คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ หมู่บ้านทอเลีย
ท้องฟ้าและผืนดินกลายเป็นสีดำทมิฬจนแทบแยกจากกันไม่ออก สิ่งปลูกสร้างหลายหลัง ที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวจำนวนนับไม่ถ้วน กลายร่างเป็นซากปรักหักพังที่ดำทะมึน ไม่มีส่วนใดที่สามารถคงรูปลักษณ์เช่นเดิมได้อีกต่อไปเมื่อต้องอยู่ภายใต้เพลิงไฟเผาผลาญ กองไฟจำนวนไม่น้อยยังคงปะทุอยู่ไปทั่วบริเวณ กลิ่นของเนื้อไหม้ และกลิ่นสาบโคลนลอยปะทะเข้าจมูกเป็นระลอก มันคือกลิ่นของซากศพที่ถูกย่างจนเกรียม ฟารีสยกมือขึ้นอุดปาด เพื่อป้องกันการสำรอกออกมา ใบหน้าที่เคยแฝงไปด้วยความมุ่งมั่น พลันซีดเซียวไม่ต่างจากซากศพ หมู่บ้านที่เคยมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่น้อยกว่าสองร้อยชีวิต บัดนี้เหลือแต่เพียงหลุมแอ่งดำทะมึนไปทั่วบริเวณ
เสียงฝีเท้าและเสียงอาเจียนจากเบื้องหลัง ทำให้เขารับรู้ว่ามีใครบางคนกำลังเคลื่อนที่เข้าใกล้ ชายหนุ่มรายนั้นอยู่ในชุดเครื่องแบบสีขาวที่ประดับด้วยเข็มกลัดรูปปีก เขามีทรงผมสั้นเกรียนตามนิสัยโผงผาง และกำลังคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อสำรอกสิ่งที่อยู่ในท้องออกมา แต่เนื่องจากพวกเขาเร่งรีบเดินทางมาเป็นเวลาหลายวันโดยไม่มีอะไรตกถึงท้อง สิ่งที่ออกมาจึงมีเพียงน้ำลายและน้ำย่อย
ชายหนุ่มหมุนกายไปหารุ่นน้องที่ยังคงไอค่อกแค่กอยู่
“กลับไปที่พักไป โนตัส” ฟารีสออกคำสั่ง
โนตัสที่ยังคุกเข่าอยู่ส่ายศีรษะ “...ไม่ครับ ข้าจะตามหาผู้รอดชีวิต”
ฟารีสแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง ก่อนเบือนหน้าไปรอบกาย “...ข้าไม่คิดว่าจะมีหรอกนะ” ในเมื่อสิ่งที่เห็นมีเพียงกองขี้เถ้าเพียงเท่านั้น “ลืมตามองรอบ ๆ เถอะโนตัส นี่ไม่ใช่ภารกิจช่วยชีวิต แต่เป็นภารกิจเก็บกู้ศพต่างหาก”
ชายหนุ่มที่ผมสั้นเตียนกัดฟันกับประโยคอันขมขื่นดังกล่าว เขากลั้นเสียงสะอื้นไห้ที่ติดอยู่ในลำคอ ไม่ใช่กลิ่นเนื้อไหม้เหล่านี้ที่ทำให้ตนอาเจียนออกมา แต่ก่อนหน้านี้ไม่ถึงสิบห้านาที เขาเพิ่งไปขุดแขนข้างหนึ่งออกมาจากกองไม้ โนตัสคิดแต่เพียงว่าหากช่วยชีวิตไม่ได้ ขอแค่ได้ขุดหลุมฝังศพให้ก็ยังดี แต่นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เขาคุ้ยเขี่ยออกมาจะเป็นเพียงแขนข้างเดียว
เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อมองรอบกาย ท่ามกลางกองพะเนินของสิ่งก่อสร้าง มีผู้ที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบเดียวกับตน กำลังเดินจับกลุ่มเพื่อตามหาสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ เมื่อดูจากสีหน้าที่สิ้นหวัง และดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยความโกรธแค้นแล้ว ก็คงเป็นอย่างที่รุ่นพี่ของตนได้กล่าวไว้ นี่คือภารกิจเก็บศพ มิใช่ภารกิจช่วยชีวิต มือข้างขวาที่เท้าอยู่กับพื้นกำแน่น
“ทำไมพวกอสูรถึงต้องทำกับเราแบบนี้ด้วย!” โนตัสตะโกนลั่น นี่มิใช่คำถามหากแต่เป็นการระบายความคับแค้นใจ “พวกเราไปทำอะไรให้พวกมันหรือ ทำไมถึงต้องตามจองล้างจองผลาญเช่นนี้ด้วย!”
ประโยคหลังสั่นสะท้านและแหบเครือไปด้วยความคั่งแค้นและโศกเศร้า ฟารีสได้แต่ถอนหายใจกับความไร้เดียงสา นี่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ครั้งแรกในฐานะของ ‘ลาเคย์’ โนตัสที่เพิ่งได้ค้นพบสัจธรรมของโลกใบนี้เป็นครั้งแรก จึงไม่แปลกที่จะรับกับสถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้
ฟารีสเดินไปฉุดรั้งร่างที่กำลังทรุดคุกเข่าให้ยืนขึ้น กางเกงที่เป็นสีขาวสะอาด ขะมุกขะมอมไปด้วยเขม่าจากควันไฟ ดวงหน้าที่ขอบตาแดงก่ำคล้ายจะมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากแขนข้างหนึ่งที่เพิ่งไปขุดขึ้นมา
ชายหนุ่มที่อยู่ในฐานะรุ่นพี่และหัวหน้ากองกำลังฟาดฝ่ามือเข้าที่หน้าของอีกฝ่าย เสียงดัง เพียะ ก้องไปทั่วบริเวณ แต่ไม่มีใครอื่นใดที่ผินหน้ามายังต้นกำเนิดของเสียง การได้เห็นผลพวงจากการทำลายล้างของฝีมืออสูรเป็นครั้งแรก ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจเสมอ โนตัสกะพริบตาปริบ ๆ นัยน์ตาที่หม่นแสงดูคล้ายจะได้สติขึ้นมา
“ตั้งสติหน่อยโนตัส” ฟารีสกล่าวเตือนสติรุ่นน้อง “เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร?”
คนถูกตบจนหน้าหันกระซิบตอบ “...ช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์...”
“การที่พวกเขาตายลง ทำให้ไม่มีค่าจะช่วยเหลือแล้วหรือ?” ผู้ที่มีอายุน้อยกว่าส่ายศีรษะ ฟารีสจึงกล่าวต่อว่า “ถึงพวกเขาจะจากไปแล้ว แต่ก็ควรได้รับเกียรติ หากเจ้ายังอยากอยู่ที่นี่ต่อ ก็ไปหาชิ้นส่วนของแขนข้างนั้นให้ครบ ที่นี่ไม่มีที่สำหรับผู้ที่มัวแต่คร่ำครวญ”
ถึงฟารีสจะมิได้กล่าวอย่างดุดัน แต่ความนัยนั้นส่งสารได้ชัดเจน โนตัสกัดริมฝีปากแน่นเพื่อดึงสติ หน้าที่บวมชาแดงก่ำไปด้วยความอับอาย เขาได้ให้สัตย์ปฏิญาณในฐานะของลาเคย์ไว้ว่าจะช่วยเหลือปวงชน และสาบานต่อทวยเทพว่าจะกำจัดเหล่าอสูรให้สิ้นซาก ทว่ากลับร้องไห้คร่ำครวญออกมาอย่างน่าละอาย เมื่อถูกเตือนสติ เขาก็รำลึกถึงความรู้สึกครั้งแรกที่ทำหน้าที่ขึ้นมาได้ จึงยกกำปั้นขึ้นแนบอก แล้วรีบหมุนตัวจากไปในทันที
ฟารีสถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน แอบรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อยที่ดึงดันจะพามือใหม่ให้มาเรียนรู้งาน ใครจะไปคาดคิดว่าปลายทางของภารกิจจะเป็นเช่นนี้กัน
นับตั้งแต่ฟารีสจำความได้ บิดรมารดาก็คอยกล่าวเตือนตนอยู่เสมอ ว่าอย่าออกไปนอกบ้านเวลากลางคืนบ้าง อย่าตามคนแปลกหน้าไปบ้าง หรือหากเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตามีท่าทีแปลกไป ให้รีบวิ่งกลับบ้านแล้วมาบอกแก่พ่อแม่ทันที หรือไม่ก็ให้หนีไปซ่อนตัว เมื่อเขารู้ความขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ก็พอจับสังเกตบรรยากาศดำทะมึนที่ปกคลุมทั่วหมู่บ้านได้ ในดวงตาของผู้คนรอบตัวต่างแฝงไปด้วยความหวาดระแวงราวกับชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เมื่อราตรีกาลเข้ามาเยือน ก็ไม่มีใครกล้าแย้มกรายออกจากตัวบ้านแม้เพียงก้าวเดียว ต่างปิดประตูและหน้าต่างขังตัวเองอยู่ในความสงัด มีนับครั้งไม่ถ้วน ที่เขาต้องนอนมองมารดาสะดุ้งโหยงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักหรือลมมรสุมที่พัดมาผิดฤดู จนเมื่อถึงอายุที่พอจะเข้าใจกลไกธรรมชาติ เขาก็ได้เรียนรู้ว่า ‘อสูร’ คือสิ่งใด
ค่ำคืนหนึ่งในฤดูร้อนที่อบอ้าว ฟารีสถูกมารดาปลุกขึ้นกลางดึก และต้องวิ่งเท้าเปล่าในชุดนอนเข้าป่า เขาไม่สามารถคว้าได้แม้กระทั่งตุ๊กตาไม้ตัวโปรดมาไว้แนบกาย และต้องซุกซ่อนอยู่ในโพรงถ้ำที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังไปกว่าลมหายใจ มารดากอดเขาไว้แนบอก ส่วนบิดาเอามือสองข้างปิดหูน้องสาวของตนไว้ กระทั่งแสงของเปลวเทียนก็ยังไม่สว่างไสวในความมืดมิด ชาวบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตา ต่างเหลือบตามองไปยังปากถ้ำ และปิดปากเพื่อกลั้นเสียงร้องด้วยความหวาดผวา ในป่าเขานั้นปรากฏเสียงครวญครางราวสัตว์ป่า เสียงบ้านเรือนที่ถูกรื้อถอนดุจกอหญ้า และเสียงร้องของคนที่ไม่อาจหลบลี้หนีได้ทันการ เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน สิ่งที่เหลืออยู่คือศพของเพื่อนที่คอยวิ่งเล่นด้วยกัน
เด็กชายผู้นั้นมีอายุเท่าฟารีสพอดิบพอดี และเกิดห่างกันเพียงไม่กี่วัน พวกเขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกันราวกับเป็นพี่เป็นน้อง ทั้งคู่เพิ่งวิ่งไปเก็บของป่าด้วยกันเมื่อวานนี้ แต่เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน ฟารีสกลับยังมีชีวิตอยู่ แต่เพื่อนของตนกลับต้องไร้ลมหายใจเพราะบิดาถูกอสูรสิง
ความโหดเหี้ยมของอสูรจึงค่อย ๆ ซึมซาบอยู่ในมโนสำนึกมานับตั้งแต่นั้น และเมื่อได้เรียนรู้มากขึ้น จึงพบว่ามนุษย์คือสิ่งที่เกิดมาเพื่อเป็นเหยื่อ ส่วนอสูรคือผู้ล่ามนุษย์ นี่คือสัจธรรมของโลกที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และสภาพของหมู่บ้านที่ถูกทำลายลงต่อหน้า ก็คือหลักฐานชั้นดี
ฟารีสยกมือขึ้นบีบนวดขมับเพื่อคลายความตึงเครียด แม้ตนที่สั่งสอนรุ่นน้องไปเช่นนั้น ก็ยังไม่สามารถละลายก้อนความขมขื่นที่จุกอยู่กลางอกไปได้ ชายหนุ่มขับไล่สิ่งที่รบกวนจิตใจด้วยการก้าวเดินต่อ สหายร่วมงานอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีอายุงานมากกว่าโนตัสเดินเข้ามาใกล้ เขาพยักหน้าให้ฟารีส และออกเดินสำรวจไปด้วยกัน
ทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำฟารีสมักจะเจอชิ้นส่วนของมนุษย์ บ้างก็เป็นนิ้วมือ บ้างก็เป็นแขน หรือขาสักท่อนหนึ่ง โชคดีหน่อยก็จะพบศพครบตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาแทบจำไม่ได้แล้วว่า ต้องตะโกนเรียกหน่วยเก็บกู้ร่างมากี่ครั้ง ภาพที่อเนจอนาถที่สุด เห็นจะเป็นเปลที่ขึงด้วยผ้าขาวเต็มไปด้วยอวัยวะชิ้นใดชิ้นหนึ่งจากร่างกาย และที่น่าเศร้าที่สุดคือ มันไม่ได้มาจากร่างกายเดียวกัน ฟารีสก้มมองแขนท่อนหนึ่งที่บ่งบอกว่าอายุเจ้าของคงยังไม่ถึงห้าขวบ ก่อนเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกว่างโหวงในท้องน้อย
ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางของหมู่บ้านเท่าไร ศพที่พบก็ยิ่งมากขึ้นทุกที บ่งบอกถึงความหายนะที่มาเยือน ทุกคนในหมู่บ้านคงมารวมตัวกันตรงลานกว้าง นี่เป็นช่วงเวลาใกล้สิ้นปี บางทีชาวบ้านอาจจัดงานเฉลิมฉลองสำหรับการขึ้นปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ทั้งยังเป็นการสวดภาวนาต่อทวยเทพให้ปกปักรักษาหมู่บ้านให้อยู่รอด และสามารถหาปลาเพื่อเลี้ยงชีพต่อไปได้ ฟารีสท่องจำชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ไว้ มันคือหมู่บ้านชาวประมงทอเลีย
เขายืนมองซากของวิหารที่สร้างจากไม้ มันเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุด ในอดีตมันถูกสร้างขึ้นจากไม้โอ๊ค หรือไม้เนื้อแข็งที่หาได้ตามท้องถิ่น ผนังจะถูกทาด้วยสีขาว หลังคาจะถูกมุงด้วยกระเบื้องดินเผา หากวิหารหลังนี้ถูกตั้งอยู่ในที่เจริญมากกว่า ก็จะถูกสร้างจากศิลาสีขาว เทวรูปที่ถูกตั้งให้บูชาอยู่ภายในก็จะแกะสลักจากช่างที่มีฝีมือสักหน่อย แต่ซากวิหารตรงหน้านี้ ไม่เหลือแม้กระทั่งรากฐานของที่ตั้งเทวรูปให้มองเห็น ฟารีสสะกดกลั้นความคับแค้นใจไว้ เพื่อตามหาร่างกายของชาวบ้านที่ถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังต่อไป
ไม่มีใครกล้ากล่าวอะไรท่ามกลางความเงียบและบรรยากาศอันหนักอึ้ง ราวกับว่าหากพูดอะไรออกมาสักคำหนึ่งจะไม่สามารถรักษาความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ได้ ตอนนั้นเองที่เสียงร้องเรียกระคนดีใจก็ดังขึ้นท่ามกลางหมอกดำทะมึน เป็นโนตัสเจ้าเก่านั่นเอง ขอบดวงตายังคงแดงระเรื่อ แต่ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยขี้เถ้าเต็มไปด้วยความดีใจ และไม่ใช่แค่รุ่นน้องเท่านั้นที่ฟื้นคืนกลับมามีชีวิตชีวา เพื่อร่วมรุ่นของฟารีสก็ร้องตะโกนเรียกด้วยเช่นเดียวกัน
“หัวหน้า! มีผู้รอดชีวิต!”
ประโยคดังกล่าวราวกับเสียงจากสรวงสวรรค์
ฟารีสไม่เสียเวลาถามย้ำซ้ำสอง เขาก้าวเท้าวิ่งออกไปด้วยความหวัง
ท่ามกลางซากของหลังคาและผนังไม้ เพื่อนร่วมงานของฟารีสหลายคนช่วยกันรื้อซากที่ถมทับอยู่ออก ข้างใต้นั้นมีประตูที่ถูกฝังอยู่กับพื้น ใครบางคนใช้ท่อนไม้ทุบจนมันเป็นรู ฟารีสเอื้อมมือลงไปในช่องโหว่ดังกล่าว มันเคยมีสลักเหล็กติดตั้งอยู่เพื่อล็อกจากภายใน ถึงจะแปลกใจอยู่ว่าเหตุจึงติดตั้งเช่นนั้น แต่นี่ไม่ใช่เวลาสนใจเรื่องยิบย่อย เขากระชากมันออกด้วยใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ภายในช่องสีดำสนิทที่มีเตียงขนาดเล็ก และข้าวของกระจัดกระจาย พวกเขามองเห็นเด็กชายผู้หนึ่ง
เมื่อคะเนด้วยสายตา เด็กชายคนดังกล่าวอายุน่าจะราว ๆ สิบ ถึง สิบห้าปี ผิวขาวจัดราวกับไม่เคยต้องแดด แม้จะขดกายเป็นก้อนกลม แต่ส่วนสูงก็ดูจะต่ำกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน แขนขาลีบเล็กราวกับไม่เคยออกวิ่งในป่าเขา ถึงร่างทั้งร่างจะมีแต่รอยช้ำ และรอยเลือดที่แห้งกรังอยู่บนศีรษะ
แต่เด็กชายรายนี้ยังหายใจอยู่ แม้จะอ่อนแรงมากก็ตามที
เพราะเจอแต่ซากศพที่ไม่สมประกอบ เหล่าชายหนุ่มทั้งหลายจึงชะงักค้างราวกับเห็นภูตผี ฟารีสที่มีตำแหน่งสูงสุดในที่นี้กลืนน้ำลายทีหนึ่งเพื่อเรียกสติ มีอยู่ชั่ววินาที ที่ตนคิดว่านี่คือภาพหลอน เขาจึงกระโดดลงไปในช่องว่างสีดำสนิท เพื่อเอานิ้วตรวจซอกคอ เมื่อรู้สึกถึงชีพจรที่เต้นอยู่ใต้ผิวหนัง และร่างกายที่ยังพอมีความอบอุ่นอยู่ ฟารีสก็หอบหายใจอย่างโล่งอกออกมา
โนตัสที่เกาะขอบอยู่ด้านบนร้องเรียก “เป็นยังไงบ้างครับหัวหน้า” ดวงหน้าซีดเผือดคล้ายจะมีสีสันขึ้นมาบ้าง
ฟารีสเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีอัลมอนด์เปล่งประกายราวฟื้นจากความตาย “เขายังมีชีวิตอยู่...”
ทุกคนในที่นั้นแทบจะร้องเฮลั่นออกมา แต่เพราะนี่คือช่วงเวลาเศร้าหมอง สิ่งที่ออกมาจึงมีแต่รอยยิ้มกว้างประดับใบหน้า
เพราะช่องเก็บของใต้ดินนั้นคับแคบอยู่ประมาณหนึ่ง จึงมีพื้นที่พอแค่ให้ฟารีสคนเดียวลงไปยืนอยู่ เขาอาศัยความรู้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่เรียนจากวิหาร ในการตรวจดูร่างกายผอมบางที่อยู่ในสภาพเสื้อขาดรุ่งริ่ง แต่นอกเหนือจากรอยช้ำตามลำตัว เขาก็ไม่พบบาดแผลสาหัสอื่นใดอีก นอกจากอุณหภูมิของร่างกายที่เย็นเยียบลงทุกที ดังนั้นอารามดีใจที่มีผู้รอดชีวิตรายแรกอยู่ไม่นาน ก็กลายเป็นความตระหนกขึ้นมาในทันที สีหน้าที่ไม่สู้ดีของหัวหน้าส่งให้โนตัสหน้าถอดสีลงอีกครั้ง ผู้ร่วมงานรายอื่นที่ตะหนักได้ก็ต่างลอบสบตากันด้วยความหวังที่ริบหรี่
ฟารีสที่สติดีที่สุด จึงร้องเรียกหน่วยกู้ชีพในทันที คนอื่น ๆ ที่อยู่ในระยะต่างรีบเรียกต่อกันเป็นทอด ๆ ใครบางคนที่ปรารถนาจะได้ช่วยผู้ที่มีชีวิตอยู่มากกว่าจะเก็บเพียงซากศพ รีบวิ่งออกจากบ้านที่เหลือแต่ซากปรักหักพัง มุ่งไปทางกระโจมที่ถูกสร้างขึ้นอย่างลวก ๆ ตรงหน้าหมู่บ้าน
บุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ในเครื่องแบบสีขาวทอง สวมเสื้อคอตั้งแขนยาวจนปิดข้อมือเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงตะโกนลั่น ผมสีดอกเลาบ่งบอกถึงอายุที่มากล้น กระนั้นท่าทางที่กระฉับกระเฉงและสายตาคมวาวราวกับเหยี่ยว ทำให้ชายหนุ่มที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาชะงักค้าง เขารีบยืดตัวตรงก่อนทาบมือเข้าที่หน้าอกเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ตรงนี้ได้
แต่ครั้นจะอ้าปาก อีกฝ่ายก็ชิงตัดบทก่อน
“มีอะไร”
ชายสูงวัยกล่าวด้วยสายตาคมจิก ในมือถือแผนที่ของหมู่บ้านทอเลียไว้ และที่กางอยู่บนโต๊ะไม้เนื้อหยาบ คือรายชื่อของประชากรในหมู่บ้าน
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับผู้มีอำนาจ ชายหนุ่มรายนั้นจึงคลำหาเสียงของตนเองไม่เจออยู่พักใหญ่ แต่ดูอีกฝ่ายจะเป็นพวกไร้ความอดทน เมื่อเห็นผู้น้อยอึก ๆ อัก ๆ ก็ตวาดซ้ำอีกด้วยเสียงดุจสิงโตคำราม
“รายงานมา!”
ชายหนุ่มผู้น่าสงสารรายนั้นจึงเผลอตะโกนออกไป
“พบผู้รอดชีวิตครับท่าน!”
ดวงตาสีเทาหม่นเบิกกว้าง รูม่านตาหรี่เล็กในทันที
เขาขยำกระดาษในมือเสียย่นยู่ ก่อนกระโจนออกจากกระโจมไปในทันที การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วดุจคันศรที่พุ่งออกจากหน้าไม้ กระทั่งชายหนุ่มที่วิ่งเข้ามารายงานยังมองตามไปไม่ทัน
บุรุษวัยเกือบหกสิบปีตะโกนข้ามไหล่โดยไม่หันมามอง “รีบเรียกนักบวชคาถามา!”
และเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก จึงไม่มีใครมีสติพอที่จะตามบุรุษรายนั้นออกไป เจ้าของเสียงคำรามดุจราชสีห์จึงตะโกนลั่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าหากผู้รอดชีวิตรายนี้ตาย หนึ่งในพวกเจ้าจะได้ไปขออภัยจากทวยเทพด้วยตนเอง!”
ประโยคดังกล่าวหมายถึงการถูกส่งไปโลกหลังความตายอย่างไม่ต้องสงสัย เหล่าชายหนุ่มที่ยังไม่ต้องการไปพบทวยเทพในขณะนี้ จึงรีบกระวีกระวาดทำตามคำสั่งโดยทันที
ชายชราที่เคลื่อนไหวได้ว่องไวผิดกับอายุ รีบบ่ายหน้าไปยังทิศทางที่ฟารีสพบเด็กชาย หัวใจเขาเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกจากอก เขาคาดหวังว่าครั้งนี้ จะได้พบเจอสิ่งที่ตนตามหามานานเสียที
ราตรีที่หนึ่ง : พบผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากหมู่บ้านทอเลีย
ความคิดเห็น