ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กีรติการช่าง : ตามล่าน้ำมันสุดขอบโลก

    ลำดับตอนที่ #4 : กิโลเมตรที่ 4 : สิงห์นรก vs ปีศาจเจ้าน้ำตา

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 48


    กีรติการช่าง : ตามล่าน้ำมันสุดขอบโลก



    กิโลเมตรที่ 4 : สิงห์นรก vs ปีศาจเจ้าน้ำตา








              แบล็คบ็อตเทิ่ลเป็นบาร์เหล้าชื่อดังที่สุดในย่านอยู่ไม่สุข ด้วยกลิ่นเหล้าเคล้านมสดและเครื่องดื่มตั้งแต่น้ำเปล่ายันชาเขียว ทำให้บาร์แห่งนี้มีลูกค้าทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะรุ่นคุณปู่คุณย่าจนกระทั่งลูกเด็กเล็กแดงก็ยังมานั่งก๊งเหล้ากันที่นี่





              ไม่แน่นะ... อาจเป็นเพราะมันเป็นร้านขายเครื่องดื่มแห่งเดียวในย่านนี้ก็ได้





              คืนนี้สองช่างหนุ่มแห่งกีรติการช่างก็มานั่งดื่มเหล้าย้อมใจกันที่นี่ ชลนัยน์นั่งจ้องแก้วนมรสสละเลมอนของเขาตาไม่กระพริบ ส่วนนรกานต์ก็นั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปยังความมืดมิดเบื้องนอก ไม่ได้แตะต้องแก้วโอเลี้ยงของตัวเองเลยแม้แต่น้อย





              “พี่นอ...” ชลนัยน์เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ทำไมนมสละไซเดอร์ของผมมันเป็นสีเขียวล่ะครับ ?”





              “กูจะไปรู้ไหม” นรกานต์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไอ้บาร์เทนเดอร์มันอาจจะผสมให้มึงผิดก็ได้มั้ง ไม่ลองแดกดูไม่รู้หรอก”





              “แล้วทำไมโอเลี้ยงพี่ถึงเป็นสีขาวล่ะ ?”





              “ก็กูไม่ได้สั่งโอเลี้ยง แต่กูสั่งเหล้าขาวเพียวๆ”





              “แต่ในบทบอกไว้ว่าพี่ต้องสั่งโอเลี้ยงนี่...” ชลนัยน์ขมวดคิ้วมุ่นพลางหยิบสคริปต์ขึ้นมาดู “ของผมบาร์เทนเดอร์ผสมผิดน่ะ ถูกแล้ว แต่ของพี่ต้องสั่งโอเลี้ยงนะ”





              “ช่างหัวบทมันสิวะ ก็กูจะเอาเหล้าขาวนี่” นรกานต์เริ่มชักสีหน้าหงุดหงิด แม้จะยังไม่หันมาสบตากับเจ้าเด็กชายตัวน้อยก็ตามที





              “แต่กินเหล้าไม่ดีนะพี่”





              “แล้วใครบอกว่ากูจะแดก กูสั่งมาตั้งโชว์ สีมันสวยดี” นรกานต์หันมากล่าวเสียงเขียวด้วยความเหลืออด ทำเอาชลนัยน์อกสั่นขวัญแขวน “ยิ่งถ้าใครรู้ว่าสิงห์นรกมานั่งแดกโอเลี้ยงในบาร์เหล้า มึงเอ๊ย... รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”





              ทว่า ดูเหมือนชลนัยน์จะไม่ได้ฟังประโยคหลังของเขา เด็กหนุ่มตาเบิกโพลงมองข้ามหัวนรกานต์ไปหน้าตาเฉย แต่ท่าทางที่เหมือนกับตกอยู่ในภวังค์ทำให้สิงห์นรกอดสงสัยไม่ได้ จำต้องหันไปมองตาม...





              หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังเปิดประตูเดินเข้ามาในบาร์ ใบหน้าขาวนวลสวยใสของเธอทำเอาสิงห์หนุ่มต้องตาค้าง ท่วงท่าการเดินของเธอสะกดใจของนรกานต์เอาไว้ได้เพียงแค่แรกเห็น มือของชายหนุ่มละลาบละล้วงลงไปที่เป้ากางเกงของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆขยับออกมาด้านข้าง ล้วงลงไปหยิบสคริปต์ในกระเป๋าขึ้นมาดู





              ชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วมุ่น... และหันไปมองทางผู้กำกับนามแอสเตอร์ ซึ่งกำลังชูป้ายหราว่า ‘ออกอากาศสด ระงับไม่ได้’





              “ฉิบหายแล้ว... ยายนี่ไม่มีบท หลุดฉากมาได้ไงวะ” นรกานต์เริ่มบ่นกับตัวเอง





              “ตามบท ไอ้พวกสมิตาช่างยนต์มันต้องเข้ามาไม่ใช่เหรอ พี่...” ชลนัยน์กระซิบด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ แต่นรกานต์กลับหยุดคิดอยู่เพียงครู่เดียว และขยำสคริปต์ทิ้งไปโดยไม่ใยดี





              “ลืมบทซะ พวกเราต้องเล่นตามธรรมชาติ”





              นรกานต์อาจจะเป็นสิงห์นรกก็จริง แต่ลึกๆแล้วเขาก็เป็นเสือผู้หญิงด้วยเหมือนกัน แม้ตัวเขาจะเป็นคนที่อารมณ์ร้อนมักด่วนตัดสินใจทำอะไรที่บ้าดีเดือดเสมอๆ แต่หญิงสาวในดวงใจของเขาก็ต้องเป็นผู้หญิงที่น่ารักเรียบร้อยเหมือนกับที่ผู้ชายหลายๆคนใฝ่ฝัน





              “เดี๋ยวก่อน พี่” ชลนัยน์กระตุกชายเสื้อนรกานต์ขณะเขากำลังทำท่าจะลุกออกไป “อย่ายุ่งกับผู้หญิงดีกว่านะ ผมเคยเห็นในโทรทัศน์ เวลาผู้ชายผู้หญิงเลิกกันทีไรต้องร้องไห้แล้วก็มีฝนตกทุกทีเลย”





              “ไม่เป็นไร ถ้ามันบอกเลิกกู กูจะเอาบลัดฮันเตอร์เป่ากบาลมันเลย”





              ว่าแล้วสิงห์หนุ่มก็หันไปหาสาวน้อย ซึ่งบัดนี้ยังคงเดินไปไม่ถึงเคาน์เตอร์ นรกานต์ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือตนเองเล็กน้อย ก่อนจะบ่นพึมพำกับตัวเอง “คนเชี่ยไรวะ เดินตั้งนานยังไม่ถึงอีก”





              “ว้าย !”





              ดั่งเสียงสวรรค์ สาวน้อยน่ารักเดินสะดุดชายกระโปรงตัวเองล้มคะมำลงไปนั่งร้องโอดโอยอยู่กับพื้น ผู้ชายทุกคนในบาร์ถึงกับตาเป็นมัน ขณะเตรียมลุกขึ้นแสดงความเป็นสุภาพบุรุษของตนเอง





              ทว่าสิงห์หนุ่มชักบลัดฮันเตอร์ออกมาสอดส่ายลำกล้องไปทั่วทุกทิศทุกทาง ทำเอาเหล่าหัวงูทั้งหลายจำต้องกลั้นใจทรุดตัวลงนั่งตามเดิมอีกครั้ง... ก็ชีวิตสำคัญที่สุดนี่นะ





              “คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกการ์ตูนญี่ปุ่นหรือไง ?”





              คำทักทายของนรกานต์ทำเอาทุกคนในบาร์ต้องหันมามองทางเขาเป็นสายตาเดียวกัน ความสงสัยผุดขึ้นในใจของทุกๆคน... ไอ้หนุ่มนี่จีบสาวเป็นหรือเปล่าวะ ?





              สาวน้อยถึงกับจ้องหน้าเขาด้วยความงงงัน แต่แล้วเธอก็ตั้งสติขึ้นได้





              “ป... เปล่าค่ะ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจล้ม”





              “ดีแล้ว เอ้า รีบๆลุกสิ” นรกานต์เก็บบลัดฮันเตอร์กลับเข้าซองพลางยื่นมือออกไปช่วยสาวน้อยตรงหน้าให้ลุกขึ้นมา





              “คุณชื่ออะไรครับ ?” สิงห์หนุ่มวางมาดสุภาพบุรุษรุกต่ออย่างไม่รีรอ





              “นิ... นิ... นิศาค่ะ” หญิงสาวยังคงละล่ำละลัก เธอล้วงมือลงไปในกระเป๋ากระโปรงควานหาอะไรบางอย่าง ปากก็เอ่ยถามสิงห์นรกไปด้วย “เอ่อ... คุณนรกานต์นิยมสาวแว่นใช่ไหมคะ”





              “หือ... ใครบอกคุณครับ ?” สิงห์หนุ่มฉงนสุดขีดขณะมองไปยังนิศาที่กำลังหยิบแว่นขึ้นมาใส่





              “ผู้กำกับ... เอ้ย ! เพื่อนๆของคุณน่ะค่ะ”





              นรกานต์แอบเหล่มองไปทางผู้กำกับแอสเตอร์ ซึ่งตอนนี้กำลังแกล้งหลับคาเก้าอี้ เมื่อมองต่อไปทางตากล้องมันก็ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ พอมองไปถึงเหล่าผู้อ่าน... พวกคุณจะทำหน้ายังไงล่ะ ?





              “ให้ผมเลี้ยงเหล้านะครับ”





              “ดิฉันไม่ดื่มเหล้าค่ะ”





              “ไม่เป็นไรครับ ที่นี่มีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันชาเขียว”





              “ขนาดขายแต่เครื่องดื่มยังต้องมีไม้จิ้มฟันอีกเหรอคะ ?” คำถามของเธอทำเอานรกานต์ต้องกุมขมับอย่างเสียรู้...





    ==================================================================





              ทว่าชายหนุ่มจำต้องละสายตาจากหญิงสาว เมื่อชลนัยน์เดินปึงปังตรงมาทางพวกเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นที่สุด





              “เป็นอะไรไป ชล ?” นรกานต์ตัดสินใจเอ่ยถาม แต่แทนที่จะได้รับคำตอบ เด็กหนุ่มกลับควักเดธบริงเกอร์ออกมาจากซอง พร้อมจ่อไปยังกลางหัวของนิศาที่กำลังตื่นตระหนกสุดขีด แม้แต่คนในร้านทุกคนยังถึงกับสะดุ้ง





              แต่ไม่ใช่กับสิงห์นรกอย่างนรกานต์...





              ปัง !





              บลัดฮันเตอร์ส่งกระสุนอัดกระแทกเดธบริงเกอร์จนกระเด็นหลุดจากมือชลนัยน์ ความเร็วในการฉวยปืนของสิงห์นรก เหนือกว่าปีศาจเจ้าน้ำตาในครานี้ !





              “ใครสั่งใครสอนให้เอาปืนจ่อหัวสุภาพสตรี !” นรกานต์ตวาดเสียงเขียว ทำเอาชลนัยน์ที่ทั้งกลัวทั้งสับสนต้องร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาท่ามกลางสายตาของทุกคนในบาร์





              “ฮึก... พี่นอ... ยิงผมเหรอ...”





              “ถ้ากูจะยิงมึงป่านนี้หัวมึงได้เป็นรูไปแล้ว !” นรกานต์ยังคงกระแทกเสียงด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด “แต่เมื่อกี้มึงคิดจะยิงคุณนิศาจริงๆไม่ใช่หรือไง !”





              “ผม... ผม...” เด็กหนุ่มถึงกับพูดไม่ออก จริงๆแล้วเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบของเขา... ความรู้สึกที่ไม่อยากสูญเสียพี่ชายเพียงคนเดียวให้แก่คนอื่น





              “ถ้ามึงไม่หัดควบคุมอารมณ์ตัวเองเสียบ้าง...” นรกานต์กล่าวต่อด้วยสายตาดุดันที่ทำให้ผู้ถูกจ้องมองรู้สึกเสียวสันหลังวาบ “ก็ไม่ต้องมาเรียกกูว่าพี่อีก !”





              “พี่นอไม่เคยตวาดผมแบบนี้มาก่อนเลยนะ !” ชลนัยน์ไม่วายรวบรวมความกล้าเถียงกลับ “หรือจะเป็นเพราะยายผู้หญิงคนนี้ !”





              “ใครว่ากูไม่เคยตวาดมึง !” บลัดฮันเตอร์ถูกยกขึ้นเล็งจ่อไปยังกลางหัวชลนัยน์ ทำเอาปีศาจเจ้าน้ำตาต้องสดับฟังด้วยความหวาดกลัว “แล้วไม่ต้องมาลากคุณนิศาเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย !”





              ได้ยินดังนั้นชลนัยน์ก็ตั้งท่าจะพูดอะไรออกมา แต่แล้วเด็กหนุ่มก็กลั้นใจขบริมฝีปากแน่นและกลับหลังหันเดินปึงปังไปหยิบเดธบริงเกอร์ นรกานต์กระชับปืนในมือเตรียมพร้อมไว้ เผื่อว่าชลนัยน์จะหันมายิงเขา แต่เด็กหนุ่มกลับเก็บปืนเข้าซองและเดินออกจากร้านไปเฉยๆ





              “นั่นน้องชายคุณเหรอคะ ?” นิศาเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าหวาดๆหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายสงบลง





              “ไม่ใช่น้องแท้ๆครับ...” นรกานต์ตอบอย่างลำบากใจ “แต่หลายๆครั้งผมก็รู้สึกเหมือนกับเขาเป็นน้องของผมจริงๆ...”





              “ดิฉันคิดว่าเขายังเด็ก... เด็กกว่าวัยของตัวเองเสียด้วยซ้ำไป”





              “ผมพยายามจะฝึกเขาให้กลายเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวอยู่เสมอ” นรกานต์หันกลับมาที่เคาน์เตอร์พลางหลุบหัวลงใต้ท่อนแขน ก่อนที่เสียงอื้ออึงของเขาจะดังออกมาต่อ “แต่เจ้าเด็กนั่นเอาแต่ใจเกินไป ไม่รู้จักโตเสียที...”





              “ปีนี้เขาอายุเท่าไหร่แล้วคะ ?”





              “สิบเจ็ดครับ” นรกานต์เงยหน้าขึ้นเอาคางเกยโต๊ะและตอบกลั้วหัวเราะ “แต่ยังเหมือนเด็กอายุสิบเอ็ดสิบสองอยู่เลย คุณว่าไหม ?”





              “ดิฉันคิดว่าคุณคงเหนื่อยมากสินะคะ...” นิศาปลอบประโลมชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ทำไมคุณไม่พักผ่อนเสียบ้าง บางทีการปล่อยให้เขาได้อยู่ตัวคนเดียวโดยปราศจากคนคอยดูแลอาจทำให้เขากลายเป็นผู้ใหญ่ที่ยืนหยัดด้วยตัวเองสำเร็จก็ได้”





              “ใช่... ผมเหนื่อย...” นรกานต์เอ่ยด้วยแววตาเหม่อลอย “ทำไมคุณช่างเข้าใจผมดีขนาดนี้นะ นิศา... ทั้งๆที่พวกเราก็เพิ่งพบกันครั้งแรกเท่านั้น...”





              “รักแรกพบไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอกค่ะ”





              คำพูดของเธอทำให้หัวใจของสิงห์นรกต้องสั่นคลอน ใบหน้าของชายหนุ่มร้อนวูบวาบจนเขาต้องหันหน้าหนีเพื่อปิดบังอาการเขินอายของตัวเอง





              เมื่อได้เห็นท่าทางของเขา นิศาก็หัวเราะคิกคักออกมาอย่างนึกสนุก





              “ดิฉันแค่ล้อเล่นค่ะ”





              นรกานต์แอบถอนหายใจออกมาเบาๆ จิตใจของชายหนุ่มเริ่มสับสนว้าวุ่น ใจหนึ่งนึกเสียดายในขณะที่อีกใจหนึ่งนึกโล่งอก ความรู้สึกแปลกๆกำลังจุกอกของเขาจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว





              “งั้นผมจะน้อมรับคำแนะนำของคุณเอาไว้” นรกานต์ลุกขึ้นพูดอย่างไว้มาด “ผมจะลองไม่กลับบ้านสักพัก ปล่อยให้เขาอยู่ตัวคนเดียว รอดูว่าอะไรๆจะดีขึ้นหรือเปล่า”





              ชายหนุ่มทำท่าจะเดินจากไปด้วยใจอาลัย แต่แขนเล็กๆของหญิงสาวกลับฉุดรั้งเขาเอาไว้เสียก่อน





              “แล้วพวกเราจะใช้เวลาด้วยกันอีกสักนิดไม่ได้เหรอคะ” นิศาเอ่ยด้วยท่าทางออดอ้อนจนนรกานต์ต้องรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว “อย่างน้อย ก่อนที่คุณจะกลับไปบ้าน ขอให้ฉันได้รู้จักคุณมากกว่านี้อีกสักนิดเถอะ”





              ชายหนุ่มหยุดชะงักด้วยความลังเล แต่เมื่อมองดูใบหน้างดงามที่กำลังส่งสายตาอ้อนวอนมาให้เขา สิงห์นรกก็จำต้องใจอ่อน...





              “ตกลงครับ”









                                            ------------------------------------------------------------------









              กีรติกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาที่ขาดวิ่นสภาพดูไม่ได้ มือหนึ่งล้วงข้าวโพดคั่ว อีกมือหนึ่งถือแก้วน้ำอัดลมไว้ไม่ยอมปล่อยไปไหน ช่างหนุ่มระเบิดหัวเราะเสียงดังทุกครั้งที่มีการเล่นมุขตลกฝืดในหน้าจอ จนกระทั่งเสียงเปิดประตูดังขึ้นขัดอารมณ์สนุกสนานของเขา





              ชลนัยน์เดินดุ่มๆเข้ามา สีหน้าบอกบุญไม่รับ แต่เมื่อไม่เห็นวี่แววของเจ้าลูกน้องนามนรกานต์ ช่างหนุ่มก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย





              “ทำไมกลับมาคนเดียวล่ะ ชล แล้วเจ้านอมันไม่กลับมาพร้อมแกหรือไง ?”





              “พี่นอติดหญิง” เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะจากกีรติได้





              “จริงหรือเปล่า ! ผู้หญิงแบบไหนวะที่ทำให้ไอ้สิงห์นรกมันหลงจนหัวปักหัวปำไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องแบบนี้ได้ !” ช่างหนุ่มถามกลั้วหัวเราะ แต่ชลนัยน์กลับถลึงตาใส่เขาพลางเดินปึงปังขึ้นบันไดไปโดยไม่ตอบอะไร





              “อะไรของมันนะ ไอ้พวกนี้...”





              กีรติมองตามเด็กหนุ่มขึ้นไปจนเขาหายลับไปจากสายตา





              ชลนัยน์ทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มๆของเขา ครั้งหนึ่งบนที่นอนนี้เขามักจะมีนรกานต์มานอนอยู่เคียงข้างสร้างความอบอุ่นใจให้แก่เขา แต่ในตอนนี้เหลือเพียงเขาคนเดียว... พร้อมกับความรู้สึกถูกทอดทิ้ง





              มันช่างอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว...





              ยิ่งนึก น้ำตาของเด็กหนุ่มก็พาลจะไหล ชลนัยน์ใช้มือทั้งสองข้างปาดน้ำตาที่คลอเบ้าด้วยอารมณ์หงุดหงิดเหลือคณานับ ฟันบนขบกัดริมฝีปากล่างอย่างคับแค้นใจ เสียงตวาดของนรกานต์ยังคงดังก้องอยู่ในหัว ภาพของหญิงสาวที่ชื่อนิศายังคงแล่นปราดผ่านไปผ่านมา





              ทันใดนั้นหัวคิ้วของชลนัยน์ก็พลันยับย่นเข้าหากัน เด็กหนุ่มชันกายลุกขึ้นพลางควานหาปืนที่เอว ความรู้สึกบ่งบอกว่าเดธบริงเกอร์กำลังกระหายอยากจะนำความตายไปให้ใครบางคน เขาคิดหาคำตอบให้กับตัวเองได้แล้ว...





              ต้องฆ่าผู้หญิงคนนั้นทิ้งเสีย





    ==================================================================





              “ดึกๆดื่นๆ จะไปไหนของมึงอีกล่ะ ชล ?” กีรติเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นชลนัยน์กำลังจะเปิดประตูออกไปข้างนอก





              “ไปฆ่าคน” เด็กหนุ่มตอบกลับมาสั้นๆ แต่คำตอบของเขาก็เรียกความสนใจจากนายกีรติได้เป็นอย่างดี





              “พากูไปด้วยสิวะ”





              “นี่มันเรื่องของผม เฮียไม่เกี่ยว”





              “ได้ไงวะ มึงยังไม่มีใบขับขี่ เดี๋ยวก็เจอตำรวจซิวพอดี” กีรติขมวดคิ้วมุ่นพูดแทงใจดำเจ้าชลนัยน์ชนิดไม่มีคำว่าเกรงใจ “กูไม่อยากให้มึงไปยิงตำรวจ ไม่งั้นกูต้องเสียตังค์ซื้อ C4 ไปวางโรงพักพวกมันอีกแน่ๆ”





              “...จริงของเฮีย เฮียขับรถช่วยผมหาตัวมันก็ได้”





              “แล้วมึงจะไปฆ่าใครที่ไหนวะ ?” กีรติยังไม่วายถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พ่อค้ายา อันธพาลข้างถนน พวกผู้มีอิทธิพล หรือว่านักการเมือง?”





              “ผู้หญิง”





              คำตอบของเขาทำเอาเจ้าของกีรติการช่างต้องเบิกตากว้าง





              “แฟนไอ้นรกานต์เรอะ!” ชายหนุ่มกล่าวพลางระเบิดหัวเราะลั่น แต่เขาก็ต้องหยุดเสียงหัวเราะนั้นลงเมื่อชลนัยน์หันมาถลึงตาใส่ด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง





              “ผมฆ่ามันแน่”





              ได้ยินเพียงแค่นั้นกีรติก็เผยรอยยิ้มอำมหิตออกมา





              “งั้นกูจะช่วยมึงเอง”









                                            -------------------------------------------------------------------









              แสงอาทิตย์ยามใกล้รุ่งสาดทอลงมาย้อมพื้นหินเบื้องล่างให้กลายเป็นสีเทา เงาของหนุ่มสาวคู่หนึ่งทอดยาวเคียงคู่กันอยู่บนชะง่อนผา ทั้งสองจ้องมองออกไปยังทิวทัศน์อันกว้างไกลเบื้องล่างด้วยท่าทางเลื่อนลอย แต่ที่ผมสงสัยคือ ประเทศเรามีภูมิประเทศที่คล้ายแกรนด์แคนยอนถึงขนาดนี้ด้วยเหรอ?





              ชายหนุ่มเจ้าของนามนรกานต์ถอนหายใจออกมาด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขที่ยากจะปรากฏให้ใครๆได้เห็น หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเขาได้เห็นอาการนั้นก็จำต้องรู้สึกใจชื้น เพราะก่อนหน้านี้เธอคิดว่าเขาคงเป็นคนที่มีสัญชาตญาณดิบเถื่อน ชนิดที่พร้อมจะเป็นศัตรูกับทุกคนตรงหน้า





              ทั้งสองค่อยๆทรุดตัวลงนั่ง นรกานต์ยังคงเหม่อมองไปยังดวงอาทิตย์ที่ทอแสงอยู่สุดขอบฟ้า ในขณะที่นิศาก็เอาแต่เหล่มองใบหน้าเลื่อนลอยของเขาพลางแอบยิ้มน้อยๆ





              “นานมากแล้วที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นมัน...” ชายหนุ่มกล่าวทำลายความเงียบ ทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาจากดวงอาทิตย์ยามใกล้รุ่ง





              “ชีวิตคุณคงมีแต่ความมืดมิดสินะคะ” นิศาพูดอย่างเห็นอกเห็นใจเป็นเชิงปลอบประโลม





              “เปล่าครับ ปกติผมตื่นสายประจำ” นรกานต์ส่ายหน้าน้อยๆ แต่คำตอบของเขาก็ทำเอาผู้ถามต้องเบ้หน้าด้วยความผิดหวัง “แต่ชีวิตของผมก่อนที่จะไปอยู่กับกีรติการช่าง... มันก็มืดมน ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆมาตลอด”





              “คุณอาจอยากระบายออกมาให้ใครสักคนได้รับฟัง” นิศาโน้มตัวเข้าหาชายหนุ่ม “จะรังเกียจไหมถ้าคนๆนั้นจะเป็นดิฉันเอง ?”





              นรกานต์หลุบตาลงต่ำ ลังเลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ความสบายใจที่เขาได้รับจากหญิงสาวคนนี้ก็พอจะทำให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น





              “มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว...”









                                            --------------------------------------------------------------------









              ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำมืด เสียงคำรามจากแสงที่แลบแปลบปลาบบนก้อนเมฆดังกึกก้องไปทั่วทั้งปฐพี ฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างลงมาไม่หยุดหย่อน จนทุกสิ่งทุกอย่างที่ตั้งอยู่บนพื้นดินล้วนถูกทำลายไม่ก็ล้มระเนระนาดจนสิ้น สร้างความหวาดผวาให้แก่ผู้คนที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ยิ่งนัก ภัยธรรมชาติเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะ...





              การต่อสู้กันระหว่างยอดพ่อมดทั้งสองคน





              “อะวาดา เคดาฟ-รา!”





              สิ้นเสียง แสงพิฆาตก็พุ่งออกมาจากปลายไม้กายสิทธิ์ ตรงเข้าหาชายในชุดคลุมสีขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า





              “ข้าจะไม่มีวันยอมให้แฮร์รี่ พ็อตเตอร์มาดังเกินหน้าเกินตาเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ได้เด็ดขาด !”





              เพียงชายชราโบกไม้เท้าของเขาไปมาครั้งเดียว ชุดคลุมสีขาวของเขาก็ดูราวกับจะเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าออกมาได้ในทันที หนำซ้ำแสงนั้นก็ได้กลืนกินคาถาพิฆาตของแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ไปจนหมดสิ้น





              “คิดว่าอำนาจของคุณจะปกป้องคุณจากผมได้ตลอดไปหรือ แกนดาล์ฟ!” เด็กหนุ่มตะโกนใส่เขาด้วยท่าทางกราดเกรี้ยว ก่อนจะร่ายคาถาออกมาอีกระลอก “เอ็กซ์เปลลิอาร์มัส!”





              ไม้เท้าของพ่อมดขาวลอยขึ้นสู่อากาศ ก่อนจะตรงเข้าไปอยู่ในมือของแฮร์รี่พอดิบพอดี





              “เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จงอย่าได้ดูถูกอำนาจของพ่อมดขาว!” แกนดาล์ฟตะโกนออกมาสุดเสียงขณะที่แฮร์รี่กำลังเตรียมจะร่ายคาถาพิฆาตใส่เขาอีกครั้ง “ซอรอน โปรดมอบพลังของเจ้าให้แก่ข้าเสียแต่โดยดี เพื่อที่หนังของพวกเราจะได้โด่งดังไปชั่วกาลนาน!”





              เกิดเปลวเพลิงสีส้มสดขึ้นกลางอากาศ พริบตานั้นราวกับเกิดแรงระเบิดที่มองไม่เห็นขึ้น ร่างของแฮร์รี่กระเด็นเสียหลักออกจากจุดที่ยืนอยู่ไปเป็นเมตรๆ





              แกนดาล์ฟสืบเท้าย่างสามขุมเข้าไปหาเด็กหนุ่ม แววตาของเขาไร้ซึ่งความปรานีใดๆ แม้กระทั่งซารูมานมาเห็นก็คงจำต้องหวาดผวา แม้แต่คุณเองหากได้เห็นเขาตอนนี้ก็คงไม่เชื่อหรอกว่าเขาเป็นพ่อมดขาว





              ดาบที่ซ่อนไว้ถูกชักออกมา ชายชราเงื้อคมดาบขึ้นหมายจะฟันคอคนตรงหน้าให้ขาดสะบั้นไปในคราเดียว





              ปัง!





              เสียงปืนคำรามก้องท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียดนั้น คมกระสุนฉีกกระชากเนื้อหนังบดขยี้กระดูกบนมือที่จับดาบนั้น ทะลุทะลวงพุ่งต่อไปโดยทิ้งไว้เพียงบาดแผลและความเจ็บปวดให้แก่เจ้าของมือ





              ดวงตาของแกนดาล์ฟเบิกโพลงด้วยความแปลกใจ ก่อนจะทรุดตัวลงขบฟันแน่น กุมบาดแผลด้วยความเจ็บปวดเหลือพรรณนา เลือดสีแดงไหลอาบไปทั้งมือ ย้อยลงไปตามแขนย้อมเสื้อคลุมสีขาวจนกลายเป็นสีแดงฉาน





              “อะวาดา เคดาฟ-รา!”





              แฮร์รี่ไม่ปล่อยโอกาสของเขาให้หลุดลอยไปเฉยๆ แสงพิฆาตพุ่งออกมาจากไม้กายสิทธิ์ ตรงเข้าไปหาพ่อมดขาวตรงหน้าอย่างแม่นยำ สีหน้าของชายชราเผยความตกใจสุดขีดออกมา ก่อนจะล้มลงไปนอนตัวแข็งสิ้นใจอยู่กับพื้น





              เด็กหนุ่มหายใจถี่รัวควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจไม่ได้ เมื่อตั้งสติได้ดวงตาดำขลับของเขาก็ค่อยๆเลื่อนไปมองหาที่มาของกระสุนซึ่งช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อครู่





              แผลเป็นบนหน้าผากพลันปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาในทันทีทันใด มันเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าลอร์ดโวลเดอร์มอร์เสียอีก ภาพที่มองเห็นผ่านกรอบแว่นทรงกลมจากที่เคยชัดเจนก็กลับกลายเป็นพร่าเลือน สิ่งที่แฮร์รี่เห็นในตอนนี้เขารู้เพียงแต่ว่าเป็นร่างของชายหนุ่ม... กำลังเล็งปืนตรงมาทางเขา





              “ขอโทษที แต่การต่อสู้ของพวกมึงทำให้ฟ้าผ่าใส่มื้อเที่ยงของกู” ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวเสียงเย็นก่อนจะโยนบางสิ่งมาให้แฮร์รี่





              ภาพที่เด็กหนุ่มเห็นกำลังค่อยๆชัดเจนขึ้น เขาพิจารณามองดูสิ่งที่อยู่ในมือ และจำต้องตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ รีบขว้างสิ่งนั้นออกไปให้ไกลตัวทันที





              มันเป็นร่างของเจ้าไก่ที่ดำเป็นตอตะโก... แล้วใครจะไปอยากจับล่ะครับ ก็เพิ่งมีข่าวว่าไข้หวัดนกระบาดเองนี่





              “ไหม้แบบนั้นมันกินไม่อร่อยหรอกโว้ย!” ชายหนุ่มตะคอกเสียงกร้าว แฮร์รี่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียงอย่างช้าๆ... เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นใครเสียด้วยซ้ำ “ทีนี้มึงต้องชดใช้ให้กูแล้ว โทษฐานทำให้กูต้องทนหิวไปจนถึงมื้อเย็น!”





              แววตาเย็นชาไร้ความรู้สึกประกอบกับปากกระบอกปืนที่เล็งตรงมาทางเขา ทำให้แฮร์รี่รู้ได้ในทันทีว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้... ต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน!





              เด็กหนุ่มจับไม้กายสิทธิ์ในมือไว้แน่น อย่างน้อยเขาต้องใช้คาถาที่เร็วพอจะต่อกรกับบุรุษตรงหน้านี้ ซึ่งคงไม่มีอะไรจะว่องไวไปกว่าคาถาปลดอาวุธ...





              “เอ็กซ์เปลลิอาร์มัส!”





              ชายหนุ่มยังไม่ทันตั้งตัว ทำให้เขาเหนี่ยวไกไม่ทัน! ปืนสีดำหลุดลอยออกจากมือของเขา ตรงเข้าไปอยู่มือในมือของแฮร์รี่แทน เด็กหนุ่มเหลือบมองปืนในพร้อมรอยยิ้มอย่างมีชัย แต่เขาหารู้ไม่ว่านั่นเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์...





              เพราะทันทีที่เขากำลังคิดจะเงยหน้าขึ้นมาเยาะเย้ยชายหนุ่ม พื้นรองเท้าคอมแบ็ตก็ตรงเข้าอัดใส่หน้าเขาเต็มๆ!





              แรงกระแทกที่ปลายคางทำให้แฮร์รี่แทบทรงตัวไม่อยู่ สติของเขากำลังเริ่มพร่าเลือน แต่ถึงสติยังดีอยู่ก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะแว่นตาของเขาได้หักร่วงลงไปกองเป็นเศษขยะธรรมดาอยู่บนพื้นเสียแล้ว





              คอมแบ็ตพุ่งเข้ากระแทกหน้าท้องของแฮร์รี่จนเด็กหนุ่มถึงกับตัวลอยไปตามแรงเตะ ความจุกที่ประดังเข้ามาเพิ่มทำให้เขาไม่มีแรงแม้แต่จะจับไม้กายสิทธิ์ กระทั่งปืนในมือก็พลอยปล่อยให้ร่วงลงไปด้วย





              ชายหนุ่มเสยหมัดอัปเปอร์คัตอัดใส่ปลายคางของแฮร์รี่อีกครั้ง ร่างของเด็กหนุ่มลอยสูงขึ้นไปในอากาศด้วยพละกำลังอันมหาศาลของผู้ปล่อยหมัด และยังไม่ทันที่ร่างของเขาจะร่วงลงมาถึงพื้น...





              ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!





              เสียงปืนดังรัวถี่ยิบ ร่างของแฮร์รี่กระตุกส่ายไปตามแรงปะทะของลูกกระสุนทั้งๆที่ยังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ รูพรุนมากมายเรียกเลือดให้หลั่งรินออกมาจากร่างของเด็กหนุ่ม... ชะตาของเขาก็พลันขาดสะบั้นทันทีที่ลงมาถึงพื้น...





              ชายหนุ่มเป่าควันบางๆที่ลอยคุกรุ่นออกมาจากปากกระบอกปืน ก่อนจะควงมันอย่างคล่องแคล่วเก็บเข้าซองข้างเอว แววตาของเขายังคงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ราวกับว่าการฆ่านั้น เป็นเรื่องธรรมดาๆในชีวิตของเขาไปเสียแล้ว...





              ที่ด้ามปืนสีดำนั้นมีชื่อเจ้าของของมันติดประดับไว้เป็นตัวหนังสือสีทอง...





              ‘สิงห์นรก’





    ==================================================================





              บาร์เหล้ากรีนบ็อตเทิลถูกสร้างขึ้นด้วยไม้เนื้อแข็งล้วนๆ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาในร้านนี้ล้วนแต่เป็นเหล่านักเดินทางที่จำต้องใช้เส้นทางตัดผ่านผืนป่าแทบทั้งสิ้น ภายในร้านมีกลิ่นเหล้าและเครื่องดื่มลอยคละคลุ้งไปทั่ว เสียงพูดคุยอื้ออึงดังขึ้นให้ได้ยินอยู่ทั่วไป ท่วงทำนองดนตรีเบาๆบรรเลงคลอเคล้าไปกับรสชาติของน้ำเมา สร้างความผ่อนคลายและสุขสันต์ให้แก่เหล่านักพเนจรยิ่งนัก





              บานประตูไม้เปิดผางออก ปรากฏร่างของชายหนุ่มร่างสันทัดกำลังยืนอยู่ในทิศทางย้อนแสงอาทิตย์พอดิบพอดี รองเท้าหนังมันวับของเขาส่งเสียงดังกึกๆทุกครั้งที่มันกระทบกับพื้นไม้ จนกระทั่งเสียงนั้นหยุดลงเมื่อเจ้าของทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์





              “ขอโอวัลตินเย็น” ชายหนุ่มสั่งเครื่องดื่มโดยไม่เหลียวมองสีหน้าแปลกใจของบาร์เทนเดอร์ เขาก้มหน้าก้มตาพูดพลางขยับหมวกปีกกว้างบนหัวให้กระชับเข้าที่





              “สั่งเหล้าสิวะ!” บาร์เทนเดอร์โต้ตอบด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม





              “...ขอโอวัลตินเย็น” น้ำเสียงเย็นเยียบดังออกมาจากปากของชายหนุ่มคนเดิม เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นนัยน์ตากระหายเลือดที่โผล่พ้นปีกหมวกออกมา เพียงได้เห็นประกายระริกที่ทอแววออกมาอย่างน่ากลัวนั้น บาร์เทนเดอร์ก็ถึงกับมือไม้สั่นแทบจะผสมเครื่องดื่มไม่ถูก





              “ที่นี่ไม่มีโอวัลตินหรอก จะมีก็แต่ไมโลเท่านั้นแหละ” เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้น “ให้ผมเลี้ยงคุณเถอะนะ บาร์เทนเดอร์ ขอไมโลเย็นแก้วนึง”





              ได้ยินดังนั้นนักผสมเครื่องดื่มก็รีบกลับหลังหันไปทำไมโลเย็นโดยไม่คิดจะเหลียวกลับมา





              “คุณคือสิงห์นรกใช่ไหม?” ผู้เลี้ยงเครื่องดื่มเอ่ยถาม นัยน์ตาไร้ความรู้สึกของสิงห์นรกเลื่อนไปมองผู้ที่เอ่ยสมยานามของเขาทันที ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่คิดจะสนใจบุคคลที่สามคนนี้เลยแม้แต่น้อย





              “คุณเป็นใคร?” คำถามถูกยิงออกมาจากปากของนรกานต์





              “นั่นไม่สำคัญ” ชายคนนั้นบอกปัดเสียเฉยๆ “ที่สำคัญคือผมมีงานจะให้คุณทำต่างหาก”





              ธนบัตรฟ่อนใหญ่ถูกวางลงบนหน้าขาของสิงห์นรก





              “นี่คือมัดจำ หากคุณสนใจงานนี้นะ...”





              ชายหนุ่มเหลือบมองเงินก้อนใหญ่ที่อยู่เพียงแค่เอื้อม ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมายังคู่สนทนาอีกครั้ง นรกานต์เริ่มพินิจพิจารณาบุคคลที่นั่งอยู่เคียงข้าง ชายคนนี้ดูมีอายุมากกว่าเขาอยู่หลายปีทีเดียว แม้รูปร่างหน้าตาจะดูเหมือนไม่มีอันตราย แต่สัญชาตญาณของสิงห์นรกก็บอกกับตัวเขาเองว่า





              ชายคนนี้ไม่ธรรมดา...





              “จะให้ผมทำอะไร?”





              “ฆ่าคน” ชายลึกลับตอบหน้าระรื่น “คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับสิงห์นรก จริงไหม?”





              “ใคร?” นรกานต์ถามห้วนๆ





              “คุณจะต้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในใจกลางจังหวัดปัตตานี” กระดาษยับยู่ยี่ถูกยื่นให้แก่สิงห์นรกที่กำลังเลิกคิ้วอย่างสงสัย “และฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นั่น... ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าจ้าง เงินที่คุณจะได้รับทั้งหมดคือหนึ่งแสนบาท มัดจำห้าหมื่น และรับที่เหลืออีกห้าหมื่นเมื่องานเสร็จสมบูรณ์”





              ชายหนุ่มเริ่มคลี่กระดาษในมือออกมาดู แผนที่คร่าวๆของถนนในปัตตานีถูกวาดไว้บนนั้น แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ถูกเขียนวงกลมสีแดงล้อมรอบไว้พร้อมตัวหนังสือกำกับว่า





              ‘อู่กีรติการช่าง’





              “จะให้ไปฆ่าคนที่อู่ซ่อมรถเนี่ยนะ?” นรกานต์กล่าวราวกับไม่อยากจะเชื่อ





              “เห็นอย่างนั้นแต่อย่าได้ประมาทเชียว” ชายลึกลับกำชับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “คนที่นั่นมันไม่ใช่ธรรมดาๆ”





              สิ้นสุดประโยค ถ้วยไมโลเย็นก็ถูกนำมาวางลงตรงหน้านรกานต์ ชายหนุ่มยกมันขึ้นซดทีเดียวหมด ก่อนลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินออกจากบาร์ไป





              “หวังว่างานคงสำเร็จ” ชายลึกลับหันมาพูดกับเขาอีกครั้ง แต่ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของสิงห์นรก ชายหนุ่มค่อยๆก้าวเดินช้าๆอย่างใจเย็น เปิดบานประตูไม้หายลับออกไปจากบาร์





              รอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์เพทุบายยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าผู้ว่าจ้างคนนั้น...





    ==================================================================





              รถโดยสารสีเหลืองเข้มวิ่งออกมาจากถนนตัดผ่านป่าตรงดิ่งเข้าสู่ตัวเมืองอย่างรวดเร็ว รถราบนถนนต่างวิ่งกันด้วยความเร็วสูง แต่รถสีเหลืองเข้มคันนี้ก็วิ่งเร็วยิ่งกว่า ทั้งปาดซ้ายปาดขวาแซงรถคันอื่นแทบทุกโค้ง จนคนที่มานั่งใช้บริการยังนึกหวาดเสียวอยู่ในใจ...

        

              เอี๊ยด!

        

              ราวกับเพิ่งยกภูเขาออกจากอกเมื่อรถคันนั้นมาถึงที่หมาย ผู้โดยสารเจ้าของฉายาสิงห์นรกเปิดประตูออกเตรียมจะก้าวลงจากรถ มือขวาของเขาล้วงลงไปไปกระเป๋ากางเกง ควานหาเงินมาจ่ายตามตัวเลขที่ขึ้นอยู่บนมิเตอร์

        

              ธนบัตรใหญ่ถูกยื่นให้คนขับ แต่แทนที่จะรับเงินไป โชเฟอร์หน้าเข้มกลับชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ

        

              “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เอาเงินทอนหรอก” นรกานต์กล่าวขึ้นเมื่อได้เห็นท่าทางของคนขับ

        

              “เอ่อ... คุณจ่ายมาไม่ครบครับ”

        

              คำตอบนั้นทำให้หัวคิ้วของสิงห์นรกจำต้องยับย่นเข้าหากัน

        

              “มารยาทในการขับรถของแกมันทรามที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา แล้วมึงยังจะกล้าเรียกเก็บค่าโดยสารเต็มราคากับกูอีกเหรอวะ!” สรรพนามที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันประกอบกับน้ำเสียงกระโชกโฮกฮากอันแสนดุดัน ทำให้คนขับแท็กซี่ต้องรีบรับเงินและตะลีตะลานออกรถก่อนจะได้กลายเป็นศพอยู่ตรงนั้น...

        

              ชายหนุ่มถอนหายใจแรง ก่อนจะขยับตัวออกเดินไปบนทางเท้า สายตาของเขาไม่ได้เหลือบมองไปยังผู้คนที่เดินสวนกันไปมาเลยแม้แต่น้อย มันจับจ้องอยู่แต่บรรดาตึกแถวที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ริมถนนเท่านั้น

        

              นัยน์ตาคมกริบค่อยๆไล่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันได้พบกับป้ายสีน้ำเงินเด่นสง่าอยู่หน้าปากซอยแห่งหนึ่ง

        

              ‘ซอยอยู่ไม่สุข’

        

              มือของชายหนุ่มลูบไปที่บลัดฮันเตอร์ซึ่งถูกซ่อนอยู่ใต้ผิวเสื้อ ความรู้สึกของเขาและมันแทบจะสื่อถึงกันได้... ทั้งคู่กำลังกระหายเลือด!

        

              นรกานต์เลี้ยวเข้าซอยนั้นไปทันที สายตาของเขาสอดส่ายไปมาด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าเก่า เป้าหมายของเขาตอนนี้ คือ อู่ซ่อมรถที่มีนามว่า ‘กีรติการช่าง’!

        

              แต่เดินเข้าไปได้เพียงไม่กี่สิบเมตร สิงห์นรกก็ได้พบกับรังของเหยื่อเสียแล้ว...

        

              มือขวาแสนถนัดถูกล้วงเข้าไปในเสื้อ กระชับด้ามจับของบลัดฮันเตอร์ไว้แน่น วันนี้ดูเหมือนอู่กีรติการช่างจะไม่เปิดทำการ ประตูโรงรถสีเทายังคงปิดสนิท ความเงียบสงบทำให้นรกานต์จำต้องหันไปยังบานประตูของบ้านที่ตั้งอยู่เคียงข้าง

        

              เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าที่อยู่ของคนในอู่นี้คือบ้านหลังนั้นอย่างแน่นอน

        

              ชายหนุ่มค่อยๆสาวเท้าเข้าไปอย่างเงียบกริบ เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นวี่แววของมนุษย์หน้าไหน เขาจึงควักบลัดฮันเตอร์ออกมาแล้วบรรจงติดตั้งที่เก็บเสียงเข้าไป ปฏิบัติการเงียบกริบกำลังจะเริ่มขึ้น!

        

              มือของนรกานต์เอื้อมออกไปจับลูกบิดโลหะที่บานประตู ชายหนุ่มลองบิดขยับมันดูและพบว่ามันล็อคอยู่ เขาจึงเริ่มเหลียวซ้ายแลขวาอีกครั้ง ก่อนจะยกปากกระบอกปืนขึ้นเล็งไปยังลูกบิดนั้น เหนี่ยวไกอย่างไม่ลังเล!

        

              เนื้อไม้ถูกแรงปะทะของกระสุนฉีกกระชากจนหลุดกระจายไม่มีชิ้นดี เกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่บนบานประตู ชายหนุ่มเตะมันเบาๆเพื่อให้มันเปิดออก สายตาคมกริบกวาดมองเข้าไปภายในจนแน่ใจว่าไม่มีอะไร แล้วเขาจึงเริ่มก้าวเดินอย่างเงียบเชียบ

        

              ภายในบ้านนั้นไร้สุ้มเสียงใดๆ ห้องรับรองแขกที่ชายหนุ่มต้องผ่านเป็นห้องแรกมีโซฟาตัวยาวตั้งอยู่หน้าโทรทัศน์จอยักษ์ โต๊ะที่กลางห้องมีแจกันดอกกุหลายวางไว้อย่างดี ส่วนอื่นๆของห้องก็ดูเรียบร้อยไปหมด!

        

              ว่าแล้วนรกานต์ก็เดินต่อไป... จนกระทั่งทั่วทั้งชั้นแล้วก็ยังไม่พบใครสักคน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไปสู่ชั้นสองของบ้าน ระหว่างทางเขาก็เหลียวมองออกไปนอกหน้าต่าง พร้อมกับความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมอง

        

              ใครมันจะนอนกันตอนกลางวันแสกๆ

        

              แม้จะคิดเช่นนั้น แต่สิงห์นรกก็ยังคงก้าวเท้าขึ้นบันไดไปอย่างไม่ลังเล มือของเขากระชับปืนคู่ใจแน่นยิ่งขึ้นราวกับกลัวว่ามันจะหายไปไหน นัยน์ตาคมกริบทอประกายกร้าวแต่ลึกๆก็ยังดูนิ่งสงบอย่างน่าประหลาด หรือจะพูดให้ถูกคือ... มันแทบจะไร้ความรู้สึก

        

              ประตูห้องนอนบานแรกมาอยู่ตรงหน้านรกานต์แล้ว ชายหนุ่มเอื้อมมือไปขยับลูกบิดประตู และก็ต้องฉุกใจคิดในความผิดปกติของมัน

        

              ทำไมห้องนอนถึงต้องล็อค?

        

              สิงห์นรกชั่งใจอยู่หน้าประตูนั้นพักหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจยกปืนขึ้นเล็ง

        

              ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!

        

              ปืนเก็บเสียงปะทุขึ้นหลายนัดติดต่อกัน บานประตูตรงหน้าเขาถูกกระสุนฉีกกระชากจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ชายหนุ่มปล่อยซองกระสุนว่างเปล่าออกมาจากด้ามปืน เก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงพลางล้วงหยิบซองใหม่ออกมาบรรจุอย่างคล่องแคล่ว

        

              ท่อนขาที่เต็มไปด้วยพละกำลังถีบประตูไม้จนแตกกระจาย ร่างสูงกระโจนหมอบเข้าไปในห้อง เล็งปืนไปรอบๆอย่างชำนิชำนาญ

        

              ทว่าเขากลับพบแต่ความว่างเปล่า

        

              นรกานต์ขมวดคิ้วมุ่น หยุดนิ่งเพื่อใช้ความคิด ชายหนุ่มค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นยืน กวาดสายตามองไปรอบกายอย่างไม่ไว้วางใจ

        

              ว่ากันว่าสัญชาตญาณของสิงห์นรกนั้นถูกต้องเสมอ

        

              ปัง!

        

              ปฏิกิริยาตอบสนองอันว่องไวยิ่งกว่าสัตว์ป่า ทำให้ชายหนุ่มรอดพ้นจากหัวกระสุนที่พุ่งเข้ามาหาได้อย่างเฉียดฉิว เพียงชั่วพริบตาที่เขาเอี้ยวตัวหลบกระสุนเมื่อครู่นี้ สิงห์นรกก็สามารถจับทิศทางของกระสุนที่พุ่งเข้ามาได้ มันออกมาจากในตู้เสื้อผ้า!

        

              อุตส่าห์ใส่ปลอกเก็บเสียง แต่เจ้านี่ดันยิงเสียดังลั่น

        

              นรกานต์ชักสีหน้าหงุดหงิด แต่ในใจกำลังคึกคักอย่างที่สุด เพียงชั่วแวบหนึ่ง รอยยิ้มเล็กๆปรากฏบนริมฝีปากของชายหนุ่ม ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ในเมื่อศัตรูอยู่ในตู้เสื้อผ้า มันก็ย่อมไร้ทางหนี รูที่ถูกกระสุนเจาะทะลุยังคงปรากฏอยู่บนตู้ไม้ สิงห์นรกกำลังเตรียมยกปืนประจำกายขึ้นเล็งใส่เป้าหมาย

        

              ลาก่อน...

        

              ปัง! ปัง! ปัง!

        

              ทว่าเสียงปืนของอีกฝ่ายกลับชิงปะทุขึ้นเสียก่อน ดวงตาคมกริบของนรกานต์เบิกโพลงจับจ้องไปยังกระสุนทุกนัดที่พุ่งเข้ามา หัวสมองของเขาสั่งการให้หลบมันอย่างรวดเร็ว ประสบการณ์รวมกับสัญชาตญาณ ทำให้ชายหนุ่มหลบมันได้อย่างง่ายดาย ไม่มีเพลี่ยงพล้ำ!

        

              แต่แท้จริงแล้ว เขาพลาดตั้งแต่เปิดโอกาสให้ศัตรูได้ลั่นไกแล้วต่างหาก เพราะเมื่อหันกลับไปมองที่ตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง บานประตูไม้ก็เปิดอ้า เผยให้เห็นเพียงเสื้อผ้าที่ถูกแขวนเรียงรายอยู่ในตู้

        

              มันหนีออกไปแล้ว!

        

              นรกานต์ขบฟันอย่างแรง สะบัดหน้าไปทางประตูเล็งปืนไปพร้อมๆกัน ภาพเด็กหนุ่มที่ยืนถือปืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้ทำให้เขารู้สึกลังเลเลยแม้แต่น้อย จิตใจของสิงห์นรกแข็งแกร่งและเย็นชายิ่งกว่าเหล็กกล้าที่ถูกแช่แข็งเสียอีก

        

              ปัง!

        

              เสียงปืนที่ดังกึกก้องนั้นแทบจะตัดสินผลแพ้ชนะกันได้ เด็กหนุ่มคนนั้นลั่นไกปืนได้ไวกว่าสิงห์นรก! บลัดฮันเตอร์ถูกแรงปะทะของกระสุนอัดจนกระเด็นหลุดจากมือเจ้าของ แต่นรกานต์คาดไว้ก่อนแล้วว่ารูปการจะต้องออกมาเป็นแบบนี้ ชายหนุ่มไม่ตามไปเก็บปืน แต่กลับถีบตัวพุ่งเข้าใส่คนที่ลั่นไกใส่เขาเมื่อครู่นี้แทน!

        

              แต่สิ่งเดียวที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของสิงห์นรกก็คือความชำนิชำนาญในการต่อสู้ของเจ้าเด็กคนนี้ มันกระโดดถอยหลังทิ้งระยะห่างเพื่อสร้างเวลาให้ตัวเองได้ลั่นไก ชายหนุ่มถึงกับตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด ระยะนี้เขาไม่มีวันหลบพ้นอย่างแน่นอน!

        

              เด็กหนุ่มเผยยิ้มเย็น นิ้วเรียวที่รออยู่ในโกร่งไกกำลังกระดิกเข้าหาตัว

        

              ปัง!



    ==================================================================



              ประแจยักษ์ที่ปรากฏขึ้นคั่นกลางระหว่างคนทั้งสอง เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยนรกานต์ให้รอดชีวิตมาจากหัวกระสุนนัดนั้นได้ จากที่เคยพุ่งแหวกอากาศด้วยความเร็วสูง บัดนี้ลูกตะกั่วนั้นกลับร่วงกราวลงไปนอนแผ่กายแน่นิ่งสิ้นเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น

        

              ประดุจกาลเวลาหยุดนิ่ง นรกานต์ไม่ยอมขยับร่างออกจากจุดยืน เด็กหนุ่มที่ยิงเขาก็ตาค้างไปกับภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่ ความเงียบสงบย่ำกรายเข้ามาครอบครองบรรยากาศ แต่ความตกตะลึงก็ได้กลืนกินความน่าอึดอัดไปจนหมดสิ้นแล้ว ทั้งคู่ต่างไม่มีทีท่าว่าจะขยับ จนกระทั่งเสียงๆหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบนั้นลง

        

              “ขอบคุณมาก คุณกีรติ ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดต้องได้มีคนตายจริงๆแน่” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาจากบันได สร้างความสับสนให้แก่สองหนุ่ม ว่าควรจะหันไปดูใครดี ระหว่างเจ้าของประแจ... กับคนที่กำลังก้าวขึ้นบันไดมา

        

              นรกานต์ตัดสินใจหันไปทางบันได ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนหันไปมองผู้ถือประแจยักษ์

        

              “เอาล่ะ พวกคุณคงเป็นสิงห์นรก และปีศาจเจ้าน้ำตาสินะ” ชายหนุ่มที่เพิ่งขึ้นมาจากชั้นหนึ่งเอ่ยขึ้น สร้างความฉงนให้แก่ทั้งสองที่สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อครู่ “ผมขอแนะนำตัวก่อน ผมชื่อแอสเตอร์... แอสเตอร์ แอสเธอริสค์ เป็นผู้กำกับหนังถังแตกที่กำลังมองหาตัวแสดงสำหรับหนังเรื่องใหม่”

        

              กีรติลดประแจลงด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม แต่เสียงสบถของปีศาจเจ้าน้ำตาชลนัยน์ก็ดังขึ้น เรียกความสนใจของสิงห์นรกให้หันไปมองเจ้าของประแจได้เป็นอย่างดี

        

              “เฮ้ย!” แม้แต่ตัวเขาเองยังเผลอโวยวายด้วยสีหน้าประหลาดใจ “คุณคือคนที่จ้างให้ผมมาฆ่าคนที่นี่ไม่ใช่เรอะ!”

        

              ช่างหนุ่มพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงตอบรับ ก่อนจะเริ่มชี้แจง

        

              “ก็จู่ๆจะให้ผมจับพวกคุณมาสู้กันแบบพวกทาสโรมันสมัยก่อนได้ยังไง ในเมื่อหุ้นส่วนของผมเขาอยากเห็นฝีมือของพวกคุณมาก ผมก็เลยจำเป็นต้องใช้วิธีนี้อย่างช่วยไม่ได้นี่แหละ”

        

              “ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณอีกครั้งนะครับ คุณกีรติ” ผู้กำกับแอสเตอร์จับมือกับกีรติด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ช่างหนุ่มก็ตอบรับเขาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

        

              “ไม่เป็นไรครับ แค่จำไว้ว่าผมต้องได้ 60% ก็พอ”

        

              ว่าจบ ผู้กำกับแอสเตอร์ก็หันมาหาสองหนุ่ม ซึ่งกำลังยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก

        

              “ผมถูกใจในความเก่งกาจของพวกคุณมาก ไม่ทราบว่าสนใจที่จะเข้าวงการบันเทิงหรือเปล่าครับ?”

        

              เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความลังเล ท่านผู้กำกับจึงกล่าวต่อไปว่า

        

              “เพื่อความอุ่นใจของพวกคุณ ผมจะขอรับประกันไว้ตรงนี้เลยว่าค่าตัวของพวกคุณนั้นเพียงพอที่จะทำให้พวกคุณอยู่กินอย่างสุขสบายไปเป็นสิบๆปีได้แน่นอน... ถ้าพวกคุณไม่ฟุ่มเฟือยล่ะก็นะ”

        

              ทั้งสองคนเริ่มครุ่นคิด... นรกานต์ไม่ได้ชอบการฆ่าคนเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว เขาเพียงแค่ทำงานเพื่อหาเงิน เมื่อมีคนจ้างเขาจึงฆ่า บางทีนี่อาจเป็นโอกาสใหม่ที่ท้าทายสำหรับเขาแล้วก็ได้ ชายหนุ่มกำลังเริ่มสนใจงานการแสดง!

        

              “ได้ครับ ผมตกลงเซ็นสัญญา แต่แค่ชั่วคราวนะ” เด็กหนุ่มที่เพิ่งยิงกับเขาเมื่อครู่เอ่ยตอบด้วยสีหน้านึกสนุก กระแสเสียงอันมาดมั่นนั้นไม่มีแววของความลังเลซุกซ่อนอยู่เลยแม้แต่น้อย

        

              แม้แต่เด็กยังเลือกเองได้ แล้วหากสิงห์นรกยังคงไม่กล้าที่จะตัดสินใจ เขาคงต้องรู้สึกละอายอย่างที่สุด...

        

              “ตกลง ผมจะลองดู” นรกานต์ตอบรับ แต่รอยยิ้มแฝงเลศนัยของผู้กำกับแอสเตอร์ก็ทำให้เขาสังหรณ์ใจไม่ดี... ถึงจะอย่างนั้นสิงห์นรกก็ไม่เคยกลับคำพูด ในเมื่อตอบตกลงไปแล้วก็ย่อมหมายถึงคำไหนคำนั้น

        

              “เอาล่ะ ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมที่สุด!” ผู้กำกับแอสเตอร์โห่ร้องเสียงดังอย่างชื่นบาน ชายหนุ่มพับสัญญาที่นักแสดงหน้าใหม่สองคนเพิ่งเซ็นให้กับเขาเก็บใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง กีรติเองก็ส่งเสียงหัวเราะอันแสนเจ้าเล่ห์เพทุบายที่ทำให้สองหนุ่มต้องรู้สึกใจไม่ดี

        

              “ทีนี้หนังเรื่องใหม่ของผม ‘กีรติการช่าง : ตามล่าน้ำมันสุดขอบโลก’ ก็พร้อมจะเริ่มถ่ายทำกันแล้ว!”



        

              ดวงตาเลื่อนลอยของชายหนุ่มที่จ้องมองออกไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย บัดนี้เริ่มดูมีความกระตือรือร้นอีกครั้ง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ บิดตัวไปมาด้วยความปวดเมื่อย การนั่งอยู่กับที่นานๆก็มีผลทำให้ร่างกายอ่อนล้าลงไปได้เหมือนกัน

        

              “นั่นคือเหตุผลที่ผมมาอยู่กับกีรติการช่าง” ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ถึงในตอนแรกผมจะรู้สึกไม่ถูกชะตากับเจ้าชลนัยน์นั่นอยู่บ้าง แต่อยู่กันไปนานๆเข้าผมก็ว่าเจ้านั่นมันน่าเอ็นดูดีเหมือนกัน... นั่นคงทำให้ผมเห็นเขาเป็นเหมือนน้องแท้ๆของตัวเองล่ะมั้ง”

        

              นิศายิ้มน้อยๆแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอค่อยๆลุกขึ้น ช่วยดึงร่างของนรกานต์ให้ลุกตามเธอขึ้นมา ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามออกไป

        

              “คุณจะไปไหนต่อเหรอ?”

        

              “ทำให้เรื่องนี้จบลงยังไงล่ะคะ” หญิงสาวยิ้มอย่างมีเลศนัย นั่นยิ่งสร้างความฉงนให้กับอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นไปอีก

        

              “ได้ยังไงกัน?”

        

              “น้องชายของคุณคงกำลังคิดว่าดิฉันจะแย่งคุณไปจากเขา...” เธอตอบไม่เต็มเสียง ความเศร้าสร้อยเริ่มสะท้อนขึ้นในแววตา รอยยิ้มที่เคยดูจริงใจกลับดูราวกับถูกฝืนให้คลี่ออกมา “เพราะฉะนั้นดิฉันคงต้องคืนคุณให้แก่เขา”

        

              ชายหนุ่มยืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาของเขาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ ไม่ใช่เพราะนิศาหรือใครอื่น แต่เป็นเพราะรถ BMW ซีรี่ส์ 7 ซีดานอันแสนคุ้นตาที่กำลังวิ่งตรงมาหาพวกเขาต่างหาก เลขทะเบียนบ่งบอกว่าต้องเป็นรถจากอู่กีรติอย่างแน่นอน และในเมื่อชลนัยน์ยังไม่มีใบขับขี่ นั่นก็ต้องหมายความว่า...

        

              กีรติมาที่นี่แล้ว!

        

              เอี๊ยดดดดดด!

        

              รถยนต์คันโตเบรกกะทันหันส่งผลให้ตัวรถไถลครูดสร้างรอยยางสีดำไว้บนพื้นหินเป็นแนวยาว ฝุ่นที่ลอยฟุ้งกระจายบดบังร่างของชายสองคนที่เพิ่งเปิดประตูก้าวลงมาจากรถ แต่นรกานต์ไม่จำเป็นต้องรอให้ละอองฝุ่นหายไป เขาก็พอรู้อยู่แล้วว่าทั้งคู่คือ

        

              กีรติ และ ชลนัยน์!

        

              “สวัสดี นอ” เสียงของช่างหนุ่มดังแหวกฝุ่นผงสีส้มที่ลอยอยู่ในอากาศ “จู่ๆก็หายไป กูตามหามึงแทบแย่แน่ะ”

        

              แต่ไม่มีเสียงของชลนัยน์ดังขึ้นด้วย... จากนิสัยที่รู้กันดี ทำให้นรกานต์พอจะเดาได้ว่าอารมณ์ของปีศาจเจ้าน้ำตาตอนนี้...

        

              จะต้องขุ่นมัวอย่างที่สุด!

        

              สิงห์นรกกระเถิบตัวเข้ายืนบังหญิงสาวผู้ที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นคลอน ความรู้สึกกดดันแทบจะบดขยี้ชายหนุ่มให้แหลกเละคาพื้นบริเวณนั้น ในตอนนี้เขาจะต้องเลือก... ระหว่างผู้หญิง กับ เพื่อน!

        

              เซ็นสัญญาเขายังต้องทำตามเด็ก แล้วจะประสาอะไรกับเรื่องใหญ่แบบนี้กันเล่า?

        

              นรกานต์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ มือขวากระชับจับไปยังด้ามของบลัดฮันเตอร์เรียบร้อยแล้ว สิ่งเดียวที่เขาคิดอยู่ตอนนี้คือต้องปกป้องนิศาไว้ และแน่นอน... เขาต้องไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของกีรติและชลนัยน์ด้วย

        

              แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่นึกลังเล ชลนัยน์เดินตรงมาหาชายหญิงทั้งสองด้วยสีหน้าเอาเรื่อง ภาพที่นรกานต์ยืนหยัดปกป้องนิศายิ่งทำให้อารมณ์ของปีศาจเจ้าน้ำตาหงุดหงิดจนถึงขีดสุด เดธบริงเกอร์ถูกชักออกมา เล็งตรงไปยังสิงห์นรกที่ยืนบังร่างบอบบางของหญิงอยู่

        

              นรกานต์กำลังนึกหาวิธีเกลี้ยกล่อมชลนัยน์ให้สงบ ที่เขามายืนบังนิศาไว้แบบนี้ก็เพียงเพื่อยื้อเวลาสำหรับการพูดคุย เพราะอย่างน้อยเจ้าเด็กคนนี้ก็คงไม่กล้าลั่นกระสุนใส่เขา...

        

              “ชล...”

        

              ทว่ายังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกไป ร่างของเขาก็ถูกแรงมหาศาลอัดกระแทกจนลอยละลิ่วออกจากจุดยืน ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวจึงทำให้สิงห์นรกเสียหลัก ไถลครูดเป็นทางยาวไปกับพื้น แต่เพราะเสื้อแขนยาวที่แข็งแกร่งดุจเกราะอ่อน ทำให้อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นมีเพียงแผลถลอกบนท่อนแขนและข้อศอกเท่านั้น

        

              ชายหนุ่มรีบพยุงตัวลุกขึ้น ภาพตรงหน้าทำให้เขาต้องใจหายวาบ กีรติเป็นคนซัดเขาจนกระเด็นออกมานั่นเอง ช่างหนุ่มยืนกอดอกอยู่ตรงหน้านรกานต์ เผยยิ้มเย็นที่เต็มไปด้วยความอำมหิตผิดมนุษย์พร้อมส่ายหน้าไปมาช้าๆ พูดทุกถ้อยคำออกมาอย่างใจเย็น ราวกับสิงห์นรกเป็นเพียงลูกไก่ตัวกระจ้อยที่ไม่อาจทำอะไรเขาได้

        

              “คนอย่างมึงมันไม่ควรมีสายใยอะไรกับผู้หญิง เข้าใจไหม นอ ?”

        

              ปัง!

        

              เสียงเดธบริงเกอร์ของชลนัยน์ดังลั่นกระตุกหัวใจของนรกานต์ให้หายไปได้ในบัดดล ชายหนุ่มตัวแข็งเป็นหิน สีหน้าฉาบฉายไว้ด้วยความตกใจสุดขีด กีรติขยับตัวเพื่อหันกลับไปมองเหตุการณ์ภายหลังเสียงปืน นรกานต์เองก็ได้เห็นภาพอันชวนปวดใจนั้นด้วย

        

              นิศาถูกยิงเข้าที่ท้อง เลือดของเธอทะลักซึมออกมาตามเสื้อผ้าราวกับท่อน้ำแตก หญิงสาวทรุดร่างอ่อนแรงลงบนพื้น ริมฝีปากไอกระอักออกมาเป็นเลือด แต่เธอก็ยังคงหันมาทางนรกานต์ พร้อมอาศัยกำลังเฮือกสุดท้าย... คลี่รอยยิ้มกว้างให้แก่เขา เพื่อบอกความนัยแก่ชายหนุ่ม ว่าเธอไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเขาเลยแม้แต่น้อย

        

              มันเป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น แต่ก็สร้างความร้าวรานใจให้แก่สิงห์นรกยิ่งนัก...

        

              แต่เจ้าของรอยยิ้มนั้นก็ได้จากไปแล้ว...





    ==================================================================





              “นิศา!” สิงห์นรกตะโกนเสียงตื่นเมื่อตั้งสติได้ ชายหนุ่มตรงรี่เข้าไปช้อนร่างของหญิงสาวขึ้น ใบหน้าของเธอยังคงระบายไว้ด้วยรอยยิ้มอิ่มเอิบ ไร้ซึ่งความทุกข์โศกเสียใจ หากแต่สิ่งเหล่านั้นกลับทำให้นรกานต์รู้สึกเจ็บปวดเป็นที่สุด ไม่ว่าจะอย่างไร ชายหนุ่มก็ปักใจเชื่อว่า...

        

              เธอต้องตายเพียงเพราะรู้จักกับเขา

        

              นัยน์ตาที่ฉายแววแห่งความสลดเลื่อนไปมองปีศาจเจ้าน้ำตา ผู้ที่เพิ่งคร่าชีวิตของหญิงสาวนามนิศาไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ทว่า... มาดปีศาจที่ถูกแอบซ่อนไว้เบื้องหลังหยาดน้ำตากลับถูกเปิดเผยออกมา ชนิดที่ทำให้นรกานต์ถึงกับตกตะลึง

        

              “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!” ชลนัยน์ระเบิดเสียงหัวเราะแห่งความคลุ้มคลั่งออกมาดังลั่น จนนรกานต์ถึงกับมองไปยังเขาด้วยสายตาตื่นๆ

        

              เจ้าเด็กคนนี้ไม่รู้จักสำนึก

        

              แน่นอนว่าหากเป็นตัวเขาเองเมื่อก่อน การจะฆ่าผู้หญิงที่ไม่รู้จักสักคนหนึ่งคงเป็นเรื่องธรรมดาๆที่ไม่สำคัญพอจะให้เก็บมาคิดหรือนั่งสำนึกผิด แต่ในกรณีของนิศามันแตกต่างกัน เพราะเขาได้รู้จักกับเธอ และเธอก็เป็นเหมือนสิ่งหนึ่งที่จะมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตของเขา...

        

              มันมากเกินไป...

        

              “มันมากเกินไปแล้ว ชล!” สิงห์นรกคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ปืนคู่ใจนามบลัดฮันเตอร์ถูกฉวยออกมาจากซอง เล็งตรงไปยังปีศาจเจ้าน้ำตาหมายจะยิงทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไป

        

              หากแต่... นิ้วที่รออยู่ในโกร่ง กลับไม่กล้าลั่นไก

        

              มันไม่ใช่เด็กอีกแล้ว...

        

              ใบหน้าของนรกานต์บิดเบี้ยว นัยน์ตาที่เคยดูนิ่งสงบกลับสะท้อนความสับสนว้าวุ่นภายในใจออกมา มือขวากระชับปืนแน่นจนฝ่ามือเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ไม่ว่าจะพยายามบอกกับตัวเองอย่างไร นิ้วชี้ที่สอดไว้ภายในโกร่งไกก็ไม่ยอมกระดิกเลยแม้แต่น้อย

        

              ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าอึดอัด เสียงถอนหายใจของกีรติก็ดังขึ้น

        

              “พอได้แล้ว นอ” ช่างหนุ่มเดินเข้ามาหาสิงห์นรก พลางใช้ประแจยักษ์ดันลำกล้องปืนให้ชี้ต่ำลงพื้น “ผู้กำกับต้องการแค่นั้น”

        

              คำพูดของกีรติทำเอานรกานต์หลุดจากห้วงแห่งความสับสน และหันมามองเขาด้วยความสงสัยแทน

        

              “ผู้กำกับ?” ชายหนุ่มทวนคำ

        

              “เอาล่ะ ขอบคุณทุกคนมาก ลุกขึ้นมาได้แล้วครับ คุณนิศา!” จู่ๆผู้กำกับแอสเตอร์ก็เดินเข้ามาหาพวกเขา ตะโกนโหวกเหวกโวยวายอย่างไม่สนใจใคร ทว่าสิ่งที่นรกานต์สนใจกลับไม่ใช่เขา แต่เป็นนิศาที่กำลังยันกายลุกขึ้นจากพื้นพลางปัดละอองฝุ่นที่เกาะติดตามเสื้อผ้า

        

              คราบเลือดสีแดงฉานแห้งติดบนเนื้อผ้า หากแต่บนนั้นกลับไม่มีรอยถูกกระสุนฉีกขาด

        

              หญิงสาวเมื่อได้เห็นท่าทางอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกของนรกานต์ ก็ได้แต่ส่งยิ้มแหยๆให้เขา โค้งคำนับเป็นเชิงขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก นั่นยิ่งเพิ่มความฉงนงุนงงให้แก่ชายหนุ่ม

        

              ชลนัยน์เองก็ยังคงหัวเราะเขาอย่างบ้าคลั่ง แต่เสียงหัวเราะในครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะภายในกระแสเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความรู้สึกขบขันเสียเต็มประดา

        

              สิงห์นรกจำต้องขมวดคิ้วมุ่น... แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยถาม ผู้กำกับก็ตรงเข้ามาตัดหน้าไขข้อสงสัยเสียก่อน

        

              “คุณเห็นกล้องที่อยู่ตรงนั้นไหมครับ?” แอสเตอร์เก๊กเสียงเป็นเชิงล้อเลียน ชี้นิ้วไปยังโขดหินเล็กๆที่มีกล้องโทรทัศน์สีดำตั้งหลบอยู่ชนิดที่ว่าหากไม่เพ่งก็คงมองไม่เห็น “ผมจะบอกอะไรให้นะครับ คุณอยู่ในรายการดาราจำเป็น”

        

              ราวกับมีบางอย่างในตัวนรกานต์ขาดผึง...

        

              สิงห์นรกกราดมองทุกคนที่ยืนอยู่รอบๆ เริ่มตระหนักได้ว่าเขาถูกหลอกมาโดยตลอด

        

              “เธอคนนี้เป็นแฟนตัวยงของคุณ ที่ผมเห็นว่าหน้าตาดีและควรจะเข้ากับสเป็คของคุณ จึงเลือกเธอมาฝึกฝนการแสดงเล็กๆน้อยๆ ให้ข้อมูลสำหรับเอาใจคุณไว้อีกนิดๆหน่อยๆ เพื่อเอามาใช้แกล้งคุณ” แม้นรกานต์จะยืนนิ่งไม่พูดไม่จา แต่ผู้กำกับก็ยังคงสาธยายแผนการที่วางไว้ตั้งแต่ต้นต่อไปเรื่อยๆ “จริงๆแล้วเราเริ่มหลอกคุณตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ ผมจงใจให้นิศาที่อยู่นอกบทเข้าไปในบาร์เหล้า ให้ชลนัยน์แกล้งทำเป็นไม่รู้จักและมีเรื่องมีราวกับเธอ อยากดูว่าปฏิกิริยาตอบรับของคุณจะรุนแรงสักแค่ไหน แต่ให้ตายสิ นี่มันเหนือคาด! สิงห์นรกมีใจให้คนที่เขาเพิ่งเคยรู้จักเป็นครั้งแรกเสียด้วย!”

        

              นรกานต์กระชับปืนในมือแน่น นิ้วชี้ในโกร่งเกร็งจนสั่นไปทั้งมือ

        

              “แต่ไม่เป็นไร ผมคิดว่าเทปดาราจำเป็นในครั้งนี้คงเรียกเรตติ้งได้ดีไม่น้อย” ผู้กำกับไม่สนใจยังคงพูดต่อไป

        

              “ฮ่ะๆๆๆๆ พี่โดนต้มซะเปื่อย!” ชลนัยน์ไม่วายซ้ำเติม

        

              “ไอ้โง่เอ๊ย! เรื่องน้ำเน่ายังกับหนังเกาหลี ยังเชื่อไปได้!” ตามมาด้วยกีรติ

        

              “ขอโทษด้วยนะคะ” ปิดท้ายด้วยคำขอโทษจากนิศา...

        

              ทว่า... ดูเหมือนสิงห์นรกจะไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น ความโกรธเกรี้ยวได้ปะทุขึ้นจนปิดกั้นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว บัดนี้ชายหนุ่มก็เป็นเหมือนคนขาดสติ ที่ได้ยินเพียงแต่เสียงที่ดังอยู่ในใจตัวเองเท่านั้น

        

              กล้ามาเล่นกับความรู้สึกของสิงห์นรก!

        

              บลัดฮันเตอร์ถูกยกขึ้นเล็งตรงไปยังแอสเตอร์เป็นคนแรก ผู้กำกับหนุ่มหันมาเลิกคิ้วให้กับสิงห์นรกด้วยความสงสัย

        

              “เป็นอะไรไปน่ะ?”

        

              แอสเตอร์เอ่ยถามเมื่อเห็นนรกานต์ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ แต่ไม่มีคำตอบรับจากอีกฝ่าย...

        

              นิ้วชี้ในโกร่งกำลังกระดิกเพื่อเหนี่ยวไก





    ==================================================================





    กิโลเมตรที่ 4 : สิงห์นรก vs ปีศาจเจ้าน้ำตา - จบ



    ต้องขออภัยแฟนๆของแฮร์รี่และเดอะลอร์ดมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

    ตัวผมเองไม่ได้มีเจตนาจะทำให้มันเสื่อมแต่อย่างใด เพราะผมเองก็เป็นแฟนของสองเรื่องนี้เช่นกัน

    ที่เขียนไปนี่เพื่อความสะใจของตัวเองเท่านั้น อ่านแล้วโปรดปล่อยวาง อย่าถือสากันเลย...

    แต่ถ้าคุณรับไม่ได้จริงๆจะเลิกอ่านผมก็ไม่ว่ากันครับ พอเข้าใจความรู้สึก - -\"
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×