คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ข้อสงสัย
หากท่าราชเลขาคิดไว้ว่าจะได้เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวลงด้วยความขลาดกลัว หรืออาการเสียขวัญที่ควรจะปรากฏในเด็กชายที่อายุน้อยกว่าหลายรอบนี้ เขาก็คงต้องคิดผิดแล้ว เพราะริเชลไม่เพียงไม่แสดงอาการดังกล่าว แต่ยังทำท่าเอานิ้วชี้ทั้งสองข้างขึ้นกดที่ขมับ ราวกับนึกอะไรบางที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่สนใจสายตาวาวโรจน์ดุจงูตัวหนึ่งของผู้มากศักดิ์เลยแม้แต่น้อย ผ่านไปไม่กี่นาที ผู้ที่มีอาการขึ้นมากลับกลายเป็นท่านราชเลขาเสียเอง เขาถ่ายน้ำหนักไปที่เท้าอีกข้างอย่างมีน้ำอดน้ำทน และทันทีที่จะพูดออกไป ผู้เข้าทดสอบก็ลืมตาแป๋วขึ้น
“ต้องขออภัยด้วย—ครับ ข้า—เอ๊ย! กระผมคงไม่สามารถทำตามได้ครับ”
อาวีโดขยับแว่นอีกครั้งหนึ่ง นัยน์ตาดุกร้าวคล้ายจะอ่อนลงเล็กน้อย “เหตุผลเล่า”
ริเชลยังไม่ลืมที่คาร์ลได้กล่าวเตือนไว้ นั่นก็คือเวลาสนทนากับผู้ใหญ่จะต้องยืนด้วยท่าทีเรียบร้อย ไม่ขยุกขยิก สองเท้าแนบชิด เอามือทั้งสองข้างประสานไว้ข้างหน้า แต่ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่ทำขึ้นใจแท้ ๆ แต่เด็กชายกลับถ่ายน้ำหนักลงที่ขาข้างหนึ่ง ส่วนฝ่าเท้าอีกข้างงอเข้าแล้วทาบไว้ที่ข้อเท้าของอีกข้าง สองมือที่ควรประสานเอาไว้ ข้างหนึ่งก็ไพล่ไว้ด้านหลัง ข้างหนึ่งก็ชูนิ้วชี้ขึ้น หากคาร์ลได้มาเห็นตอนนี้ ก็คงต้องเดินเข้ามาหยิกเอวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เพราะเขาไม่อยู่ ริเชลจึงได้เหิมเกริม
“นั่นเป็นเพราะว่า ตามกฎข้อที่สามสิบสี่ หมวด การขยายความ ย่อหน้าที่สาม ได้เขียนไว้ว่า การทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชานั้น มีความหมายว่า การกระทำงานที่อยู่ในขอบเขตขออัครมหาวิหาร เช่นว่า หากสั่งให้นำเอกสารนี้ไปส่งให้แก่นักบวชอีกรายหนึ่ง ถือว่ากระทำตามได้ แต่หากเป็นคำสั่งที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน เช่นว่า หัวหน้านักบวช ได้สั่งให้นักบวชชั้นผู้น้อยไปซื้อเสื้อผ้าให้ใหม่ หรือไปจัดแจงธุระที่เป็นประโยชน์กับตน ถือว่าอยู่นอกเหนือขอบเขต”
เด็กชายกล่าวด้วยวาจาฉะฉาน ไม่หวาดกลัวต่อสายตาที่หรี่ลงของท่านราชเลขา “ในกรณีนี้ ท่านได้สั่งให้ข้า—เอ๊ย! กระผมถอนตัวจากการทดสอบ ถือว่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับผลประโยชน์ของเดมาครับ”
อาวีโดขยับแว่นอีกครั้ง ก่อนเปลี่ยนมาเป็นกอดอก ความมาดร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ลดลงไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง “...แล้วรู้ได้อย่างไร ว่าคำสั่งนี้มิได้เป็นประโยชน์ต่อเดมา ข้าอาจจะเห็นว่าเจ้านั้นทั้งไร้มารยาท ทั้งกักขฬะ และโง่ทึ่ม การเข้ามาของเจ้ายังสถานที่แห่งนี้ อาจทำให้เดมาด่างพร้อย เช่นนี้มิเท่ากับว่า ข้ากำลังทำเพื่อประโยชน์ของเดมาหรอกหรือ”
หากออสการ์ยังยืนอยู่ตรงนี้ ก็คงจะถึงบางอ้อ เข้าใจในเจตนาของอีกฝ่ายอย่างถ่องแท้ ราชเลขามิได้ต้องการข่มขู่เพราะไม่ชอบขี้หน้า แต่ต้องการสร้างแรงกดดันเพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองต่างหาก
ริเชลยิ้มเผล่ในทันที “การจะระบุได้ว่า ตัว..กระผมนี้ เป็นผลเสียต่อเดมาหรือไม่ หรือการมีตัวตนของกระผมทำให้สถานที่แห่งนี้เสื่อมเสียหรือเปล่านั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกรมควบคุมความประพฤติครับ แม้ท่านจะมีตำแหน่งราชเลขา แต่หน้าที่ของแต่ละตำแหน่งต่างๆ จะไม่ข้องเกี่ยวกัน การจะบอกว่า...การไล่กระผมออกไปตอนนี้นั้นเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือไม่ จำเป็นจะต้องมีเอกสารรับรองความประพฤติผิดของกระผมเสียก่อน ท่านจึงจะสามารถยื่นเรื่องร้องเรียนต่อศาลของเดมา ขอถอดถอนสถานะของกระทำ จึงจะทำได้ขอรับ”
เมื่อสิ้นประโยค บรรยากาศที่ประหนึ่งงูจ้องเขมือบหนูพลันหายวับไป อาวีโดยืดตัวขึ้น ริ้วรอยที่เอาไว้ข่มขู่จางหายไปแล้ว ก่อนแทนที่ด้วยความแปลกใจเล็กน้อย กระนั้นความรู้สึกดังกล่าวก็พลันหายวับแทบจะในทันที เขาเพ่งพินิจพิจารณาเด็กชายอยู่ครู่ใหญ่ ก็เอ่ยออกมาว่า
“ข้าอาจไล่เจ้าไปไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าทำได้ในตอนนี้ ก็คือการกล่าวเตือนเจ้าว่า หากตราบใดที่ยังไม่ได้ยินคำว่า ‘เข้ามาได้’ ตอนให้ต้องยืนรอข้างหน้าทั้งวัน เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาไม่ ไม่ว่าจะกับข้า หรือนักบวชระดับไหนก็ตาม เข้าใจหรือไม่”
เด็กชายพยักหน้ารับด้วยท่าทีแข็งขัน ราชเลขาพ่นลมออกจมูก แล้วหมุนกายกลับไปนั่งลงที่เก้าอี้ ขณะที่กำลังหยิบปากกาขึ้นมาเขียนงานที่คั่งค้างเอาไว้ เขาก็เหลือบสายตาขึ้น แล้วเอ่ยว่า
“ตำแหน่งของราชเลขา มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง” ก่อนจะใช้สายตามองไปยังที่ว่างข้างโต๊ะ อันมีความหมายให้ผู้เข้าทดสอบมายืนอยู่ตรงบริเวณดังกล่าว ริเชลก็ทำตัวว่านอนสอนง่าย เดินตามไปอย่างไม่อิดออด
“หลัก ๆ คือการดูและทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าวิหารครับ”
“แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่านี้ มีอะไรบ้าง”
เด็กชายทำท่าขบคิดเล็กน้อย ก่อนเริ่มร่ายยาว
“ก็เริ่มตั้งแต่การจัดตารางงานให้แก่เจ้าวิหาร ดูแลเครื่องแต่งกาย อาหารการกิน หากมีแขกบ้านแขกเมือง ก็จำเป็นจะต้องจดจำใบหน้า ชื่อ ตำแหน่ง และประวัติโดยสังเขป ในขณะเดียวกันเอกสารที่จะถูกส่งต่อเข้าห้องของท่านเจ้าวิหาร จะต้องผ่านสายตาของท่านทุกฉบับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างปัญหาการเกิดโรคระบาด หรือเรื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถนนหนทางที่ต้องการการซ่อมบำรุง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องโรคภัยที่เกิดขึ้นกับต้นข้าวสาลี เรื่องใหญ่ที่ท่านตัดสินใจเองไม่ได้ จะมีการอ่านผ่านตาก่อนทีหนึ่ง เพื่อหาหนทางแก้ปัญหาไว้อย่างน้อย ๆ สองถึงสามช่องทาง ก่อนจะนำเสนอเจ้าวิหาร เพื่อให้เลือกวิธีการแก้ปัญหา แต่หากเป็นปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านจะเป็นฝ่ายลงมือตรวจสอบจัดการเอง แล้วค่อยรายงานให้ท่านเจ้าวิหารอีกต่อหนึ่งครับ”
ผู้ครองตำแหน่งราชเลขาเหลือบมองเด็กชายอีกครั้งหนึ่ง เขามิได้กล่าวชมเชยหรือบ่นว่าแต่อย่างได้ เพียงแต่ก้มหน้าก้มตาลงมือเขียนต่อ ก่อนจะชี้นิ้วไปยังกองเอกสารที่ตั้งสูงเป็นกองพะเนินอยู่ข้างโต๊ะ แล้วสั่งเสียงเรียบว่า
“เจ้าดูจะรู้รายละเอียดดีนี่ เช่นนั้นก็ลองแยกแยะคำร้องจากกองนั้นดูซิว่า เรื่องไหนเรื่องเล็ก เรื่องไหนเรื่องใหญ่”
เพราะริเชลยึดถือคำพูดของเพื่อนร่วมห้องเป็นนักหนา ไม่ว่าผู้บังคับบัญชาจะกล่าวสิ่งใดก็ให้กระทำตาม เมื่อพิจารณาแล้วว่า คำสั่งนี้อยู่ในขอบข่ายที่พึงปฏิบัติได้ เด็กชายจึงนั่งขัดตะหมาดลงกับพื้น แต่ยังไม่ทันจะได้แตะเอกสารแผ่นแรก เสียงเย็นเยียบติดรำคาญก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ
“เจ้าทำอะไร” แต่อาวีโดมิได้รั้งรอคำตอบ เขาวาดแขนไปทางโต๊ะขนาดเล็ก อันเป็นที่นั่งของออสการ์ผู้ช่วยของตน “อย่ามานั่งเกะกะสายตาตรงนี้ ไปนั่งตรงนั้นไป”
เด็กชายก็ค้อมศีรษะรับคำสั่งอย่างว่าง่าย หลังจัดแจงที่ทางอยู่ไม่นาน ทั้งริเชลและกองเอกสารก็ไปอยู่ตรงโต๊ะดังกล่าว เมื่อเอื้อมมือไปจับกระดาษแผ่นแรกมาไว้ในมือ นัยน์ตาสีม่วงเจิดจ้า ก็คล้ายจะดูลุ่มลึกเล็กน้อยเพียงไม่กี่วินาที เด็กชายก็ตกอยู่ในภวังค์ ดวงตาจดจ่ออยู่กับตัวอักษรที่เขียนเรียบเรียงอยู่บนกระดาษ ลูกตาเลื่อนจากซ้ายไปขวาราวกับเครื่องจักรกล เมื่ออ่านจบก็วางแยกไว้อีกทางหนึ่ง แล้วนำแผ่นใหม่มาอ่านต่ออีกครั้ง เมื่อทราบใจความอย่างถ่องแท้แล้ว ก็จะนำไปวางตรงที่ว่างอีกจุดหนึ่ง เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ในเวลาเดียวกัน ท่านราชเลขาก็มองเด็กชายผู้นี้ไม่วางตา
ริคาโด เดอ แมร์ซิแยร์
คือสาเหตุที่เขาตกลงเข้าร่วมการทดสอบ แต่ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเสียทีเดียว ที่ทำให้เขาสละเวลาที่มีอันน้อยนิดมาเข้าร่วม หากแต่เพราะเป็นบิดาของเด็กชายผู้นี้ต่างหาก
อลิสเซียน่า เดอ แมร์ซิแยร์ คือหัวหน้าสภานักบวชที่อายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับตำแหน่ง นับตั้งแต่ยังเป็นเพียงนักบวชชั้นผู้น้อย อลิสเซียน่าก็เป็นผู้ที่มีนิสัยโผงผางมาแต่ไหนแต่ไร ยึดถือตนเองเป็นหลัก วาจาเถรตรงระคายหู รูปร่างหรือก็เหมือนกรรมกรแบกหามกระสอบข้าวสาลีมากกว่าจะเป็นนักบวช หากดูแต่รูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ก็คงเข้าใจได้ว่า นักบวชผู้นี้คงเลือกไปเป็นลาเคย์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ อัศวินแห่งเทพ นักบวชที่มีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองประชาราษฎร์ และเป็นเพียงตำแหน่งเดียวที่สามารถถือครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ทวยเทพได้ประทานมาให้ตั้งแต่ยุคเก่าได้ ดังนั้นตอนที่เขาเลือกเข้าหาเส้นทางของนักบวชสายบริหาร ก็ถึงกับกลายเป็นหัวข้อสนทนาอยู่พักใหญ่ ว่าคนที่มีนิสัยเช่นนี้จะอยู่รอดในสายสนกลในของที่แห่งนี้ได้อย่างไร บรรดานักบวชเชื่อว่า เพียงไม่นานเขาจะต้องยอมแพ้ หรือไม่ก็ถูกแช่แข็งตำแหน่งจนไม่ได้ผุดไม่เกิด จากการไปแกว่งเท้าหาเสี้ยน ลูบคมนักบวชระดับสูงเข้า
พึงทราบว่าอลิสเซียน่าผู้นี้ มีต้นกำเนิดเป็นสามัญชนโดยแท้ อีกทั้งมีแนวคิดเกี่ยวกับเหล่าทายาทขุนนางไปในทางลบ ทำให้ตอนที่เข้าไปเป็นนักบวชฝ่ายบริหารแล้ว เขาก็ไม่ลังเลที่จะงัดข้อกับคนเหล่านั้น หากพบเจอเรื่องที่ไม่ชอบธรรมเข้า หรือเป็นการเล่นเส้นเล่นสาย อลิสเซียน่าจะเป็นคนแรกที่กระโจนเข้าหา แล้วส่งเรื่องร้องเรียนให้แก่ทางสภาสูง ต่อให้ต้องล้มเหลวสักกี่ครั้งเขาก็ไม่เคยจะหน่าย ราวกับยิ่งถูกขัดขวางยิ่งมีแรงใจ หลายต่อหลายคนจึงเชื่อว่า ในท้ายที่สุดแล้ว เขาอาจจะลงเอยเป็นแค่หัวหน้านักบวชเท่านั้น อย่างดีคือยังได้ประจำการในตัวเมือง อย่างโชคร้ายคือต้องเป็นนักบวชที่ประจำการในหมู่บ้านอันห่างไกล
แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะถึกทรหด โดนโจมตีเท่าไร หรือโดนโทษทางวินัยเพียงไร ก็ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด อยากกลั่นแกล้งหรือ ก็กลั่นแกล้งไปเสียสิ อย่าให้ถึงทีของข้าบ้างก็แล้วกัน แล้ววันหนึ่งก็เหมือนทวยเทพได้เปิดเส้นทางให้แก่ความมุมานะของเขา เมื่อท่านแมคโลริค ที่ในเวลานั้นยังเป็นเพียงหนึ่งในสภานักบวช เกิดสนใจในตัวนักบวชหนุ่มรายนี้เข้า
ไม่ว่าจะเป็นหน่วยก้านหรือคำพูดคำจา ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้แมคโลริคให้ความสนใจเป็นพิเศษ จนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ดึงมาเป็นนักบวชผู้ช่วยของตนเอง ทำให้การกลั่นแกล้งจากเหล่าทายาทขุนนางเบาบางลง เพราะเห็นแก่หน้าท่านแมคโลริคนั่นเอง
หลังจากนั้นไม่นาน หนทางของอลิสเซียน่าก็พุ่งทะยานอย่างที่ใครก็ฉุดรั้งเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อเจ้าวิหารคนก่อนชราภาพลงและประกาศลงจากตำแหน่ง เพื่อส่งต่ออำนาจให้แก่รุ่นใหม่ ท่านแมคโลริคในเวลานั้นก็ได้ถูกเสนอชื่อเป็นเจ้าวิหารคนถัดไป ในยามนั้นไม่มีใครเชื่อเลยว่าท่านจะได้รับเลือก เพราะมีอายุน้อยเกินไป ทว่าเมื่อผลปรากฏออกมาว่า แมคโลริคได้รับการลงคะแนนให้เป็นเจ้าวิหารอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม หนทางการก้าวหน้าในตำแหน่งการงานของอลิสเซียน่าก็ถือว่าโรยด้วยกลีบกุหลาบแล้ว
ถึงแม้ภาพลักษณ์จะดูเหมือนคนเถื่อนที่ไม่ได้รับการศึกษา และเหมาะจะเป็นคนคุมถนนเรียกค่าคุ้มครองมากกว่าจะเป็นนักบวช แต่เขาก็ได้แสดงความสามารถในการตัดสินใจ และสายตาอันกว้างไกลนับครั้งไม่ถ้วน จนได้รับความนับถือจากบรรดานักบวชไปทีละราย ในไม่ช้าเขาก็กลายเป็นคลื่นลูกใหม่และยิ่งใหญ่จนบรรดาทายาทขุนนางก็ไม่อาจแตะต้องได้
เจ้าวิหารครองตำแหน่งได้เพียงสามปี อลิสเซียน่าก็ได้ขึ้นรั้งตำแหน่งหัวหน้าสภานักบวช ท่ามกลางความยินดีปรีดาของนักบวชที่ยึดถือในความเสมอภาค และความโกรธแค้นของบรรดาทายาทของผู้มียศมีฐานะ กล่าวกันว่าหลังอลิสเซียน่าได้ขึ้นเป็นหัวหน้าสภานักบวช ก็ได้มีความพยายามหลายครั้งต่อหลายครั้งเพื่อดึงเขาลงจากตำแหน่ง แต่เมื่อดูจากปัจจุบัน ที่เขายังคงดำรงตำแหน่งนี้อยู่ได้ ก็แสดงว่าการกระทำเหล่านั้นล้วนล้มเหลว
บรรดานักบวชที่ได้ร่วมงานกับเขา ก็มักจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หัวหน้าสภานักบวชเป็นคนที่หาตัวจับได้ยาก มีความสามารถครบเกือบทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตรรกศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ กลศาสตร์ ก็ล้วนมีความรู้ลึกซึ้ง นับว่าเป็นอัจฉริยบุคคลโดยแท้ ทว่ามีข้อเสียอยู่ประการหนึ่งก็คือเรื่องของลักษณะนิสัย
ท่านหัวหน้าสภาเป็นพวกที่โผงผาง ปากคอเราะราย และจุดเดือดต่ำเป็นที่สุด ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งปีมานี้ เขาต่อยนักบวชคว่ำไปไม่ต่ำกว่าห้าถึงหกราย ด้วยเหตุผลว่า เป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ หรือไม่ก็ไม่ถูกชะตา ถือได้ว่าเป็นที่อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างถึงที่สุด หากมิได้มีการสร้างผลงานจำนวนนับไม่ถ้วน เกรงว่าน่าจะถูกขับออกจากเป็นนักบวชไปนานแล้ว และคนแบบนี้น่ะหรือ กลับรับเด็กชายคนหนึ่งมาเป็นลูกบุญธรรม
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ปกติธรรมดาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะว่าท่านหัวหน้าสภานักบวช เคยประกาศกร้าวกลางเหตุการณ์ครั้งหนึ่งไว้ว่า
‘ไม่ต้องดาหน้ากันเข้ามา! ไสหัวไป! ข้าไม่มีวันรับเอาพวกผักชีโรยหน้าอย่างพวกเจ้ามาเป็นลูกชายข้าแน่! ข้าจะไม่มีวันรับใครทั้งสิ้น เข้าใจหรือไม่!’
วาจาดังกล่าว กลายเป็นโจษจันกันอยู่พักหนึ่งเลยทีเดียว
ท่านอลิสเซียน่านั้นเป็นเด็กกำพร้าจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง หลังพ่อแม่ตายด้วยโรคระบาด เขาก็กลายเป็นพวกไร้ญาติขาดมิตร นับว่าเข้าข่ายผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มีทายาทได้ ดังนั้นจึงกลายเป็นหนทางของผู้ที่อยากจะมีอำนาจนั่นเอง ไม่มีใครไม่อยากมีหัวหน้าสภานักบวชเป็นบิดาหรอก จึงพากันเสนอหน้าเข้าหา ล้อมหน้าล้อมหลังไม่เว้นแต่ละวัน จนกลายเป็นที่มาของการพ่นคำผรุสวาทลากยาวถึงสิบหน้านาที ประโยคข้างต้นนั้นเป็นเพียงประโยคเดียวที่เอามาเล่าสู่กันฟังได้ ที่เหลือนั้นหยาบคายเกินกว่าจะเอามาเล่ากันปากสู่ปาก
จนไม่มีใครกล้าเสนอตัวว่า วิเศษวิโสควรค่าแก่การให้ท่านอลิสเซียน่าสนับสนุนเพียงใด อีกต่อไป ดังนั้นตอนที่มีข่าวลือว่าเขารับเด็กชายไร้ที่มาคนหนึ่งเป็นลูกบุญธรรม อาวีโดจึงไม่เชื่อถือในทีแรก จนกระทั่งเกิดเหตุพิพาทที่กำเดือดระอุอยู่ในตอนนี้ ว่าทายาทขุนนางที่เข้าร่วมทดสอบปีนี้ก่อเรื่องทำลายข้าวของของชาวบ้านอีกแล้ว และยังรับสารภาพจากปากของตนเองเสียด้วย อัลฟองโซ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว ได้วิ่งโร่มาหาตน รวมถึงสาธยายความเป็นไปเสียละเอียดยิบ ท่านราชเลขาจึงพบว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวลือเสียแล้ว หากแกนน่อนเป็นผู้ยืนยันจากปากเองละก็ ข้อมูลจะต้องไม่มีข้อผิดพลาดเป็นแน่
เขาสำรวจเด็กชายตั้งแต่หัวจรดเท้า ริเชลยังคงขะมักเขม้นกับหน้าที่ของตนอย่างน่าเหลือเชื่อ จึงจะไม่อยากยอมรับ แต่เจ้าเด็กคนนี้ถือว่ามีศักยภาพคนหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าเขาจะลองขู่เข็ญเพียงไร ก็ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านทั้งสิ้น ทั้งยังมีความรู้ประหนึ่งเป็นสารานุกรมเดินได้ แต่สิ่งที่โดดเด่นเป็นที่สุด เห็นจะไม่พ้นความมั่นใจที่ล้นปรี่ มีไม่กี่คนนักหรอกที่ถูกเขาจ้องตาแล้วจะกล้ามากพอที่จะจ้องตอบกลับ กระทั่งออสการ์ที่เป็นผู้ช่วยของตนมาหลายปี ก็ยังมีความหวั่นเกรงบ้างเป็นบางครั้ง
ทว่าคุณสมบัติที่กล่าวมา จะต้องไม่ใช่เหตุผลที่อลิสเซียน่ายอมรับเด็กชายผู้นี้มาเป็นลูกบุญธรรมแน่ เพราะภายในร่มเงาของเดมา มีผู้มากความสามารถอยู่หลายคน ไม่เพียงเก่งกาจด้านวิชาการ แต่ยังมีหัวคิดก้าวหน้า หากหัวหน้าสภานักบวชชอบคุณสมบัติเหล่านี้ ก็สามารถหยิบจับคนเหล่านั้นไปเป็นลูกชายของตนก็ย่อมได้ แต่เหตุใดเขาจึงเลือกริคาโด เด็กชายที่ออกไปทางแปลกประหลาดมากกว่าจะเฉลียวฉลาด
จะต้องมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
สัญชาตญาณของอาวีโดร่ำร้องมาเช่นนี้ และมันก็ไม่เคยผิดเสียด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขายอมยื่นมือเข้ามาก้าวก่ายการทดสอบในปีนี้
อาวีโดหรี่ตา พร้อมทั้งวางปากกาลงด้วยเช่นกัน งานที่เขาตรวจสอบยังไม่คืบหน้าไปไหน แต่เจ้าตัวลุกขึ้นจากโต๊ะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมือได้ถือของบางอย่างติดมาด้วย ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะที่สุมไปด้วยกองกระดาษของเด็กชาย แม้ตอนแรกริเชลจะก้มหน้าก้มตาอยู่ แต่เมื่อท่านราชเลขาเข้าใกล้ในระยะห้าก้าว เด็กชายก็เงยหน้าขึ้น เพราะยังจดจำคำของเพื่อนผมสีเงินได้เป็นอย่างดี ว่าห้ามเอ่ยปากจนกว่าจะได้รับอนุญาต เขาจึงเหยียดยิ้มที่สุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะแปลกใจเล็กน้อย ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงถือถ้วยชาอยู่ในมือ
ริเชลยังไม่ทันจะสงสัยเสร็จ ถ้วยน้ำชาก็ลอยหวือมาทางตนแล้ว น้ำชาในถ้วยกระจายออกเป็นวงกว้าง จนดูเหมือนน้ำที่ไหลบ่าจากน้ำพุประดับสวน
ความคิดเห็น