ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กีรติการช่าง : ตามล่าน้ำมันสุดขอบโลก

    ลำดับตอนที่ #2 : กิโลเมตรที่ 2 : บ่อน้ำมันของนายมะเส็ง

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 48


    กีรติการช่าง : ตามล่าน้ำมันสุดขอบโลก



    กิโลเมตรที่ 2 : บ่อน้ำมันของนายมะเส็ง








              รถ BMW ซีรีส์ 7 ซีดานตรงมาหยุดอยู่หน้าป้าย ‘ห้ามเข้า เขตก่อสร้าง’ ซึ่งเบื้องหลังป้ายนั้นคืออุโมงค์ที่ทอดยาวลึกลงไปสู่สถานที่ที่คนงานก่อสร้างกำลังวางรางรถไฟกันอยู่ น่าชื่นชมคนงานเหล่านี้เหลือเกิน ที่พวกเขาขยันขันแข็งมาทำงานกันแต่เช้าตรู่เช่นนี้ แต่ก็น่าเสียดายเหมือนกัน...





              เพราะชีวิตพวกเขาคงไม่ยืนยาวนัก





              ชายหนุ่มมาดเจ้าพ่อเดินนำลูกน้องสองคนข้ามป้ายเข้าไปทั้งๆที่ยังใส่ชุดเด็กซ่อมรถกันอยู่ สายตาของชายหนุ่มกวาดมองไปยังเบื้องล่าง ซึ่งเป็นสถานีรถไฟฟ้าที่ยังสร้างไม่เสร็จ เขาสังเกตเห็นป้ายราคาที่ทำเตรียมเอาไว้ก่อนตามประสาคนโคตรงก... แน่นอนว่ามันแพงหูฉี่ !





              “หึหึ... ถ้าได้เป็นเจ้าของที่นี่ฉันคงรวยเละแน่” กีรติแอบพึมพำเบาๆกับตัวเอง แต่เสียงของเขาก็ไม่อาจเล็ดลอดประสาทหูอันว่องไวเกินมนุษย์ของนรกานต์ไปได้





              “พูดให้ดีๆหน่อยเฮีย ‘พวกเรารวย’ ไม่ใช่เฮียรวยคนเดียว”





              ชายหนุ่มหันไปค้อนขวับกับเจ้าลูกน้องปากมาก แต่ตัวคนถูกค้อนก็ดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด มันกลับตีสีหน้ากวนประสาทให้เขาอีกต่างหาก...





              “สองต่อหนึ่ง เสียเปรียบนะ เฮียกี” ชลนัยน์พูดขึ้นบ้าง ทำให้กีรติต้องหันกลับไปกัดฟันกรอดๆด้วยความเจ็บใจ สถานการณ์เสียเปรียบเพราะพวกมันมีเยอะกว่าจริงๆ





              “เฮ้ย ! จะไปไหนกันเนี่ย พวกเราไม่ได้เรียกช่างซ่อมรถมาสักหน่อย !” ยามคนหนึ่งตะลีตะลานเข้ามาหาพวกเขาทันทีที่สังเกตเห็น ยามหน้าเหลี่ยมวิ่งเข้าหากีรติ หมายจะรวบแขนของเขาไว้ แต่ทว่า...





              ปัง !





              กระสุนจากปืนพกของนรกานต์ก็เจาะเข้าเต็มขมับของเขาเสียก่อน ยามหน้าเหลี่ยมล้มลงไปนอนกองกับพื้นท่ามกลางทุกสายตาที่อยู่ในสถานี





              “ของฟรี ของฟรี” ชลนัยน์ผิวปากอย่างสบายอารมณ์ขณะตรงเข้าไปริบอาวุธทุกชิ้นที่มีอยู่ในตัวยามเคราะห์ร้ายคนนั้น





              “ฝากที นรกานต์” กีรติยิ้มกริ่มพลางชะลอฝีเท้าปล่อยให้นรกานต์เดินนำหน้าเขาไปก่อน





              “ถ้าใครไม่อยากตายให้รีบหาทางฆ่าตัวตายซะเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าผมเล็งปืนไปทางพวกคุณเมื่อไหร่ พวกคุณได้มีกระสุนขนาดหนึ่งเซนฝังคาสมองแน่ !” ว่าจบนรกานต์ก็ทำการสาดกระสุนไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างแม่นยำ สมกับฉายา ‘เฮลไลอ้อน(Hellion) สิงห์นรก’ ที่เขาได้รับก่อนมาเป็นเด็กในอู่กีรติจริงๆ





              “เฮีย ดูสิ ไอ้ยามคนนี้มันใช้ของแพงซะด้วย” ชลนัยน์พูดยิ้มๆขณะโชว์ปืนที่ฉกมาได้ให้กีรติดู ช่างหนุ่มส่งยิ้มให้ลูกน้องของเขาเล็กน้อย





              “ในเมื่อเจ้าของเขาตายไปแล้ว เราก็ควรใช้แทนเขาให้คุ้มสิ”





              หนุ่มน้อยพยักหน้ารับ และลงมือไล่ยิงเหล่ายามและคนงานผู้บริสุทธิ์ สมกับที่ผู้คนขนานนามให้เขาว่า ‘ปีศาจเจ้าน้ำตา’





              “ฮะๆๆๆ ดูไอ้นั่นสิเฮีย เลือดพุ่งยังกับน้ำพุเลย” ชลนัยน์หัวเราะด้วยท่าทางไร้เดียงสา เห็นดังนั้นกีรติก็อดแอบยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้





              นี่แหละน้า... เด็กก็ย่อมมีจิตใจที่ใสซื่อบริสุทธิ์กันทุกคน





              ช่างเจ้าของอู่นึกในใจ แต่ทันใดนั้นเอง กระสุนจากปืนของยามก็พุ่งตรงมาหาเขา สายตาคมกริบของทั้งสามเหลือบไปเห็นกระสุนนัดนั้นได้ทันพอดิบพอดี ทว่าทั้งนรกานต์และชลนัยน์คงไม่สามารถช่วยกีรติได้ทันเวลา !





              เคร้ง !





              กระสุนสังหารร่วงกราวลงไปกลิ้งขลุกอยู่กับพื้น หลังจากกระทบเข้ากับอาวุธคู่กายของกีรติ...





              มันคือประแจยักษ์ยาวกว่าหนึ่งเมตร !





              ด้วยเรี่ยวแรงและประสาทสัมผัสอันเหนือมนุษย์ธรรมดาๆทั่วไป ทำให้กีรติสามารถปัดป้องแทบทุกสิ่งทุกอย่างที่วิ่งเข้าหาตัวได้ แน่นอนว่าไม่เว้นแม้แต่กระสุนปืน !





              ปัง !





              นรกานต์ระเบิดกระสุนใส่หัวเจ้ายามตัวดีทิ้งก่อนจะหันมาเหยียบร่างของชีวิตสุดท้ายที่หมอบคลานอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา





              “ถ้าชาติหน้ามีจริงจะกลับมาแก้แค้นฉันก็ไม่ว่า”





              ปัง !





              ในที่สุดสถานีรถไฟฟ้าก็เหลือเพียงสามชีวิตเท่านั้นในตอนนี้ นรกานต์เงี่ยหูฟังเสียงอื้ออึงที่ดังออกมาจากอุโมงค์รถไฟด้วยสีหน้าเคลือบแคลงใจ ก่อนจะหันมาคาดเดาสถานการณ์ให้กีรติฟัง





              “รู้สึกว่าพวกมันจะได้ยินเสียงปืนกันหมดแล้วนะ เฮีย” นรกานต์กล่าวเรียบๆ ไม่มีปฏิกิริยาตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย “ตอนนี้ไอ้มะเส็งที่มาดูงานก็คงกำลังหนีตาย จะเอาไงต่อดี ?”





              “พวกเอ็งสองตัวรออยู่นี่” กีรติกำชับพร้อมวิ่งกลับขึ้นไปจากสถานีรถไฟ ทิ้งให้สองหนุ่มต้องยืนมองหน้ากันด้วยความสงสัย





              หลังจากนั้นไม่นาน เสียงเครื่องยนต์ก็ดังนำมาแต่ไกลก่อนที่รถเชฟโรเล็ตซาฟิร่าสีน้ำเงินจะวิ่งวิบากลงมาในสถานี กีรติขับรถมาจอดหน้าเด็กหนุ่มทั้งสองและกวักมือเรียกให้ทั้งคู่กระโดดขึ้นรถทันที





              “เฮียไม่ได้ขับ BM แล้วหรอกเหรอ ?” นรกานต์เอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่กีรติกลับส่ายหน้าไปมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก





              “ใครมันจะบ้าเอารถตัวเองมาขับลุยแบบนี้ล่ะวะ เสียของ” กีรติตอบด้วยท่าทางหงุดหงิด ทำเอาชลนัยน์กลัวหัวหดไปอีกครั้ง “นี่กูไปปล้นเค้ามาเว้ย ใช้เสร็จต้องเอาไปคืน”





              “งั้นก็เหยียบหน่อยเถอะ เฮีย” นรกานต์เอนตัวพิงเบาะหนังนุ่มๆอย่างสบายอารมณ์ “เดี๋ยวตำรวจมางานจะยาก”





              เชฟโรเล็ตยังคงวิ่งไปตามรางรถไฟด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่มันจะวิ่งได้ ทั้งสามรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากพื้นหินดินทรายบดละเอียดใต้ล้อ โชคดีที่การวางรางยังไม่เริ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นเจ้าเชฟโรเล็ตคันนี้คงไม่มีโอกาสได้มาวิ่งในอุโมงค์นี้เป็นแน่...





              นรกานต์กำลังเปลี่ยนซองกระสุนและเช็คสภาพปืนที่มีชื่อว่า ‘บลัดฮันเตอร์(Blood Hunter)’ ของตัวเอง ส่วนชลนัยน์นั้นก็เลิกใช้ของฟรี และนำปืนสีดำสนิท ‘เดธบริงเกอร์(Death Bringer)ออกมาเตรียมพร้อมไว้แล้วเช่นกัน





              ไฟหน้ารถส่องเห็นผู้คนจำนวนมากที่กำลังวิ่งกันอยู่แต่ไกล กีรติเห็นดังนั้นก็ยิ่งคึกเหยียบคันเร่งหนักเข้าไปใหญ่ เสียงร่างมนุษย์ถูกโลหะกระทบและบดขยี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างความพึงพอใจให้คนขับใจทมิฬยิ่งนัก





              เสียงหัวเราะจากภายในรถดังระงมปะปนกับเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของผู้คนที่ถูกล้อรถไล่ขยี้ กีรติตัดสินใจเปิดหน้าต่างเพื่อฟังเสียงร้องให้ชัดขึ้น ทำให้มีละอองเลือดสาดกระเซ็นขึ้นมาเปรอะตามตัวเขามากมาย





              รอยยิ้มของอสูรร้ายประทับอยู่บนสีหน้าแห่งความเลือดเย็นนั้น...





              ในที่สุดรถก็มาหยุดอยู่ที่สถานีแห่งที่สอง ทว่าเมื่อมาถึงนั้น ช่างยนต์ทั้งสามที่นั่งอยู่ในรถก็จำต้องตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ





              ชายชุดดำคนหนึ่งกำลังยื่นสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ให้นายมะเส็งที่เข่าอ่อนตัวสั่นงันงก !





              ก่อนที่คนอื่นจะทันได้ทำอะไร นรกานต์ก็ใช้ด้ามปืนของเขาทุบกระจกและลั่นกระสุนใส่ชายชุดดำคนนั้นด้วยความโกรธเกรี้ยว





              มึงบังอาจมาตัดหน้ากู !





              แต่แล้วฝ่ายที่ต้องตกตะลึงกลับกลายเป็นพวกกีรติ เมื่อชายชุดดำคนนั้นเอี้ยวตัวหลบกระสุนของบลัดฮันเตอร์ไปได้อย่างง่ายดาย





              คมกระสุนพลาดเป้าหมายของมัน ตรงเข้าปะทะกับกำแพงจนเกิดเป็นรอยแตก !





              ฝ่ายชายชุดดำกระชากคอเสื้อของนายทุนร่างอ้วนนามมะเส็งไว้ ก่อนจะหันมาประจันหน้ากับพวกกีรติ ทำให้ฝ่ายช่างสามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาได้อย่างชัดเจน





              ชายหนุ่มหัวเถิกสวมแว่นตาดำ ดูมีอายุไม่ใช่น้อย สูทสีดำสุดเรียบเนี้ยบทุกระเบียดนิ้ว แต่ดูๆไปแล้วชายคนนี้ช่างคุ้นหน้าคุ้นตาพวกเขาเหลือเกิน ราวกับว่าเคยเห็นคนๆนี้ในหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง...





              “คุณแอนเดอร์...” ชายคนนั้นเริ่มพูด แต่แล้วเขาก็หยุดไปกลางครันและกระแอมก่อนเริ่มพูดต่อ “เอ่อ... พวกคุณเป็นใคร ?” (ส่วนคุณพอจะเดาได้หรือยังว่าชายชุดดำคนนี้เป็นใคร ถ้ายังไม่ได้ผมจะใบ้ให้อีกนิด... เขามาจากเรื่อง The Matrix)





              “ไม่ต้องพูดแล้ว กูจะฆ่ามึง !” นรกานต์ตะโกนขึ้นพร้อมๆกับที่บลัดฮันเตอร์คำรามลั่น กระสุนพุ่งเข้าหาร่างของสมิ... เอ่อ ชายชุดดำผู้เป็นเป้าหมายอีกครั้ง แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม คือเขาเอี้ยวตัวหลบมันได้อย่างสบายๆ !





    ===============================================================





              นรกานต์เห็นดังนั้นจึงสาดกระสุนไม่หยุด ชลนัยน์เองก็มาช่วยเขาอีกแรงด้วย ทั้งคู่ยื่นมือออกไปนอกรถ เหนี่ยวไกปล่อยกระสุนออกจากรังเพลิงจนกระสุนในแม็กกาซีนหมดเกลี้ยง !





              ทว่า... ชายชุดดำกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน





              “เจ้านี่ปล่อยเฮียเอง...” กีรติกล่าวด้วยท่าทางขึงขังขณะเปิดประตูลงจากรถ





              “ท่าทางมันจะไม่ธรรมดานะเฮีย ประแจเฮียจะไหวแน่นะ ?” นรกานต์พูดอย่างดูถูกดูแคลน ชลนัยน์ก็พยักหน้าเออออไปกับเขาด้วย แต่กีรติกลับขยับรอยยิ้มน้อยๆ ไม่แสดงอาการหวั่นไหวออกมาเลยสักนิดเดียว





              “ฉันรู้จักเจ้านี่...” กีรติหัวเราะในลำคออย่างมีเลศนัย สายตาจ้องมองไปยังชายชุดดำตรงหน้าอย่างท้าทาย “มันคือ สมิธ เจ้าของสมิตาช่างยนต์ คู่แข่งตลอดกาลของอู่เรายังไงล่ะ !”





              “หึ... คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอแกที่นี่นะ กีรติ” สมิธยิ้มกริ่มด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “ฉันเองก็อยากจะตัดสินกับแกเสียเดี๋ยวนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้มีงานยึดบ่อน้ำมันต้องทำก่อน”





              ว่าจบ สมิธก็ลอยขึ้นพร้อมๆกับนายมะเส็ง ร่างทั้งคู่ทะลุเพดานสถานี ตรงออกสู่ฟากฟ้าเบื้องนอกอย่างรวดเร็ว





              กีรติไม่รอช้า วิ่งไปที่บันไดสถานีหมายจะตามทั้งคู่ไป แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันมากำชับกับสองลูกน้องของเขา





              “นี่เป็นเรื่องของเฮียกับไอ้สมิธ ห้ามมายุ่งเชียว !”





              สิ้นสุดคำพูด ร่างของกีรติก็วิ่งหายขึ้นไปกับบันไดสถานี นรกานต์กับชลนัยน์ก็เอนหลังพิงเบาะนุ่มๆหวังจะพักผ่อนให้สบาย แต่แล้วกีรติก็วิ่งกลับลงมาอีกรอบ





              “แต่ถ้าเห็นท่าไม่ดี รีบมาช่วยเฮียด่วนเลย”





              “เออ ช่วยแน่ เฮีย” นรกานต์ตอบรับพร้อมหัวเราะในลำคออย่างมีเลศนัย ทำเอากีรติรู้สึกใจคอโหรงเหรงขึ้นมา...









              สมิธลากนายมะเส็งขึ้นมาบนยอดตึกระฟ้าที่อยู่ในละแวกนั้น ชายหนุ่มโยนร่างเจ้าของบ่อน้ำมันลงกับพื้นอย่างไม่ใยดี ก่อนจะยื่นใบสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ให้เขา





              “รีบๆเซ็นซะ จะได้จบๆไปซะที”





              แต่นายมะเส็งก็ยังคงนั่งตัวสั่นอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมเซ็นสัญญาให้สมิธเสียที





              ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย เจ้าแก่ไขมันหนาตรงหน้าเขานี่มันมีความกล้าขนาดนั้นเชียวหรือ? กล้าพอที่จะขัดใจเขา กล้าที่จะเล่นกับความตาย... ดูเหมือนสมิธจะประเมินค่านายมะเส็งคนนี้ไว้ต่ำเกินไปเสียแล้ว





              “จะเซ็น... หรือจะตาย ?” ชายหนุ่มขู่เสียงเขียว ทำเอานายมะเส็งต้องดึงเสื้อขึ้นมาปิดใบหน้าด้วยความหวาดกลัว





              “อาก... อา” เสียงละล่ำละลักดังอู้อี้ออกมาจากในเสื้อ





              “แกว่าไงนะ ?” ชายหนุ่มถามเสียงเย็น





              “ปากกา...” นายมะเส็งพูดอีกครั้งเมื่อใบหน้าออกมาพ้นชายเสื้อ





              คำพูดของเขาทำเอาสมิธต้องกระแอมด้วยความขายหน้า... เขายื่นใบสัญญาให้ แต่กลับลืมส่งปากกาให้นายมะเส็งเซ็น...





              ชายหนุ่มยื่นปากกาให้เศรษฐีร่างอ้วน แต่ทว่ามะเส็งก็ยังคงนั่งจุ้มปุ๊กถือปากกาจ่อไว้ที่กระดาษ ไม่ยอมลงมือเซ็นเสียที





              “คราวนี้อะไรอีกล่ะ ?” สมิธตีสีหน้าหงุดหงิดยื่นเข้าไปใกล้นายมะเส็ง ทำเอาเศรษฐีอ้วนเหงื่อแตกท่วมตัว เหงื่อที่ผุดขึ้นฝ่ามือเกือบทำให้ปากการ่วงลงกับพื้น ถ้าหัวปากกาแตกคงน่าเสียดายแย่





              “...ผมเซ็นให้ไม่ได้”





              “ว่า-ไง-นะ ?” ชายหนุ่มถอดแว่นดำถลึงตาใส่นายมะเส็งก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอำมหิต





              “ผมเซ็นให้คุณไม่ได้...” เศรษฐีอ้วนตอบละล่ำละลัก “ผมกู้เงินธนาคารมาสร้างทางรถไฟนี้ ถ้าไม่ได้กำไรจากน้ำมันไปใช้หนี้ ทางธนาคารต้องส่งคนมาเก็บผมแน่ๆ...”





              “ถ้าแกไม่เซ็นให้ฉันแกต้องตายเดี๋ยวนี้” สมิธกล่าวพลางแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว “แกเลือกเองเถอะ อยากตายเร็วหรือตายช้า ?”





              เศรษฐีอ้วนพยักหน้าทั้งๆที่ยังสั่นระริกไปทั้งตัว ปลายปากกาของเขาจรดลงบนแผ่นกระดาษเตรียมขยับเซ็นแล้ว แต่ทว่า...





              “ยังก่อน คุณต้องเซ็นให้ผมต่างหาก มะเส็ง”





              กีรติขึ้นมายืนอยู่กับพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครทราบได้ ชายหนุ่มกระชับประแจยักษ์ในมือไว้แน่น บ่งบอกถึงความพร้อมและกระหายอยากที่จะใช้มันเต็มแก่ !





              “กรรมสิทธิ์ของมะเส็งต้องเป็นของผม ทำไมคุณไม่ลองไปหานายมะโรงแทนล่ะ ?” สมิธสวนกลับด้วยรอยยิ้มยียวน





              “ไม่ต้องเล่นมุข คุณสมิธ คุณเองก็ควรจะรู้ว่าพวกเราต่างต้องการในสิ่งเดียวกัน...”





              “หมายความว่าจะต้องแย่งกันสินะ” สมิธฉีกยิ้มที่น่ากลัวไม่แพ้กีรติ ช่างชุดดำค่อยๆหยิบอาวุธของตัวเองออกมาแสดงต่อหน้าศัตรู...





              มันคือซากุไร หรือที่พวกเราๆรู้จักกันในชื่อของไขควงนั่นเอง ! หนำซ้ำความยาวของมันยังเทียบเท่าได้กับดาบ ไม่เหมือนไขควงธรรมดาๆทั่วไป ! แม้จะเป็นหัวแบน แต่ก็ถูกลับมาอย่างดีจนคมอย่างกับใบมีด





              “หึ... มีกรรมสิทธิ์บ่อน้ำมันเป็นเดิมพันสินะ” กีรติเหยียดยิ้มพลางถือประแจยักษ์ด้วยมือทั้งสองไว้ในท่าพร้อมต่อสู้





              “ถูกต้อง... เตรียมรับมือ !”







        

              ทางด้านนรกานต์และชลนัยน์บัดนี้ทั้งคู่ลงจากรถมาเดินเล่นด้วยความเบื่อหน่าย สองหนุ่มเดินดุ่มๆไปตามอุโมงค์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ปืนในมือพร้อมจะยิงสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เสนอหน้าออกมาได้ทุกเมื่อ





              “พี่นอ พี่จะไปไหน ?” ชลนัยน์เอ่ยถามไม่เต็มเสียง ดวงตาที่สอดส่ายไปมาของเขามีน้ำตาเอ่อคลออย่างกับอยากจะร้องไห้เต็มแก่

        



              “จะรู้ไหม กูไม่ได้สร้างที่นี่นะ” นรกานต์ตอบอย่างไร้เยื่อใย





              ทว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าทั้งคู่ ทำเอาทั้งสองต้องตาเบิกโพลง





              “บ่อน้ำมัน !” สองหนุ่มแหกปากขึ้นพลางวิ่งเข้าไปดูหลุมกว้างตรงหน้าพร้อมๆกัน





              ชลนัยน์ยื่นหน้ามองลงไปในหลุม ส่วนนรกานต์หรี่ตาลงมองสำรวจภายในหลุมลึกนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ชายหนุ่มย่นจมูกส่งเสียงฟุดฟิดราวกับกำลังพยายามจับผิดกลิ่นที่อยู่รอบๆตัว และทันใดนั้นเอง หัวคิ้วของเขาก็พลันยับย่นเข้าหากัน





              “นี่มัน...”



        

    ===============================================================





    จบตอน 2 แล้วครับ ^^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×