คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : น่าสงสัย
วอร์มสลี่ ฮีท ประกอบด้วยสนามกอล์ฟ โรงแรมสองแห่ง ห้องชุดทันสมัยราคาแพงอยู่ใกล้ๆสนามกอล์ฟ ร้านค้าสมันก่อนสงครามตั้งเรียงรายเป็นแถว และสถานีรถไฟ
พ้นออกมาจากสถานีรถไฟ มีถนนสายใยทอดตัวยาวไปสู่ลอนดอนอยู่ทางด้านซ้ายมือ...ทางขวาเป็นทางเท้าเล็กๆตัดผ่านทุ่งนา มีป้ายปักอยู่ข้างทางเดินว่า ทางไปวอร์มสลี่ เวล
วอร์มสลี่ เวล ตั้งอยู่ท่ามกลางเนินป่า มีขนาดเล็กและความสำคัญน้อยกว่าวอร์มสลี่ ฮีท สันนิษฐานได้ว่าเดิมทีคงจะเป็นเมือง แต่ในปัจจุบันความสำคัญมีเท่าเทียมหมู่บ้าน บ้านแบบจอร์เจียขนาบสองข้างทาง สลับด้วยร้านเหล้า ร้านค้าแบบเก่าๆ สอง สามร้าน และบรรยากาศของที่นี่ยังกะบ้านนอกคอกนา ที่ห่างไกลความเจริญทั้งๆที่อยู่ห่างจากลอนดอนเพียงยี่สิบแปดไมล์เท่านั้น
บรรดาผู้จับจองที่อยู่ ที่ทำกินเลือกที่จะลงหลักปักฐานกันอยู่ที่นี่มากมาย แม้ว่าที่วอร์มสลี่ ฮีท จะเจริญมากกว่าก็ตาม รอบๆหมู่บ้าน มีบ้านสวยพร้อมกับสวนประดับแบบเก่าอยู่หลายแห่ง หนึ่งในจำนวนบ้านเหล่านี้ มีอยู่หลังหนึ่งชื่อ บ้านไวท์เฮ้าส์ เจ้าของคือ ลินน์ มาร์ชมอนท์ ซึ่งพ้นราชการจากหน่วยทหารเรือหญิงมาเมื่อปี ค.ศ.1946
ในตอนเช้าของวันที่สามนับแต่มาอยู่ที่นี่ เธอมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนข้ามต้นหญ้ารกสู่ต้นเอล์มในทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ซึ่งอยู่ถัดออกไป สูดอากาศบริสุทธิ์อย่างสุขใจ มันเป็นยามเช้าอันสดใส กลิ่นหอมกรุ่นจากไอดิน กลิ่ยอย่างนี้แหละที่เธอนึกถึงมาตลอดระยะเวลาสองปีครึ่ง
แปลกใจที่ได้กลับมาบ้านอีก แปลกใจที่ได้กลับมาอยู่ที่นี่ในห้องนอนของตัวเอง ซึ่งเธอใฝ่ฝันถึงอยู่บ่อยๆ มหัศจรรย์จริงๆ ที่ไม่ต้องแต่เตรื่องแบบ ได้กลับมาสวมเสื้อขนสัตว์เนื้อนุ่ม... แม้ว่าจะถูกตัวมดกัดกินระหว่าสงครามในช่วงที่เธอไม่อยู่บ้าน
มันเป็นสิ่งที่ดี ที่วิเศษ เมื่อพ้นประจำการ มาเป็นผู้หญิงที่เป็นอิสระอีกครั้ง แม้ว่าการไปประจำการอยู่ต่างประเทศนั้นจะสนุกอยู่ไม่น้อย หน้าที่การงานนั้นน่าสนใจหยอกซะเมื่อไหร่ ที่นั่นมีงานปาร์ตี้ ความรื่นเริง สนุกสนาน แต่ก็มีทั้งความน่าเบื่อ ซ้ำซากจำเจ ซึ่งบางครั้งบางคราวเธอเองก็นึกเบื่อ เกือบๆจะหนีกลับมาตั้งหลายครั้งหลายครา
มันเป็นอดีคไปแล้ว ตลอดช่วงฤดูร้อนทางตะวันออกอันยาวนาน ในใจเธอคิดถึงแต่วอร์มสลี่ เวล คิดถึงความร่มรื่นเย็นสบายที่บ้าน และแม่ผู้เป็นที่รัก
ลินน์ทั้กรักทั้งรำคาญผู้เป็นมารดา ตอนที่จากบ้านไปเธอมีแต่ความคิดถึงแม่ ลืมความรำคาญจนหมดสิ้น จะมีก็แต่ความรู้สึกคิดถึงบ้านเท่านั้น แม่ผู้เป็นที่รัก คิดถึงจริงๆ เธออยากได้ยินเสียงบ่นเสียงดุคุ้นหูนั้นอีก โอ ความฝันเป็นจริง บัดนี้เธอได้กลับมาอยู่บ้านอีกครั้งหนึ่งแล้ว และคราวนี้เธอจะไม่จากบ้านไปไหนอีก พอกันทีกับความว้าเหว่
เดี๋ยวนี้เธออยู่ที่นี่พ้นหน้าที่ราชการ เป็นอิสระและกลับมาสู่บ้านไวท์เฮ้าส์ เธออยู่ที่นี่ได้สามวันแล้วทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บ้าน แม่ โรว์ลี่ ฟาร์มและครอบครัว สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลง ก็ตัวเธอเองนี่แหละ...
"นี่ ยายหนู" ...เสียงเล็กๆของนางมาร์ชมอนท์ดังขึ้นมาจากชั้นล่าง "จะให้แม่ยกถาดอาหารไปให้กินที่เตียงหรือเปล่า?"
ลินน์ตะโกนเสียงแจ๋น
"ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ หนูจะลงไปเอง"
"และจะทำไม" เธอคิด "ทำไมแม่ยังไม่เลิกเรีบกเราว่ายายหนูอีกนะ!"
เธอวิ่งตึงตังลงบันไดไปชั้นล่าง ตรงดิ่งไปห้องรับประทานอาหาร มันเป็นมื้อเช้าที่ค่อนข้างแย่ ลินน์รู้ดีว่าแม่ไม่มีเวลามานั่งประดิดปนะดอยทำโน่นทำนี่ เพราะมีงานบ้านคั่งค้างอีก ไหนจะต้องปัดกวาดเช็ดถู ซักเสื้อผ้า ดูแลสวนครัว และงานเล็กๆน้อยๆอีกมากมาย สาวใช้ที่มาทำงานช่วงเช้าอาทิตย์ละสี่วันก็มาบ้างตามอารมณ์ของเจ้าหล่อน สรุปแล้วนางมาร์ชมอนท์ ผู้เป็นแม่ต้องเหมาทำทุกอย่างเพียงคนเดียว ตอนที่ลินน์ลืมตาออกมาดูโลกแม่อายุเกือบจะสี่สิบแล้ว และสุขภาพของแม่ก็ไม่ดีนัก ลินน์เข้าใจถึงสภาพที่เป็นอยู่ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงได้ดี รายได้ซึ่งเคยเพียงพอแก่การจับจ่ายใช้สอยก่อนที่จะเกิดสงคราม บัดนี้แทบชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะถูกหักภาษีไปเกือบครึ่ง ข้าวของทุกอย่างราคาถีบตัวสูงขึ้นกว่าเดิมมากมายนัก นี่แหละผลของสงคราม
"โอ! โลกใหม่ที่สวยหรู" ลินน์แดกดัน สายตาของเธอจับจ้องอยู่บนคอลัมน์ของหนังสือพิมพ์รายวัน "ทหารอากาศหญิง ปลดประจำการต้องการงานขับรถทุกประเภท ทหารเรือหญิงปลดประจำการ ต้องการงานประเภทนักเขียนหรืองานอะไรก็ได้ไม่จำกัด"
หน่วยงานของรัฐวิสาหกิจ งานส่วนตัว งานรักษาการณ์เหล่านี้เป็นงานที่ถูกเสนอให้ แต่ใครล่ะจะต้องการ? ต้องการทำงานอะไร? บุคคลผู้ซึ่งสามารถปรุงอาหาร ทำความสะอาด หรือทำบันทึกข้อมูล งานเหล่านี้ผู้ซึ่งเคยจับปืนอยู่ในสนามรบน่ะหรือจะทำได้
จะยังไงก็ตามแต่ มันไม่มีผลอะไรกับเธอเลย อนาคตเบื้องหน้าของเธอทอดยาวอย่างปราศจากอุปสรรค เพราะเธอจะเข้าพิธีแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง โรว์ลี่ โคลด ทั้งเธอและเขาหมั้นหมายกันมาตั้งเจ็ดปีกว่า ก่อนที่จะเกิดสงครามด้วยซ้ำ ถึงมันจะเนิ่นนานซักเท่าไหร่เธอก็ยังจำได้ดี ตั้งใจที่จะแต่งงานกับโรว์ลี่ เขาเลือกทำอาชีพการเกษตรตามคำขอร้องของเธอด้วยความเต็มใจ ทั้งเธอและเขารักธรรมชาติชอบเลี้ยงสัตว์
แต่สิ่งต่างๆเหล่านั้นระหว่างเธอและเขาหาได้ราบรื่นตามที่หวังไว้ไม่... ไม่ได้เป็นไปตามที่ลุงการ์ดอนให้สัญญา
น้ำเสียงแหบพร่าของนางมาร์ชมอนท์ ดังทำลายความเงียบขึ้น
"ทีนี้ล่ะ เราแย่กันแน่เลย ลินน์ เหมือนกับที่แม่เขียนจดหมายไปบอกลูกน่ะ การ์ดอนกลับอังกฤษได้เพียงสองเพียงวัน เราไม่ได้แม้แต่เห็นเขา เพียงแต่เขาไม่ได้อยู่ในลอนดอน ถ้าเขามุ่งตรงทาหาเราที่นี่"
"ใช่ ถ้าเพียงแต่..."
เลื่อนลอย เคว้งคว้าง ความเศร้า ความตกใจจู่โจมเข้ามาในจิตใจของเธอกับข่าวการเสียชีวิตของผู้เป็นลุง แต่เพิ่งจะมารู้ผลของมันนับตั้งแต่เธอได้ย่างเข้ามาในบ้านเพียงก้าวแรก
นานเท่าทีจำได้ ชีวิตของเธอ อาศัยอยู่กับเขาทั้งหมด ท่ามกลางการปกครองดูแลโดย การ์ดอน โคลด ชายผู้มั่งคั่งและปราศจากทายาทสืบทอด เขาให้การดูแล สนับสนุน ค้ำจุนคนในตระกูลโคลดทุกคน
แม้แต่ โรว์ลี่...โรว์ลี่และเพื่อนของเขา จอห์นนี่ วาวาเซอร์ ซึ่งเป็นผู้ร่วมหุ้นลงทุนลงแรงทำฟาร์มด้วยกัน
สำหรับเธอเอง ตาเคยบอกว่า
"หลานน่ะม่สามารถทำฟาร์มได้ถ้าไร้ทุน แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือกำลังกายและกำลังใจ การทำการเพาะปลูกนั้น เราต้องรอ รอความเจริญเติบโตของมัน กว่ามันจะได้ผล มันต้องใช้เวลายาวนานพอดู อาจจะกินเวลานานหลายปี เราต้องอดทน ต้องมีทุนสำรอง ถ้าหนูรักโรว์ลี่ ต้องการใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกับเขา หนูก็สิ้นกังวลได้ ลุงจะช่วยหนูอย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวล"
จริงสิ เธอเคยทำเช่นนั้น แต่ตัวของโรว์ลี่เองรู้ซึ้งถึงความปราณี ความเอาใจใส่ของลุง ทั้งโรว์ลี่และจอห์นนี่จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า เขาทั้งสองเหมาะสมกับการได้รับความช่วยเหลือหรือไม่
แต่เบื้องหลังในการทำงานในแต่ละวัน จะต้องพึ่งพาเงินทองสนับสนุน ทั้งนี้ทั้งนี้นไม่มีใครนิ่งดูดายหรือตั้งใจรีดไถกอบโกย จุดมุ่งหมายในอนาคต เบื้องหน้าคือการยอมรับ การ์ดอน โคลด บุคคลซึ่งเป็นม่าย ปราศจากทายาทสืบทอด อาจจะเป็นบุคคลที่เหมาะสมก็เป็นได้
น้องสะฬภ้ม่ายของเขา อเดล่า มาร์ชมอนท์ ยังคงอยู่ที่ไวท์เฮ้าส์ได้ตราบเท่าที่เธอต้องการ บางทีอาจจะโยกย้ายไปอยู่บ้านหลังเล็กลง เพื่อเป็นการทุ่นค่าใช้จ่าย
ลินน์เองก็ได้เข้ารับการศึกษาต่อในโรงเรียนชั้นดี ถ้าเพียงแต่สงครามไม่เกิดขึ้นก่อน เธอคงจะได้ร่ำเรียนตามวิชาความรู้ต่างๆที่ปราถนาเอาไว้ เช็คเงินสดที่ลุงการ์ดอนส่งมาสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ครอบครัว
ทุกสิ่งทุกอย่างอุบัติขึ้น แล้วก็สิ้นสุดลงพร้อมๆกับการแต่งงานของการ์ดอน โคลด
"แน่นอน ลูกรัก"อเดล่ากล่าวต่อ "เราทุกคนต่างก็ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าลุงการ์ดอนจะแต่งงาน มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ลูกเองก็คงคิดเหมือนกัน ราวกับว่าเขาไม่คิดจะรับภาระเลี้ยงดูพวกเราอีก"
"ใช่ ถูกละ" ลินน์คิด เลี้ยงดูครอบครัว บางครั้งอาจมีทางป็นไปได้ ภาระการเลี้ยดูคนในครอบครัวมันใหญ่หลวงนักหรือ?"
"เขาเป็นคนใจดีมีเมตตาเสมอ" นางมาร์ชมอนท์ เสริม "แม้ว่าบางทีจะฉุนเฉียว เจ้าอารมณ์ไปบ้าง เขาชอบทำอะไรอย่างมีพิธีรีตองตามแบบคนโบราณ เมื่อตอนที่เขาไปอิตาลลี่แม่ยังได้รับผ้าลูกไม้เวนิสเนื้อดีจากเขาเป็นของฝากเลย"
"นั่นแหละเป็นสิ่งที่คุณลุงพยายามปลูกฝังแก่พวกเรา" ลินน์กล่าวอย่างเศร้าซึม และตามด้วยคำถามอยากรู้อยากเห็น "คุณลุงไปพบภรรยาคนที่สองนี้ได้อย่างไรคะ? แม่ไม่เห็นเล่าไปในจดหมายเลย"
"จริงสินะ แม่ลืมไป ดูเหมือนจะบนเรือหรือเครื่องบินหรืออะไรแม่ก็ไม่รู้แน่ชัด มาจากอเมริกาใต้ไปนิวยอร์ค รู้สึกว่าจะเป็นอย่างนั้น ภายหลังจากช่วงเวลาหลายปี และหลังจากที่รอดจากบรรดาเลขาฯ เสมียน และแม่บ้านที่จ้องจะงาบมาตลอด"
ลินน์แย้มยิ้ม นับตั้งแต่ที่เธอจำความได้ บรรดาเลขาฯ แม่บ้าน และพนักงานหญิงชอบลุงการ์ดอน โคลด จะถูกจับตาเพ่งเล็งอยู่เสมอ
เธอถามด้วยความอยากรู้ "หนูคิดว่า เธอคงจะสวยนะคะ"
"ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละลูก"อเดล่ากล่าวตอบ "แต่โดยความคิดของแม่เองรู้สึกว่าเจ้าหล่อนหน้าตาซื่อบื้อชอบกล"
"โธ่ ก็แม่ไม่ได้เป็นผู้ชายนี่"
"เอาเถอะ" นางมาร์ชมอนท์ กล่าวต่อ "แม่สาวที่น่าสงสารคนนั้น ดูหล่อนหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆกับคนที่ยังไม่หายตกใจจากเสียงระเบิด ยังกับคนเป็นโรคประสาท บางครั้ง แม่เห็นหล่อนเหม่อลอย ไม่เห็นว่าจะเหมาะสมกับการ์ดอนเลยสักนิด"
ลินน์ยิ้ม รู้สึกแปลกใจระคนสงสัยว่า ลุงการ์ดอน โคลด เลือกแต่งงานกับหญิงสาวคราวลูกเอาไว้ เป็นศรีภรรยางั้นหรือ
"นี่ แม่จะบอกอะไรให้" นางมาร์ชมอนท์ลดเสียงลง "ที่จริงแม่ก็ไม่อยากพูดนักหรอก ท่าทางเจ้าหล่อนน่ะยังกะผู้หญิงไม่ดีน่ะ"
"ไหงพูดงั้นล่ะ แม่ เรื่องแบบนี้มันคร่ำครึไม่มีใครเขาถือกันแล้วค่ะแม่"
"ที่อื่นๆอาจจะใช่ แต่ในประเทศเรายังถืออยู่" อเดล่ากล่าวอย่างหนักแน่น "แม่หมายถึงว่าหล่อนน่ะไม่เหมือนอย่างพวกเรา!"
"น่าสงสารเธอจัง!"
"นี่ ลินน์ แม่ไม่รู้ว่าลูกหมายถึงอะไร เราทุกคนก็พยายามดูแลเอาใจใส่ ให้ความเป็นมิตรแก่หล่อนเท่าที่ทำได้ตามคำของร้องของการ์ดอน"
"เธออยู่ที่ เฟอร์โรว์แบ็งก์ หรือคะ?" ลินน์ถาม
"อ๋อ แน่นอนอยู่แล้ว มีที่ไหนอีกหล่ะที่เจ้าหล่อนควรจะไปอยู่เมื่อออกมาจากสถานพักฟื้นแล้ว หมอไม่แนะนำให้หล่อนอยู่ในลอนดอน จึงไปอยู่ที่เฟอร์โรว์แบ็งก์กับพี่ชายของหล่อน"
"เขาเป็นคนยังไงคะ?" ลินน์ถามต่อ
"ไอ้หมอนั่นน่ะเหรอ ก็ไอ้พวกแดนมนุษย์นั่นแหละ!" นางมาร์ชมอนท์หยุดพูด แล้วก็กล่าวเสริมขึ้น "หยาบคายชะมัด"
ความเห็นอกเห็นใจผ่านแวบเข้ามาในจิตใจของลินน์ เธอคิด เราเองก็อยากเป็นอย่างนั้นเหมือนกันแหละ!
เธอถามอีก "เขาชื่ออะไรคะ"
"ฮันเตอร์ เดวิด ฮันเตอร์ แม่คิดว่าคงเป็นชาวไอริชแน่นอน เป็นชนชาติที่เราไม่ค่อยรู้จัก อันที่จริงหล่อนเป็นหม้าย...นามสกุลเดิมคือ อันเดอร์เฮย์ นางอันเดอร์เฮย์ ที่จริงก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของแม่หรอก แต่มันอดคิดไม่ได้...เจ้าหล่อนเป็นหม้ายแบบไหนกันถึงได้ไปท่องเที่ยวอเมริกาใต้...อย่างสบายอกสบายใจในช่วงที่เกิดสงครามอย่างนี้? ช่วยไม่ได้ ใครที่รู้ก็คงจะคิดอย่างนี้ คงไปเพื่อหาผัวรวยๆสักคน"
"ถ้าเป็นอย่างที่แม่เดา หล่อนก็ทำสำเร็จ" ลินน์ออกความเห็น
นางมารชมอนท์ ถอนหายใจเฮือก
มันเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์จริงๆ การ์ดอนน่ะเป็นผู้ชายที่ทันคน ปราดเปรียว ผู้หญิงมากหน้าหลายตาอากจะได้มาเป็นผัวมากมาย โดยเฉพาะยัยเลขาฯคนล่าสุดเนี่ย ไวไฟยังกะอะไรดี แม้แต่หางตาเขาก็ยังไม่แลเลย
ลินน์กล่าวขึ้นอย่างลอยๆ "ยังกะสงครามวอเตอร์ลู"
"อายุหกสิบสอง" นางมารช์มอนท์กล่าวต่อ "วัยอันตรายทีเดียวล่ะ ท่ามกลางสภาวะสงคราม ให้ตายสิ แม่เองก็พูดไม่ถูกเลยว่าช็อคขนาดไหน เมื่อตอนที่พวกเราได้รับจดหมายของเขาจากนิวยอร์ก"
"ในจดหมายว่าไงคะ"
เขาเขียนถึง ฟรานเซส...แม่เองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าทำไม บางทีเขาอาจคิดว่าหล่อนเป็นคนเดียวที่เข้าใจจิตใจของเขาก็เป็นได้ เขาเขียนมาว่าพวกเราคงจะแปลกใจที่ได้ข่าวว่าเขาแต่งงานแล้ว มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะกะทันหัน แต่เขามีความมั่นใจว่าพวกเราคงจะยินดีเมื่อได้พบกับโรซาลีน เธอเคยมีชีวิตลำเค็ญ น่าสงสาร เขาบอกมาอย่างนั้น และผ่านชีวิตมามากแม้อายุยังน้อย มันก็น่าแปลกจริงๆ เจ้าหล่อนฟันฝ่าอุปสรรคด้วยตัวของตัวเองมาตลอด"
"ไอ้ลูกไม้อย่างเนี่ยได้ยินมาจนชินแล้ว" ลินน์พึมพำ
"ใช่ แม่เองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ใครๆเขาก็คิดเหมือนแม่ คิดไม่ถึงเลยจริงๆที่การ์ดอนกลับหลงเชื่อ...เชื่อสนิทเลยล่ะ ดวงตาทั้งคู่ของหล่อนเป็นสีฟ้าเข้ม...กลมโตเชียวล่ะ
"มีสเน่ห์มั้ยคะ?"
"ใช่ เธอเป็นผู้หญิงที่สวย น่ารัก มีสเน่ห์มาก แต่ไม่ใช่ในแบบที่แม่ชอบ"
"หนูไม่เห็นว่ามีผู้หญิงคนไหนถูกใจแม่สักคน" ลินน์กล่างพลางยิ้มอย่างรู้ทัน
"ให้ตายสิ พวกผู้ชายน่ะ...ถึงจะฉลาดปราดเปรียวเพียงใด ก็ยังทำอะไรที่มันโง่ๆออกมาให้เห็นจนได้! ในจดหมายของการ์ดอนกล่าวต่อไปว่า พวกเรายังอยู่ในความรับผิดชอบของเขาเหมือนเดิม แม้ว่าเขาจะแต่งงานแล้วก็ตาม"
"แต่คุณลุงไม่ได้ทำ..........." ลินน์กล่าว "พินัยกรรมใหม่หลังการแต่งงานหรือคะ?"
นางมาร์ชมอนท์ส่ายหน้า
"พินัยกรรมฉบับล่าสุดของเขาทำเมื่อปี 1940 รายละเอียดในนั้นแม่ไม่รู้ แต่เขาทำให้พวกเราทุกคน เข้าใจว่าไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา พวกเราจะไม่เดือดร้อน แน่นอน แต่พอเขาแต่งงานพินัยกรรมฉบับนั้นก็ถูกยกเลิก แม่เข้าใจว่าเขาทำพินัยกรรมฉบับใหม่เมื่อกลับมาคราวนั้น...แต่ยังไม่ทันจะได้ทำ...เขาก็เสียชีวิตจากแรงระเบิดเสียก่อน"
"และดังนั้นหล่อน...โรซาลีน...เลยได้ทุกสิ่งทุกอย่าง"
"ใช่ถูกต้อง พินัยกรรมฉบับเก่าเป็นโมฆะไปพร้อมกับการแต่งงาน"
ลินน์นิ่งเงียบ อันที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าเธอจะเป็นคนเห็นแก่เงิน แต่ดูจะผิดมนุษย์มนากับเขาถ้าไม่รู้สึกเดือดร้อนกับเรื่อราวเหล่านั้นเสียเลย มันไม่เป็นเช่นนั้นแน่ เออ รู้สึกลุงการ์ดอน โคลดเองก็คงไม่ต้องการให้มันเป็นเช่นนี้ ทรัพย์สิน เงินทองทั้งหมดจะต้องตกเป็นของภรรยาสาวตามกฏหมายแต่เพียงส่วนใหญ่ และลุงการ์ดอนจะต้องกันไว้ส่วนหนึ่งสำหรับญาติพี่น้องอย่างแน่นอน ซึ่งลุงไม่คิดทอดทิ้ง...ตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ที่ลุงพูดกับ
เจอเรอมี่-แกจะกลายเป็นเศรษฐีในพริบตาทันทีที่ฉันตาย ไอ้น้อง-กับมารดาของเธอ ลุงเคยกล้าวว่า อย่าห่วงไปเลย อเดล่า ฉันจะดูแลส่งเสียลินน์เอง...เธอก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ฉันไม่ต้องการให้เธอแยกออกไปจากบ้านหลังนี้...มันเป็นบ้านของเธอ ค่าใช้จ่ายค่าซ่อมแซมต่างๆเธอไม่ต้องออก ฉันจะจัดการเอง เพียงแต่ส่งบิลเก็บเงินไปให้ฉันก็พอ ส่วนโรว์ลี่ ลุงสนับสนุนให้เขาทำฟาร์มเพาะปลูก
แอน โทนี่ ลูกชายของเจอเรอมี่ เขาชี้แนะให้ไปเป็นทหารประจำหน่วยทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เพื่อที่จะทำให้หมอนั่นเป็นแมนเต็มตัว ลีโอเนลโคลด ได้รับเงินทุนสนับสนุนในการวิจัยค้นคว้าทางการแพทย์ ซึ่งให้ผลช้ากว่าการเปิดร้านรักษาคนไข้ทั่วไป
ความคิดคำนึงของลินน์ ชะงักลงกลางคันอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากสั่นระริก นางมาร์ชมอนท์ส่งบิลปึกใหญ่มาให้เธอดู
"ดูบิลพวกนี้สิ" เธอกล่าวเสียงสั่น "แม่จะทำอะไรได้? แม่จะทำอย่างไรกับมันดี ลินน์? ผู้จัดกานธนาคารแจ้มาเมื่อเช้านี้ว่าแม่เบิกเงินเกินบัณชีที่มีอยู่ แม่ก็พยายามระวังอยู่แล้วเชียว แต่เงินที่เคนได้รับไม่ได้มีเข้าบัญชีเงินฝากเหมือนเคย แถมภาษีก็เพิ่ม แล้วยังค่าอะไรต่อมิอะไรอีก"
ลินน์รับบิลนั้นมาพลิกดู ไม่มีบิลใดปรากฏว่าเป็นการใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง บอลแต่ละใบเป็นบิลค่าใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นทั้งสิ้น
นางมาร์ชมอนท์ กล่าวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
"แม่คิดว่าอยากจะย้ายออกจากที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าจะย้ายไปไหน บ้านหลัเล็กๆก็ไม่มีเสียด้วย...ที่จริงแม่ไม่น่าจะเอาไอ้เรื่องรกสมองพวกนี้มาบ่นให้ลูกฟังเลยลินน์ แต่แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แม่จนปัญญาจริงๆ"
ลินน์มองผู้เป็นมารดา แม่อายุหกสิบกว่าแล้ว เป็นคนที่มีสุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรง ระหว่างเกิดสงครามแม่อพยพลูกออกไปจากลอนดอน ทำอาหารและทำความสะอาดให้พวกทหารในหน่วย สตรีอาสาสมัคร...ทำแยม ช่วยทำอาหาร แม่ต้องทำงานวันละเกือบสิบสี่ชั่วโมง ซึ่งแตกต่างไปจากชีวิตอันสะดวกสบายก่อนเกิดสงคราม แม่ในเวลานี้ที่ลินน์เห็น ใกล้จะสิ้นแรงท้อแท้ต่ออนาคตเบื้องหน้าเป็นที่สุด
ความโกรธที่ก่อตัวขึ้นมาในความรู้สึกของลินน์อย่างเงียบๆ ทำให้เธอกล่าวว่า
"โรซาลีนไม่สามารถช่วยเหลือเราได้เลย"
นางมาร์ชมอนท์หน้าแดงก่ำ
"เราไม่มีสิทธิ์นะลูก...ในทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด"
ลินน์คัดค้าน
"สิทธิ์ทางด้านศีลธรรมไงคะแม่ ลุงการ์ดอนให้ความช่วยเหลือพวกเราเสมอ"
นางมาร์ชมอนท์สั่นศีรษะ เธอกล่าว
"ไม่เหมาะหรอกลูก น่าเกลียดจะตายที่เราจะไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากแม่นั่น...ไม่มีใครยอมทำเช่นนั้นหรอก และโดยเฉพาะบุคคลที่เราไม่สนิทชิดเชื้อ แล้วก็ไอ้พี่ชายมหาเลวคนนั้น ก็คงไม่ยอมให้เธอปันเงินให้แก่พวกเราแม้แต่เศษเงินเพียงเพนนีเดียวหรอก!"
และนางมาร์ชมอนท์กล่าวเสริมขึ้น อย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก "ถ้าเจ้าหมอนั่นเป็นพี่ชายของเธอจริงๆมันก็อีกเรื่องหนึ่ง"
ความคิดเห็น