธิบายมาโดยสังเขป อะไรอย่างนี้

    สำหรับบรรดาสายเลือดขุนนางแล้ว เรื่องพวกนี้ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเลยทีเดียว พวกเขาไม่เพียงถูกอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาท แต่ยังถูกบ่มเพาะเพื่อให้ก้าวมารับตำแหน่งของนักบวชตั้งแต่เกิด จึงไม่ประสบปัญหาอะไรทั้งสิ้น ยกเว้นเพียงสายเลือดขุนนางบางรายที่มีสมองทึบเอาแต่ฟาดดาบเล่นทั้งวันเท่านั้น

    ส่วนคาร์ลที่เติบโตมาในวิหาร ความรู้ในเรื่องเหล่านี้จึงเหมือนเรื่องสามัญสำหรับเขา เช่นเดียวกับที่รู้ว่าสีนี้คือสีฟ้า ใบไม้เป็นสีเขียวอะไรทำนองนั้น

    และสำหรับบุตรชายของหัวหน้าสภานักบวช ริเชลจัดว่าอยู่ระหว่างกลางระหว่างสองกลุ่มนี้

    เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนจากการถูกเคี่ยวกรำโดยเพื่อนร่วมห้อง และไม่ได้รับอนุญาตให้นอนเลยแม้แต่นาทีจนกว่าการสอบข้อเขียนจะสิ้นสุด ผลที่ได้คือเด็กชายตั้งหน้าตั้งตาเขียนข้อสอบอย่างขะมักเขม้นยิ่งกว่าผู้ใด ดูต่างเป็นคนละคนกับตัวขี้เกียจในที่อบรมเลยทีเดียว กระทั่งเหล่านักบวชที่เอาเรื่องของริเชลไปติฉินนินทาว่าทำให้ชื่อเสียงของหัวหน้าสภานักบวชนั้นมัวหมอง ยังอดแสดงความชื่นชมต่อความจริงจังในการทำข้อสอบมิได้ ในขณะที่เด็กชายบางราย จนตะวันตกดินแล้วก็ยังไม่สามารถทำข้อสอบได้ทั้งหมด นั่งร้องไห้อยู่ในที่นั่งของตนจากการรับแรงกดดันเหล่านี้ไม่ไหว

    เมื่อค่ำคืนมาเยือน แต่ไฟของห้องทำงานในอัครมหาวิหารกลับส่องสว่าง บรรดานักบวชที่รับหน้าที่ผู้ตรวจข้อสอบกำลังนั่งตรวจทานคำตอบเหล่านั้นอย่างขะมักเขม้น เพราะมีหลายรายที่ไม่สามารถเขียนตัวหนังสือได้ พวกเขาจึงต้องสอบปากเปล่าเป็นรายบุคคล และจะมีนักบวชผู้ช่วยคอยบันทึกข้อความอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นข้อสอบในส่วนนี้ก็จะอ่านง่ายสบายตาอยู่สักหน่อย ในขณะที่ข้อสอบส่วนใหญ่ปรากฏตัวอักษรโย้ไปเย้มา เพราะผู้เข้าทดสอบสอบหลายรายนั้นอ่านออกเขียนได้ แต่มิได้ฝึกปรือเรื่องการคัดลายมือ จึงได้เห็นเหล่านักบวชเอาแว่นขยายที่ตีกรอบด้านนอกด้วยเงิน กำลังไล่อ่านอยู่ว่าตัวอักษรเหล่านี้เขียนว่ากระไรกันแน่

     

    sds

    ใครบางคนที่โชคดีหน่อย ก็ได้ตรวจคำตอบของเหล่าทายาทขุนนาง โชคร้ายหน่อยก็ได้อ่านลายมือของริเชล

    และผู้โชคร้ายรายนั้นก็คือนักบวชหนุ่มที่มีนามว่าอาเบล เขาเอื้อมแขนไปเคาะหลังที่เมื่อยขบจากการก้มอ่านข้อสอบมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ด้านหน้าคือกองกระดาษที่ยังไม่พร่องความสูงลงเลยแม้แต่น้อย ส่วนกล่องไม้ที่วางเรียงไว้ข้างเท้ามีกระดาษเพียงไม่กี่แผ่นเท่านั้นที่อยู่ข้างใน อันมีความหมายว่าตลอดเวลาหลายชั่วโมงนี้งานของตนแทบไม่คืบหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเม้มปากไปด้วยขณะไล่อ่านประโยคสุดท้ายบนหน้ากระดาษด้วยใจลุ้นระทึก ก่อนหลับตาแน่นแล้วหันไปถามผู้ที่นั่งข้างเคียงว่า

    “ประโยคนี้อ่านว่าอะไร เจ้าพออ่านออกหรือไม่ ข้านึกไม่ออกเลยว่าเป็นตัวอักษรอะไรกันแน่”

    อาเบลบ่นขรมขณะใช้มือซ้ายเลื่อนกระดาษไป ส่วนมือขวายกขึ้นนวดดั้งจมูก

    สหายรายนั้นของตนหรี่ตาลงจนดวงตาแทบจะกลายเป็นขีดเส้น แล้วนิ่งค้างอยู่นานหลายนาทีเลยทีเดียว ก่อนจะร้องขึ้น “มันอ่านว่าเทียบเท่ากับข้าวสาลีหนึ่งตัน!”

    ไม่ใช่แค่อ่านออกเป็นตัวอักษรเท่านั้น แต่ยังแกะให้ทั้งประโยคเลยทีเดียว อาเบลหันไปขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่ด้วยสีหน้าสุดซึ้ง แล้วประทับตราของวิหารปิดท้ายกระดาษ ก่อนจะโยนคำตอบของริเชลลงในกล่องไม้

    “ลายมือแย่ชะมัด” นักบวชบ่นอุบขณะเอนหลังแล้วหงายศีรษะกับพนักพิง ซึ่งมีนักบวชหลายรายกำลังทำแบบนั้นอยู่เช่นเดียวกัน

    แกนน่อนที่นั่งอยู่ตรงกลางห้องอย่างพอดิบพอดีกระแอมเตือนให้บรรดานักบวชที่ยศต่ำกว่ารักษาท่าทีอันเรียบร้อยที่พึงมีในนักบวชเอาไว้ อาเบลที่คุ้นเคยกับเขาอยู่พอประมาณหมุนศีรษะไปหา และเอ่ยถามโดยที่ยังเอนคออยู่

    “ท่านแกนน่อน การจัดสอบของวันพรุ่งนี้เขียนกำหนดการเสร็จแล้วหรือครับ?”

    นักบวชอาวุโสไม่ตอบคำในทันที แต่ส่งสีหน้าเคร่งเครียดให้แทนก่อนเอ่ยว่า “เสร็จแล้ว...แต่ว่า” เขานิ่งงันไป อันส่งให้เขากลายเป็นจุดสนใจของทั้งห้องเลยทีเดียว “การสอบครั้งนี้ ท่านอาวีโดก็เข้าร่วมด้วย”

    ฉับพลันนั้นก็บังเกิดเสียงฮือฮาขึ้นในทันที

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×