คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : สารภาพ
เมื่อเด็กชายกล่าวจบ ทั่วทั้งห้องประชุมก็เงียบงันลง ไม่ใช่มีแต่อัลฟองโซ่เท่านั้น ที่มีวาจาเป็เลิศในการเกลี้ยกล่อมผู้คน คาร์ลได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาก็มิได้มีศักยภาพที่ด้อยไปกว่ากันเลย เด็กชายเหยียดยิ้มอย่างไม่ถือตัว ไม่ว่าใครเห็นเข้าก็คิดว่า สิ่งที่เขากล่าวนั้นออกมาจากใจจริง หาใช่การปั่นประสาทไม่ ริเชลที่เอนตัวลงจนแทบจะนอนราบกับโต๊ะอยู่แล้ว เท้าคางมองเพื่อร่วมห้องด้วยสายตาไม่ยินดียินร้าย ขณะที่เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นเป็นลำดับถัดมา บรรดานักบวชระดับล่างต่างก้มหน้าอ่านเอกสารอย่างละเอียดลอออีกครั้ง เกินกว่ากึ่งหนึ่งเชื่อในสิ่งที่บุตรชายบุญธรรมของเจ้าวิหารกล่าวไปเสียแล้ว
วีลิสที่มีรูปร่างใหญ่โตเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน ตัวลีบเล็กลงถนัดตา เขาห่อไหล่หดศีรษะ และเมื่ออ้าปากพะงาบ ๆ เพื่อจะกล่าวแก้ตัว ก็ถูกสายตาปรามจากอัลฟองโซ่
ฮัมฟรีดไล่เปิดกระดาษด้วยสายตาสังเกตสังกา และใช้เวลาไม่นานเลยในการอ่านทวนจนจบ นัยน์ตาวาววับนั้นบ่งบอกได้ว่า เขาเชื่อถือคำกล่าวของคาร์ลเพียงไร เขาใช้แท่งถ่านขีดวงกลมส่วนสำคัญ แล้วยื่นให้แก่แกนน่อนอีกทีหนึ่ง เป็นเวลากว่าสิบนาทีที่ไม่มีเสียงอะไรมากไปกว่าการเปิดกระดาษซ้ำไปซ้ำมา ในที่สุดแกนน่อนก็ขยับแว่นที่สวมใส่อยู่ ก่อนหันศีรษะไปหาเลขาของตน
“เอกสาร”
เอกสารที่นักบวชอาวุโสขอก็คือ เอกสารแนะนำจากคาลิเดียของวีลิส เป็นอันชี้ชัดลงไปว่า แกนน่อนเองก็คิดว่าเรื่องที่คาร์ลกล่าวนั้นมีมูล แน่นอนว่าในการสอบสวนครั้งนี้ เอกสารประจำตัวของแต่ละคนจะถูกแยกออกมาจากผู้เข้าทดสอบรายอื่น ๆ นักบวชหนุ่มรายหนึ่งซึ่งหอบเอกสารเอาไว้อยู่โดยตลอด ได้ใช้นิ้วไล่ไปตามกระดาษ พวกมันเคยอยู่ในสภาพม้วนจารึก แต่เพราะไม่สะดวกแก่การเก็บรักษา และเปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บ ห้องเอกสารของอัครมหาวิหารอาจมีพื้นที่มากมายก็จริงอยู่ แต่มันถูกสำรองไว้สำหรับเก็บของที่มีค่ากว่ามาก หลังการทดสอบนี้จบลง และได้ตัวนักบวชฝึกหัดแล้ว เอกสารเหล่านี้จะถูกนำไปเผาทำลายเสีย เพื่อป้องกันการถูกเอาไปแอบอ้างดดยผู้ที่ไม่ประสงค์ดี
นักบวชรายนั้นกรีดนิ้วกับกระดาษอยู่เพียงชั่วครู่ เขาก็พบสิ่งที่ต้องการ แล้วดึงมันออกมาจากกระดาษในอ้อมแขน ก่อนมอบมันให้แก่แกนน่อนด้วยการค้อมศีรษะ เมื่อเขาได้รับมาแล้วก็อ่านเอกสารอยู่ชั่วครู่หนึ่ง มันมีอะไรไม่มากเลย นอกจากบอกประวัติอย่างย่อของตระกูลและที่มา
หากเป็นเอกสารยืนยันตัวตนจากเด็กชายรายอื่น ๆ ที่เป็นเด็กชายชนบทแล้ว มันจะถูกเขียนสั้น ๆ อย่างได้ใจความไม่เกินสามบรรทัดว่า พ่อแม่ของเขาเป็นใคร มีพี่น้องกี่คนบ้าง หรือเป็นลูกชายคนเดียวหรือไม่ อาชีพหลักของครอบครัวที่ใช้ทำมาหากินคืออะไร ทว่าสำหรับเหล่าทายาทขุนนางที่มีประวัติความเป็นมายาวเหยียดแล้ว เอกสารดังกล่าวจึงมีความยาวกว่าสามหน้า แต่แกนน่อนกวาดสายตาผ่านรายละเอียดเหล่านั้นอย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่สนใจว่าวีลิสคือทายาทของไวเคานต์จากที่ใด สนเพียงแต่ว่าตราประทับและลายมือที่ลงท้ายนั่นมีพิรุธหรือไม่ นักบวชอาวุโสแสดงความสนใจอย่างยิ่งยวดด้วยการล้วงหยิบเอาแว่นขยายขนาดเล็กออกมา และสอดส่องลายมือเหล่านั้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะเลยทีเดียว อัลฟองโซ่เปลี่ยนท่ามากอดอกแล้ว และกำลังจ้องไปที่กลุ่มของหลานชายตนด้วยอาการขมวดคิ้ว นัยน์ตาคู่งามที่มีแต่ความหยิ่งยโสกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง
ในที่สุดแกนน่อนก็กล่าวขึ้นมาว่า “ไม่ได้”
วีลิสสะดุ้งโหยงโดยที่ไม่เข้าใจความหมาย นักบวชรายอื่น ๆ ก็ด้วยเช่นเดียวกัน นักบวชอาวุโสส่ายศีรษะ “เท่านี้ไม่เพียงพอ”
วีลิสยิ้มกล้าขึ้นในทันที ด้วยเข้าใจว่า อีกฝ่ายหมายถึง หลักฐานเท่านี้ไม่เพียงพอที่กล่าวหาตนว่าร่วมมือกับกลุ่มต่อต้าน แต่เปล่าเลย เมื่อแกนน่อนพูดจนเต็มประโยค รอยยิ้มของเขาก็หุบลงในทันใด
“เวลาเท่านี้ไม่เพียงพอ จำเป็นต้องยืดเวลาการสอบสวนออกไปอีก”
นักบวชอาวุโประกาศ
เรื่องของกลุ่มต่อต้านนั้นเป็นปัญหาสำคัญและเป็นปัญหาเรื้อรังของเดมามาเนิ่นนาน การที่เขากล่าวออกมาเช่นนี้หมายความว่า หลักฐานจากสำนักตรวจการณ์ มีมูลมากพอที่จะให้สืบหาราวเรื่องต่อ อิลยาชักสีหน้าเมื่อจู่ ๆ เรื่องก็บานปลายจากการทะเลาะวิวาทจนกลายเป็นการแทรกซึมของกลุ่มต่อต้าน เมื่อวีลิสหันมาเพื่อขอความช่วยเหลือ เขาก็สะบัดหน้าใส่ หากจะโทษ ก็ต้องโทษความโง่งมของอีกฝ่ายนั่นเอง จริงอยู่ที่เขาเป็นผู้คอยสั่งการว่าจะลงมือกกับผู้ใดบ้าง แต่ทายาทของไวเคานต์รายนี้ชอบรังแกชาวบ้านด้วยตนเองมากกว่าจะรอคำสั่งจากตน อิลยาอาจเป็นพวกพวกหยิ่งผยอง แต่เขาไม่ใช่คนโง่งม เหยื่อที่เขาเลือกมักจะเป็นพวกที่ไม่กล้ามีปากมีเสียง หรือมีกึ๋นพอที่จะไปร้องเรียนสำนักตรวจการณ์ เขากอดอกแล้วพ่นลมหายใจออกจากจมูก อันเป็นสัญญาณว่า เขาไม่มีอะไรจะกล่าวกับวีลิสอีกต่อไปแล้ว
แกนน่อนขยับแว่นด้วยใบหน้าเครียดเขม็ง
“เรื่องนี้ต้องอาศัยการขอข้อมูลจากทางคาลิเดียก่อน และมีความเป็นไปได้มากทีเดียวว่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่อต้านเมื่อดูจากคำร้อง ดังนั้นในฐานะของนักบวชอาวุโส จะขอพักการสอบสวนนี้ลงจนกว่าจะมีหลักฐานมากเพียงพอ” เขาหันไปทางทางเด็กชายที่หน้าซีดตัวสั่น ผิวของเขาแทบจะกลายเป็นสีเขียวทีเดียว ด้วยรู้ว่าจะไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วย ไม่แม้แต่อิลยาหรือท่านอัลฟองโซ่เองก็ตามที “ในระหว่างนี้เจ้าจะต้องถูกนำไปขังไว้จนกว่าความจริงจะกระจ่าง”
ประโยคดังกล่าวส่งให้วีลิสดึงตัวผึงขึ้นจากเก้าอี้ในทันที แต่เด็กชายยังไม่ทันคร่ำครวญ อัลฟองโซ่ก็แค่นเสียงเฮอะออกมาทีหนึ่ง นักบวชหนุ่มอาจกำลังเหยียดยิ้มอยู่ แต่ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโมโหโกรธาทีเดียว
“เกินไปแล้วนะแกนน่อน!”
อัลฟองโซ่ตวาดลั่น และผลุนผลันลุกขึ้นยืน ช่างสมกับเป็นทายาทขุนนางที่ถูกสอนสั่งมาเป็นอย่างดี แม้เขาจะขุ่นเคืองจนใบหน้าเป็นสีแดงก่ำเช่นนี้ ก็ยังมีเวลาจัดเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง แต่เขาลืมที่จะใส่คำนำหน้าให้แก่อีกฝ่าย ผู้ถูกเรียกเลิกคิ้วเป็นการตอบโต้ นักบวชอาวุโสเอ่ยถามด้วยเสียงสุภาพเป็นพิเศษ ออกจะสุภาพเกินไปจนแทบจะเป็นการหยามหมิ่นเสียด้วยซ้ำ
“เกินไปอย่างไรหรือครับท่านอัลฟองโซ่” แกนน่อนคำว่าครับเป็นพิเศษ “ท่านก็ทราบดีนี่ครับ ว่าตามกฎของอัครมหาวิหารแล้ว เมื่อพบผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่อต้าน ต้องทำการขังไว้ที่กักขังของวิหารจนกว่าจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ ไม่ทราบว่าข้าปฏิบัติตนผิดไปตรงไหนหรือไม่”
เขาถามทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
หากอัลฟองโซ่ไม่ได้มีอายุมากเท่านี้ หรือดำรงตำแหน่งอันทรงคุณวุฒิเช่นนี้ เขาคงกระทืบเท้าเป็นเจ้าเข้าให้รู้แล้วรู้รอดไป “อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องแกนน่อน เจ้ากล้าบังอาจสั่งจับทายาทขุนนางเชียวรึ”
อัลฟองโซ่อาจทนได้ถ้าหากเด็กชายเหล่านั้นถูกตักเตือนเพียงเล็กน้อย แต่การถูกสั่งจับตัวไว้นั้นเป็นเรื่องที่ต่างออกไป ต่อให้เจ้าเด็กนั่นไม่ใช่หลานของตน แต่เป็นทายาทของไวเคาต์ไร้ความสลักสำคัญคนหนึ่ง อย่างไรเสีย ก็ถือว่าเป็นสายเลือดขุนนางนั่นเอง การที่วีลิสถูกนำไปขังไว้ ต่อให้เป็นเพียงแค่การแยกให้ไปอยู่อีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งเป็นห้องที่มีหน้าตาเหมือนกันทุกประการ ต่างกันแค่เพียงมีนักบวชคอยเฝ้าเวรยามตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงจนกว่าจะถูกพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ก็นับว่าเป็นการหยามน้ำหน้ากันอย่างเกินความคาดหมาย
เป็นที่ทราบกันดีว่า บรรดาทายาทขุนนางจะมีศาลพิจารณาคดีของพวกตนเป็นการส่วนตัว และโทษทัณฑ์ที่ถูกตัดสินนั้นก็ไม่เคยร้ายแรงเกินไปกว่าการถูกตักเตือนหรือการถูกกักบริเวณ การที่วีลิสถูกนำไปแยกตัวไว้ถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงแล้ว และยังนับว่าเป็นการหมายเกียรติและศักดิ์ศรีของขุนนางทั้งหมดอีกด้วย
“ท่านเป็นคนย้ำเตือนให้ข้าเห็นถึงความสำคัญในหลักคำสอนของเดมาเองนะ ท่านอัลฟองโซ่” แกนน่อนพูดขึ้น ขณะเดียวกันก็ปรายตาไปทางนักบวชระดับล่างสองรายให้เดินไปควขคุมตัวของวีลิสไว้ แต่เมื่อพวกเขาเดินออกจากแถวไปเพื่อไปจับเด็กชายไว้ตามคำสั่ง ก็ถูกสายตาพิฆาตจากอัลฟองโซ่ยับยั้งเอาไว้เช่นกัน ทั้งสองจึงติดอยู่ท่ามกลาการประชันอำนาจนั่นเอง
แกนน่อนกล่าวต่อหลังปรายตาไปทางสองนักบวชอีกครา “คำสอนของเดมาเน้นไปที่ความเท่าเทียมกัน ต่อให้เขาเป็นทายาทขุนนาง แต่หากมีความข้องเกี่ยวกับกลุ่มต่อต้าน แม้จะลำบากใจ แต่ข้าก็ต้องทำตามกฎของอัครมหาวิหาร มีส่วนใดที่ข้าทำผิดไปรึ”
อัลฟองโซ่โต้ตอบในทันที “เขาเป็นทายาทของเหล่าขุนนางที่เสียสละเพื่อให้เดมาได้ยิ่งใหญ่ เจ้าตอบแทนผู้มีพระคุณเช่นนี้อย่างนั้นน่ะหรือ ส่วนเรื่องที่ว่าเขาเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่อต้านหรือไม่ เจ้าก็รู้อยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เอกสารที่เจ้—ที่คาโลเป็นผู้เตรียมมา ก็แค่คำร้องของชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น เอาอะไรมาเชื่อมโยงกันว่าเกี่ยวข้องกับพวกไร้ศาสนาพวกนั้นกัน นี่น่ะ มันก็แค่การทะเลาะวิวาทกันของเด็ก ๆ เท่านั้น การที่เจ้าจับสายเลือดของขุนนางไปกักขังคือการหยามหมิ่นทายาทขุนนางทั้งหมด จะทำอะไรก็คิดให้ดีแกนน่อน อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
นี่คือการขู่เข็ญอย่างไม่คิดจะปิดบัง อัลฟองโซ่ดูจะไม่สนใจจะสงวนท่าทีแต่อย่างใด สองนักบวชผู้ช่วยก็ยืนอยู่เบื้องหลังราวกับแม่ไก่ที่พร้อมจิกตี แกนน่อนเลิกคิ้วอย่างไม่ยี่หระอีกเช่นกัน
“หากท่านว่านี่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มต่อต้านแล้ว เช่นนั้นมีหลักฐานหรือไม่ หรือหากว่าท่านบอกว่านี่เป็นการทะเลาะวิวาทกันระหว่างเด็ก ๆ ท่านมีหลักฐานอะไรมายืนยันกันเล่า ในเมื่อฝั่งหนึ่งก็ให้การว่าตนเองเป็นผู้ที่ถูกรังแก ส่วนอีกฝั่งก็ยืนยันเช่นเดียวกัน กลับกลายเป็นว่าข้อมูลที่เชื่อมโยงว่าเด็กชายผู้นั้นอาจเป็นตัวก่อกวนจากกลุ่มต่อต้าน มีหลักฐานที่ชัดเจนหนักแน่นที่สุดมิใช่รึ” นักบวชอาวุโสเลิกคิ้วเป็นคำถาม “ข้ามิได้จะกล่าวหาว่าเขาเป็นเด็กจากกลุ่มต่อต้านที่ปลอมตัวมา เพราะเอกสารแนะนำตัวนั้นก็ดูเป็นของจริงในสายตาข้า เพียงแต่เรื่องที่กลุ่มต่อต้านเกลี้ยกล่อมผู้บริสุทธิ์ให้หลงเชื่อพวกเขานั้น ก็มิใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ถูกทำลายความคิดมากไปกว่านี้ ข้าจึงได้ออกคำสั่งเพื่อควบคุมตัวเขาไว้ ที่ข้ากระทำลงไปก็เพราะไม่อยากให้สายเลือดของขุนนางต้องแปดเปื้อน เช่นนี้แล้วท่านกล่าวหาข้าได้อย่างไรว่า เป็นพวกไม่รู้จักบุญคุณคน ในฐานะของผู้ที่ปวารนาตนรับใช้ปวงเทพนั้น ข้าสำนึกบุญคุณที่เหล่าชนชั้นปกครองในอดีตได้ปฏิบัติต่อนักบวชในยุคแรกเริ่มเสมอมา กล่าวได้ว่า หากไม่มีพวกเขา ก็คงไม่มีเดมาอย่างในทุกวันนี้ ข้ายอมรับในข้อเท็จจริงนั้น”
แกนน่อนค้อมตนให้แก่นักบวชอาวุโสที่เยาวว์วัยกว่า อัลฟองโซ่เกือบจะยิ้มออกมาอยู่แล้ว เมื่อคิดว่านั่นคือการยอมแพ้
“แต่” เขาเน้นย้ำเสียงอย่างมุ่งมั่น “อย่างที่ศาสดาได้กล่าวไว้ มนุษย์ทุกผู้ทุกคนล้วนเกิดมาเท่าเทียมกัน ดังนั้นข้าก็ควรปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเท่าเทียมกัน เมื่อข้าเห็ว่าหลักฐานต่าง ๆ ชี้นำไปที่ว่า เด็กชายผู้นั้น...” เขาหันไปทางวีลิส “อาจมีส่วนข้องเกี่ยวกับกลุ่มต่อต้าน ข้าก็ต้องปฏิบัติต่อเขา เช่นเดียวกับที่จะปฏิบัติต่อเด็กชายผู้อื่น”
หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ‘หากท่านคิดจะดึงให้กลับไปเป็นการทะเลาะวิวาท ก็สายเกินไปเสียแล้วละ’
แม้จะเป็นสายเลือดขุนนางโดยเนื้อแท้ แต่เมื่อเข้าเป็นนักบวชในอัครมหาวิหารแล้ว อัลฟองโซ่ก็คือคนของเดมา เขาไม่มีสิทธิ์ในการกลับคำตัดสินของผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายมีตำแหน่งเท่าเทียมกับตน หากเขาจะแสดงให้เห็นถึงการตัดสินโดยมิชอบแล้ว เขาจะต้องไปยื่นคำร้องให้แก่กรมตุลาการตัดสินก่อน หากกรมนี้เห็นด้วยว่าการตัดสินคราวนี้ไม่มีความชอบธรรม แกนน่อนถึงจะถูกเรียกไปไต่สวนอีกครั้งหนึ่ง แต่กระบวนการทั้งหมดนั้นจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๆ หนึ่งอาทิตย์ถึงหนึ่งเดือนขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของคำร้อง แต่กว่าจะไปถึงตรงจุดนั้น วีลิสก็ถูกนำไปขังอยู่นานแล้ว
เรื่องนี้มิได้เกี่ยวกับเด็กชายโดยตรงหรอก แต่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีของเหล่าขุนนางต่างหาก
อัลฟองโซ่พ่นลมหายใจด้วยความโกรธเคือง เขามีสิทธิ์โมโหโทโสในฐานะพรรคพวกเดียวกันได้ แต่ในฐานะของนักบวชอาวุโสแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายเรื่องที่ถูกตัดสินใจลงไปแล้วได้ ด้วยความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ นักบวชหนุ่มจึงสะกดกลั้นอารมณ์แล้วถอยออกห่าง แกนน่อนหันไปหานักบวชทั้งสองรายนั้น แล้วพยักให้พวกเขาทำสิ่งที่ค้างอยู่ต่อได้ หนึ่งในสองก้าวเข้าไปถึงตัววีลิสในทันที และโดยที่ไม่อารัมภบทใด ๆ เขาก็คว้าต้นแขนของเด็กชายไว้ แล้วดึงออกจากที่นั่งของทายาทขุนนางอย่างเบามือที่สุด กระนั้นด้วยความตื่นกลัว วีลิสก็ร้องลั่น เขาไม่ได้เจ็บปวดทางกายหรอก แต่เป็นอาการเจ็บปวดทางใจต่างหาก
“ข้า ข้า ข้าไม่ได้ถูกพวกเขาหลอกล่อนะครับ! ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มต่อต้าน! ข้าแค่ทำตามคำสั่งของท่าอิลยาเองครับท่านนักบวช!”
เขาตะโกนลั่น ครั้นถูกกดดันเข้าหน่อย เด็ชายที่มีวัยแค่สิบกว่าปีก็สติแตกในท้ายที่สุด เขาสลัดการเกาะกุมของนักบวชรายนั้นออก แล้วลงไปนั่งคุกเข่าพร้อมเกาะชายเสื้อของอีกฝ่ายไปด้วย ก่อนละล่ำละลักสารภาพทุกอย่างออกไปจนหมด
“เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในคำร้องเหล่านั้น เป็นข้าที่ทำเองจริง ๆ ครับ แต่ไม่ใช่เพราะถูกเสี้ยมหรือล้างสมอง แต่ข้าแค่ทำลงไปด้วยความคึกคะนองและทำตามคำสั่งครับ ข้าไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้คนเดียว แต่คนอื่นก็มีส่วนร่วมด้วยนะครับ!” เขาโวยวายด้วยใบหน้าซีดเซียว แล้วชี้นิ้วไปทางกลุ่มทายาทขุนนางที่นั่งเรียงแถวกันอยู่ คราวนี้ไม่มีใครที่กล้ากระหยิ่มยิ้มย่องอีกต่อไปแล้ว ไม่เว้นแม้แต่อลิยา ในเมื่อพวกเขาทั้งหมดกำลังถูกแจนหมดเปลือก
“ท่านอิลยา ท่านอิลยา!” วีลิสตะโกนเรียกชื่อนั้นซ้ำไปมา “ส่วนใหญ่แล้วเขาเป็นคนสั่งครับ เวลาที่ใครมองหน้าเขา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ท่านอิลยาจะโมโหครับ เขาบอกข้าว่า ‘ไปจัดการร้านของพวกมันเสีย ให้รู้ที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง’ เขาบอกข้าเช่นนี้ครับ แล้วหากข้าไม่ยอมทำตาม ข้าก็จะเป็นฝ่ายที่ถูกตีเสียเองครับ ดังนั้นข้าเลยต้องทำตามอย่างเลือกไม่ได้ คนอื่น ๆ ก็เหมือนกับข้า พวกเขาเองก็ช่วยข้าทำลายข้าวของของชาวบ้าน ลองถามพวกเขาดูสิครับ ไม่ก็ไปตามคนที่เขียนคำร้องนี้มาก็ได้ พวกเขาจะยืนยันแน่นอนว่าไม่ได้มีแต่ข้าคนเดียว แต่มีพวกเขาด้วยครับ!”
วีลิสแทบจะพูดจาได้ฉะฉานทีเดียวขณะสารภาพทุกอย่างออกมาจนหมดสิ้น ทายาทขุนนางเหล่านั้นใบหน้าถอดสีกันเป็นแถบ ๆ อาจจะยกเว้นอิลยาไว้ผู้เดียวที่โมโหเสียจนใบหน้าม่วงคล้ำ และตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ ความโกรธาของทายาทดยุกอาจเป็นสิ่งที่น่ากลัวก็จริงอยู่ แต่การถูกโทษทัณฑ์ในฐานะผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ต่อต้านนั้นร้ายแรงยิ่งกว่า เขาอาจถูกตัดสินได้ว่าเป็นพวกนอกรีต และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น เขาไม่เพียงจะถูกตัดสิทธิ์จากการเป็นผู้เข้าทดสอบ แต่อาจยังไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนทั่วไปอีกด้วย
เป็นที่รู้กันดีว่า ผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนอกรีตนั้นแทบจะไม่มีที่ยืนในสังคม สถานที่เดียวที่เปิดรับพวกเขาคือเหมืองแร่ที่อยู่ทางตอนเหนือ ที่สนใจว่าจะมีคนกล้าลงไปเสี่ยงตายในเหมืองหรือไม่ มากกว่าจะสนว่าพวกเขาเป็นใคร แค่คิดถึงภาพตนเองที่ถูกอับเปหิไปใช้ชีวิตอยู่ในเหมืองแล้ว วีลิสก็ขลาดกลัวจนแข้งขาอ่อนขึ้นมา
นักบวชที่ถูกเกาะขารายนั้นหันไปทางแกนน่อนราวกับจะรอคำสั่ง นักบวชอาวุโสเดินเข้ามาหาเด็กชาย
“แล้วเรื่องราวที่ตลาดนั้นเป็นอย่างไรหรือ”
วีลิสเต็มใจเล่าเป็นอย่างมากทีเดียว “เป็นท่านอิลยาที่เริ่มก่อนครับ เด็กคนนั้นดันเดินตัดหน้าเขาไปตอนที่กำลังจะไปยื่นเอกสาร เขาไม่พอใจมาก ดังนั้นตอนที่เจอกันที่ตลาดเลยสั่งให้พวกข้าเข้าไปรุมตีครับ บอกว่าถ้าขาหรือแขนของเด็กคนนั้นไม่หัก จะเป็นแขนขาพวกข้าแทนที่หักครับ”
“อ้อ” แกนน่อนเอ่ย ในขณะที่อัลฟองโซ่ยกมือขึ้นนวดขมับ “แล้วเรื่องที่ว่าทั้งสองคนนี้เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนเล่า”
เด็กชายตอบในทันที เขาปล่อยเมือจากเสื้อคลุมของนักบวชที่เข้ามาหิ้วตนแล้ว “โกหกครับ! เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ บุตรชายของท่านอลิสเซียน่าเข้ามาช่วยเด็กคนนั้นไว้ครับ ส่วนบุตรชายของท่านเจ้าวิหารเอาตัวเข้ามาขวางเขาไว้ เลยถูกต่อยอีกคนหนึ่งครับ!”
“โฮ่” แกนน่อนส่งเสียงอีก เขาปรายตาไปทางอิลยาที่มีใบหน้าบูดเบี้ยว “เจ้ายืนยันใช่หรือไม่ว่า ทั้งหมดที่เจ้ากล่าวมานี้เป็นเรื่องจริง”
“เป็นความจริงครับ!” เขาตะโกนตอบทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลย “ให้ข้าเซ็นรับรองคำให้การก็ได้ครับ ข้ายอมทุกอย่างเลย ข้าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับผู้ต่อต้านนะครับ เชื่อข้าเถอะ!”
แกนน่อนยอบกายลงแล้วแย้มยิ้ม “ข้าเชื่อเจ้า” ประโยคนั้นส่งให้วีลิสยิ้มออกมาได้ “เช่นนั้นคำให้การก่อนหน้านี้มีความเป็นมาอย่างไรรึ”
“ท่านอิลยาบังคับให้ทุกคนโกหกครับ!”
ทันทีที่เด็กชายเอ่ยออกมา ทายาทของดยุกก็พุ่งพรวดออกมาจากที่นั่ง แล้วกระโจนเข้าไปบีบคอวีลิสด้วยตนเองในทันที
ความคิดเห็น