ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันราตรี ONE THOUSAND NIGHTS

    ลำดับตอนที่ #15 : มารยาท

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 67


     แต่ด้วยยังไม่เชื่อใจไปเสียทั้งหมด พลูโตเด็กชายร่างใหญ่ หรือที่มีสมญานามว่า ‘โฆษก’ ประจำกลุ่มก็ได้ลองของ ไล่เรียงถามริเชลอีกสองสามรายชื่อ ฝ่ายหลังเห็นเขาถามก็ตอบไปแบบไม่ได้คิดสิ่งใดให้มากความ ถามมากี่ชื่อ ก็อธิบายหน้าตาท่าทาง บุคลิกลักษณะ กระทั่งห้องทำงานก็บอกเส้นทางได้จนหมด ดังนั้นจากที่เป็นเด็กชายผู้แปลกประหลาด ไม่ว่าเดินไปทางใดผู้คนก็ต้องคอยระวัง ก็กลายเป็นที่นิยมชมชอบขึ้นมาในบัดดล

    เพราะไม่มีนักบวชคอยอยู่ควบคุมความเป็นระเบียบ จะผิดกฎของอัครมหาวิหารกี่ข้อก็ช่างเถอะ เด็กเหล่านั้นต่างลุกออกจากที่นั่ง กระโจนเข้าริเชลราวกับเป็นบ่อน้ำในทะเล จนเกิดความวุ่นวายเป็นการใหญ่ ต่างฝ่ายต่างจ้องเขม้นกำกระดาษตัดสินชะตาในมือแน่ และแข่งกันวิ่งไปหาจุดหมายปลายให้เร็วที่สุด จนกลายเป็นความชุลมุน ประหนึ่งตลาดที่มีของชั้นยอดมาลดราคา เสียงอึงมี่ดังก้องไปทั่วจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นถ้อยคำที่ว่า ‘ช่วยข้าที’ ‘บอกข้าหน่อย’ ‘คนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรหรือ’ อะไรทำนองนี้ จนเจ้าของเรือนผมสีเข้มแทบจะถูกฝูงผู้เข้าทดสอบกลืนกินไป

    ในจังหวะนั้นเอง ริเชลที่กำลังจะลื่นไถลก็ถูกกระชากหลังคอเบา ๆ เมื่อเขาแหงนหน้าขึ้นก็เห็นเพื่อนร่วมห้องรั้งคอเสื้อของตนเอาไว้ ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็จริงอยู่ แต่กลิ่นอายบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาทำเอาผู้เข้าทดสอบขนหัวลุกกันโดยถ้วนทั่ว จึงพากันหยุดนิ่งกันอย่างฉับพลัน คาร์ลพยักศีรษะน้อย ๆ แต่พองาม แล้วหันไปทางริเชลที่ถูกเขาหิ้วคอเป็นแมวตัวหนึ่ง

    “เจ้าอยากจะช่วยพวกเขาหรือ”

    ริเชลทำท่าคิดเล็กน้อย “เปล่านะ” ทั่วทั้งห้องต่างหน้าเปลี่ยนสีโดยฉับพลัน ขณะที่รอยเหยียดยิ้มของบุตรชายเจ้าวิหารกำลังจะเขยิบกว้างขึ้น คู่สนทนาก็เอ่ยออกมาว่า “ข้าก็แค่ตอบคำถาม มันเป็นการช่วยพวกเขาอย่างไรหรือ”

    ไม่เพียงน้ำเสียงที่ใช้ยียวนเท่านั้น แต่หน้าตาก็ยียวนไม่ต่างกัน ริเชลเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นสูง ริมฝีปากเหยียดกว้าง ตาแทบจะเป็นทรงโค้งขึ้น เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้มารวมกัน คาร์ลก็รู้สึกอยากเอาบางอย่างประทับเข้าที่ใบหน้าดวงนั้น แต่ด้วยสถานะและภาพลักษณ์ที่สั่งสมมา ทำให้เขากระทำดังนั้นไม่ได้ คาร์ลเพียงหลับตาลง แล้วถอนหายใจออกมาพลางนับหนึ่งถึงสิบ เมื่อลืมตาอีกครั้ง บรรยากาศเยียบเย็นน่าสะพรึงก็จางหายไปแล้ว ส่วนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุภาพและเอื้ออารี ก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นทางการ

    เขาปล่อยมือที่หิ้วคออีกฝ่ายไว้ แล้วหมุนกายไปทางกลุ่มผู้เข้าทดสอบ

    “ถ้าอยากได้ข้อมูล ก็เข้าแถวเรียงหนึ่งด้วยครับ ใครก่อนใครหลัง จัดลำดับกันเอาเองนะครับ”

    คาร์ลกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้จะไม่ได้ตะเบ็งเสียงสักนิด แต่กลับได้ยินอย่างครบถ้วน และเพราะอะไรบางอย่างที่อยู่ในรอยยิ้มดังกล่าว ทำให้บรรดาเด็กชายทั้งหมดรู้สึกว่าต้องทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้มีอำนาจที่จะลงโทษพวกตนแท้ ๆ แต่สังหรณ์ก็ย้ำเตือนให้ทำตามอย่างว่าง่ายจะดีกว่า ดังนั้นจากที่แย่งยุดเพื่อให้ได้เป็นคนแรก ๆ นั้น ก็ต่างจ้องหน้าจ้องตากัน แล้วเลือกกันว่าใครมาก่อนมาหลัง

    เมื่อเป็นระเบียบเรียบร้อยกันเช่นนี้ การ ‘ตอบคำถาม’ ของริเชลก็เป็นไปอย่างราบรื่น คนที่ได้ถามก่อนก็ท่องจำอย่างดีที่สุด มีใครบางคนคว้าหากระดาษเพื่อจดเส้นทาง แต่เมื่อถูกสายตาสีฟ้าอ่อนจ้องเขม็งอย่างสุภาพและยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแล้ว ก็ร่างกายแข็งทื่อขึ้นมา หันไปพึ่งพาสมองน้อย ๆ ของตนเองต่อไป

    กว่าแถวที่ยาวเหยียดดังกล่าวจะสิ้นสุดลง ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เหลือเวลาอีกเพียงสิบกว่านาทีเท่านั้น ก็จะถึงเวลาเก้าโมงเช้า ดังนั้นเมื่อตอบคำถามของผู้เข้าทดสอบรายสุดท้ายเสร็จ คาร์ลก็ดึงคอเสื้อของริเชลวิ่งออกจากห้องไป สถานที่ที่อีกฝ่ายต้องไปเป็นผู้ช่วยนั้นถือว่าอยู่ไกลที่สุด เนื่องด้วยห้องทำงานของท่านราชเลขาจะถูกผูกติดกับห้องทำงานของเจ้าวิหาร และด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย ห้องทำงานของผู้นำสูงสุดจึงถูกจัดให้อยู่ด้านในสุด และอย่างที่ทราบกันดีว่าพื้นที่ของอัครมหาวิหารมีขนาดเกือบครึ่งหนึ่งของเมือง ดังนั้นจึงต้องเวลาถึงระดับหนึ่งในการเดินเท้าไป

    “ใจเย็น ๆ ข้าหายใจไม่ออก” ริเชลร้องท้วงขณะถูกปกเสื้อรัดคอ คาร์ลเองก็ไม่ได้ผ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อยจนลากมาถึงสี่แยกของโถงทางเดิน เขาต้องไปเป็นผู้ช่วยของหนึ่งในสภานักบวช ซึ่งสถานที่ทำงานจะถูกแยกออกไปอีกฟากหนึ่ง ดังนั้นนี่คือจุดแยกของพวกเขาทั้งสอง

     

    sds

    คาร์ลไม่เอ่ยขอโทษต่อพฤติกรรมที่เกือบจะเป็นการไร้มารยาท แล้วชี้นิ้วไปยังทางเดินที่มีพรมสีแดงปักลวดลายทองคำเอาไว้ “เจ้าต้องไปทางนี้ หากเจ้าไปไม่ทันเวลา ข้าจะไม่พาเจ้าไปร้านของป้าแอนนา”

    ป้าแอนนาที่กล่าวถึง คือหนึ่งในสิ่งจูงใจที่คาร์ลเอาไว้หลอกล่อริเชลให้ท่องจำหนังสือ โดยโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณว่า เป็นร้านที่ทำพายเนื้อออกมาได้อร่อยอย่างที่สุด และมีขนมขบเคี้ยวจำนวนมากให้เลือกสรร ถ้าริเชลยอมทำตามที่เขาสั่ง หลังการทดสอบจบลง เขาจะพาเด็กชายไปกินของอร่อย ๆ

    เรียกได้ว่า หลังอยู่เพียงไม่กี่วัน คาร์ลก็จับจุดตายของอีกฝ่ายไว้ได้

    เจ้าของเรือนผมสีเข้มสะดุ้งโหยงในทันที จากที่เผยยิ้มยิงฟันน่าหมั่นไส้มาตลอดทางก็หุบยิ้มลงในทันที แล้วรีบแจ้นไปยังทิศทางดังกล่าวโดยไม่ร่ำลาเสียด้วยซ้ำ คาร์ลมองแผ่นหลังที่วิ่งจากไปก่อนจะถอนหายใจออกมา การอยู่กับคนผู้นี้ช่างเหนื่อยอกเหนื่อยใจเสียจริง ราวกับว่าอายุขัยของตนเองได้สั้นลงไปเป็นสิบปี หลังพร่ำบ่นในใจอยู่พอประมาณเสร็จแล้ว คาร์ลก็รีบวิ่งไปอีกทางหนึ่ง พลางหวังว่าอีกฝ่ายจะผ่านการทดสอบนี้ไปด้วยดี

    ไม่รู้ว่าเพราะริเชลมีฝีเท้าว่องไวปานลมกรดหรืออย่างไร ทั้งที่เหลือเวลาไม่ถึงสิบนาที แต่เมื่อเข็มนาฬิกาก็ตีบอกเวลาเก้าโมง ริเชลก็มายืนอยู่หน้าจุดหมายปลายทางเรียบร้อยแล้ว

    ด้านหน้าของเด็กชายนั้นเป็นประตูบานคู่ที่มีขนาดสูงใหญ่ มันทำจากไม้ที่ส่งกลิ่นหอม และเคลือบไว้ด้วยเชลแล็กสีใส เพื่ออวดงานแกะสลักด้วยมืออันประณีตอ่อนช้อย เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาคู่กับอัครมหาวิหาร ดังนั้นภาพแกะสลักจึงเป็นเรื่องราวของปวงเทพและอสูร ริเชลเผลอไผลจ้องอยู่นานสองนาน บรรดานักบวชที่ยืนประตูก็เลยกระแอมไอทีหนึ่งเพื่อเรียกสติ เด็กชายจึงรีบจัดเสื้อให้เข้าที่โดยพลันตามที่คาร์ลสอนสั่งมา แล้วเคาะประตูหนึ่งครั้งเพื่อรอการอนุญาต

     

    sds

    เสียงเคาะก้องกังวานในทันที แต่กลับมีความเงียบเป็นคำตอบ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัย เมื่อดูจากนักบวชที่มองหน้ากันเลิกลัก ทุกครั้งที่มีใครมาเยือนห้องของท่านราชเลขา ท่านอาวีโดก็มักต้อนรับขับสู้แต่โดยดี ไม่มีแบ่งว่านี่เป็นนักบวชของอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้งานของเดมาดำเนินต่อไปอย่างไม่มีสะดุด เรียกได้ว่าเป็นคนที่แยกแยะเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกัน ไม่ว่าใครมาเยือนเคาะเพียงทีเดียวก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปแท้ ๆ

    ริเชลเคาะเสร็จก็ยืนไพล่หลังรอด้วยท่าทีราวกับมาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ เมื่อเห็นว่าความเงียบเชียบเป็นคำตอบ เขาก็ลองขยับเข้าใกล้แล้วเคาะอีกครั้งหนึ่ง แล้วถอยออกห่างหนึ่งก้าวอย่างพอดิบพอดีตามที่เพื่อนร่วมห้องสอนมา แต่ยืนรออยู่นานสองนาน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครตอบรับ สิ่งแรกที่ริเชลคิดขึ้นมาได้ก็คือ หรือว่าคนในห้องจะหิวจนเป็นลมไปแล้วหรือเปล่านะ ด้วยความใสซื่อจนแทบจะกลายเป็นคำว่าซื่อบื้อ

    เมื่อไม่มีการตอบรับอีก เด็กชายก็เคลื่อนกายไปด้านหน้า ด้วยคิดจะเคาะอีกเป็นครั้งที่สาม แต่ข้อนิ้วยังไม่ทันจะกระทบถูกผิวไม้ ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมา เพียงแต่เสียงนุ่มนวลกลับกล่าวออกมาว่า

    “ไร้มารยาท”

    ช่างเป็นการลงน้ำหนักได้อย่างมีจังหวะจะโคน หากเป็นเด็กชายรายอื่นมายืนอยู่แทนริเชล ก็คงได้สะดุ้งวาบ แล้วคิดขึ้นมาในทันทีว่าตนเองทำสิ่งใดผิดไปหรือ บังเอิญว่าริเชลเป็นเด็กที่ประสาทการรับรู้ด้านชา ใครจะมุ่งร้ายใส่หรือเหม็นขี้หน้าก็ไม่เคยรับรู้แม้สักครั้งหนึ่ง กระทั่งสายตาที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยามและความรังเกียจโกรธแค้นที่อิลยาส่งให้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เจ้าตัวยังคิดเอาว่า อีกฝ่ายเจ็บตาหรือถึงได้ขมวดคิ้วอยู่ร่ำไป ดังนั้นริเชลจึงหาได้สะทกสะท้านไม่ แต่พินิจพิเคราะห์ความเป็นไปของสถานการณ์นี้อย่างรอบคอบ

    ในคืนก่อนหน้านี้ คาร์ลได้สาธยายมารยาทต่าง ๆ ที่พึงกระทำในวิหารเสียละเอียดยิบ ไม่ว่าจะเป็นการสนทนากับผู้ที่อาวุโสกว่า การเดินผ่านนักบวชที่มีระดับสูงกว่า หรือแม้แต่การเคาะประตูเพื่อขออนุญาตเข้าในห้องทำงาน ริเชลจดจำมันได้เป็นอย่างดี เพื่อนร่วมห้องของตนบอกว่า ให้ยืนรอจนกว่าจะได้ยินเสียงตอบรับ แล้วค่อยเดินเข้าไปในห้อง คำว่า ‘ไร้มารยาท’ นี้ก็นับว่าเป็นการตอบอย่างหนึ่งด้วยใช่หรือไม่ แต่เมื่อคาร์ลไม่อยู่ให้ถามคำถาม เด็กชายจึงสรุปเอาเองในทันทีว่า ‘ใช่’

    หากคนที่ทุ่มอบรมสั่งสอนมารยามาเห็นในเวลานี้ คงต้องกุมขมับอย่างไม่ต้องสงสัย

    ริเชลเพียงเผยยิ้มทีหนึ่งอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน แล้วเปิดประตูเข้าไปในทันที

    นักบวชเวรยามที่ยืนประจำการอยู่ตามทางเดินถึงกับสะดุ้ง เจ้าเด็กผู้นี้ใจกล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ พึงทราบว่า สถานะของริเชลนั้นยังไม่เป็นที่แพร่งพรายในวงกว้าง หากนักบวชเหล่านี้ทราบว่าผู้เข้าทดสอบคนดังกล่าว คือบุตรชายบุญธรรมของหัวหน้าสภานักบวชด้วยแล้ว จะต้องเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันทีเดียวว่า นี่คือการหยามหมิ่นของท่านอลิสเซียน่าผ่านบุตรชายอย่างไม่ต้องสงสัย

    ดังนั้นสายตาที่มองไปทางเด็กชายจึงยังเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นอยู่พอประมาณ

    ริเชลยังจำคำสั่งสอนของคาร์ลได้อีกว่า เวลาเปิดประตูให้เปิดเพียงเลื่อนตัวลอดผ่านได้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเปิดอ้ากว้าง และต้องเปิดอย่างเชื่องช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ริเชลก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี แล้วค่อย ๆ ออกแรงเปิด แต่ครั้นแง้มเปิดไปได้เล็กน้อยเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงดังลอดออกมาอีกว่า

    “ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา”

    เด็กชายยังคงจำกฎเหล็กที่คาร์ลได้ตั้งไว้ให้ตนได้ว่า ‘หากมีผู้ใหญ่ถามให้รีบตอบ’ ริเชลจึงเปิดผางเข้าไปในทันที วิธีการเปิดประตูอย่างเชื่องช้าถูกพัดปลิวไปจนหมด

    “เป็นท่านที่อนุญาตให้ข้าเข้ามามิใช่หรือ...ครับ”

    อย่างน้อยเอวที่ถูกหยิกจนเขียวก็ทำให้ริเชลจดจำได้ว่าต้องลงท้ายด้วยคำว่าครับ แม้จะลืมแทนตัวเองด้วยคำว่า ‘กระผม’ ก็ตามที

    บุรุษที่อายุราวห้าสิบปีเงยหน้าขึ้นจากกองกระดาษ แม้ใบหน้าจะปรากฏริ้วรอยตามวัยก็ตาม แต่ก็บ่งบอกถึงเค้าโครงของความเป็นผู้ดี และความหล่อเหลาอย่างหมดจด ผมสีอ่อนจางถูกรวบอย่างเรียบร้อยพาดบ่าของตนไว้ นัยน์ตาเหยียดชี้ขึ้นบ่งบอกถึงความเจ้ากี้เจ้าการ แต่ในขณะเดียวกันก็บ่งบอกถึงความอ่อนโยนอยู่ในที ท่านอาวีโด หรือที่บรรดานักบวชชอบเรียกติดปากว่าท่านราชเลขา เงยหน้าขึ้นจากกองกระดาษ มือข้างขวาที่จับปากกาขนนกอันงามเอาไว้ชะงักค้าง ดวงตาทั้งสองข้างมองลอดแว่นไปทางริเชล ก่อนจะหรี่ลงอย่างมีประสงค์ร้าย

     

    sds

    นักบวชผู้ช่วยที่ยืนอยู่ในห้องกลืนน้ำเหนียวหนืดลงคอ กระทั่งเขายังเสียวสันหลังวาบยามเห็นดวงตาคมกริบ ด้วยความที่รับใช้มาหลายปีดีดัก จึงทราบดีว่าเจ้านายของตนเกลียดการถูกสวนกลับเพียงไร นอกจากท่านอลิสเซียน่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าประชันฝีปากกับท่านราชเลขาอีกแล้ว

    ราชเลขาขยับแว่นทีหนึ่ง แล้วจ้องเด็กชายเขม็ง “...เจ้าว่าอะไรนะ”

    หากเป็นผู้อื่นมาได้ยินน้ำเสียงที่คมกริบปานคมมีดเข้า ก็คงได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ไปเสียแล้ว เผอิญว่าริเชลไม่ใช่พวกเขาเหล่านั้น ถูกจ้องเข้าก็ไม่ได้รู้สึกรู้สา และเป็นพวกที่ใครถามมาก็ตอบกลับในทันที ดังนั้นริเชลจึงเผยยิ้มยิงฟัน

    “ข้า—เอ้ย กระผมพูดว่า เป็นท่านที่อนุญาตให้เข้ามาครับ!”

    นักบวชผู้ช่วยอยากตบหน้าผากฉาดในทันที เจ้าเด็กไปกินหัวใจสิงโตมาหรืออย่างไร ถึงได้ใจกล้าจึงเพียงนี้

    แววตาของท่านราชเลขาเกรี้ยวกราดขึ้นมาเป็นลำดับ บุรุษสูงวัยที่อยู่ในเครื่องแบบหรูหราแต่ยังออกแบบให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ววางปากกาขนนกลง อีกทั้งยังจงใจวางอย่างแรงจนเสียกระทบดังก้อง เขาเหยียดยิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่แทนที่จะกล่าววาจากับผู้เข้าทดสอบที่ตนเองเลือกมากับมือ แต่กลับหันไปหานักบวชผู้ช่วย

    “ออสการ์”

    “ครับท่าน!” เจ้าของนามสะดุ้งโหยงในทันที

    “ออกไปซะ ผู้เข้าทดสอบมาทำหน้าที่แทนเจ้าแล้ว”

    สีหน้าของนักบวชเปลี่ยนเป็นงุนงงในทันที แต่เขาหวาดกลัวเกินกว่าจะโต้แย้ง จึงทำเพียงค้อมกายอย่างสุภาพ แล้วพยายามเร่งรีบออกไปอย่างสุภาพเช่นกัน แต่ในฐานะนักบวชผู้ช่วยนั้น เขาจำเป็นจะต้องอธิบายงานที่เด็กชายจะต้องช่วยเหลือเจ้านายของตนเสียก่อน นี่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการทดสอบมาทุกยุคทุกสมัย ทว่าทันทีที่หยุดฝีเท้าลง เสียงของท่านราชเลขาก็ดังขึ้นอีก

    “ออสการ์ ออก ไป”

    ท่านอาวีโดเน้นย้ำสองพยางค์หลังด้วยสุรเสียงเฉียบขาด ทั้งที่รับใช้มานานขนาดนี้ แต่กลับเป็นครั้งแรกที่นักบวชผู้ช่วยได้ยินเสียงเช่นนี้ เขาสะดุ้งโหยงไหล่ตั้งแทบจะในทันที แล้วรีบยัดเอกสารใส่มือของเด็กชายอย่างลวก ๆ ก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปอย่างสำรวมที่สุด ก่อนที่ประตูจะปิดลง ออสการ์ยังแอบชำเลืองมองเจ้านายของตน เขาไม่เคยเห็นท่านอาวีโดหงุดหงิดกับใครถึงเพียงนี้มาก่อน ...อาจยกเว้นท่านอลิสเซียน่าไว้คนหนึ่ง เมื่อนึกถึงนามนี้ขึ้นมาได้ เขาก็นึกถึงข่าวลือแปลก ๆ ที่ได้ยินในช่วงนี้อย่างพอดิบพอดี จึงเลื่อนสายตาไปทางเด็กชายที่มีผมสีน้ำเงินเข้ม หากเป็นอย่างที่ข่าวลือว่า ก็มีเหตุผลมาอธิบายแล้วว่า ทำไมท่านอาวีโดจึงลงนามเป็นผู้ทดสอบในปีนี้ และทำไมถึงเกรี้ยวกราดกับผู้เข้าทดสอบรายนี้นัก

    เขาค่อย ๆ ปิดบานประตูลงอย่างช้า ๆ พลางภาวนาขอให้เด็กชายอยู่รอดปลอดภัยจนถึงเวลาเย็น แต่ต่อให้อยู่รอดปลอดภัยไปได้ แต่ผลประเมินก็ไม่มีทางออกมาในทิศทางดีแน่ เขาจึงถอนหายใจต่อโชคชะตาอันโหดร้ายที่เด็กชายต้องเผชิญ

    ริเชลที่ถูกผู้อื่นสวดภาวนาให้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวยังคงเหยียดยิ้มอยู่ แต่เขามิได้สนใจผู้ที่อยู่ต่อหน้าตนอีกต่อไปแล้ว เขากำลังกวาดตามองทั่วห้อง เมื่อได้พบสถานที่ใหม่ นิสัยหลงลืมสิ่งที่กระทำอยู่ก็กำเริบ ริเชลลืมไปเสียสนิทว่าตนเองกำลังทำอะไร และมาที่นี่เพื่ออะไร เอาแต่มองเพดานที่มีรูปวาดเก่าแก่อยู่เต็มไปหมด และเครื่องเรือนที่เข้าชุดกัน วางจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ก่อนกวาดตามองกองเอกสารและม้วนกระดาษที่วางเกลื่อนอยู่ทั่วพื้น อันแสดงให้เห็นถึงภาระหน้าที่ที่ตำแหน่งราชเลขาต้องแบกรับ เด็กชายก้มมองเอกสารปึกหนาที่อยู่ในมือ ขณะที่สงสัยว่ามันคือสิ่งใด เสียงเย็นชามาดร้ายก็ดังขึ้นอีกครั้ง

    “เจ้าตอบข้ามาสิว่า ใครเป็นคนอนุญาตให้เจ้าเข้ามา”

    ริเชลเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อระลึกได้ว่าตนเองมาทำอะไรในที่แห่งนี้ “ท่านเป็นคนอนุญาตให้กระผมเข้ามาครับ”

    อาวีโดหรี่สายตามุ่งร้ายลง “การที่ข้าบอกว่า ‘ไร้มารยาท’ มันมีความหมายว่า ‘เข้ามาได้’ อย่างนั้นรึ”

    ริเชลพยักอีกครั้ง “ใช่ครับ มีเพื่อนกระผมคนหนึ่งบอกว่า ‘หากเคาะประตูแล้ว และได้รับการตอบรับ แปลว่าเจ้าได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้’ เช่นนี้ การที่ท่านพูดว่า ‘ไร้มารยาท’ ก็นับว่าเป็นการตอบรับ กระผมจึงเข้ามาครับ”

    ท่านราชเลขาหัวเราะหึทีหนึ่งในลำคอ เส้นเลือดข้างขมับปูดโปนจนเต้นตุบ ๆ เขาคลายมือออกแล้วกำนิ้วทั้งสิบเข้าหากันอย่างช้า ๆ แล้วคลายออกอีกครั้งหนึ่ง เสมือนคนที่กำลังระงับโทสะอย่างยิ่งยวด เขากล่าวถามอย่างมีน้ำอดน้ำทนอีกว่า

    “...เพื่อนเจ้าได้บอกอะไรเกี่ยวกับการทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาไว้หรือไม่”

    เด็กชายนิ่งคิดไปเล็กน้อย ก่อนตอบคำถามอย่างรวดเร็ว “บอกไว้ครับ”

    “บอกไว้ว่าอย่างไร”

    “บอกเอาไว้ว่า ไม่ว่าผู้บังคับบัญชาออกคำสั่งอะไรก็ตาม กระผมต้องปฏิบัติตามครับ”

    “ดีมาก” ราชเลขากล่าว ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้ามาทางริเชลที่ยืนอยู่หน้าประตู เพราะส่วนสูงที่ต่างกัน ริเชลจึงต้องแหงนหน้าขึ้น

     

    sds

    ท่านราชเลขาขยับแว่นบนดั้งจมูกเล็กน้อย

    “...เช่นนั้นหากข้าสั่งให้เจ้าถอนตัวจากการทดสอบเสีย เจ้าจะยินยอมทำตามแต่โดยดีหรือไม่”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×