คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : กลุ่มต่อต้าน
คาร์ลยังคงรักษาใบหน้าให้นิ่งเรียบอยู่ แม้จะเพิ่งถูกเปิดเผยไปว่าเขาคือบุตรชายของเจ้าวิหาร ผู้ที่มีอาการลำพองกว่ากลับกลายเป็นนักบวชอาวุโส แกนน่อนหันไปทางบรรดาทายาทขุนนาง แล้วเอ่ยด้วยเสียงเฉียบขาดทีเดียวว่า
“ทีนี้คำของเขาทั้งสอง ก็น่าจะพอเชื่อถือได้แล้วใช่หรือไม่ เมื่อได้รู้จักหัวนอนปลายเท้ากันแล้ว”
ประโยคที่เย็นชาดังกล่าวส่งให้เด็กชายขุนนางทั้งหมดต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกเขาไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ว่าฝ่ายที่ถูกพวกตนโจมตีจะเป็นบุตรของหัวหน้าสภานักบวช และเจ้าวิหาร
ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงไม่พ้นอิลยา เขาเป็นสายเลือดของตระกูลดยุกที่มีเพียงหนึ่งเดียว อันส่งผลให้เขาเป็นผู้ที่มียศสูงกว่าเด็กชายรายอื่นในวัยเดียวกัน แน่นอนว่าตำแหน่งดังกล่าวก็ยังถูกนับเป็นเพียงข้าราชสำนัก อันเปรียบเทียบไม่ได้เลยกับตำแหน่งเจ้าวิหาร ที่เทียบได้กับกษัตริย์ในอดีต ดังนั้นหากกล่าวกันโดยยศถาบรรดาศักดิ์แล้ว คาร์ลมีสถานะที่สูงกว่าตน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เด็กชายทนมิได้ เพราะมารดามักพร่ำสอนอยู่โดยตลอดว่า เขาคือผู้ที่มีสายเลือดอันสูงส่งที่สุด
ความเกลียดชังนั้นปรากฏสู่ใบหน้าอย่างไม่คิดจะปิดบัง อิลยาส่งความมุ่งร้ายไปที่คาร์ลโดยตรง และเด็กชายก็ตอบโต้การโจมตีนั้นด้วยการไม่ใส่ใจ
อัลฟองโซ่ที่นิ่งเงียบมาตลอด ไม่เสียเวลาอ่านเอกสารที่บุตรชายเจ้าวิหารนำมาเสียด้วยซ้ำ เขาไม่แสดงอาการตกตะลึง แน่ละ เพราะทราบดีถึงสถานะของคาร์ลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้นักบวชหนุ่มตกใจมากกว่า คือการที่เจ้าเด็กไร้สัมมาคารวะนั่น เป็นบุตรบุญธรรมของอลิสเซียน่า
ตามกฎของเดมาแล้ว บรรดานักบวชทั้งหลายจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีภรรยาหรือทายาท ส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเสียสละ หรือกล่าวคือ การเป็นนักบวชอันเป็นตัวแทนของปวงเทพนั้นจะต้องทุ่มกายถวายชีวิตให้แก่พระองค์ และทุ่มเทชีวิตที่เหลือทั้งหมดให้แก่วิหาร เพื่อเผยแผ่คำสอนของพระองค์สู่ปวงประชา ในขณะเดียวกันก็คุ้มครองพวกเขาจากการรุกรานของสิ่งชั่วร้าย ดังนั้นบรรดาเด็กชายที่ถูกส่งเข้ามาทดสอบ ก็มักจะมาจากครอบครัวที่มีพี่น้องมากกว่าจะเป็นบุตรชายคนเดียว ซึ่งหากเกิดกรณีนั้นขึ้น ก็จะมีการรับเด็กชายรายอื่นเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อสืบทอดนามสกุล ในบางครั้ง กรณีที่ครอบครัวของนักบวชรายนั้นเสียชีวิตไปสิ้นแล้ว ไม่ว่าจะเกิดจากการเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุก็ตาม นักบวชรายนั้นก็จะสามารถรับบุตรบุญธรรมเข้ามาดูแลให้การสอนสั่ง จนเมื่อถึงอายุหนึ่ง ก็จะส่งออกไปให้ใช้ชีวิต มีครอบครัวเพื่อสืบต่อนามสกุลของตระกูล
หรือหากบางรายได้พบเข้ากับเด็กกำพร้าที่เสียครอบครัวไปเพราะความทุกข์ยาก ก็จะถูกนักบวชรับเข้ามาดูแล และส่งเข้ารับการทดสอบเพื่อให้เป็นนักบวชสืบต่อไปก็มีให้เห็นกันอยู่กลาดเกลื่อน คาร์ลเองก็คือกรณีนั้น เพียงแต่นักบวชที่เป็นบิดาบุญธรรมของเขา คือเจ้าวิหารคนปัจจุบัน
กล่าวกันว่า ก่อนที่ท่านแมคโลริคจะได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าวิหาร เขาได้เดินทางไปยังหมู่บ้านที่แร้นแค้นแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาได้พบกับเด็กชายที่มีความศรัทธาต่อปวงเทพทั้งที่ยังไม่รู้หนังสือ คาดการณ์กันว่าน่าจะเป็นพ่อแม่ของเด็กชายที่สอนสั่งวิธีการสวดภาวนาและคำสอนของพระองค์ แต่โชคร้ายที่พ่อแม่ของเขาได้จากไปก่อนวัยอันควร เขาอยู่ในการดูแลของป้าตอนที่ท่านแมคโลริคไปพบเข้า เด็กชายได้แสดงความเฉลียวฉลาดด้วยการตอบโต้เรื่องคำสอนที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ แมคโลริคที่ทึ่งต่อไหวพริบนั้น เชื่อว่านี่คือประสงค์ของทวยเทพที่ส่งเขามาที่นี่ คือเพื่อให้พบกับเด็กชายคนดังกล่าว เขาจึงรับเอาเด็กชายรายนั้นมาเป็นลูกบุญธรรมของตน
คาร์ลจึงกลายเป็นบุตรชายของเจ้าวิหารไป และด้วยนิสัยที่โอบอ้อมอารีและไม่ถือตัว เลยทำให้บรรดาชาวเมืองเอสลีเซียมักเรียกเขาว่า เจ้าวิหารน้อยบ้าง หรือคุณชายบ้าง อีกทั้งยังมีความประพฤติที่ดีดุจดั่งนักบวชที่อยู่ในร่มเงาของเดมามานานปี ทำให้คาร์ลกลายเป็นที่รักใคร่ของบรรดานักบวชหลายราย รวมถึงได้รับความเคารพไม่ต่างจากนักบวชที่มียศมีตำแหน่ง แน่นอนว่าฮัมฟรีดและแกนน่อนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะเด็กชายได้แสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์พร้อมที่หาได้ยากยิ่งในตัวของเด็กที่มีอายุเพียงเท่านี้ แต่สำหรับอัลฟองโซ่แล้ว เขาเกลียดชังคาร์ลเป็นพิเศษ ด้วยยึดถือว่าสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากกันคือกำพืด และที่มาของคาร์ล ก็เป็นเพียงเด็กชายที่ไร้หัวนอนปลายเท้า แถมยังกำพร้าพ่อแม่ แต่เหตุใดเด็กชายที่ไร้ค่านี้ กลับได้รับการเชิดชูเยินยอประหนึ่งเป็นนักบวชระดับสูง
กล่าวได้ว่า ทั้งอัลฟองโซ่และอิลยาสมกับเป็นเครือญาติกันเสียจริง
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ อัลฟองโซ่ตวัดสายตากลับไปยังเด็กชายที่นั่งอยู่เคียงข้างคาร์ล ใบหน้าของริเชลยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มทะเล้น และไม่สะทกสะท้านกับสายตาที่หลอมตะกั่วได้ของเขาเลยสักนิด เช่นเดียวกับอิลยา เขาคุ้นชินกับการปรายตามองไปที่ใด คนผู้นั้นก็หลบสายตาพลางก้มหัวให้ต่างหาก ไม่ใช่การจ้องตอบด้วยความท้าทาย แม้จะเป็นบุตรชายบุญธรรม แต่ดูเหมือนเจ้าเด็กไร้สัมมาคารวะผู้นี้จะสืบทอดนิสัยของผู้นำสภานักบวชมาได้เป็นอย่างดี อลิสเซียน่าเองก็จัดเป็นนักบวชรายหนึ่งที่มีฝีปากแพรวพราวอย่างยิ่งทีเดียว
แกนน่อนเบือนหน้ากลับมาทางนักบวชที่มีตำแหน่งเท่าเทียมกัน “ท่านเองก็ไม่มีปัญหากับความน่าเชื่อถือของพวกเขาใช่หรือไม่”
อัลฟองโซ่แค่นยิ้มด้วยความปึ่งชา เขาพยักหน้ารับอย่างแกน ๆ ก่อนส่งสายตาพิฆาตให้แก่หลานชาย ซึ่งอิลยาก็ส่งให้แก่วีลิสอีกต่อหนึ่ง ทายาทของไวเคานต์รายนั้นรู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาทีเดียว เมื่อได้ข้ามเส้นที่ไม่ควรข้ามไป
อัลฟองโซ่ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนปั้นหน้ายิ้มที่ชวนให้น่าเชื่อถือ “ท่านเองก็ไม่ควรจะกล่าวเช่นนั้นนะ ท่านแกนน่อน” เจ้าของนามเป็นฝ่ายเลิกคิ้วบ้าง “ในฐานะนักบวชแล้ว ช่วยชี้แจงได้หรือไม่ว่า พื้นฐานหลักคำสอนเดมาคือสิ่งใด” เขาสำทับซ้ำอีกเมื่อเห็นสีหน้าแห่งความคลางแคลงใจ “ถือเสียว่าอธิบายให้เหล่าผู้น้อยอย่างพวกเขาฟังก็แล้วกัน”
ในฐานะนักบวชแล้ว และไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งใดก็ตาม พวกเขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธการเผยแผ่คำสอนของศาสนา เพราะจะถือเป็นการหมางเมินแก่นแท้ของทวยเทพ
“คำสอนของเดมา ตั้งอยู่บนความเท่าเทียม ไม่ว่ามนุษย์เกิดมาในตำแหน่งไหน ก็ต่างมีความเท่ากันในฐานะบุตรและบุตรีของทวยเทพ ไม่ว่าจะเป็นเพศใด เกิดมาในครอบครัวใด หรืออยู่ในฐานะไหนก็ตาม”
แกนน่อนร่ายยาวดุจดั่งกำลังเผยแผ่คำสอนให้แก่ชาวบ้าน ขณะที่นักบวชรายอื่นรับฟังด้วยสีหน้าเลื่อมใส อัลฟองโซ่ก็ทำสีหน้าชื่นชมอย่างไม่ปิดบังเลยว่าเป็นการเสแสร้ง เขาปรบมือจนเสียงดังก้อง แล้วเอ่ยต่อว่า “ท่านเองก็ยังจดจำคำสอนได้นี่”
นักบวชอาวุโสเลิกคิ้วกับคำสบประมาทอีก คราวนี้เลิกพร้อมกันทั้งสองข้าง อันเป็นความหมายว่า ‘เจ้าจะพล่ามอะไรออกมาอีกกันเล่า’ อัลฟองโซ่แสร้งทำหมางเมินสีหน้าดังกล่าวแล้วผายมือไปทางสองเด็กชายที่มียศใหญ่ที่สุดในห้อง
“เช่นนั้นท่านก็ควรปฏิบัติต่อพวกเขา เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อทายาทขุนนางเหล่านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุตรบุญธรรมของใครก็ตาม ท่านก็ควรตัดสินอย่างเท่าเทียม”
นักบวชหนุ่มที่มีวาจาล้ำเลิศเน้นสองพยางค์ท้ายอย่างจงใจ แกนน่อนหรี่สายตาเรียวยาวหลังแว่นลง แต่ก่อนที่เขาจะได้โต้ตอบออกไป และก่อนที่การสอบสวนว่าผู้เข้าทดสอบได้มีการวิวาทกันเพราะอะไร และผู้ใดเป็นฝ่ายผิดนั้น ริเชลเจ้าเก่าเจ้าเดิมก็พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็นทางนั้นก่อนมิใช่หรือ ที่ถามถึงที่มาที่ไปของพวกข้าน่ะ”
ริเชลไม่ได้ลุกยืนด้วยซ้ำ แต่กำลังเท้าคางด้วยแขนข้างหนึ่งอยู่กับโต๊ะ เขาขยับไหล่เล็กน้อยเพื่อชี้นิ้วไปทางกลุ่มทายาทขุนนาง “ถ้าหากท่านจะสอนใครละก็ ควรสอนพวกเขาไม่ดีกว่าหรือ ไม่ใช่สอน...” คาร์ลเอนตัวเข้าไปกระซิบบอกชื่อ “ท่านแกนน่อน เพราะเขาเป็นคนตอบคำถามท่าน ก็แสดงว่าเขารู้ดี เท่าที่สมองอันน้อยนิดของข้าจะพอจำได้ คนที่พูดในสิ่งที่รู้ออกมาได้ในทันที คือผู้ที่เข้าใจในสิ่งนั้นอยู่แล้ว แต่คนที่ถามแล้วให้ผู้อื่นตอบ คือผู้ที่แสร้งรู้ดีแต่ไม่รู้ หรือไม่ก็จงใจด่าทออีกฝ่ายด้วยคำตอบที่ถามออกไป เจ้--ท่านเป็นประเภทไหนหรือ”
วาจายาวเหยียดอันมีจังหวะจะโคนนั้นน่าฟังทีเดียว นักบวชหลายคนก็ต้องรีบหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อซ่อนรอยยิ้มไว้ ซึ่งก็คือนักบวชเกือบทั้งคณะ
คราวนี้อัลฟองโซ่ไม่อาจทนการหยามหมิ่นได้อีกต่อไป ใบหน้าของเขาแดงก่ำไปจนถึงไรผม และอ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนกับจะสรรหาถ้อยคำหยาบคายเท่าที่เขาจะนึกได้ ทว่านักบวชหนุ่มถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม จึงไม่เคยได้ยินถ้อยคำระคายหูเลยสักครั้งหนึ่ง
ครั้นเห็นว่าทั้งนักบวชอาวุโสและผู้คุ้มกฎกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการควบคุมลมหายใจเพื่อไม่ให้หลุดหัวร่อออกไป กลายเป็นคาร์ลที่ลุกขึ้นแก้สถานการณ์ เขายืนขึ้น และโค้งตัวด้วยความสุภาพ
“ข้าต้องขออภัยแทนเขาด้วยครับ ที่บังอาจกล่าวแทรกขณะที่พวกท่านสนทนากัน เชิญสอบสวนต่อได้เลยครับ”
ประโยคของเด็กชายจงใจเน้นย้ำเป้าหมายที่นักบวชทั้งหมดมารวมกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ แกนน่อนจึงเป็นฝ่ายกระแอมไอเพื่อไล่คอให้โล่งก่อน เขาจ้องไปทางริเชลที่ยังนั่งเท้าคางไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ตามกฎของอัครมหาวิหาร ผู้เข้าทดสอบจะต้องรอให้อีกฝ่ายสนทนาให้จบสิ้นกระบวนความก่อน ถึงจะสามารถกล่าวต่อได้ และต้องขออนุญาตก่อนที่จะพูดสิ่งใดออกไป” เขาขยับสาบคอเสื้อเพื่อจัดให้เข้าที่เข้าทาง “แต่เพราะนี่เป็นความผิดครั้งแรก และเจ้ายังมิได้อ่านกฎ ดังนั้นจะผ่อนผันให้ก็แล้วกัน”
ริเชลสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนรีบละล่ำละลักขอบคุณ คาร์ลหยิกเขาเข้าที่เอวอีกแล้ว แกนน่อนจึงโบกมืออย่างไม่ถือสา แล้วหันกลับไปทางอัลฟองโซ่ที่ยืนขึ้นจากเก้าอี้ ใบหน้าเขายังแดงก่ำอยู่ ทั้งยังจ้องมองริเชลอย่างไม่วางตา แต่กลับส่งความมุ่งร้ายไปที่คาร์ลอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“ถ้าเช่นนั้น เรามาสอบสวนกันต่อเลยดีหรือไม่”
แกนน่อนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นักบวชหนุ่มจึงผ่อนลมหายใจออก ก่อนนั่งลงกับเก้าอี้แล้วกอดอก เขาพาดขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง และรอให้การสอบสวนดำเนินต่อไป กระนั้นก็ยังไม่เปิดอ่านเอกสารที่คาร์ลเตรียมมาให้ไว้อยู่ดี
“คาโล” นักบวชอาวุโสเรียกขึ้นหลังอ่านคำร้องของชาวบ้าน “คำร้องพวกนี้เจ้าไปได้จากที่ใดมา”
คาร์ลยืนขึ้นตัวตรง แล้วโค้งกายก่อนเอ่ยตอบ “ข้าไปได้มาจากสำนักตรวจการณ์ครับ”
“เหตุใดเจ้าถึงต้องไปตรวจคำร้องที่สำนักตรวจการณ์ด้วย”
คาร์ลยิ้มเล็กน้อย “นั่นเป็นเพราะว่าระหว่างที่เกิดเรื่องกัน มีข้าวของบางส่วนของพ่อค้าแม่ค้าเสียหาย ข้าอยากจะแสดงความรับผิดชอบ จึงไปดูคำร้องที่สำนักตรวจการณ์ เพื่อดูว่ามีผู้ใดส่งคำร้องถึงข้าบ้างไหมครับ”
ฮัมฟรีดพลิกดูคำร้องของหญิงรายหนึ่ง นางได้ระบุไว้ว่า เมื่อไม่กี่วันก่อน นางถูกเด็กชายกลุ่มหนึ่ง หยิบสร้อยคอที่นางเป็นผู้ทำขึ้นขว้างลงพื้นและเหยียบซ้ำ รวมถึงด่าทออย่างเสีย ๆ หาย ๆ โดยไม่มีการจ่ายค่าสินค้าเหล่านั้นเลยแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว คำบรรยายที่นางได้ให้แก่สำนักตรวจการณ์ ตรงกับลักษณะของวีลิสทุกประการ และเมื่อเขาเปิดอ่านไปยังรายงานหน้าอื่น ๆ ก็พบว่ามีความคล้ายคลึงกันในแง่ของวิธีการลงมือ และผู้ที่ลงมือ
วีลิสหน้าซีดเผือดลงทันใด เพราะผู้ที่เป็นฝ่ายลงมือก่อความวุ่นวายก่อนคือตน แม้ผู้ที่สั่งการจะเป็นอิลยาก็ตาม ฮัมฟรีดเน้นย้ำความกังวลด้วยการเหลือบสายตาจ้องมาทางตนทีหนึ่ง ก่อนหลุบกลับคืนสู่กระดาษ นักบวชรายอื่นที่ได้อ่านเอกสารชุดเดียวกันนี้ต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเงียบงัน ดูเหมือนว่าคำให้การเหล่านี้จะลงรายละเอียดลักษณะของผู้ร้ายไว้ได้อย่างดีทีเดียว
เด็กชายกลืนน้ำลายอีกครั้ง เมื่อแกนน่อนส่งสายตามาทางตนเช่นเดียวกัน
นักบวชที่เป็นเลขาของอัลฟองโซ่เอ่ยขึ้น ตัวของเขานั้นสูงชะลูดจนดูเหมือนกิ่งไม้ที่ขาดสารอาหาร ส่วนผมนั้นหยิกหยอยจนขอดกันเป็นวงกลมอยู่บนหนังศีรษะ มันคงจะฟูน่าดูชมเมื่อยาวขึ้น เขาจึงจัดการให้มันสั้นเตียนติดหนังศีรษะอยู่เสมอ
“จะรู้ได้อย่างไรว่า เอกสารพวกนี้เป็นฉบับจริง และมันเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย”
เขากำลังจะเบี่ยงเบนทิศทางไป และหันไปมองคาร์ลด้วยสายตาท้าทาย
บุตรชายเจ้าวิหารเหยียดยิ้ม “เอกสารที่ท่านฮัมฟรีดรวบรวมมา ก็มีคำร้องจากสำนักตรวจการณ์อยู่ด้วยใช่หรือไม่ครับ”
ผู้คุ้มกฎพยักหน้า นี่เป็นกฎระเบียบข้อบังคับพื้นฐานในการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น คาร์ลหันกลับไปหาเลขารายนั้น “เรื่องที่ว่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ก็ลองนำเอกสารต้นฉบับที่ข้านำมา ไปเปรียบเทียบตราสัญลักษณ์ดูก็ได้นะครับ” ตรงส่วนท้ายของเอกสารคำร้อง จะมีการประทับตราอยู่ มันคือตราประทับที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปคบเพลิง อันเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยตรวจการณ์ เอกสารทุกฉบับที่ออกมาจากหน่วยนี้ จะมีการประทับตราไว้ว่าเป็นเอกสารจากหน่วยของตน
อีกทั้งกระดาษของสำนักตรวจการณ์ทำมาจากเยื่อต้นสน ทำให้มีสีเข้มกว่ากระดาษที่ทำมาจากต้นยูคาลิปตัส ซึ่งนิยมใช้กันในวิหารและมีราคาแพงกว่า และยังมีผิวที่สากกว่าอย่างเห็นได้ชัด กระดาษทุกแผ่นที่คาร์ลนำมา มีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งหมด และตรารูปคบเพลิงที่ถูกประทับลงบนกระดาษ ก็มีรอยสึกของตราในรูปแบบเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ชี้ชัดว่าเป็นของจริง โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ลายเซ็นของหัวหน้าหน่วยตรวจการณ์เลยแม้แต่น้อย เมื่อสายตาเกือบทุกคู่ลงความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน คาร์ลจึงกล่าวต่อราวกับผู้บรรยายที่ชำนาญการว่า
“ส่วนคำถามของที่สองของท่านว่ามันเกี่ยวข้องอย่างไร ก็ขอให้สังเกตวันเดือนปีที่มีการส่งคำร้อง จะพบว่าการทำลายข้าวของ หรือฉกชิงวิ่งราวนี้อยู่ระยะเวลาใกล้เคียงกัน ในวันเดียวกัน มีการสร้างความเดือดร้อนสามถึงสี่ครั้ง และรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย ที่มีการบรรยายไว้โดยผู้เสียหายยังตรงกันเป็นอย่างมากทีเดียว ดังนั้นการที่มีเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้นในตลาด ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเกิดเหตุทั้งหมด ก็น่าจะเกี่ยวข้องมิใช่หรือครับ”
เขาเอ่ยอย่างสุภาพพร้อมทั้งฉีกยิ้มไปด้วย
“ข้าเห็นว่า บางที นี่อาจจะไม่ใช่แค่การทะเลาะวิวาทกันตามธรรมดา แต่เป็นการจงใจทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในเอสลีเซียครับ”
เสียงฮือฮาเกิดขึ้นตามมาในทันที อัลฟองโซ่เบิกตากว้างแล้วมองไปยังอีกฝ่ายด้วยความคาดไม่ถึง เมื่อมียามกลางวันฉันใด ก็ย่อมมียามราตรีฉันนั้น นี่คือสัจธรรมของโลก ดังนั้นเมื่อมีผู้ที่ศรัทธาในเดมา ก็ย่อมต้องมีผู้ที่ต่อต้าน กลุ่มผู้ต่อต้านนี้เป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ของผู้คนที่ผิดหวังต่อการใช้ชีวิต และเมื่อสวดภาวนาต่อปวงเทพแล้วก็ยังไม่รับการตอบสนอง ดังนั้นแทนที่พวกเขาเหล่านั้นจะปรับปรุงตนเพื่อให้ทวยเทพได้เห็นถึงจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ แต่กลับหันหน้าไปหาผู้ต่อต้าน และคอยสร้างความวุ่นวายอยู่เป็นเนืองนิตย์ อย่างไรเสีย เอสลีเซียคือที่ตั้งของอัครมหาวิหาร และยังเป็นศูนย์กลางของศาสนาเดมา ทำให้ตกเป็นเป้าอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ ที่มีการเปิดรับผู้เข้าทดสอบ กลุ่มดังกล่าวก็มักใช้ลูกหลานของตน แฝงเข้ามาในกลุ่มผู้เข้าทดสอบด้วยการปลอมแปลงเอกสาร และสร้างความวุ่นวายขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ศรัทธาของผู้คนสิ้นสูญ เมื่อต้องเจอกับปัญหาที่ทางเดมาไม่สามารถจัดการได้
ที่อัลฟองโซ่คิดไม่ถึง ไม่ใช่เพราะมีการก่อความวุ่นวายโดยกลุ่มต่อต้านหรอก แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเบี่ยงเบนเรื่องของการทะเลาะวิวาท ให้กลายเป็นเรื่องของเดมาและกลุ่มต่อต้านต่างหาก
คาร์ลยังคงกล่าวต่อไป ในขณะที่ใบหน้าของวีลิสซีดขาวมากขึ้นเรื่อย ๆ
“อย่างที่เห็นว่า การก่อความวุ่นวายในลักษณะนี้ มักจะพบเห็นได้บ่อยในช่วงการเปิดรับผู้เข้าทดสอบ อีกทั้งยังมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน คือเน้นทำลายข้าวของมากกว่าการฉกชิงวิ่งราว มีการทำร่างกายอย่างไร้เหตุผลตามที่ที่มีคนพลุกพล่าน ไม่ออกน่าจะน่าสงสัยเกินไปหรอกหรือครับ” เด็กชายเหยียดยิ้มกว้าง ขณะที่ทุกสายตาเริ่มหันไปทางทายาทขุนนางเป็นตาเดียว โดยเฉพาะวีลิสที่มีลักษณะตรงตามคำร้องทุกประการ
คาร์ลกล่าวปิดประโยคลง “บางที นี่อาจไม่ใช่การทะเลาะวิวาท แต่อาจเป็นการจงใจสร้างเรื่องของกลุ่มต่อต้านได้นะครับ โดยการทำให้ชื่อเสียงของทายาทขุนนางมัวหมอง”
ความคิดเห็น