ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ฉบับที่ 5 : มาดามฮิ้วส์...
          “จะเอายังไงกับฉันกันแน่!”
   
          สิ้นเสียง แดเนียลก็เริ่มก้าวเดิน... เร็วขึ้น... เร็วขึ้นเรื่อยๆ... จนกระทั่งกลายเป็นการวิ่ง! เขากำลังวิ่งตรงมาหาเธอพร้อมกรีดร้องด้วยท่าทางชวนขนลุกขนพอง! หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเผลอหลับตาปี๋ไปโดยไม่รู้ตัว
   
          “แมรี่!”
   
          บานประตูเปิดผางออก แสงสว่างจากภายนอกส่องเข้ามาทำให้ทัศนียภาพโดยรอบดูชัดเจนไปหมด เสียงของหญิงสาวที่ตะโกนเรียกชื่อเธอ ทำให้แมรี่ค่อยๆลืมตาขึ้นมาดูหน้าเจ้าของเสียงอย่างช้าๆ
   
          ความงุนงงบังเกิดขึ้นในบัดดล
   
          “ลิซ่า...” หญิงสาวละล่ำละลักเรียกชื่อเพื่อนไม่เต็มเสียง
   
          “เธอไม่เป็นอะไรแน่นะ เมื่อกี้เห็นยืนหลับตาอยู่ตั้งนาน?” ลิซ่าเอ่ยถามด้วยท่าทางเป็นห่วงเป็นใยพลางเดินเข้ามาโอบไหล่แมรี่ไว้อย่างนุ่มนวล “มีอะไรไม่สบายใจก็บอกฉันได้นะ”
   
          แต่ความเป็นห่วงนั้น ดูเหมือนจะกลายเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้แก่แมรี่...
   
          เธอต้องชั่งใจอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจได้ แม้มันจะดูเหมือนเรื่องเหลือเชื่อที่คนบ้าเท่านั้นจะปักใจเชื่อ แต่ตัวเธอก็แบกรับมันมามากเกินพอแล้ว อย่างน้อยการมีใครสักคนให้ปรึกษาอาจเป็นการทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้างก็ได้ หรือไม่อย่างนั้น... เธออาจได้กลายเป็นคนประสาทเสียในสายตาของลิซ่า
   
          “มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ...” แมรี่ค่อยๆส่งเสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอันสั่นเครือ ลิซ่าตีสีหน้าจริงจังตั้งใจฟังเธออย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นคงถือเป็นการบอกความนัยว่าเธอจะรับฟัง “แต่ฉันถูกบางอย่างตามหลอกหลอนอยู่ ดูเหมือนแดเนียลเองก็จะพบกับเรื่องแบบเดียวกับฉัน ก่อนที่เขาจะตายไป...”
   
          “เรื่องแบบไหนนะ?” ลิซ่าเลิกคิ้วอย่างสนอกสนใจ ตามปกติแล้วเธอเองก็เป็นแฟนตัวยงที่คอยติดตามบรรดาเรื่องราวลึกลับต่างๆจากสื่อต่างๆมากมาย ดังนั้นสิ่งที่แมรี่พูดมาจึงสร้างความตื่นเต้นให้เธอได้มากกว่าความกลัวเสียอีก
   
          “พวกเราแอดเมลล์ mary@hotmail เหมือนกัน...” หญิงสาวกล่าวต่อ ใบหน้าซีดเผือดกำลังได้รับโลหิตกลับมาไหลเวียนอีกครั้ง “ฉันคิดว่าเป็นเพราะเมลล์นั้น ถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น...”
   
          “แต่แดเนียล...” ลิซ่าดูหดหู่ลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงแดเนียล “เขาตายไปแล้ว แต่เธอยังอยู่นี่?”
   
          “ฉันลบเมลล์นั่นไปตั้งแต่วันแรก” แมรี่กลับมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางดูเกือบจะเป็นปกติอีกครั้ง “แต่ดูเหมือนแดเนียลจะติดต่อกับเมลล์นั่น นานเกินไป...”
   
          “จะบอกว่าแดเนียลตายเพราะอีเมลล์นั่นน่ะเหรอ!” ลิซ่าขมวดคิ้วมุ่น
   
          “ฉันแค่คิดว่าใช่นะ...”
   
          “แล้วเธอจะทำยังไง?” เพื่อนสาวของเธอทำสีหน้าปั้นยาก “ในเมื่อเธอบอกว่าถูกอะไรบางอย่างตามหลอกหลอนอยู่”
   
          “...ฉันไม่รู้” แมรี่ตอบอย่างจนตรอก ใบหน้าฉาบไปด้วยความหวั่นวิตก
   
          “ฉันพอรู้จักคนที่รู้เรื่องผีๆอยู่บ้าง” ลิซ่าพูดต่อไปอย่างครุ่นคิด “เธออยากให้ฉันพาไปปรึกษาเขาไหม?”
   
          แมรี่นิ่งเงียบ เริ่มใช้ความคิดทันที ปกติเธอไม่ใช่คนที่เชื่อถือเรื่องของผีสางอยู่แล้ว และไม่เคยคิดว่าพวกหมอผีหรือคนที่มาออกโทรทัศน์ว่าเห็นวิญญาณที่นู่นที่นี่จะเป็นเรื่องจริง ทว่าในครั้งนี้เธอได้ประสบกับมันด้วยตัวเอง หากยังคงดื้อดึงอยู่จะมีประโยชน์อะไรกัน?
   
          “ตกลง”
   
          รอบๆจัตุรัสเบนนิงตันเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆนาๆมากมาย พนักงานบริษัทที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงล้วนใช้เวลาพักกลางวันมาเดินเตร็ดเตร่ เที่ยวชมแวะทานอาหารกันตามร้านมีชื่อที่เปิดไว้เป็นสาขาเบนนิงตัน
   
          แต่เพราะความหลากหลาย ทำให้มีร้านค้าที่ขายสินค้าแปลกประหลาดปะปนอยู่ด้วยเป็นบางส่วน และร้านหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ก็คือร้าน’ไสยศาสตร์ของมาดามฮิ้วส์’ ผู้คนแออัดคลาคล่ำดูสิ่งของรูปร่างน่าพิศวงกันอยู่ภายใน หัวกะโหลกสีขาวขุ่นที่ดูน่ากลัวกลับถูกตกแต่งประดับประดาด้วยชิ้นส่วนสีหวานแหวว จนกลายเป็นดูน่ารักไปแทน ของเล่นแผลงๆที่มีไว้สำหรับแกล้งคนก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
   
          แต่แมรี่และลิซ่าไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น...
   
          สองสาวเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปจนถึงส่วนในสุดของร้าน หญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งนั่งประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์ กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการคิดเงินให้กับบรรดาลูกค้ามากหน้าหลายตา ลิซ่าแทบต้องตะโกนเพื่อเรียกเธอคนนั้นให้หันมาหาเธอ
   
          “มาดามฮิ้วส์อยู่ไหมคะ!”
   
          หญิงสาวหันมาหาต้นเสียง ก่อนจะเผยอริมฝีปากตอบอย่างยิ้มแย้ม
   
          “คุณลิซ่า?” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อได้เห็นหน้าลิซ่า “มาดามฮิ้วส์อยู่หลังร้านค่ะ ตอนนี้กำลังดูดวงให้ลูกค้าประจำอีกคนอยู่”
   
          แมรี่ได้ยินดังนั้นก็สรุปเอาเองว่าลูกค้าประจำของร้านนี้เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์จะได้พบหน้ามาดามฮิ้วส์เจ้าของร้าน หญิงสาวก็พอรู้อยู่บ้างว่าเพื่อนของเธอนั้นสนใจเรื่องพวกนี้อยู่มากแค่ไหน แต่เธอไม่เคยคิดหรอก ว่าลิซ่าจะบ้าซื้อของประหลาดๆพรรค์นี้กับเขาด้วย...
   
          บานประตูด้านหลังเคาน์เตอร์ถูกผลักเปิดออก เผยให้เห็นความมืดมิดจากห้องที่อยู่ภายใน แสงไฟสีม่วงดวงเล็กๆปรากฏอยู่กลางห้อง เงาของมือแห้งๆกำลังลูบคลำไปบนดวงไฟนั้น เมื่อแมรี่มองไล่ขึ้นไป เธอก็ได้พบกับเงาตะคุ่มของคนสองคนนั่งกันอยู่คนละฟากของลูกแก้วสีม่วงอ่อน
   
          “กระแสดวงชะตาของคุณกำลังไหลไปในทางที่ดี อุปสรรคเพียงอย่างเดียวที่จะขวางกั้นโชคชะตาที่ลื่นไหลราวกับสายน้ำนั้นได้คือนารี...” เสียงแหบพร่าดังขึ้นแทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชาย “ธุรกิจเปิดใหม่ของคุณจะไปได้สวย หากแต่ต้องคอยระมัดระวังผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตไว้ให้ดี นั่นคือคำแนะนำที่ดิฉันจะให้กับคุณได้”
   
          สิ้นเสียง ห้องทั้งห้องก็กลับมาสว่างโร่อีกครั้ง โคมไฟที่ตั้งอยู่สี่มุมของห้องติดขึ้นพร้อมๆกัน ทำให้ภาพตรงหน้าปรากฏแก่สายตาของแมรี่อย่างเจนชัด
   
          ชายหนุ่มในมาดนักธุรกิจกำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้เตรียมจะออกไปจากห้อง พร้อมเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทางนอบน้อม อีกฟากหนึ่ง ผู้ที่เขาเอ่ยคำขอบคุณด้วยเมื่อครู่คือหญิงชรารูปร่างผอมแห้ง อยู่ในชุดคลุมสีม่วงเข้ม เส้นผมขาวหงอกของเธอแห้งแตกปลายราวกับไม่เคยได้รับการดูแล ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั้นหันมาทางแมรี่และลิซ่า รอยยิ้มที่คลี่ออกทำให้หน้าของเธอยับย่นไปแทบทั้งหน้า
   
          “สวัสดี ลิซ่า คุณกลับมาหาดิฉันอีกแล้วสินะ” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าของเธอ “ส่วนนั่นคงเป็น...”
   
          ฉับพลันทันใด สีหน้ายิ้มแย้มนั้นก็กลับกลายเป็นพรั่นพรึงสุดขีดอย่างกะทันหัน
   
          “พระเจ้าช่วย!” มาดามฮิ้วส์กรีดเสียงอย่างน่ากลัวใส่แมรี่ ทำให้หญิงสาวต้องรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ดวงวิญญาณที่โดดเดี่ยวเดียวดาย กำลังตามรังควานคุณอยู่ใช่ไหม?”
   
          สองสาวถึงกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
   
          “คุณรู้เหรอคะ?” แมรี่ยิงคำถามออกไปอย่างไม่ลังเล เพราะสิ่งที่มาดามฮิ้วส์พูดมานั้นล้วนถูกต้องตามที่เธอได้ประสบทุกอย่าง
   
          “แน่นอนสิ ฉันรู้” มาดามฮิ้วส์กล่าวละล่ำละลักด้วยท่าทางร้อนรน “มาๆ มานั่งลงตรงนี้ก่อนสิ” ก่อนจะชี้ไปยังเก้าอี้ไม้ว่างเปล่าข้างๆเธอ
   
          แมรี่เดินลงไปนั่งด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเสียเต็มประดา ลิซ่าที่เดินไปยืนอยู่ข้างหลังเธอก็ดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นไปกับเธอด้วย
   
          “เอาล่ะ... ฉันจะไม่ถามคำถามอะไรเธอทั้งนั้น แค่ขอให้มองดูสิ่งที่อยู่ในลูกแก้วนี้ให้ดี และบรรยายมันออกมาตามที่เธอเห็นทุกประการ” มาดามฮิ้วกล่าวต่อพลางใช้มือแห้งๆของเธอลูบคลำไปบนลูกแก้ว แสงสีม่วงอ่อนค่อยๆสว่างวาบขึ้น แมรี่จ้องมองเข้าไปภายในลูกแก้วนั้นตาไม่กระพริบ ทุกสิ่งที่เธอมองเห็น เธอจะต้องถ่ายทอดมันออกมาเป็นคำพูดให้ชัดเจนที่สุด
   
          ฉับพลัน สีหน้าตื่นเต้นของหญิงสาวกลับหวาดหวั่นพรึงในทันใด เธอผงะถอย เบนหน้าหนีราวกับไม่ต้องการจะมองดูภาพที่ปรากฏอยู่ในลูกแก้วนั้น
   
          “ใจเย็นๆไว้ ลูกแก้วใบนี้จะแสดงออกมาแต่ความเป็นจริงเท่านั้น และในเวลาแบบนี้คุณก็ยิ่งไม่ควรหลีกหนีความเป็นจริง ไม่ว่าจะเห็นอะไร ก็ขอให้เชื่อใจดิฉัน และบอกให้ดิฉันได้รับรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งหมดนี้ล้วนเพื่อตัวของคุณเอง...”
   
          แมรี่ค่อยๆเหลียวกลับมามองลูกแก้วนั้นอย่างกล้าๆกลัวๆ ริมฝีปากของเธอสั่นระริก แต่ก็ยังสามารถส่งเสียงแผ่วเบาปานกระซิบออกมาได้ มาดามฮิ้วส์ตั้งใจฟังสิ่งที่เธอพูดออกมาชนิดจับถ้อยจับคำไม่ให้ขาดตกไปแม้แต่นิดเดียว
   
          “เพื่อนที่ตายไปแล้วของฉัน... เขาถูกผู้หญิงสาวคนหนึ่งจับให้ขยับไปมาอย่างกับหุ่นเชิด...”
   
          แม้น้ำเสียงละล่ำละลักนั้นจะเบาแสนเบา แต่ก็ดูเหมือนมาดามฮิ้วส์จะรับรู้มันได้ทั้งหมด
   
          “คุณเห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นชัดไหม?” หญิงชราถาม
   
          “ไม่... ฉันไม่เห็นหน้าของเธอเลย” แมรี่ส่ายหน้าช้าๆ เบือนหน้าหนีจากลูกแก้วนั้นอีกครั้งหนึ่ง
   
          เมื่อมาดามฮิ้วถอนมือออกจากลูกแก้ว แสงสว่างสีม่วงอ่อนก็พลันเลือนหายไป ใบหน้าของหญิงชรายับย่นเพราะการครุ่นคิด ทั้งแมรี่และลิซ่าต่างก็คอยลุ้นอยากจะฟังสิ่งที่เธอจะพูดต่อไป
   
          “ผู้หญิงที่คุณเห็น...” มาดามฮิ้วส์เกริ่นขึ้น “คงเป็นดวงวิญญาณที่ตามรังควานคุณอยู่”
   
          สองสาวไม่มีอาการตกใจใดๆกับคำพูดของเธอ ทั้งคู่ยังคงตั้งใจฟังต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
   
          “เธอคนนั้นคงเป็นวิญญาณประเภทที่อิจฉาคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ คาดว่ามันคงสิงสู่อยู่ในสิ่งที่เจ้าของมีความผูกพันด้วยมากที่สุดในชีวิต คุณคงพลาดไปยุ่งกับสิ่งนั้นเข้า ทำให้วิญญาณของเธอมีโอกาสมาเล่นงานคุณ”
   
          “กระทั่งอีเมลล์ยังสิงกันได้งั้นหรือคะ?” ลิซ่าเอ่ยถามไปด้วยท่าทางแปลกใจสุดขีด แต่มาดามฮิ้วส์ดูเหมือนจะไม่ได้ประหลาดใจกับสิ่งที่เธอถามมาเลยแม้แต่น้อย หญิงชราตอบเสียงเรียบ
   
          “ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น...”
   
          “แล้วจะทำยังไงให้มันเลิกยุ่งกับฉันได้คะ?” แมรี่ขัดจังหวะทั้งสองขึ้น สีหน้าของเธอฉาบฉายไว้ด้วยความกังวลสุดขีด
   
          “ดิฉันคงต้องขอให้คุณเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณพลาดพลั้งไปยุ่งกับมันเสียก่อน”
   
          โดยไม่ลังเล... แมรี่จัดแจงเล่าทุกอย่างออกไปทันที ทั้งเรื่องอีเมลล์ลึกลับ ข้อความประหลาดที่ถูกส่งมาให้เธอ รวมถึงการเสียชีวิตและเหตุการณ์ที่บ้านของแดเนียล... กระทั่งเรื่องบนทางเดินนั้นเธอก็เล่าออกไปจนหมดเปลือก
   
          “อืมมม...” มาดามฮิ้วส์ลากเสียงยาวอย่างใช้ความคิด “เท่าที่ฟังจากเรื่องที่คุณเล่ามา...”
   
          สองสาวลุ้นกันตัวโก่งกับคำตอบที่จะได้รับ
   
          “คงไม่มีทางที่จะขจัดวิญญาณรายนี้ไปได้” ทว่าคำตอบของหญิงชรากลับทำให้แมรี่ต้องใจหายวาบ “แต่คุณยังนับว่าโชคดี ที่ไม่ถลำลึกลงไปในอำนาจของมัน ตอนนี้สิ่งที่มันทำได้คงมีเพียงตามหลอกหลอนคุณเท่านั้น ไม่ว่าจะยังไงมันก็ไม่สามารถแตะต้องคุณได้”
   
          แมรี่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ คำพูดนั้นแฝงความนัยเอาไว้ว่า...
   
          “ดังนั้นคุณคงไม่มีวันถูกเจ้าวิญญาณที่ว่านี่ฆ่า นอกเสียจากจะช็อกตาย หรือประสาทเสียไปเองเท่านั้น” มาดามฮิ้วส์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เป็นเชิงเห็นอกเห็นใจแมรี่ “ดิฉันขอแนะนำให้คุณพยายามทำใจให้เคยชินกับเรื่องราวพวกนี้เสียจะเป็นการดีที่สุด”
   
          หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปราวกับถูกแช่แข็ง...
   
          นี่มันอาจแย่ยิ่งกว่าถูกผีตามฆ่าเสียอีก!
   
          สิ้นเสียง แดเนียลก็เริ่มก้าวเดิน... เร็วขึ้น... เร็วขึ้นเรื่อยๆ... จนกระทั่งกลายเป็นการวิ่ง! เขากำลังวิ่งตรงมาหาเธอพร้อมกรีดร้องด้วยท่าทางชวนขนลุกขนพอง! หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเผลอหลับตาปี๋ไปโดยไม่รู้ตัว
   
          “แมรี่!”
   
          บานประตูเปิดผางออก แสงสว่างจากภายนอกส่องเข้ามาทำให้ทัศนียภาพโดยรอบดูชัดเจนไปหมด เสียงของหญิงสาวที่ตะโกนเรียกชื่อเธอ ทำให้แมรี่ค่อยๆลืมตาขึ้นมาดูหน้าเจ้าของเสียงอย่างช้าๆ
   
          ความงุนงงบังเกิดขึ้นในบัดดล
   
          “ลิซ่า...” หญิงสาวละล่ำละลักเรียกชื่อเพื่อนไม่เต็มเสียง
   
          “เธอไม่เป็นอะไรแน่นะ เมื่อกี้เห็นยืนหลับตาอยู่ตั้งนาน?” ลิซ่าเอ่ยถามด้วยท่าทางเป็นห่วงเป็นใยพลางเดินเข้ามาโอบไหล่แมรี่ไว้อย่างนุ่มนวล “มีอะไรไม่สบายใจก็บอกฉันได้นะ”
   
          แต่ความเป็นห่วงนั้น ดูเหมือนจะกลายเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้แก่แมรี่...
   
          เธอต้องชั่งใจอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจได้ แม้มันจะดูเหมือนเรื่องเหลือเชื่อที่คนบ้าเท่านั้นจะปักใจเชื่อ แต่ตัวเธอก็แบกรับมันมามากเกินพอแล้ว อย่างน้อยการมีใครสักคนให้ปรึกษาอาจเป็นการทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้างก็ได้ หรือไม่อย่างนั้น... เธออาจได้กลายเป็นคนประสาทเสียในสายตาของลิซ่า
   
          “มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ...” แมรี่ค่อยๆส่งเสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอันสั่นเครือ ลิซ่าตีสีหน้าจริงจังตั้งใจฟังเธออย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นคงถือเป็นการบอกความนัยว่าเธอจะรับฟัง “แต่ฉันถูกบางอย่างตามหลอกหลอนอยู่ ดูเหมือนแดเนียลเองก็จะพบกับเรื่องแบบเดียวกับฉัน ก่อนที่เขาจะตายไป...”
   
          “เรื่องแบบไหนนะ?” ลิซ่าเลิกคิ้วอย่างสนอกสนใจ ตามปกติแล้วเธอเองก็เป็นแฟนตัวยงที่คอยติดตามบรรดาเรื่องราวลึกลับต่างๆจากสื่อต่างๆมากมาย ดังนั้นสิ่งที่แมรี่พูดมาจึงสร้างความตื่นเต้นให้เธอได้มากกว่าความกลัวเสียอีก
   
          “พวกเราแอดเมลล์ mary@hotmail เหมือนกัน...” หญิงสาวกล่าวต่อ ใบหน้าซีดเผือดกำลังได้รับโลหิตกลับมาไหลเวียนอีกครั้ง “ฉันคิดว่าเป็นเพราะเมลล์นั้น ถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น...”
   
          “แต่แดเนียล...” ลิซ่าดูหดหู่ลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงแดเนียล “เขาตายไปแล้ว แต่เธอยังอยู่นี่?”
   
          “ฉันลบเมลล์นั่นไปตั้งแต่วันแรก” แมรี่กลับมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางดูเกือบจะเป็นปกติอีกครั้ง “แต่ดูเหมือนแดเนียลจะติดต่อกับเมลล์นั่น นานเกินไป...”
   
          “จะบอกว่าแดเนียลตายเพราะอีเมลล์นั่นน่ะเหรอ!” ลิซ่าขมวดคิ้วมุ่น
   
          “ฉันแค่คิดว่าใช่นะ...”
   
          “แล้วเธอจะทำยังไง?” เพื่อนสาวของเธอทำสีหน้าปั้นยาก “ในเมื่อเธอบอกว่าถูกอะไรบางอย่างตามหลอกหลอนอยู่”
   
          “...ฉันไม่รู้” แมรี่ตอบอย่างจนตรอก ใบหน้าฉาบไปด้วยความหวั่นวิตก
   
          “ฉันพอรู้จักคนที่รู้เรื่องผีๆอยู่บ้าง” ลิซ่าพูดต่อไปอย่างครุ่นคิด “เธออยากให้ฉันพาไปปรึกษาเขาไหม?”
   
          แมรี่นิ่งเงียบ เริ่มใช้ความคิดทันที ปกติเธอไม่ใช่คนที่เชื่อถือเรื่องของผีสางอยู่แล้ว และไม่เคยคิดว่าพวกหมอผีหรือคนที่มาออกโทรทัศน์ว่าเห็นวิญญาณที่นู่นที่นี่จะเป็นเรื่องจริง ทว่าในครั้งนี้เธอได้ประสบกับมันด้วยตัวเอง หากยังคงดื้อดึงอยู่จะมีประโยชน์อะไรกัน?
   
          “ตกลง”
   
          รอบๆจัตุรัสเบนนิงตันเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆนาๆมากมาย พนักงานบริษัทที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงล้วนใช้เวลาพักกลางวันมาเดินเตร็ดเตร่ เที่ยวชมแวะทานอาหารกันตามร้านมีชื่อที่เปิดไว้เป็นสาขาเบนนิงตัน
   
          แต่เพราะความหลากหลาย ทำให้มีร้านค้าที่ขายสินค้าแปลกประหลาดปะปนอยู่ด้วยเป็นบางส่วน และร้านหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ก็คือร้าน’ไสยศาสตร์ของมาดามฮิ้วส์’ ผู้คนแออัดคลาคล่ำดูสิ่งของรูปร่างน่าพิศวงกันอยู่ภายใน หัวกะโหลกสีขาวขุ่นที่ดูน่ากลัวกลับถูกตกแต่งประดับประดาด้วยชิ้นส่วนสีหวานแหวว จนกลายเป็นดูน่ารักไปแทน ของเล่นแผลงๆที่มีไว้สำหรับแกล้งคนก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
   
          แต่แมรี่และลิซ่าไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น...
   
          สองสาวเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปจนถึงส่วนในสุดของร้าน หญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งนั่งประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์ กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการคิดเงินให้กับบรรดาลูกค้ามากหน้าหลายตา ลิซ่าแทบต้องตะโกนเพื่อเรียกเธอคนนั้นให้หันมาหาเธอ
   
          “มาดามฮิ้วส์อยู่ไหมคะ!”
   
          หญิงสาวหันมาหาต้นเสียง ก่อนจะเผยอริมฝีปากตอบอย่างยิ้มแย้ม
   
          “คุณลิซ่า?” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อได้เห็นหน้าลิซ่า “มาดามฮิ้วส์อยู่หลังร้านค่ะ ตอนนี้กำลังดูดวงให้ลูกค้าประจำอีกคนอยู่”
   
          แมรี่ได้ยินดังนั้นก็สรุปเอาเองว่าลูกค้าประจำของร้านนี้เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์จะได้พบหน้ามาดามฮิ้วส์เจ้าของร้าน หญิงสาวก็พอรู้อยู่บ้างว่าเพื่อนของเธอนั้นสนใจเรื่องพวกนี้อยู่มากแค่ไหน แต่เธอไม่เคยคิดหรอก ว่าลิซ่าจะบ้าซื้อของประหลาดๆพรรค์นี้กับเขาด้วย...
   
          บานประตูด้านหลังเคาน์เตอร์ถูกผลักเปิดออก เผยให้เห็นความมืดมิดจากห้องที่อยู่ภายใน แสงไฟสีม่วงดวงเล็กๆปรากฏอยู่กลางห้อง เงาของมือแห้งๆกำลังลูบคลำไปบนดวงไฟนั้น เมื่อแมรี่มองไล่ขึ้นไป เธอก็ได้พบกับเงาตะคุ่มของคนสองคนนั่งกันอยู่คนละฟากของลูกแก้วสีม่วงอ่อน
   
          “กระแสดวงชะตาของคุณกำลังไหลไปในทางที่ดี อุปสรรคเพียงอย่างเดียวที่จะขวางกั้นโชคชะตาที่ลื่นไหลราวกับสายน้ำนั้นได้คือนารี...” เสียงแหบพร่าดังขึ้นแทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชาย “ธุรกิจเปิดใหม่ของคุณจะไปได้สวย หากแต่ต้องคอยระมัดระวังผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตไว้ให้ดี นั่นคือคำแนะนำที่ดิฉันจะให้กับคุณได้”
   
          สิ้นเสียง ห้องทั้งห้องก็กลับมาสว่างโร่อีกครั้ง โคมไฟที่ตั้งอยู่สี่มุมของห้องติดขึ้นพร้อมๆกัน ทำให้ภาพตรงหน้าปรากฏแก่สายตาของแมรี่อย่างเจนชัด
   
          ชายหนุ่มในมาดนักธุรกิจกำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้เตรียมจะออกไปจากห้อง พร้อมเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทางนอบน้อม อีกฟากหนึ่ง ผู้ที่เขาเอ่ยคำขอบคุณด้วยเมื่อครู่คือหญิงชรารูปร่างผอมแห้ง อยู่ในชุดคลุมสีม่วงเข้ม เส้นผมขาวหงอกของเธอแห้งแตกปลายราวกับไม่เคยได้รับการดูแล ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั้นหันมาทางแมรี่และลิซ่า รอยยิ้มที่คลี่ออกทำให้หน้าของเธอยับย่นไปแทบทั้งหน้า
   
          “สวัสดี ลิซ่า คุณกลับมาหาดิฉันอีกแล้วสินะ” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าของเธอ “ส่วนนั่นคงเป็น...”
   
          ฉับพลันทันใด สีหน้ายิ้มแย้มนั้นก็กลับกลายเป็นพรั่นพรึงสุดขีดอย่างกะทันหัน
   
          “พระเจ้าช่วย!” มาดามฮิ้วส์กรีดเสียงอย่างน่ากลัวใส่แมรี่ ทำให้หญิงสาวต้องรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ดวงวิญญาณที่โดดเดี่ยวเดียวดาย กำลังตามรังควานคุณอยู่ใช่ไหม?”
   
          สองสาวถึงกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
   
          “คุณรู้เหรอคะ?” แมรี่ยิงคำถามออกไปอย่างไม่ลังเล เพราะสิ่งที่มาดามฮิ้วส์พูดมานั้นล้วนถูกต้องตามที่เธอได้ประสบทุกอย่าง
   
          “แน่นอนสิ ฉันรู้” มาดามฮิ้วส์กล่าวละล่ำละลักด้วยท่าทางร้อนรน “มาๆ มานั่งลงตรงนี้ก่อนสิ” ก่อนจะชี้ไปยังเก้าอี้ไม้ว่างเปล่าข้างๆเธอ
   
          แมรี่เดินลงไปนั่งด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเสียเต็มประดา ลิซ่าที่เดินไปยืนอยู่ข้างหลังเธอก็ดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นไปกับเธอด้วย
   
          “เอาล่ะ... ฉันจะไม่ถามคำถามอะไรเธอทั้งนั้น แค่ขอให้มองดูสิ่งที่อยู่ในลูกแก้วนี้ให้ดี และบรรยายมันออกมาตามที่เธอเห็นทุกประการ” มาดามฮิ้วกล่าวต่อพลางใช้มือแห้งๆของเธอลูบคลำไปบนลูกแก้ว แสงสีม่วงอ่อนค่อยๆสว่างวาบขึ้น แมรี่จ้องมองเข้าไปภายในลูกแก้วนั้นตาไม่กระพริบ ทุกสิ่งที่เธอมองเห็น เธอจะต้องถ่ายทอดมันออกมาเป็นคำพูดให้ชัดเจนที่สุด
   
          ฉับพลัน สีหน้าตื่นเต้นของหญิงสาวกลับหวาดหวั่นพรึงในทันใด เธอผงะถอย เบนหน้าหนีราวกับไม่ต้องการจะมองดูภาพที่ปรากฏอยู่ในลูกแก้วนั้น
   
          “ใจเย็นๆไว้ ลูกแก้วใบนี้จะแสดงออกมาแต่ความเป็นจริงเท่านั้น และในเวลาแบบนี้คุณก็ยิ่งไม่ควรหลีกหนีความเป็นจริง ไม่ว่าจะเห็นอะไร ก็ขอให้เชื่อใจดิฉัน และบอกให้ดิฉันได้รับรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งหมดนี้ล้วนเพื่อตัวของคุณเอง...”
   
          แมรี่ค่อยๆเหลียวกลับมามองลูกแก้วนั้นอย่างกล้าๆกลัวๆ ริมฝีปากของเธอสั่นระริก แต่ก็ยังสามารถส่งเสียงแผ่วเบาปานกระซิบออกมาได้ มาดามฮิ้วส์ตั้งใจฟังสิ่งที่เธอพูดออกมาชนิดจับถ้อยจับคำไม่ให้ขาดตกไปแม้แต่นิดเดียว
   
          “เพื่อนที่ตายไปแล้วของฉัน... เขาถูกผู้หญิงสาวคนหนึ่งจับให้ขยับไปมาอย่างกับหุ่นเชิด...”
   
          แม้น้ำเสียงละล่ำละลักนั้นจะเบาแสนเบา แต่ก็ดูเหมือนมาดามฮิ้วส์จะรับรู้มันได้ทั้งหมด
   
          “คุณเห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นชัดไหม?” หญิงชราถาม
   
          “ไม่... ฉันไม่เห็นหน้าของเธอเลย” แมรี่ส่ายหน้าช้าๆ เบือนหน้าหนีจากลูกแก้วนั้นอีกครั้งหนึ่ง
   
          เมื่อมาดามฮิ้วถอนมือออกจากลูกแก้ว แสงสว่างสีม่วงอ่อนก็พลันเลือนหายไป ใบหน้าของหญิงชรายับย่นเพราะการครุ่นคิด ทั้งแมรี่และลิซ่าต่างก็คอยลุ้นอยากจะฟังสิ่งที่เธอจะพูดต่อไป
   
          “ผู้หญิงที่คุณเห็น...” มาดามฮิ้วส์เกริ่นขึ้น “คงเป็นดวงวิญญาณที่ตามรังควานคุณอยู่”
   
          สองสาวไม่มีอาการตกใจใดๆกับคำพูดของเธอ ทั้งคู่ยังคงตั้งใจฟังต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
   
          “เธอคนนั้นคงเป็นวิญญาณประเภทที่อิจฉาคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ คาดว่ามันคงสิงสู่อยู่ในสิ่งที่เจ้าของมีความผูกพันด้วยมากที่สุดในชีวิต คุณคงพลาดไปยุ่งกับสิ่งนั้นเข้า ทำให้วิญญาณของเธอมีโอกาสมาเล่นงานคุณ”
   
          “กระทั่งอีเมลล์ยังสิงกันได้งั้นหรือคะ?” ลิซ่าเอ่ยถามไปด้วยท่าทางแปลกใจสุดขีด แต่มาดามฮิ้วส์ดูเหมือนจะไม่ได้ประหลาดใจกับสิ่งที่เธอถามมาเลยแม้แต่น้อย หญิงชราตอบเสียงเรียบ
   
          “ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น...”
   
          “แล้วจะทำยังไงให้มันเลิกยุ่งกับฉันได้คะ?” แมรี่ขัดจังหวะทั้งสองขึ้น สีหน้าของเธอฉาบฉายไว้ด้วยความกังวลสุดขีด
   
          “ดิฉันคงต้องขอให้คุณเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณพลาดพลั้งไปยุ่งกับมันเสียก่อน”
   
          โดยไม่ลังเล... แมรี่จัดแจงเล่าทุกอย่างออกไปทันที ทั้งเรื่องอีเมลล์ลึกลับ ข้อความประหลาดที่ถูกส่งมาให้เธอ รวมถึงการเสียชีวิตและเหตุการณ์ที่บ้านของแดเนียล... กระทั่งเรื่องบนทางเดินนั้นเธอก็เล่าออกไปจนหมดเปลือก
   
          “อืมมม...” มาดามฮิ้วส์ลากเสียงยาวอย่างใช้ความคิด “เท่าที่ฟังจากเรื่องที่คุณเล่ามา...”
   
          สองสาวลุ้นกันตัวโก่งกับคำตอบที่จะได้รับ
   
          “คงไม่มีทางที่จะขจัดวิญญาณรายนี้ไปได้” ทว่าคำตอบของหญิงชรากลับทำให้แมรี่ต้องใจหายวาบ “แต่คุณยังนับว่าโชคดี ที่ไม่ถลำลึกลงไปในอำนาจของมัน ตอนนี้สิ่งที่มันทำได้คงมีเพียงตามหลอกหลอนคุณเท่านั้น ไม่ว่าจะยังไงมันก็ไม่สามารถแตะต้องคุณได้”
   
          แมรี่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ คำพูดนั้นแฝงความนัยเอาไว้ว่า...
   
          “ดังนั้นคุณคงไม่มีวันถูกเจ้าวิญญาณที่ว่านี่ฆ่า นอกเสียจากจะช็อกตาย หรือประสาทเสียไปเองเท่านั้น” มาดามฮิ้วส์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เป็นเชิงเห็นอกเห็นใจแมรี่ “ดิฉันขอแนะนำให้คุณพยายามทำใจให้เคยชินกับเรื่องราวพวกนี้เสียจะเป็นการดีที่สุด”
   
          หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปราวกับถูกแช่แข็ง...
   
          นี่มันอาจแย่ยิ่งกว่าถูกผีตามฆ่าเสียอีก!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น