ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันราตรี ONE THOUSAND NIGHTS

    ลำดับตอนที่ #14 : ราชเลขา

    • อัปเดตล่าสุด 17 ส.ค. 67


     ครั้นฟังจบ อาเบลก็อ้าปากค้างเช่นเดียวกับนักบวชรายอื่น ๆ พวกเขาต่างมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก ไม่อาจระงับความตื่นกังวลจนเกิดเหตุนี้ลงได้ หนึ่งในนักบวชที่มีขอบตาดำคล้ำจากการตรวจข้อสอบถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า

    “ท่านอาวีโดผู้นั้นน่ะหรือครับ”

    แกนน่อนถอนหายใจแล้ววางกระดาษข้อสอบในมือลง มันคือกระดาษคำตอบของท่านคาโล ที่ถูกเขียนด้วยลายมืออันเป็นระเบียบ และคำตอบที่ถูกต้องตามตำราทุกประการ นักบวชอาวุโสขยับแว่นที่สวมอยู่ “จะมีผู้ใดอื่นได้อีกเล่า”

    เพียงเท่านั้นเสียงฮือฮาก็ดังตามขึ้นมา

    เดมาศาสนานั้นมีเจ้าวิหารเป็นผู้ปกครองสูงสุด มีหัวหน้าสภานักบวชเป็นผู้ดูแลการปกครองบริหาร และยังมีอีกตำแหน่งหนึ่งที่มีอำนาจทัดเทียมเท่า นั่นก็คือราชเลขา อันดำรงตำแหน่งโดยอาวีโดนั่นเอง

    พึงทราบว่าแม้เดมาจะยึดถือเรื่องความเท่าเทียมกัน แต่ก็ยังคงมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในระบบการปกครอง ฝั่งหนึ่งหนึ่งคือสภานักบวชที่มาจากประชาชนทั่วไป ในขณะที่อีกฝั่งนั้นคือสายเลือดของเหล่าขุนนาง ผู้นำของฝั่งพลเรือนคือท่านอลิสเซียน่าผู้เป็นหัวหน้าสภานักบวช ในขณะผู้ที่เป็นตัวแทนของเหล่าขุนนางคือท่านอาวีโด

     

    sds

    แล้วผู้ที่อยู่สถานะดังกล่าว กลับลดตัวมาเข้าร่วม ‘การทดสอบ’

    การสอบข้อเขียนคือการทดสอบเชิงทฤษฎีแล้ว การสอบของวันพรุ่งนี้ก็คือการทดสอบเชิงปฏิบัติ ผู้เข้าทดสอบทั้งหมดจะได้รับกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่ระบุว่าจะต้องรับหน้าที่อะไร หรือไปรับใช้ผู้ในอัครมหาวิหาร และใช้เวลาทั้งวันเพื่อรับใช้นักบวชรายนั้น ส่วนผลการประเมินก็จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนักบวชง่วงเหงาหาวนอนดังกล่าว หรือก็คือส่งผู้เข้าทดสอบไปฝึกงานนั่นเอง

    แม้การทดสอบดังกล่าวจะดูไร้สาระก็ตามที เพียงแค่หนึ่งวันจะสามารถแสดงให้เห็นถึงศักยภาพได้อย่างไร แต่แท้จริงแล้วการทดสอบนี้มีเป้าหมายอยู่สองประการ หนึ่งคือทดสอบสอบความเฉลียวฉลาด และสองทดสอบการเอาตัวรอด

    ในสภาพการณ์ที่ต้องอยู่ต่างถิ่น อยู่ในสถานที่อันไม่คุ้นชิน และต้องเรียนรู้เรื่องหลักวิชาการอันเป็นรายละเอียดที่ลงลึกในระดับหนึ่ง ย่อมลดทอนกำลังใจและสร้างความเครียดให้แก่ผู้เข้าทดสอบอย่างไม่ต้องสงสัย การสอบข้อเขียนมิใช่เพื่อวัดผลว่าใครมีคะแนนมากที่สุด แต่เพื่อดูศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ส่วนการส่งไปรับใช้นักบวชระดับสูง ก็เพื่อดูความสามารถในการรับมือต่อแรงกดดัน เพราะการเป็นนักบวชของเดมานั้น ต้องอาศัยความอดทนเป็นสำคัญ และต้องปรับตัวต่อสถานการณ์ที่ยากจะเผชิญได้

     

    sds

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผู้เข้าทดสอบจำนวนไม่น้อยเลยที่ขอถอนตัวเพราะไม่อาจทนรับแรงกดดันไหว หรือกล่าวคือ การสอบข้อเขียนและการสอบเป็นผู้ช่วยนักบวช คือการไล่ต้อน หากมีจิตใจที่แข็งแกร่งก็สามารถผ่านไปยังด่านถัดไปได้ หากไม่ก็ถือว่าวาสนามีเพียงเท่านี้

    ทว่า แม้การรับนักบวชฝึกหัดจะดูมีความสำคัญเพียงไร แต่ในสายตาของบรรดานักบวชชั้นปกครองแล้ว เรื่องบ้านเมืองมีความสำคัญกว่าเป็นนักหนา การทดสอบดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องขี้ปะติ๋วในสายตาของพวกเขา แล้วเหตุใดท่านราชเลขาผู้นั้นถึงได้ลงนามเข้าร่วมเป็นผู้ทดสอบกัน

    แกนน่อนเคาะนิ้วลงกับผิวโต๊ะ เขาอาจถือกระดาษคำตอบของผู้เข้าทดสอบอยู่ แต่สายตากำลังมองเอกสารอีกแผ่นหนึ่งที่วางอยู่แยกต่างหาก มันคือรายชื่อของนักบวชที่ยินยอมเป็น ‘ผู้ไล่ต้อน’ เด็กชายเหล่านั้น และท่านราชเลขาได้ส่งคนของตนเพื่อแจ้งให้ลงชื่อในฐานะของผู้ทดสอบ อีกทั้งยังมีการกำหนดเด็กชายที่ต้องมารับใช้ตนเองไว้เสียเสร็จสรรพ และผู้เข้าทดสอบรายนั้นคือริเชล

    นักบวชอาวุโสยกนิ้วนวดหว่างคิ้วในทันที

    เป็นที่ทราบกันดีในคณะนักบวช ว่าทั้งท่านอลิสเซียน่าและท่านอาวีโดเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาโดยตลอด เรียกได้ว่าเห็นหน้าเป็นต้องปะทะคารมแทบทุกครั้งไป เดินผ่านเป็นต้องเขม่นน้ำหน้า เข้าทำนองผีไม่เผาเงาไม่เหยียบอะไรประมาณนั้น ส่วนที่มาที่ไปของความบาดหมางดังกล่าว ไม่มีใครทราบอย่างแน่ชัด แต่ก็เป็นที่เห็นอย่างชัดเจนว่า เพราะทั้งสองต่างยึดถือกันคนละหลักการ อีกทั้งยังต่างฝ่ายต่างหัวแข็งกันเป็นที่สุด หากไม่มีเจ้าวิหารคอยวางตัวเป็นกลาง เกรงว่าป่านนี้คงมีการแตกหักระหว่างสภานักบวชด้วยกันเองไปนานแล้ว

    และอาวีโดผู้นั้นกลับเลือกที่จะเรียกให้บุตรชายบุญธรรมของอริมาเป็นเด็กรับใช้ ไม่ว่าจะตะแคงมองจากมุมใด นี่ต้องเป็นการกลั่นแกล้งรังแกไม่ผิดแน่

    สาเหตุที่แกนน่อนกำลังคิดไม่ตกอยู่ก็คือเรื่องนี้นั่นเอง ในฐานะผู้น้อยเขาไม่มีสิทธิ์ทักท้วงการตัดสินใจของผู้มีอำนาจมากกว่า ยิ่งเป็นท่านราชเลขาด้วยแล้ว การกระทำดังกล่าวจะกลายเป็นข้อถกเถียงและโหมกระพือการพิพาทอย่างไม่มีจบสิ้น ยังไม่นับเรื่องที่ว่า เพิ่งเกิดเรื่องของทายาทขุนนางไปหมาด ๆ ในฐานะของผู้ที่สอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว เขาไม่มีสิทธิ์ในการท้วงติงได้เลยสักนิด ไม่แม้แต่จะส่งหนังสือขอคำชี้แจ้งจากอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำไป

    แต่หากปล่อยไปเช่นนี้ ก็มิเท่ากับว่าเขาเพิกเฉยต่อการกลั่นแกล้งรังแกหรอกหรือ

    นี่คือสาเหตุของคิ้วที่ขมวดยุ่งและใบหน้าที่เครียดเขม็ง บรรดานักบวชที่นั่งอยู่ในห้องนี้ก็มีอายุงานมากพอที่จะเข้าใจเรื่องดังกล่าว บ้างก็ต่างสบตากันอย่างรู้ความนัย บ้างก็ทำเป็นลืม ๆ ไปเสียเพื่อที่จะได้ไม่ต้องยุ่งยากในภายหลังหากเกิดเรื่องขึ้นมา เพราะแม้หัวหน้าสภานักบวช จะเป็นนักบวชระดับสูง แต่ก็มีบุคลิกภาพที่ค่อนไปทางนักเลงมากกว่าจะเป็นผู้มีอารยะ กล่าวได้ว่าหากเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นขึ้น จะต้องสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่เดมาได้อย่างแน่นอน

    ช่างเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งอะไรอย่างนี้ แกนน่อนได้แต่คิดอย่างจนใจ ชั่วจังหวะหนึ่งที่เขาเกิดปริวิตก แต่เมื่อนึกถึงลีลาท่าทางของเด็กชายที่มีเรือนผมสีเข้มผู้นั้น ก็คล้ายจะรู้สึกสมน้ำหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ครั้นนึกถึงความสามารถในการจดจำและการพูดการจาที่ผิดแปลกจากชาวบ้านทั่วไปแล้ว บางทีเหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นตัวทดสอบที่ดียิ่ง

    เมื่อคิดได้เช่นนี้หัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมก็คลายลง เขาวางกระดาษข้อสอบในมือ แล้วเอื้อมไปหยิบตราประทับประจำตำแหน่งของตน ก่อนประทับลงบนเอกสาร อันมีความหมายว่าเขายินยอมอนุมัติให้รายนามต่อไปนี้เป็นผู้ทดสอบได้

    นักบวชชั้นผู้น้อยต่างลอบกระซิบกระซาบกันในทันที แกนน่อนปรามเสียงหึ่ง ๆ เหล่านั้นด้วยการเหลือบมอง เท่านี้เองบรรยากาศการตรวจข้อสอบจึงกลับคืนสู่ความปกติ และไม่มีผู้ใดกล้าหยิบยกหัวข้อดังกล่าวขึ้นมาสนทนาอีกเลย

     

    ริเชลยังคงหาวหวอดดังเช่นทุกที เด็กชายอ้าปากกว้างจนแทบจะเห็นลิ้นไก่ และแสดงถึงความไม่เกรงอกเกรงใจแกนน่อนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า นักบวชอาวุโสส่งสายตาดุดันมาให้เพียงไร ก็ไร้ความกริ่งเกรงใด ๆ ให้ปรากฏ บรรดาผู้เข้าทดสอบที่นั่งถัดไปด้านหลังหนึ่งแถว ต่างคิดขึ้นมาตรงกันทีเดียว อีกฝ่ายจะง่วงเหงาหาวนอนอะไรกันนักหนา ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้ง ไม่นอนหลับ ก็อ้าปากหาวหวอดอย่างไม่เกรงอกเกรงใจผู้ใด ต้นเหตุของอาการงุนง่วงเหล่านี้ยกนิ้วแล้วจิ้มเข้าที่กระพุ้งแก้ม

    “จำที่ข้าอ่านให้ฟังเมื่อคืนได้ใช่ไหมครับ” คาร์ลกล่าวถามด้วยรอยยิ้มสุภาพสดใส ส่วนริเชลตอบกลับด้วยดวงตาดำคล้ำ

    “อันไหนล่ะ เจ้าอ่านอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ให้ข้าฟังเต็มไปหมด”

    ริเชลไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาสามคืนติดต่อกันแล้ว ต้นเหตุก็มาจากเพื่อร่วมห้องรายนี้นั่นเอง หลังจากการอบรมวันแรกเริ่มขึ้น เขาก็ตกอยู่ในขุมนรกของตัวหนังสือ คาร์ลบังคับให้ตนท่องตำราหนาเป็นนิ้ว ๆ ไม่หยุดหย่อน พอแกล้งทำเป็นอ่านไปผ่าน ๆ ก็ถูกแก้ลำคืนด้วยการเป็นผู้อ่านหนังสือให้เขาฟังแทน ถ้าเผลอหลับก็จะถูกหยิกเข้าให้ ทั้งเอวทั้งต้นแขนต่างช้ำเป็นจ้ำเขียวไปหมดแล้ว แถมยังข่มขู่อีกว่า หากไม่เชื่อฟังตน จะไม่ยอมพาไปกินของอร่อยเหาะที่ตลาดอีก ริเชลจึงก้มหน้าก้มตาเชื่อฟัง นั่งคุกเข่าฟังอีกฝ่ายร่ายยาว จนเป็นที่มาของอาการนอนไม่พอ ต้องหลับตอนกลางวันอยู่ร่ำไป แต่ถึงแม้จะไม่อดนอน เขาก็คงหลับในห้องเรียนอยู่ดีก็ตาม

    ทั้ง ๆ ที่ริเชลทรุดโทรมถึงเพียงนี้ แต่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของคาร์ลกลับยังผ่องใส ทั้งที่อดหลับอดนอนเพียงพอกัน ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อคนผู้นี้เลย นี่มันปีศาจชัด ๆ

     

    sds

    คาร์ลที่เหมือนรู้ตัวว่าถูกนินทาเหยียดยิ้มกว้างขึ้นไปอีก ในสายตาผู้อื่นคือรอยยิ้มของมิตรภาพ แต่ในสายตาของริเชลคือสัญญาณว่าเขาจะถูกหยิกเอวเข้าอีกแล้ว จึงถอยกายออกห่างแล้วยอมตอบคำถามอีกครั้งแบบผู้มีมารยาทในวงสังคม

    “จะ จำได้สิ ข้าต้องแทนตัวเองว่ากระผม และเรียกอีกฝ่ายว่าท่าน ทั้งต้องลงท้ายทุกประโยคด้วยคำว่าครับ และห้ามไปหาที่แอบงีบเป็นอันขาด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสั่งอะไรก็ให้ทำตามห้ามมีข้อโต้แย้งใด ๆ ห้ามพูดอะไรออกมานอกจากจะถูกถาม และหาถูกถามก็ให้ตอบแต่ ‘ใช่ครับ’ ‘ได้ครับ’ ‘ไม่ครับ’ เท่านั้น แล้วไม่ว่าจะคิดอะไรอยู่ก็ตาม ห้ามพูดโพล่งออกไปจนกว่าจะขออนุญาต”

    ริเชลกล่าวทวนอย่างทะมัดทะแมง ราวกับเด็กชายที่ท่องบทอาขยานให้คุณครูฟัง คาร์ลเผยยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง ก็สำทับต่ออีกว่า “ทางที่ดีก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า”

    นี่เป็นคำเหน็บแนมประการหนึ่ง แต่ริเชลก็ใช่ใคร่จะใส่ใจ เขาเพียงพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเอนกายเตรียมยืดแขนยืดแขนต่อ จึงถูกคาร์ลหยิกเอวเข้าอีกครั้งหนึ่ง

    ตอนนี้พวกเขากำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมทรงครึ่งวงกลม โดยมีนักบวชอาวุโสเจ้าเก่ากำลังอธิบายการทดสอบในวันนี้

    “พวกเจ้าทั้งหมดจะได้รับกระดาษแผ่นหนึ่ง”

    ระหว่างที่บรรยายไป ก็มีนักบวชจำนวนหนึ่งถือปึกกระดาษเดินแจกตามแถวไป เพียงไม่นานผู้เข้าทดสอบทั้งห้องก็มีกระดาษคนละแผ่นอยู่ในมือ ครั้นแลเห็นแล้วว่าไม่มีใครขาดตกไป แกนน่อนก็กล่าวต่อ

    “อย่างที่พวกเจ้าเห็น บนกระดาษจะมีการระบุถึงชื่อของนักบวชที่พวกเจ้าต้องรับใช้ หน้าที่ที่เจ้าต้องกระทำขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่พวกเจ้าจะต้องไปประจำ วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องไปเป็นนักบวชผู้ช่วยของพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งวัน ...และแน่นอนว่าจะไม่มีนักบวชใด ๆ นำทางพวกเจ้าไปทั้งนั้น พวกเจ้าต้องหาทางไปรายงานตัวกันเองก่อนเก้าโมงเช้า”

    เหล่าเด็กชายต่างตาเบิกกว้าง มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก

    แม้จะเพิ่งได้อยู่อาศัยแค่เพียงไม่กี่วัน แต่พวกเขาก็รู้ซึ้งต่อทางเดินอันวกวนของอัครมหาวิหารเป็นอย่างดี เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อพันกว่าปีก่อน ในช่วงยุคแรกมีขนาดเล็กกว่าในปัจจุบันอยู่หลายเท่า พอผ่านไปนานวัน สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ก็เพิ่มขึ้นตามขอบเขตอำนาจ เพียงไม่นานก็มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าหนึ่งในสามของเมืองเอสลีเซีย และด้วยการต่อเติมที่ต่างช่วงเวลา และขาดการวางแผนผังอย่างเป็นกิจจะลักษณะ นึกอยากสร้างก็สร้างขึ้นของเจ้าวิหารองค์ก่อน ๆ ทำให้ทางเดินภายในวกวนจนชวนสับสนอย่างมากเลยทีเดียว แค่ทางเดินจากห้องพักของผู้เข้าทดสอบมายังห้องประชุมแห่งนี้ก็ต้องเจอกับสี่แยกถึงสามครั้ง หากเลี้ยวผิดเข้าสักครั้งหนึ่ง จะไปโผล่ที่ใดก็สุดจะรู้ หากไม่มีนักบวชคอยตามประกบ เหล่าเด็กชายจะต้องหลงทางอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงในช่วงอบรมจะมีการให้ท่องจำแผนที่ก็ตาม แต่แค่สูตรการคำนวณภาษีก็ทำเอาพวกเขาจำกันแทบไม่หวาดไม่ไหว แม้ก่อนสอบจะพอจำได้บ้าง แต่หลังสอบก็พากันคืนความรู้ให้นักบวชอาวุโสไปหมดสิ้นแล้ว

    ดังนั้นเงื่อนไขที่ว่า ต้องเดินทางไปรายตัวกับนักบวชก่อนเก้าโมงเช้า โดยไม่มีมีคนคอยนำทาง จึงไม่ต่างจากประกาศิตสั่งตาย อีกทั้งแกนน่อนยังจงใจบอกกล่าวอย่างไม่ชัดเจน ว่าหากไปไม่ทันตามกำหนด จะถือว่าสอบตกเลยหรือไม่ หรือมีผลอย่างได้ต่อการประเมินในท้ายที่สุด เด็กชายทั้งหลายจึงพากันเครียดเขม็ง เรื่องทางไปก็เรื่องหนึ่ง เรื่องการทำงานก็เรื่องหนึ่ง แต่ในกระดาษบอกไว้เพียงชื่อของนักบวช ไม่มีภาพวาดเพื่อบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องตามหานักบวชตามรายนามนี้ด้วยตัวเอง

    อนึ่ง การอบรมที่จบไปนั้น มีการไล่เรียงรายชื่อของนักบวชที่ประจำการอยู่ในอัครมหาวิหารอย่างละเอียดลออ แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านั้นมากนัก เพราะมีเนื้อหาอื่น ๆ ที่สำคัญมากกว่า เมื่อเห็นว่าผลพวงดังกล่าวกำลังส่งผลอยู่ในเวลานี้ ก็ต่างหน้าซีดตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า มองหน้ากันไปมาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ต่างฝ่ายต่างตกเป็นผู้ประสบภัยกันถ้วนหน้า แล้วจะให้ความช่วยเหลือใด ๆ กันได้ ก่อนที่ทั้งหมดจะมองตรงไปที่นาฬิกาขนาดใหญ่ ที่ติดอยู่ตรงกำแพงกลางห้อง ก็พบว่า พวกเขาเหลือเวลาอีกเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น

    แกนน่อนเหยียดยิ้มกว้าง เมื่อเหล่าเด็กชายต่างเข้าใจถึงความหนักหนาสาหัสของบททดสอบกันแล้ว เขาจึงกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “ขอให้ปวงเทพอำนวยพร”

    เป็นความหมายว่าช่วงเวลาแห่งการทดสอบเริ่มต้นขึ้น นักบวชอาวุโสเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเหล่านักบวชที่มียศตำแหน่งต่ำกว่า ทิ้งให้ผู้เข้าทดสอบอยู่กันเพียงลำพัง พวกเขารู้ตัวในทันทีว่าถูกทิ้งเข้าให้ หลังจากนี้คือเวลาของการพึ่งพาตัวเอง

    กลุ่มที่ดูจะไม่เดือดร้อนแต่อย่างใดก็คือทายาทขุนนาง พวกเขาเพียงอ่านกระดาษอย่างละเอียด ก็เดินออกจากห้องไปเป็นกลุ่มแรก แน่ละว่าผู้ที่นำทางต้องเป็นอิลยา ลูกหลานของดยุกรายนั้น ผู้มีสีหน้าถมึงทึงมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ขนาดนั่งอยู่กันคนละฟาก อิลยายังจงใจส่งสายตารังเกียจเดียดฉันท์ให้แก่ริเชลกับคาร์ล โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่เด็กชายเพ่งมองอย่างอาฆาตเป็นพิเศษ คาร์ลที่รับรู้ได้ก็ไม่ยี่หระแต่อย่างใด ด้วยรับรู้ว่าทายาทดยุกคงถูกอัลฟองโซ่เป่าหูเป็นที่เรียบร้อย

    เขาเมินสายตาทิ่มแทงเหล่านั้น แล้วหันไปหาริเชล “เจ้าได้ไปเป็นผู้ช่วยของใครหรือ”

    ริเชลไม่เอ่ยตอบแต่ยื่นกระดาษให้เขาแทน คาร์ลรับมาอ่านเพียงชั่วครู่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างฉงน “ท่านราชเลขาหรือ”

    เพราะเด็กชายเติบโตมาในวิหาร เขาจึงรู้เรื่องขั้วอำนาจในเดมาเป็นอย่างดี เมื่อชื่อนี้โผล่ขึ้นมา กอปรกับที่ริเชลเป็นบุตรชายของหัวหน้าสภานักบวชด้วยแล้ว ก็เข้าใจถึงเจตนาอย่างถ่องแท้ ราวกับหนึ่งบวกหนึ่งต้องได้คำตอบเป็นสอง

    แทนที่เขาจะเป็นกังวล กลับเผยยิ้มอันมีนัยซ่อนเร้น หากเพื่อนร่วมห้องของตนเป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไปก็คงจะน่าเป็นห่วงอยู่หรอก แต่เพราะริเชลมีความเป็น ‘เอกลักษณ์’ ถึงขนาดนี้ ย่อมต้องเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน เลยไม่เสียเวลาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแต่อย่างใด เขาจึงยื่นกระดาษแผ่นนั้นกลับคืน

    “เจ้ารู้ทางไปอยู่แล้วใช่หรือไม่”

    ริเชลกวาดตาอ่าน ทำท่าคิดทบทวนอยู่เพียงชั่วแวบเดียวแล้วก็พยักหน้า คาร์ลย่อมไม่แปลกใจถึงความสามารถในการจดจำของอีกฝ่าย ในช่วงหลายวันมานี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ริเชลมีความทรงจำที่ดีเลิศ แม้กระทั่งเขาก็ยังไม่อาจทัดเทียมได้ หากเปรียบเทียบให้เห็นว่าห่างชั้นกันประมาณใด ก็ประมาณว่าหากส่งกระดาษที่มีรายชื่อปรากฏอยู่เต็มไปหมดให้ริเชลดูอยู่เพียงเสี้ยวนาทีแล้วเอากลับคืน ริเชลจะสามารถจดจำได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลย

    ข้อนี้คาร์ลไม่อาจสู้ได้เลยจริง ๆ

    “เช่นนั้นก็ขอให้ปวงเทพอำนวยพร” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม ริเชลตอบรับด้วยการยักไหล่

    “แล้วของเจ้าเล่า ต้องไปหาผู้ใดกัน” ริเชลถามกลับบ้าง

    คาร์ลไล่สายตาทีหนึ่ง “ข้าต้องไปหาท่านเบวิส เขาอยู่ประจำหน่วยพิธี”

    “อ้อ งั้นก็ไปทางเดียวกับข้าได้นี่ ไปกันเลยดีหรือไม่ ข้าอยากหาที่นอนแล้ว”

    คาร์ลพยักหน้ารับ ก่อนจะเขม่นใส่อีกทีหนึ่ง แม้จะเป็นการพูดจาเพื่อหยอกเย้า แต่หากลดการระมัดระวังลง ริเชลอาจทำเช่นนั้นเข้าจริง ๆ

    หลังกล่าวเตือนกันพอประมาณ ก็พากันลุกจากเก้าอี้ เพราะโต๊ะของพวกเขาอยู่แถวหน้าสุด ทั้งสองจึงต้องเดินผ่านผู้เข้าทดสอบที่เหลือ นอกจากเด็กชายสองสามรายที่ลุกออกไปแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใดอีก ต่างหน้าซีดเผือดจ้องกระดาษจนเหมือนเห็นภาพอันสยดสยอง และด้วยนิสัยที่ตาอยู่ไม่สุข ชอบมองนั่นนี่ไปเรื่อย ริเชลก็โพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้นว่า

    “เจ้าได้นักบวชหัวล้านรายนั้นหรือ”

    คนที่ถูกทักคืออลัน ชื่อที่เขาได้รับมานั้น คือนักบวชประจำหน่วยตุลาการที่ชื่อว่า ไลโอเนล ถึงจะเคยพากันไปห้องพยาบาลมาก่อน แต่พอห่างกันไปไม่กี่วัน อลันก็รู้สึกตัวแข็งทื่อขึ้นมา ด้วยรู้ว่าสถานะที่แท้จริงของสองคนนี้เป็นอย่างไร กระนั้นปากกลับเอ่ยถามออกไปก่อนที่สมองจะได้ขบคิดทัน

    “เจ้ารู้หรือว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร”

    ริเชลพยักหน้า แล้วสาธยายหน้าตาท่าทางเสียละเอียดยิบ

    ไม่ใช่พลูโตเท่านั้นที่มองเห็นอีกฝ่ายเป็นดั่งแสงแห่งความหวัง แต่ทั่วทั้งห้องเองก็เช่นเดียวกัน

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×