ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันราตรี ONE THOUSAND NIGHTS

    ลำดับตอนที่ #12 : ประวัติศาสตร์

    • อัปเดตล่าสุด 15 ส.ค. 67


     การชุลมุนตะลุมบอนนั้นก่อความวุ่นวายเป็นนักหนา อีกทั้งอิลยายังมือเหนียวยิ่งกว่าตุ๊กแกเสียอีก ขนาดนักบวชสี่ถึงห้าคนพยายามเข้าไปง้างมือเขาออกก็ยังไม่สำเร็จ จนใบหน้าของวีลิสซีดขาวจนเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ก่อนเปลี่ยนเป็นสีม่วง เรียกได้ว่าวุ่นวายเอ็ดตะโรกันเป็นการใหญ่ และไม่รู้ว่าเหตุการณ์เอะอะมะเทิ่งเหล่านี้ได้ทำให้บรรดานักบวชละเมิดกฎของอัครมหาวิหารไปมากเท่าใด แต่เอาเป็นว่าสุดท้ายแล้ว เมื่อผู้คุ้มกฎและนักบวชอาวุโสเล็งเห็นแล้วว่า การสอบสวนไม่มีทางจบลงวันนี้ได้ แกนน่อนก็เดินตรงเข้ามาหาคาร์ลและริเชล ขอให้ทั้งคู่กลับไปก่อน เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางดีแล้วจะเรียกทั้งคู่กลับมาสอบถามอีกครั้ง

    แน่นอนว่าระหว่างที่อธิบายอย่างสุภาพอยู่นี้ ท่านนักบวชอาวุโสก็ต้องตะเบ็งเสียงแข่งไปด้วย ทำเอาริเชลหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ และลงเอยด้วยการถูกหยิกเอวเข้าอีกจนได้ ตอนที่พวกเขาทั้งสองกำลังถูกส่งผ่านประตูห้องประชุมไป คาร์ลยังอุตส่าห์เหลียวหลังกลับไปมองความวินาศสันตะโรที่เกิดขึ้น อิลยากำลังคร่อมอยู่เหนือร่างของวีลิส โดยที่เด็กชายคนอื่น ๆ ถอยห่างราวกับกลัวจะติดโรคร้าย ส่วนอัลฟองโซ่ผู้มีศักดิ์เป็นน้าก็กำลังวิ่งเข้าไปคว้าแขนของหลานชายไว้ นักบวชรายอื่น ๆ ที่มีตำแหน่งต่ำกว่า และไม่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ก็ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งอย่างสงวนท่าที

    นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนหรี่ลงอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะทิ้งความวุ่นวายเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง

     

    sds

    ทว่าตอนที่ทั้งสองกำลังเคลื่อนตัวผ่านโถงทางเดินอันสลับซับซ้อนของวิหารยามเที่ยงวัน ริเชลก็หัวเราะขึ้นอย่างไม่มีอารัมภาบท แล้วหันหน้ามาทางเพื่อนร่วมห้องที่เริ่มไต่ระดับเป็น ‘คุณแม่จำเป็น’

    “เจ้าตั้งใจใช่ไหมล่ะ” เขาเอ่ยพลางยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แต่เพราะไม่ได้มีเป้าหมายการถาม เด็กชายจึงพูดต่อว่า “แต่ข้าชอบนะ”

    เป็นคาร์ลที่ยกคิ้วขึ้นบ้าง แม้จะฉงนใจ แต่ก็ยังรักษารอยยิ้มแสนดีไว้ได้อย่างครบถ้วน “ชอบอะไรหรือ”

    “ชอบที่เจ้าเป็นตัวเองแบบนี้” คำตอบนั้นไม่ได้ส่งให้รอยยิ้มอ่อนโยนลดลงเลย เพียงแต่ดูสุขุมขึ้น และเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายมากขึ้น นัยน์คู่งามหรี่ลงเล็กน้อย แต่บุตรชายของเจ้าวิหารก็มิได้ตอบโต้อันใด ส่วนบุตรชายของหัวหน้าสภานักบวชก็มิได้จะคาดคั้น ระหว่างทางทั้งสองจึงมีแต่ความเงียบเข้าปกคลุมไปตลอดจนกลับถึงห้อง

    และด้วยเหตุนี้เอง การสอบสวนเรื่องที่ว่าผู้เข้าทดสอบได้กระทำผิดตามจริงหรือไม่จึงยืดเยื้อต่อไป แน่ละว่าเรื่องราวเหล่านั้นต้องการเป็นคำครหาไปทั่วอัครมหาวิหาร แม้จะเป็นเรื่องไร้สาระระหว่างเด็กชายทั้งสองกลุ่ม แต่บังเอิญเหลือเกินว่า ที่ฝั่งหนึ่งคือบุตรชายบุญธรรมของผู้ที่มียศมีตำแหน่ง ในขณะที่อีกฝ่ายคือทายาทของเหล่าขุนนาง ดังนั้นเรื่องนี้จึงควรค่าแก่การเอาไปนินทาขยายผล แต่เพราะด้วยข้อบังคับต่าง ๆ ที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนจนจำไม่หวาดไม่ไหว ทำให้การซุบซิบนินทาเป็นไปอย่างสงบเสงี่ยมไม่เอะอะมะเทิ่งสักเท่าไร ส่วนเหล่าผู้เข้าทดสอบย่อมจะได้ยินเรื่องของความบาดหมาง พวกเขาควรจะเป็นกลุ่มที่สามารถเอามาพูดคุยกันสนุกปากเสียด้วยซ้ำไปเนื่องจากยังไม่เคยชินกับข้อบังคับต่าง ๆ แต่เพราะการอบรมสามวันที่ไม่ต่างจากนรกทั้งเป็น ทำให้เรื่องที่ว่าทายาทขุนนางจะถูกลงโทษหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญแต่อย่างใด

    เป็นอย่างที่แกนน่อนได้ว่า เมื่อแปดโมงอีกวันมาถึง การอบรมจะเริ่มต้นขึ้น แต่ดูเหมือนท่านนักบวชอาวุโสจะลืมเตือนเด็กชายทั้งหลายไปว่า การอบรมสามวันนี้คือการยัดเนื้อหาตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบลงในสมองน้อย ๆ ที่ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ของเหล่าผู้เข้าทดสอบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาอย่างประวัติศาสตร์การกำเนิดของเดมา ไล่ไปจนถึงการบริการจัดการทรัพยากรน้ำให้แก่ไร่นาในหน้าแล้ง

     

    sds

    ต่อให้เป็นลูกหลานชาวไร่ ก็ใช่ว่าพวกเขาจะทราบในเรื่องดังกล่าว หน้าที่ของเด็กชายที่มีอายุเพียงสิบกว่านั้นคือเข้าไปวิ่งเล่นในทุ่งหญ้า และกลับบ้านในสภาพที่เลอะโคลนตม ‘ภาษี’ คือสิ่งใด เด็กชายบางคนยังไม่ทราบความหมายของคำเสียด้วยซ้ำไป และด้วยเนื้อหาที่อัดแน่นจนแทบกระอักเช่นนี้ ทำให้บรรยากาศความผ่อนคลายในช่วงการส่งเอกสารหายไปในพริบตา พวกเขาเกือบทั้งหมด ต้องเหยียดนิ้วเพื่อไม่ให้เป็นตะคริวจากการจดตามไม่ทัน บางคนเครียดจนถึงขั้นร้องไห้ออกมาขณะเล่าเรียนไปด้วย แน่นอนว่าอลันเองก็มีสภาพไม่สู้ดีเท่าไร เขาต้องเขียนมากกว่าที่เคยมาในชีวิต และตัวอักษรที่ออกมานั้นก็แทบจะเป็นไก่เขี่ยจนอ่านไม่ออก เบ้าตาลึกโหล ใบหน้าหยาบกร้าน ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเข้ารับการอบรมได้เพียงหนึ่งวันครึ่งเท่านั้น แต่อายุอานามของผู้เข้าทดสอบทั้งหลายก็ดูแก่ชราไปเป็นสิบปี พลูโตที่ยังสามารถล้อเล่นได้แม้จะมีสภาพไม่ต่างกันก็ตาม บอกว่า พวกเขานั้นดูเหมือนชายชราที่อาศัยอยู่ในร่างเด็กก็มิปาน ก่อนจะบุ้ยหน้าไปทางสองคนที่นั่งอยู่แถวหน้า ‘ยกเว้นแต่สองคนนั้นนะ’ พลูโตกล่าว และอลันก็เห็นด้วยอยู่ในใจ

    สองคนที่ว่าย่อมไม่พ้นคาร์ลกับริเชลที่ไม่มีอาการเหนื่อยอ่อนเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกเขาทำเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่สิ กล่าวว่าทั้งสองคงไม่ถูกต้องเท่าไรนัก เฉพาะเจ้าของเรือนผมสีเทาจางเพียงผู้เดียวต่างหากที่ดูเคยชิน ส่วนอีกคนน่าทึ่งกว่าตรงที่สามารถฟุบหลับได้โดยไม่สนสิ่งใดทั้งนั้น

    แกนน่อนเดินเข้ามาใกล้ขณะกล่าวว่า “ก่อนเริ่มต้นเดมาศักราชได้หนึ่งร้อยปีเหล่าอสูรก็เคลื่อนทัพเข้าโจมตีเมอร์รอตเป็นเมืองแรก”

    เขาย้ำทุกถ้อยพยางค์อย่างหนักแน่นขณะตบมือลงบนโต๊ะยาวที่อยู่ตรงหน้าตน อันเป็นที่นั่งของริเชลกับคาร์ล

    รายหนึ่งนั้นนั่งหลังตรงแหน็ว มือขวาหรือก็ขยับขยุกขยิกเขียนสิ่งที่นักบวชอาวุโสกล่าวทุกถ้อยคำ ประหนึ่งว่าเป็นลูกศิษย์ที่ตั้งใจฟังอาจารย์สอนสั่ง ทั้งที่ตนเองก็ทราบประวัติศาสตร์การกำเนิดของเดมาอย่างละเอียดยิบอยู่แล้ว หากแกนน่อนเรียกคาร์ลให้ออกไปเขียนลำดับเวลาของช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะสามารถเขียนออกมาได้ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน กระนั้นก็ยังตั้งหน้าตั้งตาฟังคำสอนสั่งอย่างน่าชื่นชม ผิดกับอีกบุคคลหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ข้างเคียงกัน แต่พฤติกรรมต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว

    ขณะที่คาร์ลนั่งหลังตรงดูสง่างามเป็นนักหนา ริเชลก็แทบจะเลื้อยสันหลังยาว ๆ ของตนเองราบไปกับผิวโต๊ะ เขาใช้ข้อศอกข้างขวาแทนเสาค้ำยันศีรษะของตนไว้ให้ยังตั้งมั่นอยู่บนสองบ่าได้ มือข้างซ้ายถูกวางทับหน้ากระดาษ ซึ่งเนื้อหาที่นักบวชอาวุโสกำลังกล่าวถึงนั้นเลยจากหน้านี้ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว และดูเหมือนคำว่าเกรงกลัวจะไม่มีปรากฏอยู่ในตัวของเด็กชายผู้นี้เลย เพราะริเชลกำลังหลับตาพริ้มอยู่ในภวังค์ มิหนำซ้ำยังอุตส่าห์ส่งเสียงกรนเบา ๆ ออกมาอีกด้วย

    ดูเหมือนว่าคาร์ลที่คอยหยิกเอวปลุก ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยให้เป็นตามเวรตามกรรม ครั้นแกนน่อนตบมือเข้ากับโต๊ะดังลั่น เด็กชายก็สะดุ้งทีหนึ่งก่อนเผยอเปลือกตาขึ้น

    “ริคาโด” นักบวชอาวุโสเรียกขึ้น “ตอนที่เมอร์รอตถูกโจมตีโดยเผ่าอสูรนั้นเป็นปีอะไร”

    คำถามดังกล่าว เป็นเนื้อหาที่เขายังสอนไปไม่ถึง เจตนาจะสอนสั่งให้เด็กชายนั่งตัวตรงและให้ความสนใจกับการสอนขึ้นหน่อย ที่ไหนได้เด็กชายกลับหาวหวอดออกมาทีหนึ่ง แล้วตอบว่า

    “หนึ่งร้อยสองปีก่อนเดมาศักราช กองทัพของอสูรจำนวนสองร้อยตนกวาดล้างหมู่บ้านหนึ่งของเมอร์รอต มีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ห้าสิบสองคน ส่วนผู้บาดเจ็บที่เหลือกว่าหกสิบห้าได้อพยพหนีตายไปที่เมืองอูริน”

    ไม่เพียงจะตอบปีได้ แต่ยังลงรายละเอียดได้เสียด้วย ไม่ใช่แค่ผู้ถามที่มีสีหน้าเหลอหลา แต่รวมถึงทั้งห้องเลยทีเดียว ริเชลเป็นที่รู้จักกันในหมู่ผู้เข้าทดสอบว่าเป็นคนขี้เซา เพราะเห็นตัวกี่ครั้ง ก็เอาแต่หลับทุกครั้งไป

    ครั้นแลเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีอะไรจะพูดต่อนอกจากแสดงสีหน้าแปลกใจระคนไปด้วยความชื่นชมแล้ว เขาก็กลับไปปักหลักหลับต่ออีกอย่างไม่สนโลก ไม่ถึงหนึ่งวินาทีก็กรนออกมาอีกครั้ง แต่แทนที่แกนน่อนจะรู้สึกว่าถูกลบหลู่ดูหมิ่น เขากลับเลื่อนสายตาไปยังคาร์ลแทน เจ้าของนัยน์ตาสีอความารีนเพียงเหยียดยิ้มรับอย่างสุภาพ ก่อนโค้งศีรษะเพื่อขอโทษแทนเพื่อนร่วมห้อง นักบวชอาวุโสจึงเดินออกห่างจากโต๊ะ แล้วร่ายยาวถึงประวัติศาสตร์ของเดมาต่ออย่างละเอียดลออ

    ในยามนี้คือเนื้อหาที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ลงลึกของแท้ ผู้เข้าทดสอบย่อมเคยได้ยินมาไม่มากก็น้อย แต่มักจะได้ได้ยินในฐานะนิทานก่อนนอนเสียมากกว่า อีกทั้งด้วยความแตกต่างของพื้นที่เกิด ทำให้เรื่องราวถูกบิดเบือนไปตามแต่ท้องที่

    ดังนั้นพวกเขาจึงต้องดิ้นรนทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า ตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว มันได้เกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง

    จุดเริ่มต้นของสงครามอันยาวนานระหว่างมนุษย์กับอสูร รวมถึงการยื่นมือเข้าช่วยเหลือของเหล่าปวงเทพจนกลายเป็นต้นกำเนิดของเดมา ไปจนถึงเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองครั้งใหญ่นั้น ทั่วทุกพื้นที่ต่างเล่าไปในทิศทางเดียวกัน หากจะต่างก็คงเป็นชื่อของเหล่านักบวชชุดแรกที่เพี้ยนไปเพี้ยนมาตามภาษาถิ่น แต่เนื้อหาที่แปรเปลี่ยนไปจนเหมือนเป็นคนละเรื่องเล่านั้น คือรายละเอียดในสองสงครามสุดท้ายนั่นเอง

    หลังการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือของเหล่าปวงเทพแล้ว พระองค์ไม่เพียงประทานความรู้และเครื่องมือ แต่ยังมอบกองทัพให้ด้วย กองทัพดังกล่าวนำมาด้วยคณะทูตของเหล่าทวยเทพ ผู้นำของคณะทูตดังกล่าวนั้น คือเทพองค์หนึ่งที่มีนามว่าคาร์เน พระองค์มีรูปลักษณ์หมดจด สูงสง่ามีราศี ทั้งตัวยังสูงใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไป และมีนิสัยสุภาพเรียบร้อยเป็นมิตร รวมถึงมีความห้าวหาญตามแบบฉบับของผู้นำกองทัพ

     

    sds

    ส่วนหนึ่งที่กองทัพของเหล่าทวยเทพและมนุษย์สามารถมีชัยเหนือกองทัพของอสูรได้นั้น ก็เพราะคาร์เนนี่เอง ในสงครามครั้งสุดท้ายนั้นพระองค์ได้สละชีวิตเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์

    ราวกับจะเป็นการบ่งบอกว่าสงครามครั้งนี้คือตัวตัดสินชะตากรรม เจ้าอสูรผู้ชั่วร้ายได้นำกองทัพมาด้วยตนเอง จนเกิดความระส่ำระสายไปทั่วทุกพื้นที่ เจ้าอสูรไม่เพียงมีพลังอำนาจอย่างล้นเหลือ แต่ยังร้ายกาจ โฉดชั่ว และอำมหิตอย่างสุดประมาณ มันกรีธาทัพไปที่ใด ที่แห่งนั้นก็จะถูกไฟสีดำแผดเผา ไม่มีเชลยสงครามใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะทุกชีวิตล้วนถูกสังหารสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ลูกเล็กเด็กเลยแม้แต่ชีวิตเดียว เพียงแค่ได้ยินชื่อเหล่ามนุษย์ก็หวาดหวั่นจนสิ้นท่า ครั้นได้เผชิญหน้าในสนามรบ ความขลาดกลัวเหล่านั้นก็ยิ่งฉายชัด มีทหารหนีทัพไปจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว จนทำให้จำนวนพลร่อยหรอลงอย่างช่วยไม่ได้ แต่กองทัพที่นำโดยองค์เทพคาร์เนนั้นยังคงปักหลักอยู่ไม่มีท่าทีว่าจะถอยหนี และสู้ตายถวายชีวิตเพื่อต้องการปลดแอกมนุษยชาติจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอสูร

    ในสงครามครั้งสุดท้ายนั้น ใช้คำว่าสิ้นหวังมาบัญญัติได้อย่างเหมาะเจาะโดยแท้ ทั้งสนามรบอาบย้อมไปด้วยสีเลือดจนยากจะแยกแยะสีดินออกมาจากหยาดโลหิต ต้นหญ้าเขียวชอุ่มที่เคยปกคลุมไปทั่วก็ไม่เหลือแม้แต่เพียงเศษซาก จากที่เคยมีดอกไม้สีขาวสวยละลานตา ก็กลายเป็นมีร่างกายไร้วิญญาณนอนเกลื่อนกลาดมาทดแทน

    ไม่รู้ว่าจำนวนศพที่แท้จริงของเหล่าทหารมีเท่าไร หรือเหล่าเทพที่ต้องสละชีวิตนั้นมีมากมายเพียงใด ทว่าท่ามกลางท้องนภาที่กลายเป็นสีดำทมิฬ อันปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีชาดแล้ว องค์เทพคาร์เนยังคงจับดาบฆ่าฟันศัตรูอย่างไม่ลดละ แผนการเดินทัพที่จัดเตรียมกันมาอยู่หลายต่อปีหาได้มีประโยชน์อันใดไม่แล้ว เวลานี้คือฆ่าฟันเอาชีวิตโดยแท้ การเอาตัวรอดกลายเป็นเรื่องรอง แต่การสังหารศัตรูลงให้จงได้ต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ

    สุดท้ายแล้วผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้กับเจ้าอสูรได้นั้นก็เหลือแต่เพียงองค์เทพคาร์เนและเทพองค์อื่น ๆ เพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้น ส่วนฝ่ายอสูรที่แม้จะมีจำนวนน้อยกว่า แต่มีสรีระที่แข็งแกร่งกว่า ยังคงเหลือจำนวนมากมายนับไม่หวาดไม่ไหว ไม่ว่าใครเห็นก็ย่อมคาดการณ์ได้ในทันทีว่า ศึกครานี้อสูรคือฝ่ายมีชัย และเหล่ามนุษย์ต้องตกเป็นเบี้ยล่างเท่านั้นเอง

    ท่ามกลางความอดสูและไม่มีใครคาดคิด องค์เทพคาร์เนกลับเอาชนะเจ้าอสูรได้ด้วยความอุตสาหะ แม้ร่างทั้งร่างจะอาบย้อมไปด้วยสีเลือด และปรากฏบาดแผลไปทั่วทั้งร่าง แต่มือทั้งสองข้างยังกำด้ามดาบไว้มั่น และเสือกอาวุธที่มีฤทธิ์เดชถึงตายนี้กระซวกเข้าไปยังตำแหน่งหัวใจของเจ้าอสูร เพราะอาวุธที่องค์เทพใช้คือดาบศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นต่อให้เป็นถึงเจ้าอสูรเองก็ไม่มีทางรักษาบาดแผลได้ กลายเป็นฝ่ายมนุษย์ที่และทวยเทพที่กำลังจะปราชัย ได้พลิกฟื้นกลับมามีชัยก็ด้วยพระคุณขององค์เทพคาร์เนนั่นเอง

    แต่เพราะเจ้าอสูรนั้น มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าอสูรทั่วไป แม้จะถูกแทงเข้าที่หัวใจ ก็ใช่จะตายลงในทันที ก่อนที่มันจะสิ้นไป ก็ได้ประกาศก้องไว้ว่า

    อีกหนึ่งพันปีมันจะหวนกลับคืนมาเพื่อฆ่าล้างบางมนุษย์อีกครั้ง!

    ก่อนจะสลายหายไปโดยไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี

     

    sds

    แม้ฝั่งอสูรจะเหลือจำนวนพลมากกว่าฝั่งของมนุษย์ก็ตาม แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขาดแคลนเรื่องปัญญา ครั้นขาดผู้นำไป กองทัพของฝั่งอสูรก็ระส่ำระสาย แตกทัพหนีฮือกันไปคนละทิศคนละทาง ในยามนั้นองค์เทพคาร์เนที่บาดเจ็บสาหัส ก็ยังควบม้าพากำลังพลที่เหลือขับไล่อสูรไปจนสุดทวีป เหล่าอสูรที่แตกฮือหนีตายข้ามน้ำข้ามแผ่นดินไป บางส่วนก็อาศัยหลบซ่อนอยู่ตามชายป่าลึกหรือพื้นที่ต้องห้าม บางส่วนก็ถูกฆ่าสังหารสิ้น

    จนเมื่ออสูรตนสุดท้ายบนเทอร่าได้ตายลงด้วยคมดาบขององค์เทพคาร์เน เหล่าผู้รอดชีวิตทั้งหมดก็ยินดีปรีดากับชัยชนะเป็นนักหนา แต่งานเฉลิมฉลองไม่มีวันมาถึง เพราะในท้ายที่สุดองค์เทพคาร์เนก็ได้สิ้นใจในช่วงท้ายของสงครามภายหลังกองทัพได้รับชัยชนะเพียงวันเดียวเท่านั้น

    ครั้นได้เห็นองค์เทพคาร์เนสลายหายไปกลายเป็นละอองเถ้าที่ทองอร่าม บัดนั้นเหล่ามนุษย์ก็ได้สำนึกว่า การเสียสละครั้งนี้คือบุญคุณอันใหญ่หลวงที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือน จำนวนซากศพที่พวกเขาต้องขุดฝังคือบ่งบอกถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างเหลือประมาณของเหล่าอสูร และข้อเท็จจริงอีกอย่าง ที่ได้ฝังความหวาดกลัวให้หยั่งรากลึกจนสลัดไม่ออกก็คือ การให้สัตย์สาบานของเจ้าอสูร ที่จะหวนคืนกลับมาในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้า

    ดังนั้นแล้ว เหล่ามนุษย์ที่รอดชีวิตมาได้จากสงครามครั้งนั้น ก็ได้ตระเตรียมทุกสิ่งอย่างเพื่อรับมือกับอสูรที่จะหวนกลับมาในภายหลัง จนเป็นที่มาของเดมาและระบบการปกครองรูปแบบใหม่นั่นเอง

    เมื่อการร่ายยาวของนักบวชอาวุโสจบลง บรรดาผู้เข้าทดสอบก็กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก การได้มาฟังต้นกำเนิดของเรื่องเล่าก่อนนอนนั้น ชวนให้สลดหดหู่ใจยิ่งกว่ามาก อีกทั้งยามที่แกนน่อนบรรยายก็ใช้น้ำเสียงจริงจังขึงขังอย่างสุดประมาณ แม้จะมีการสอดแทรกด้วยเวลา จำนวนคน และชื่อสถานที่อีกมากมายก่ายกองตามรูปแบบของวิชาการก็ตาม แต่ก็ยังชวนให้หวาดหวั่นหัวใจในทันที หลายคนที่จดจนมือเป็นระวิงในช่วงแรก ก็ชะงักค้างนั่งฟังด้วยอาการหน้าซีด มือข้างขวานิ่งค้างโดยที่ยังคงถือแท่งถ่านเอาไว้ ทั่วทั้งห้องทรงครึ่งวงกลมเต็มไปด้วยความเงียบอย่างน่าอึดอัดใจ ด้วยรู้ว่าภาระหน้าที่ของการเป็นนักบวชมันมิใช่แค่เรื่องของอาชีพการงานในภายภาคหน้าเท่านั้น แต่มันคือสิ่งที่คนยุคก่อนได้ส่งมอบด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า

    และอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความพรั่นพรึงก็คือ...

    จู่ ๆ ท่ามกลางความเงียบนั้น ก็มีเด็กชายผู้หนึ่งโพล่งขึ้น

    ริเชลตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ ดวงตาสีม่วงกลมโตและวาววับดุจลูกปัดเลยทีเดียว เขาตื่นเต็มตาแล้ว แต่ยังค้ำศีรษะไว้ด้วยแขนข้างขวา

    “ตามที่เจ้าอสูรบอกว่า อีกพันปีจะหวนกลับมาใช่หรือไม่?”

    แกนน่อนนิ่วหน้าเล็กน้อยต่อความไร้มารยาทของอีกฝ่าย ริเชลสมควรจะยกมือขึ้นขออนุญาตก่อนที่จะกล่าวถามออกมา แม้จะอยากตำหนิ แต่นักบวชอาวุโสก็ยับยั้งปากไว้ได้ทัน เขาผงกศีรษะทีหนึ่ง

    “ถูกต้อง”

    ริเชลทำท่านับนิ้วอย่างจริงจังทีเดียว ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา

    “อย่างนั้นก็ถึงเวลาที่เจ้าอสูรกลับมาแล้วน่ะสิ”

    ผู้เข้าทดสอบทั่วทั้งห้อง สะดุดห้วงลมหายใจของตนเองในทันที

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×