ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : กิโลเมตรที่ 5 : อนุบาลเหมืองถ่าน
          “ไม่ต้องโว้ย! กูไปคนเดียวได้!” เสียงเอะอะโวยวายของนรกานต์ดังลั่นไปทั่วบ้าน กีรติที่นั่งแผ่อยู่บนโซฟารีบยกรีโมทขึ้นกดเพิ่มเสียงโทรทัศน์เพื่อกลบเสียงของเจ้าสองหนุ่มที่กำลังทะเลาะกันอยู่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
   
          “ให้ผมไปด้วยสิพี่ ดึกๆดื่นๆ เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันได้” ชลนัยน์เกาะแขนนรกานต์หนึบ ส่งเสียงออดอ้อนด้วยแววตาเว้าวอน “นะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
   
          “กูบอกว่ากูจะไปคนเดียวไง!” ชายหนุ่มพยายามแกะมือชลนัยน์ ขาขวาก็ดิ้นรนพยายามถีบเจ้าเด็กขี้แยออกไปให้พ้นตัว “สิงห์นรกนะโว้ย โจรที่ไหนมันจะมากล้าทำอะไร!”
   
          “อย่าดูถูกพวกโจรสมัยนี้นะพี่ พวกมันไม่ใช่ธรรมดาๆกันแล้ว” หนุ่มน้อยตีสีหน้าจริงจัง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นรกานต์เปลี่ยนใจเลย
   
          “แค่เอาถุงขยะไปทิ้งที่หน้าปากซอย ไม่มีโจรที่ไหนมันออกมาเล่นงานทันหรอกโว้ย!” ชายหนุ่มแหกปากใส่หน้าชลนัยน์ จนน้ำลายฝอยๆกระเด็นไปติดบนหน้าเด็กหนุ่ม...
   
          “อี๋...” ชลนัยน์ผงะถอยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหยดน้ำลายด้วยท่าทางขยะแขยง ปากก็บ่นต่อไปไม่ยอมหยุด “พี่นอใจร้าย!”
   
          สิงห์นรกถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะรีบฉวยโอกาสเปิดประตูออกไปจากบ้านอย่างไม่รีรอ กีรติมองตามเขาออกไปพลางกดรีโมทหรี่เสียงโทรทัศน์ นึกโล่งอกที่เรื่องวุ่นวายจบลงได้เสียที
   
          รัตติกาลพานทำให้ซอยอยู่ไม่สุขไร้ซึ่งผู้คน แสงไฟจากหน้าต่างของบ้านแต่ละหลังปรากฏขึ้นเป็นแนวยาวไปตลอดสองข้างทาง ไฟถนนที่ตั้งเว้นระยะห่างพอให้ความสว่างแก่ผู้สัญจรยามราตรีอย่างนรกานต์ได้ แต่ก็ไม่พอที่จะขับไล่มุมมืดภายในตรอกซอกซอยเล็กๆที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วได้
   
          นรกานต์หยุดก้าวเดินอย่างกะทันหัน เหลือบมองช่องว่างระหว่างตึกสองหลัง ความขี้เกียจที่มีอยู่ในตัวชายหนุ่มกำลังเริ่มโน้มน้าวจิตใจของเขาให้ทำเรื่องไม่ดีให้สังคม...
   
          แอบเอาไปยัดไว้ที่นั่นก็ได้
   
          การกระทำรวดเร็วเท่าความคิด สิงห์นรกเหลียวซ้ายแลขวาจนมั่นใจว่าไม่มีใครเห็น แล้วจึงจ้ำสุดฝีเท้าเข้าไปในซอกหลืบอันมืดมิดนั้น
   
          ถุงขยะถูกวางลงบนพื้นชื้นแฉะ นรกานต์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจที่ทำหน้าที่สำเร็จลุล่วง แต่ขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับนั้นเอง สัญชาตญาณภายในตัวก็เตือนถึงภยันตรายที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม
   
          ชายสามคนกำลังย่องเข้ามาจากด้านหลังของเขา...
   
          สิงห์นรกสูดหายใจเข้าเต็มปอดและค่อยๆผ่านออกมาอย่างช้าๆ ทันทีที่ทำสมาธิได้ ชายหนุ่มก็หันขวับกลับไปเผชิญหน้ากับแขกไม่ได้รับเชิญ มือขวารีบคว้าหมับไปที่ซองปืนข้างเอว หากแต่...
   
          บลัดฮันเตอร์ไม่ได้อยู่ในที่ๆมันควรจะอยู่!
   
          นรกานต์ไม่ลังเลแม้แต่น้อย หากเขามัวแต่ควานหาอาวุธคู่ใจคงกลายเป็นการเปิดช่องว่างให้พวกมันเป็นแน่ ในสถานการณ์นี้ชายหนุ่มจำเป็นต้องมองในแง่ร้ายที่สุดไว้ก่อน...
   
          เขาลืมพกปืนออกมาด้วย!
   
          พล่อก!
   
          หมัดลุ่นๆถูกอัดเข้าเต็มปลายคางของพวกมันคนหนึ่ง เจ้าคนที่ถูกหมัดของนรกานต์ไปถึงกับโซเซแทบจะทรงตัวไม่อยู่ พวกของมันอีกสองคนเมื่อเห็นเข้าจึงรีบกระโจนเข้าหาสิงห์นรกอย่างบ้าคลั่งทันที
   
          ทว่านรกานต์ไม่ได้สับสนกับการถูกรุมเล่นงานเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มง้างขาเตะรวบร่างของพวกมันทั้งสองสุดแรง จนพวกมันกระเด็นลอยไปติดกำแพงพร้อมๆกัน!
   
          ส่วนเจ้าคนที่ถูกซัดปลายคางเมื่อครู่ ก็ตั้งสติได้และวิ่งเข้าชาร์จสิงห์นรก หมายจะรวบตัวไว้ให้อยู่หมัด!
   
          พล่อก!
   
          แต่แล้วมันก็ถูกตีเข่าเข้าไปเต็มคางอีกครั้ง การถูกโจมตีจุดอ่อนถึงสองครั้งติดต่อกันแบบนี้ทำให้มันไม่อาจประคับประคองสติสัมปชัญญะไว้ได้อีกต่อไป ร่างอ่อนปวกเปียกของมันทรุดลงไปนอนกองไม่เป็นท่าอยู่กับพื้น
   
          “หึหึหึ... ท่าพญาคชสารกระพือกรรณล่องนภา ได้มาตอนเรียนมวยไทยที่เส้าหลิน แรงสะใจไหมล่ะ!” ชายหนุ่มตะโกนเย้ยหยันอย่างสะใจ
   
          พวกมันที่เหลืออีกสองคนพยุงตัวลุกขึ้นยืนได้ คราวนี้ทั้งสองหยุดดูท่าทีของนรกานต์ พลางค่อยๆย่องเดินออกเพื่อล้อมหน้าล้อมหลังชายหนุ่มไม่ให้มีทางหนี
   
          สิงห์นรกเริ่มรู้ตัวว่าสถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นการเสียเปรียบ เขาอาจสามารถรับมือกับการจู่โจมพร้อมๆกันของเจ้าสองคนนี้ได้ แต่โอกาสสำเร็จก็ไม่เต็มร้อยเสียทีเดียว ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ...
   
          พวกมันทั้งสองคนพุ่งเข้าใส่นรกานต์อย่างกับนัดแนะกันไว้ก่อน ชายหนุ่มเบิกตากว้างกราดมองการเคลื่อนไหวของพวกมันทีละคนอย่างรวดเร็ว และตัดสินใจที่จะกระโดดแยกขาถีบสองทิศทางพร้อมๆกัน!
   
          เพล้ง!
   
          “ขอโทษค่ะ! เผลอทำกระถางต้นไม้ตก!”
   
          ดั่งโชคชะตาเล่นตลก กระถางต้นไม้จากหน้าต่างชั้นสามร่วงลงมากลางหัวสิงห์นรกพอดิบพอดี เศษหินดินทรายรวมทั้งปุ๋ยมูลสัตว์ร่วงกราวลงมาจากหัวชายหนุ่ม กระเบื้องสีส้มชิ้นใหญ่สองสามชิ้นกองเป็นเสี่ยงๆอยู่บนพื้น แน่นอน... รวมถึงดอกหน้าวัวสีแดงสดด้วย ชายหนุ่มเหยียดยิ้มมุมปากประชดชีวิตอันน่าเวทนาของตัวเองเล็กน้อย ก่อนที่สติอันพร่าเลือนจะค่อยๆวูบหายไป
=================================================================
          เปลือกตาบางเผยอเปิด นัยน์ตาไร้ความรู้สึกกลิ้งกลอกรับทัศนียภาพโดยรอบ หลอดไฟสีทองห้อยต่องแต่งอยู่บนเพดานไม้ ส่องแสงสลัวๆคอยต่อสู้กับความมืดและอับชื้น แผ่นหลังรู้สึกได้ถึงสัมผัสแข็งกระด้างจากเตียงที่รองรับร่างของตน และเมื่อตั้งสติได้ สัญชาตญาณในตัวก็พลันลุกโพลง!
          นรกานต์พราดพราดลุกขึ้น หันมองรอบกายอย่างแตกตื่น เตียงฟูกสีขาวตั้งเรียงรายกันอยู่แนบชิดติดผนัง ผู้ชายมากหน้าหลายตาสภาพโทรมจนดูไม่ได้นอนทอดกายอยู่บนเตียงเหล่านั้น ที่นี่มันที่ไหนกัน?
          ชายหนุ่มไม่สนใจว่าใครจะนอนอยู่บ้าง เขาลงจากเตียง ค่อยๆก้าวเดินไปตามที่ว่างกลางบ้าน มาหยุดอยู่หน้าบานประตูไม้หนาเตอะท่าทางแข็งแรง นรกานต์เอื้อมมือออกไปจับที่ลูกบิดและพบว่ามันล็อคอยู่
          มือหยาบกร้านคว้าหมับไปที่เอว หมายจะหยิบปืนในซองออกมาถล่มประตูนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ที่ข้างเอวนั้นกลับไม่มีอะไรอยู่เลย วินาทีนั้นสิงห์นรกจึงจำเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ และรู้แล้วว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานภาพไหน...
          หนักกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว มีหรือจะหวั่นกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้?
          นรกานต์ขยับรอยยิ้ม ค่อยๆเดินกลับไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หลับตาลง บานประตูก็เปิดผางออก เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นเข้ามาพร้อมๆกับร่างของชายหลายคนที่ถือปืนติดตัวมาด้วย
   
          “พวกมึง ตื่นกันได้แล้วโว้ย!”
   
          ไม่มีใครมาปลุกสิงห์นรกถ้วยวาจาหยาบคายแบบนั้นได้ นอกจากกีรติที่มีข้อผูกมัดทางธุรกิจกันอยู่ นรกานต์ชันกายขึ้นเหลือบมองใบหน้าเจ้าของคำพูดเหล่านั้น หัวสมองของเขาจดจำมันไว้ในบัญชีดำได้อย่างรวดเร็ว หากมีโอกาสเอาคืน... มันจะต้องเจ็บแสบอย่างที่สุด!
   
          คนอื่นๆเริ่มลุกขึ้นกันแล้ว พวกเขาเดินออกไปทางประตูอย่างเป็นระเบียบ สีหน้าของแต่ละคนดูไม่สู้ดีนัก บางคนเดินโซซัดโซเซราวกับผีตายซาก บางคนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่
   
          ตุบ!
   
          หนึ่งในนั้นล้มลงกับพื้น และกำลังพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่เหล่าชายถือปืนก็เดินเข้ามาล้อมวงเขาไว้ และตะคอกเสียงดัง “สำออยเรอะ!” ชายคนหนึ่งเตะสีข้างคนที่ล้มอยู่บนพื้นอย่างแรง จนเขาถึงกับจุกตัวงอ เมื่อเห็นดังนั้นคนอื่นๆจึงช่วยกันส่งเสริม รุมซ้อมเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม
   
          ภาพนี้เป็นเพียงสิ่งที่นรกานต์เห็นบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ เขาไม่ใช่คนที่มีจิตใจเมตตา และไม่ใช่คนที่จะไปนึกสงสารใครง่ายๆ ชายหนุ่มหรี่ตามองเหยื่อที่ถูกเหล่าหมาไฮยีน่ารุมกระทืบอย่างสังเวชใจ ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อ... เขาเองก็เชื่อว่าตัวเขาคงยินดีที่จะซ้อมคนสักคนหากจำเป็น
   
          แต่อาจไม่ใช่กับคนไร้ทางสู้...
   
          ความคิดนั้นทำให้สิงห์นรกรู้สึกละอายแก่ใจเล็กน้อย เขาตัดสินใจเดินออกไปจากบ้านเล็กๆนั้นเพื่อจะได้ไม่ต้องมองดูภาพอันโหดร้ายนั้นอีก ชายหนุ่มเดินตามแถวที่คนอื่นๆบรรจงจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ และจำต้องทึ่งกับสถานที่ที่ตัวเองอยู่ในขณะนี้
   
          มันคือเหมืองที่ใช้แรงงานคนดีๆนี่เอง
   
          พวกเขาถูกนำให้เดินลึกลงไปในอุโมงค์กว้าง ท่อนไม้แข็งแรงถูกทำเป็นโครงดามผนังอุโมงค์ไว้ไม่ให้ถล่มลงมา หลอดไฟที่ถูกเชื่อมมาจากภายนอกห้อยต่องแต่งคอยให้แสงสว่างเรืองรองเป็นระยะๆ ผนังอุโมงค์ค่อยๆกว้างขึ้น... กว้างขึ้น จนกระทั่งมาถึงจุดที่ถูกขุดค้างเอาไว้
   
          “ทำงานไป!” ชายถือปืนคนหนึ่งตะคอกขึ้น ทุกคนยอมเชื่อฟังเขาแต่โดยดีเมื่อเห็นปากกระบอกปืนที่สะบัดส่ายไปมาเป็นเชิงขู่... ทุกคนยกเว้นสิงห์นรก ที่สาบานได้ว่าทั้งชีวิตจะไม่ยอมทำงานประเภทนี้เด็ดขาด
   
          “แกมีปัญหาอะไร!” มันเดินเข้ามาหานรกานต์ แหกปากใส่หน้าเขาพลางยกปืนขึ้นขู่กรรโชก
   
          นรกานต์ไม่ตอบ เขากลับเอนหลังพิงผนังอุโมงค์ ยกขาขึ้นไขว้กันราวกับเตรียมจะพักผ่อนหย่อนใจ ภาพตรงหน้าทำให้มันถึงกับฟิวส์ขาด เจ้าผู้คุมหน้าโง่เก็บปืนใส่ซอง ชักกระบองออกมาเงื้อ หมายจะฟาดลงกลางหัวชายหนุ่ม
   
          มันติดกับเสียแล้ว...
   
          สิงห์นรกลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว มือขวาข้างถนัดคว้าหมับที่กระบองเข้าให้ ส่วนมือซ้ายนั้นล้วงลงไปหยิบปืนจากซองขึ้นมา และยัดเข้าไปในเอวกางเกงของตนด้วยความว่องไว ขาของเขาก็ไม่อยู่เฉย เงื้อเตะใส่จุดยุทธศาสตร์ ทำเอาฝ่ายตรงข้ามอ่อนแรง ร่วงลงไปนอนคุดคู้อยู่บนพื้นเหมือนไส้เดือนขดตัว ชายหนุ่มยกขาถีบใส่ร่างอันน่าสมเพชเวทนานั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อหนำใจจึงเตะปลายคางมันหน้าหงาย แล้วเหยียบให้นอนแผ่หลาอยู่กับพื้น
   
          กระบองที่แย่งมาถูกนำมาใช้ประโยชน์ โดยการกระแทกลงไปที่ปากของมันอย่างไม่ยั้งมือ หัวคิ้วของนรกานต์ยับย่นเข้าหากัน หากแต่แววตายังคงไร้ความปรานี ราวกับสิงห์ที่กำลังขย้ำเหยื่ออ่อนแอไร้ทางสู้ เขายัดปลายกระบองเข้าไปในริมฝีปากชุ่มเลือด อัดกระแทกเข้าไปสุดแรงจนแทบทำคอหอยอีกฝ่ายทะลุเป็นรู เสียงอู้อี้ๆดังออกมาจากปากที่ถูกอุดอยู่นั้น ฟันหลายซี่หักกราวลงไปเป็นเศษขยะอยู่บนพื้น นรกานต์ยิ่งออกแรงกดเพิ่มลงไปอีก ไม่มีทีท่าว่าจะสงสารเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเลยแม้แต่น้อย
   
          มันต้องตาย... ตายอย่างทรมานที่สุด
   
          เสียงร่ำร้องก้องสะท้านอยู่ภายในหัวของสิงห์นรก เขาเริ่มโน้มกายไปข้างหน้า อาศัยน้ำหนักตัวช่วยเพิ่มแรงกดให้แก่กระบอง ท่อนกระบองอุดตันท่อหายใจ ยังผลให้ออกซิเจนไม่อาจเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ อีกฝ่ายนั้นถึงกับตาเหลือกแทบจะถลนหลุดออกมาจากเบ้า เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วทั้งตัว มือไม้ปัดป่ายไปมาสะเปะสะปะเยี่ยงแมลงสกปรกที่กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนแต่สร้างความพึงพอใจให้แก่นรกานต์ทั้งสิ้น
   
          ผ่านไปเพียงนาทีเดียว ร่างนั้นก็นิ่งสนิท... ไร้วี่แววของชีวิต
   
          นรกานต์ชักสีหน้าหงุดหงิด แทงกระบองโชกเลือดนั้นจนทะลุออกไปทางหลังคอของศพ และปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนั้น คนงานเหมืองอีกจำนวนมากต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้เสียจนทำอะไรไม่ถูก ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมาเสียด้วยซ้ำ
   
          สิงห์นรกสาวเท้าเดินไปตามอุโมงค์ ไม่คิดจะเหลียวกลับมาหาคนงานเหล่านั้น มือของเขาตะปบไปที่ปืนชั่วคราวในซอง ความรู้สึกหงุดหงิดของเขาทำให้มือหยาบกร้านจับปืนแน่นราวกับจะบีบให้แตกสะบั้น อาการกระหายเลือดกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมาจนถึงจุดเดือด เขาต้องการระบายมันออก... กับเจ้าพวกที่อยู่อย่างสุขสบายข้างนอกนั่น
   
          “ตายยยย! ตายยยยยย! ตายยยยยยยยยยยยยย!”
   
          เสียงคำรามของสิงห์นรกลั่นสะท้านไปทั่วทั้งเหมือง กระแสเสียงแฝงความอำมหิตนั้นนำความหวาดกลัวไปจับขั้วหัวใจทุกคนที่ได้ยิน ไม่เว้นแม้แต่คนที่มีอาวุธพร้อมอยู่ในมือ ว่ากันว่าสัตว์ที่เกิดมาเป็นเหยื่อ ต่อให้มีเขี้ยวเล็บเช่นไรก็ไม่อาจรับมือกับพยัคฆ์คลั่งที่กำลังหิวโหยได้
   
          “อา... ให้ตายสิ ไอ้นอไปทิ้งขยะตั้งแต่เมื่อคืน แล้วมันหายหัวไปไหนของมันวะ” เสียงของกีรติบ่นอิดออดมาจากโซฟาหน้าจอโทรทัศน์ ชลนัยน์ที่กำลังเดินโซซัดโซเซลงมาจากห้องนอนขยี้ตาเล็กน้อย เริ่มกวาดมองไปทั่วห้องรับแขกที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติจึงโพล่งถามขึ้นว่า
   
          “พี่นอหายไปไหน? เฮียกี”
   
          “กูก็เพิ่งพูดไปหยกๆเมื่อกี้ว่ามันไปทิ้งขยะเมื่อคืนแล้วยังไม่กลับมา มึงยังจะหน้าด้านถามอีกเรอะ?” กีรติตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ไอ้เปรตเอ๊ย... แล้วใครจะทำไข่เจียวให้กูกินล่ะเนี่ย”
   
          “ผมทำไข่เยี่ยวม้าได้นะ เฮีย” ชลนัยน์เสนอตัวขึ้นอย่างไม่รั้งรอ ชี้นิ้วโป้งเข้าหาตัวด้วยความมั่นใจ “แบบติ่มซำน่ะ บ้านนอกอย่างเฮียเคยเห็นหรือเปล่า ไอ้ที่อยู่ในร้านสุกี้...”
   
          “ไม่เคยว่ะ ปกติกูชอบแดกแต่เจแปนนีสฟู้ดกับกระเพาะปลาข้างถนน” กีรติตอบกลับโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดต่อ “เออ มีชายแปดหมี่เกี๊ยวอีกเจ้านึง กูชอบไอเดียคูณสองทุกอย่างของแม่ง คนขายขาดทุนเห็นๆ แถมยังไม่วายคูณสองกระทั่งชื่อร้าน... แต่เรื่องนั้นช่างแม่งเหอะ มึงทำไข่เยี่ยวม้าได้แต่บ้านหลังนี้เคยมีไข่เป็ดอยู่ด้วยเหรอวะ?”
   
          “อ้าว ไหนบอกไม่เคยเห็น แล้วไหงเฮียรู้ว่ามันใช้ไข่เป็ดทำล่ะ?” ชลนัยน์ขมวดคิ้วมุ่นถามอย่างแปลกใจ ขณะเดินไปนั่งลงบนโซฟาอีกตัวใกล้ๆกีรติ
   
          “กูจะรู้ไหม อย่ามาถามกู” กีรติตอบหน้าตาย ไม่วายยิงคำถามตาม “เออ แต่แดกไข่มึงไม่กลัวเป็นไข้หวัดนกเหรอวะ?” ว่าแล้วก็หยิบหนังสือพิมพ์ฉบับย้อนหลังเกือบปีมาชี้ให้ชลนัยน์ดู
   
          “กลัวทำไม หวัดนก ไม่ใช่หวัดเป็ดสักหน่อย” เด็กหนุ่มตอบอย่างใสซื่อ “แล้วเฮียล่ะ กินไข่เจียวบ่อยๆ ไม่กลัวเป็นอะไรไปหรือไง?”
   
          “กลัวทำไม หวัดนก ไม่ใช่หวัดไก่สักหน่อย” แล้วกีรติก็จัดการทำสำเนาคำพูดของชลนัยน์จนได้...
   
          “เออ นั่นผมรู้แล้ว ที่ถามนี่หมายถึงเรื่องคอเลสเตอรอล เฮียเคยพูดไว้เองไม่ใช่เรอะ?” ปีศาจเจ้าน้ำตาสวนกลับ สีหน้าดูไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
   
          “เรื่องของมึงเหอะ วันนี้กูมีแผนจะไปข้างนอก ไม่แดกข้าวที่บ้านก็ได้วะ” กีรติชักสีหน้าหงุดหงิด ยกรีโมทขึ้นเปลี่ยนช่องโทรทัศน์อย่างหัวเสีย
   
          “ไปไหน?” หนุ่มน้อยถามด้วยนัยน์ตาใสซื่อ
   
          “ล่าธุรกิจ”
   
          “แล้วพี่นอล่ะ?”
   
          “ช่างหัวมันสิวะ เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ” กีรติกระชากเสียง ออกแรงกดปุ่มบนรีโมทมากขึ้นไปอีก “แต่มึงจะไปกับกูหรือเปล่า อยู่บ้านทั้งวันเบื่อแน่ๆ เผลอๆจะหิวตายเพราะไม่มีอะไรกินด้วย”
   
          “ก็ดีเหมือนกัน เฮีย” ชลนัยน์ตอบเหมือนลูกสุนัขรับคำสั่งเจ้านาย ลืมเรื่องของนรกานต์ไปเสียสนิท “แล้วจะไปล่าธุรกิจของใครเขาอีกล่ะ?”
   
          “เหมืองถ่านไม้ของเฮียงอน ที่เป็นสามีของเจ๊ง้อไง” กีรติตอบพร้อมเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ในลำคอ
   
          “เจ๊ง้อ... ใช่ที่เปิดครัวเจ๊ง้อหรือเปล่า เฮีย?” ชลนัยน์ครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม
   
          “ใช่แล้ว” กีรติตอบ หยิบแผนที่แผ่นใหญ่ขึ้นมากางบนโต๊ะ บนแผนที่นั้นแสดงภูมิประเทศในเขตชนบท สิ่งก่อสร้างเล็กๆน้อยๆที่มีอยู่ประปรายก็ประดับประดาอยู่บนนั้นด้วย และวงกลมสีแดงก็ครอบอยู่บนภาพประตูไม้ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง “นี่ไง เหมืองถ่านไม้เฮียงอน”
   
          “เดี๋ยวนะเฮีย ถ่านไม้เขาเอาไม้แห้งไปเผา ถ้าเหมืองมันมีแต่เหมืองถ่านหินไม่ใช่หรอกเหรอ?” ชลนัยน์ขมวดคิ้วมุ่นถามอย่างใคร่รู้
   
          “มึงอย่ามาทำตัวเป็นผู้รู้ไปหน่อยเลย มึงเป็นมือปืนรับจ้างมาก่อนนะ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์” กีรติบ่นเสียงเขียว กัดฟันกรอดๆอย่างรำคาญใจ
   
          “แต่ผมก็จบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมานะเฮีย ถึงจะเรียนวิชาฆ่าภาคบังคับแต่ก็พอมีความรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง หรือสรุปง่ายๆ...” ชลนัยน์ไม่วายเถียงกลับ “กูไม่ได้โง่นะโว้ย!”
   
          “วิชาฆ่าภาคบังคับพ่อ-มึง นั่นมัน Battle Royal... จุฬามีสอนที่ไหนล่ะวะ อีกอย่างอายุมึงอยู่ได้อย่างมากก็แค่ปีหนึ่งโว้ย มาจ่งมาจบเชี่ยอะไร...” กีรติกระชากเสียงอย่างหงุดหงิด พยายามเบนความสนใจกลับเข้าสู่แผนที่บนโต๊ะ “ช่างแม่ง... มาดูงานของพวกเรากันดีกว่า”
   
          “แล้วพี่นอล่ะ?”
   
          “มึงเคยถามกูไปรอบนึงแล้ว จำไม่ได้เรอะ?”
=============================================================
*หมายเหตุ : ผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่ครัวเจ๊ง้อแต่อย่างใด
   
          “ให้ผมไปด้วยสิพี่ ดึกๆดื่นๆ เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันได้” ชลนัยน์เกาะแขนนรกานต์หนึบ ส่งเสียงออดอ้อนด้วยแววตาเว้าวอน “นะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
   
          “กูบอกว่ากูจะไปคนเดียวไง!” ชายหนุ่มพยายามแกะมือชลนัยน์ ขาขวาก็ดิ้นรนพยายามถีบเจ้าเด็กขี้แยออกไปให้พ้นตัว “สิงห์นรกนะโว้ย โจรที่ไหนมันจะมากล้าทำอะไร!”
   
          “อย่าดูถูกพวกโจรสมัยนี้นะพี่ พวกมันไม่ใช่ธรรมดาๆกันแล้ว” หนุ่มน้อยตีสีหน้าจริงจัง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นรกานต์เปลี่ยนใจเลย
   
          “แค่เอาถุงขยะไปทิ้งที่หน้าปากซอย ไม่มีโจรที่ไหนมันออกมาเล่นงานทันหรอกโว้ย!” ชายหนุ่มแหกปากใส่หน้าชลนัยน์ จนน้ำลายฝอยๆกระเด็นไปติดบนหน้าเด็กหนุ่ม...
   
          “อี๋...” ชลนัยน์ผงะถอยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหยดน้ำลายด้วยท่าทางขยะแขยง ปากก็บ่นต่อไปไม่ยอมหยุด “พี่นอใจร้าย!”
   
          สิงห์นรกถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะรีบฉวยโอกาสเปิดประตูออกไปจากบ้านอย่างไม่รีรอ กีรติมองตามเขาออกไปพลางกดรีโมทหรี่เสียงโทรทัศน์ นึกโล่งอกที่เรื่องวุ่นวายจบลงได้เสียที
   
          รัตติกาลพานทำให้ซอยอยู่ไม่สุขไร้ซึ่งผู้คน แสงไฟจากหน้าต่างของบ้านแต่ละหลังปรากฏขึ้นเป็นแนวยาวไปตลอดสองข้างทาง ไฟถนนที่ตั้งเว้นระยะห่างพอให้ความสว่างแก่ผู้สัญจรยามราตรีอย่างนรกานต์ได้ แต่ก็ไม่พอที่จะขับไล่มุมมืดภายในตรอกซอกซอยเล็กๆที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วได้
   
          นรกานต์หยุดก้าวเดินอย่างกะทันหัน เหลือบมองช่องว่างระหว่างตึกสองหลัง ความขี้เกียจที่มีอยู่ในตัวชายหนุ่มกำลังเริ่มโน้มน้าวจิตใจของเขาให้ทำเรื่องไม่ดีให้สังคม...
   
          แอบเอาไปยัดไว้ที่นั่นก็ได้
   
          การกระทำรวดเร็วเท่าความคิด สิงห์นรกเหลียวซ้ายแลขวาจนมั่นใจว่าไม่มีใครเห็น แล้วจึงจ้ำสุดฝีเท้าเข้าไปในซอกหลืบอันมืดมิดนั้น
   
          ถุงขยะถูกวางลงบนพื้นชื้นแฉะ นรกานต์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจที่ทำหน้าที่สำเร็จลุล่วง แต่ขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับนั้นเอง สัญชาตญาณภายในตัวก็เตือนถึงภยันตรายที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม
   
          ชายสามคนกำลังย่องเข้ามาจากด้านหลังของเขา...
   
          สิงห์นรกสูดหายใจเข้าเต็มปอดและค่อยๆผ่านออกมาอย่างช้าๆ ทันทีที่ทำสมาธิได้ ชายหนุ่มก็หันขวับกลับไปเผชิญหน้ากับแขกไม่ได้รับเชิญ มือขวารีบคว้าหมับไปที่ซองปืนข้างเอว หากแต่...
   
          บลัดฮันเตอร์ไม่ได้อยู่ในที่ๆมันควรจะอยู่!
   
          นรกานต์ไม่ลังเลแม้แต่น้อย หากเขามัวแต่ควานหาอาวุธคู่ใจคงกลายเป็นการเปิดช่องว่างให้พวกมันเป็นแน่ ในสถานการณ์นี้ชายหนุ่มจำเป็นต้องมองในแง่ร้ายที่สุดไว้ก่อน...
   
          เขาลืมพกปืนออกมาด้วย!
   
          พล่อก!
   
          หมัดลุ่นๆถูกอัดเข้าเต็มปลายคางของพวกมันคนหนึ่ง เจ้าคนที่ถูกหมัดของนรกานต์ไปถึงกับโซเซแทบจะทรงตัวไม่อยู่ พวกของมันอีกสองคนเมื่อเห็นเข้าจึงรีบกระโจนเข้าหาสิงห์นรกอย่างบ้าคลั่งทันที
   
          ทว่านรกานต์ไม่ได้สับสนกับการถูกรุมเล่นงานเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มง้างขาเตะรวบร่างของพวกมันทั้งสองสุดแรง จนพวกมันกระเด็นลอยไปติดกำแพงพร้อมๆกัน!
   
          ส่วนเจ้าคนที่ถูกซัดปลายคางเมื่อครู่ ก็ตั้งสติได้และวิ่งเข้าชาร์จสิงห์นรก หมายจะรวบตัวไว้ให้อยู่หมัด!
   
          พล่อก!
   
          แต่แล้วมันก็ถูกตีเข่าเข้าไปเต็มคางอีกครั้ง การถูกโจมตีจุดอ่อนถึงสองครั้งติดต่อกันแบบนี้ทำให้มันไม่อาจประคับประคองสติสัมปชัญญะไว้ได้อีกต่อไป ร่างอ่อนปวกเปียกของมันทรุดลงไปนอนกองไม่เป็นท่าอยู่กับพื้น
   
          “หึหึหึ... ท่าพญาคชสารกระพือกรรณล่องนภา ได้มาตอนเรียนมวยไทยที่เส้าหลิน แรงสะใจไหมล่ะ!” ชายหนุ่มตะโกนเย้ยหยันอย่างสะใจ
   
          พวกมันที่เหลืออีกสองคนพยุงตัวลุกขึ้นยืนได้ คราวนี้ทั้งสองหยุดดูท่าทีของนรกานต์ พลางค่อยๆย่องเดินออกเพื่อล้อมหน้าล้อมหลังชายหนุ่มไม่ให้มีทางหนี
   
          สิงห์นรกเริ่มรู้ตัวว่าสถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นการเสียเปรียบ เขาอาจสามารถรับมือกับการจู่โจมพร้อมๆกันของเจ้าสองคนนี้ได้ แต่โอกาสสำเร็จก็ไม่เต็มร้อยเสียทีเดียว ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ...
   
          พวกมันทั้งสองคนพุ่งเข้าใส่นรกานต์อย่างกับนัดแนะกันไว้ก่อน ชายหนุ่มเบิกตากว้างกราดมองการเคลื่อนไหวของพวกมันทีละคนอย่างรวดเร็ว และตัดสินใจที่จะกระโดดแยกขาถีบสองทิศทางพร้อมๆกัน!
   
          เพล้ง!
   
          “ขอโทษค่ะ! เผลอทำกระถางต้นไม้ตก!”
   
          ดั่งโชคชะตาเล่นตลก กระถางต้นไม้จากหน้าต่างชั้นสามร่วงลงมากลางหัวสิงห์นรกพอดิบพอดี เศษหินดินทรายรวมทั้งปุ๋ยมูลสัตว์ร่วงกราวลงมาจากหัวชายหนุ่ม กระเบื้องสีส้มชิ้นใหญ่สองสามชิ้นกองเป็นเสี่ยงๆอยู่บนพื้น แน่นอน... รวมถึงดอกหน้าวัวสีแดงสดด้วย ชายหนุ่มเหยียดยิ้มมุมปากประชดชีวิตอันน่าเวทนาของตัวเองเล็กน้อย ก่อนที่สติอันพร่าเลือนจะค่อยๆวูบหายไป
=================================================================
          เปลือกตาบางเผยอเปิด นัยน์ตาไร้ความรู้สึกกลิ้งกลอกรับทัศนียภาพโดยรอบ หลอดไฟสีทองห้อยต่องแต่งอยู่บนเพดานไม้ ส่องแสงสลัวๆคอยต่อสู้กับความมืดและอับชื้น แผ่นหลังรู้สึกได้ถึงสัมผัสแข็งกระด้างจากเตียงที่รองรับร่างของตน และเมื่อตั้งสติได้ สัญชาตญาณในตัวก็พลันลุกโพลง!
          นรกานต์พราดพราดลุกขึ้น หันมองรอบกายอย่างแตกตื่น เตียงฟูกสีขาวตั้งเรียงรายกันอยู่แนบชิดติดผนัง ผู้ชายมากหน้าหลายตาสภาพโทรมจนดูไม่ได้นอนทอดกายอยู่บนเตียงเหล่านั้น ที่นี่มันที่ไหนกัน?
          ชายหนุ่มไม่สนใจว่าใครจะนอนอยู่บ้าง เขาลงจากเตียง ค่อยๆก้าวเดินไปตามที่ว่างกลางบ้าน มาหยุดอยู่หน้าบานประตูไม้หนาเตอะท่าทางแข็งแรง นรกานต์เอื้อมมือออกไปจับที่ลูกบิดและพบว่ามันล็อคอยู่
          มือหยาบกร้านคว้าหมับไปที่เอว หมายจะหยิบปืนในซองออกมาถล่มประตูนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ที่ข้างเอวนั้นกลับไม่มีอะไรอยู่เลย วินาทีนั้นสิงห์นรกจึงจำเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ และรู้แล้วว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานภาพไหน...
          หนักกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว มีหรือจะหวั่นกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้?
          นรกานต์ขยับรอยยิ้ม ค่อยๆเดินกลับไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หลับตาลง บานประตูก็เปิดผางออก เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นเข้ามาพร้อมๆกับร่างของชายหลายคนที่ถือปืนติดตัวมาด้วย
   
          “พวกมึง ตื่นกันได้แล้วโว้ย!”
   
          ไม่มีใครมาปลุกสิงห์นรกถ้วยวาจาหยาบคายแบบนั้นได้ นอกจากกีรติที่มีข้อผูกมัดทางธุรกิจกันอยู่ นรกานต์ชันกายขึ้นเหลือบมองใบหน้าเจ้าของคำพูดเหล่านั้น หัวสมองของเขาจดจำมันไว้ในบัญชีดำได้อย่างรวดเร็ว หากมีโอกาสเอาคืน... มันจะต้องเจ็บแสบอย่างที่สุด!
   
          คนอื่นๆเริ่มลุกขึ้นกันแล้ว พวกเขาเดินออกไปทางประตูอย่างเป็นระเบียบ สีหน้าของแต่ละคนดูไม่สู้ดีนัก บางคนเดินโซซัดโซเซราวกับผีตายซาก บางคนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่
   
          ตุบ!
   
          หนึ่งในนั้นล้มลงกับพื้น และกำลังพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่เหล่าชายถือปืนก็เดินเข้ามาล้อมวงเขาไว้ และตะคอกเสียงดัง “สำออยเรอะ!” ชายคนหนึ่งเตะสีข้างคนที่ล้มอยู่บนพื้นอย่างแรง จนเขาถึงกับจุกตัวงอ เมื่อเห็นดังนั้นคนอื่นๆจึงช่วยกันส่งเสริม รุมซ้อมเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม
   
          ภาพนี้เป็นเพียงสิ่งที่นรกานต์เห็นบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ เขาไม่ใช่คนที่มีจิตใจเมตตา และไม่ใช่คนที่จะไปนึกสงสารใครง่ายๆ ชายหนุ่มหรี่ตามองเหยื่อที่ถูกเหล่าหมาไฮยีน่ารุมกระทืบอย่างสังเวชใจ ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อ... เขาเองก็เชื่อว่าตัวเขาคงยินดีที่จะซ้อมคนสักคนหากจำเป็น
   
          แต่อาจไม่ใช่กับคนไร้ทางสู้...
   
          ความคิดนั้นทำให้สิงห์นรกรู้สึกละอายแก่ใจเล็กน้อย เขาตัดสินใจเดินออกไปจากบ้านเล็กๆนั้นเพื่อจะได้ไม่ต้องมองดูภาพอันโหดร้ายนั้นอีก ชายหนุ่มเดินตามแถวที่คนอื่นๆบรรจงจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ และจำต้องทึ่งกับสถานที่ที่ตัวเองอยู่ในขณะนี้
   
          มันคือเหมืองที่ใช้แรงงานคนดีๆนี่เอง
   
          พวกเขาถูกนำให้เดินลึกลงไปในอุโมงค์กว้าง ท่อนไม้แข็งแรงถูกทำเป็นโครงดามผนังอุโมงค์ไว้ไม่ให้ถล่มลงมา หลอดไฟที่ถูกเชื่อมมาจากภายนอกห้อยต่องแต่งคอยให้แสงสว่างเรืองรองเป็นระยะๆ ผนังอุโมงค์ค่อยๆกว้างขึ้น... กว้างขึ้น จนกระทั่งมาถึงจุดที่ถูกขุดค้างเอาไว้
   
          “ทำงานไป!” ชายถือปืนคนหนึ่งตะคอกขึ้น ทุกคนยอมเชื่อฟังเขาแต่โดยดีเมื่อเห็นปากกระบอกปืนที่สะบัดส่ายไปมาเป็นเชิงขู่... ทุกคนยกเว้นสิงห์นรก ที่สาบานได้ว่าทั้งชีวิตจะไม่ยอมทำงานประเภทนี้เด็ดขาด
   
          “แกมีปัญหาอะไร!” มันเดินเข้ามาหานรกานต์ แหกปากใส่หน้าเขาพลางยกปืนขึ้นขู่กรรโชก
   
          นรกานต์ไม่ตอบ เขากลับเอนหลังพิงผนังอุโมงค์ ยกขาขึ้นไขว้กันราวกับเตรียมจะพักผ่อนหย่อนใจ ภาพตรงหน้าทำให้มันถึงกับฟิวส์ขาด เจ้าผู้คุมหน้าโง่เก็บปืนใส่ซอง ชักกระบองออกมาเงื้อ หมายจะฟาดลงกลางหัวชายหนุ่ม
   
          มันติดกับเสียแล้ว...
   
          สิงห์นรกลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว มือขวาข้างถนัดคว้าหมับที่กระบองเข้าให้ ส่วนมือซ้ายนั้นล้วงลงไปหยิบปืนจากซองขึ้นมา และยัดเข้าไปในเอวกางเกงของตนด้วยความว่องไว ขาของเขาก็ไม่อยู่เฉย เงื้อเตะใส่จุดยุทธศาสตร์ ทำเอาฝ่ายตรงข้ามอ่อนแรง ร่วงลงไปนอนคุดคู้อยู่บนพื้นเหมือนไส้เดือนขดตัว ชายหนุ่มยกขาถีบใส่ร่างอันน่าสมเพชเวทนานั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อหนำใจจึงเตะปลายคางมันหน้าหงาย แล้วเหยียบให้นอนแผ่หลาอยู่กับพื้น
   
          กระบองที่แย่งมาถูกนำมาใช้ประโยชน์ โดยการกระแทกลงไปที่ปากของมันอย่างไม่ยั้งมือ หัวคิ้วของนรกานต์ยับย่นเข้าหากัน หากแต่แววตายังคงไร้ความปรานี ราวกับสิงห์ที่กำลังขย้ำเหยื่ออ่อนแอไร้ทางสู้ เขายัดปลายกระบองเข้าไปในริมฝีปากชุ่มเลือด อัดกระแทกเข้าไปสุดแรงจนแทบทำคอหอยอีกฝ่ายทะลุเป็นรู เสียงอู้อี้ๆดังออกมาจากปากที่ถูกอุดอยู่นั้น ฟันหลายซี่หักกราวลงไปเป็นเศษขยะอยู่บนพื้น นรกานต์ยิ่งออกแรงกดเพิ่มลงไปอีก ไม่มีทีท่าว่าจะสงสารเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเลยแม้แต่น้อย
   
          มันต้องตาย... ตายอย่างทรมานที่สุด
   
          เสียงร่ำร้องก้องสะท้านอยู่ภายในหัวของสิงห์นรก เขาเริ่มโน้มกายไปข้างหน้า อาศัยน้ำหนักตัวช่วยเพิ่มแรงกดให้แก่กระบอง ท่อนกระบองอุดตันท่อหายใจ ยังผลให้ออกซิเจนไม่อาจเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ อีกฝ่ายนั้นถึงกับตาเหลือกแทบจะถลนหลุดออกมาจากเบ้า เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วทั้งตัว มือไม้ปัดป่ายไปมาสะเปะสะปะเยี่ยงแมลงสกปรกที่กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนแต่สร้างความพึงพอใจให้แก่นรกานต์ทั้งสิ้น
   
          ผ่านไปเพียงนาทีเดียว ร่างนั้นก็นิ่งสนิท... ไร้วี่แววของชีวิต
   
          นรกานต์ชักสีหน้าหงุดหงิด แทงกระบองโชกเลือดนั้นจนทะลุออกไปทางหลังคอของศพ และปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนั้น คนงานเหมืองอีกจำนวนมากต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้เสียจนทำอะไรไม่ถูก ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมาเสียด้วยซ้ำ
   
          สิงห์นรกสาวเท้าเดินไปตามอุโมงค์ ไม่คิดจะเหลียวกลับมาหาคนงานเหล่านั้น มือของเขาตะปบไปที่ปืนชั่วคราวในซอง ความรู้สึกหงุดหงิดของเขาทำให้มือหยาบกร้านจับปืนแน่นราวกับจะบีบให้แตกสะบั้น อาการกระหายเลือดกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมาจนถึงจุดเดือด เขาต้องการระบายมันออก... กับเจ้าพวกที่อยู่อย่างสุขสบายข้างนอกนั่น
   
          “ตายยยย! ตายยยยยย! ตายยยยยยยยยยยยยย!”
   
          เสียงคำรามของสิงห์นรกลั่นสะท้านไปทั่วทั้งเหมือง กระแสเสียงแฝงความอำมหิตนั้นนำความหวาดกลัวไปจับขั้วหัวใจทุกคนที่ได้ยิน ไม่เว้นแม้แต่คนที่มีอาวุธพร้อมอยู่ในมือ ว่ากันว่าสัตว์ที่เกิดมาเป็นเหยื่อ ต่อให้มีเขี้ยวเล็บเช่นไรก็ไม่อาจรับมือกับพยัคฆ์คลั่งที่กำลังหิวโหยได้
   
          “อา... ให้ตายสิ ไอ้นอไปทิ้งขยะตั้งแต่เมื่อคืน แล้วมันหายหัวไปไหนของมันวะ” เสียงของกีรติบ่นอิดออดมาจากโซฟาหน้าจอโทรทัศน์ ชลนัยน์ที่กำลังเดินโซซัดโซเซลงมาจากห้องนอนขยี้ตาเล็กน้อย เริ่มกวาดมองไปทั่วห้องรับแขกที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติจึงโพล่งถามขึ้นว่า
   
          “พี่นอหายไปไหน? เฮียกี”
   
          “กูก็เพิ่งพูดไปหยกๆเมื่อกี้ว่ามันไปทิ้งขยะเมื่อคืนแล้วยังไม่กลับมา มึงยังจะหน้าด้านถามอีกเรอะ?” กีรติตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ไอ้เปรตเอ๊ย... แล้วใครจะทำไข่เจียวให้กูกินล่ะเนี่ย”
   
          “ผมทำไข่เยี่ยวม้าได้นะ เฮีย” ชลนัยน์เสนอตัวขึ้นอย่างไม่รั้งรอ ชี้นิ้วโป้งเข้าหาตัวด้วยความมั่นใจ “แบบติ่มซำน่ะ บ้านนอกอย่างเฮียเคยเห็นหรือเปล่า ไอ้ที่อยู่ในร้านสุกี้...”
   
          “ไม่เคยว่ะ ปกติกูชอบแดกแต่เจแปนนีสฟู้ดกับกระเพาะปลาข้างถนน” กีรติตอบกลับโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดต่อ “เออ มีชายแปดหมี่เกี๊ยวอีกเจ้านึง กูชอบไอเดียคูณสองทุกอย่างของแม่ง คนขายขาดทุนเห็นๆ แถมยังไม่วายคูณสองกระทั่งชื่อร้าน... แต่เรื่องนั้นช่างแม่งเหอะ มึงทำไข่เยี่ยวม้าได้แต่บ้านหลังนี้เคยมีไข่เป็ดอยู่ด้วยเหรอวะ?”
   
          “อ้าว ไหนบอกไม่เคยเห็น แล้วไหงเฮียรู้ว่ามันใช้ไข่เป็ดทำล่ะ?” ชลนัยน์ขมวดคิ้วมุ่นถามอย่างแปลกใจ ขณะเดินไปนั่งลงบนโซฟาอีกตัวใกล้ๆกีรติ
   
          “กูจะรู้ไหม อย่ามาถามกู” กีรติตอบหน้าตาย ไม่วายยิงคำถามตาม “เออ แต่แดกไข่มึงไม่กลัวเป็นไข้หวัดนกเหรอวะ?” ว่าแล้วก็หยิบหนังสือพิมพ์ฉบับย้อนหลังเกือบปีมาชี้ให้ชลนัยน์ดู
   
          “กลัวทำไม หวัดนก ไม่ใช่หวัดเป็ดสักหน่อย” เด็กหนุ่มตอบอย่างใสซื่อ “แล้วเฮียล่ะ กินไข่เจียวบ่อยๆ ไม่กลัวเป็นอะไรไปหรือไง?”
   
          “กลัวทำไม หวัดนก ไม่ใช่หวัดไก่สักหน่อย” แล้วกีรติก็จัดการทำสำเนาคำพูดของชลนัยน์จนได้...
   
          “เออ นั่นผมรู้แล้ว ที่ถามนี่หมายถึงเรื่องคอเลสเตอรอล เฮียเคยพูดไว้เองไม่ใช่เรอะ?” ปีศาจเจ้าน้ำตาสวนกลับ สีหน้าดูไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
   
          “เรื่องของมึงเหอะ วันนี้กูมีแผนจะไปข้างนอก ไม่แดกข้าวที่บ้านก็ได้วะ” กีรติชักสีหน้าหงุดหงิด ยกรีโมทขึ้นเปลี่ยนช่องโทรทัศน์อย่างหัวเสีย
   
          “ไปไหน?” หนุ่มน้อยถามด้วยนัยน์ตาใสซื่อ
   
          “ล่าธุรกิจ”
   
          “แล้วพี่นอล่ะ?”
   
          “ช่างหัวมันสิวะ เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ” กีรติกระชากเสียง ออกแรงกดปุ่มบนรีโมทมากขึ้นไปอีก “แต่มึงจะไปกับกูหรือเปล่า อยู่บ้านทั้งวันเบื่อแน่ๆ เผลอๆจะหิวตายเพราะไม่มีอะไรกินด้วย”
   
          “ก็ดีเหมือนกัน เฮีย” ชลนัยน์ตอบเหมือนลูกสุนัขรับคำสั่งเจ้านาย ลืมเรื่องของนรกานต์ไปเสียสนิท “แล้วจะไปล่าธุรกิจของใครเขาอีกล่ะ?”
   
          “เหมืองถ่านไม้ของเฮียงอน ที่เป็นสามีของเจ๊ง้อไง” กีรติตอบพร้อมเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ในลำคอ
   
          “เจ๊ง้อ... ใช่ที่เปิดครัวเจ๊ง้อหรือเปล่า เฮีย?” ชลนัยน์ครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม
   
          “ใช่แล้ว” กีรติตอบ หยิบแผนที่แผ่นใหญ่ขึ้นมากางบนโต๊ะ บนแผนที่นั้นแสดงภูมิประเทศในเขตชนบท สิ่งก่อสร้างเล็กๆน้อยๆที่มีอยู่ประปรายก็ประดับประดาอยู่บนนั้นด้วย และวงกลมสีแดงก็ครอบอยู่บนภาพประตูไม้ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง “นี่ไง เหมืองถ่านไม้เฮียงอน”
   
          “เดี๋ยวนะเฮีย ถ่านไม้เขาเอาไม้แห้งไปเผา ถ้าเหมืองมันมีแต่เหมืองถ่านหินไม่ใช่หรอกเหรอ?” ชลนัยน์ขมวดคิ้วมุ่นถามอย่างใคร่รู้
   
          “มึงอย่ามาทำตัวเป็นผู้รู้ไปหน่อยเลย มึงเป็นมือปืนรับจ้างมาก่อนนะ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์” กีรติบ่นเสียงเขียว กัดฟันกรอดๆอย่างรำคาญใจ
   
          “แต่ผมก็จบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมานะเฮีย ถึงจะเรียนวิชาฆ่าภาคบังคับแต่ก็พอมีความรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง หรือสรุปง่ายๆ...” ชลนัยน์ไม่วายเถียงกลับ “กูไม่ได้โง่นะโว้ย!”
   
          “วิชาฆ่าภาคบังคับพ่อ-มึง นั่นมัน Battle Royal... จุฬามีสอนที่ไหนล่ะวะ อีกอย่างอายุมึงอยู่ได้อย่างมากก็แค่ปีหนึ่งโว้ย มาจ่งมาจบเชี่ยอะไร...” กีรติกระชากเสียงอย่างหงุดหงิด พยายามเบนความสนใจกลับเข้าสู่แผนที่บนโต๊ะ “ช่างแม่ง... มาดูงานของพวกเรากันดีกว่า”
   
          “แล้วพี่นอล่ะ?”
   
          “มึงเคยถามกูไปรอบนึงแล้ว จำไม่ได้เรอะ?”
=============================================================
*หมายเหตุ : ผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่ครัวเจ๊ง้อแต่อย่างใด
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น