ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [[พันธนาการแห่งบัลลังก์]] เป็น eBook ครบสี่เล่มแล้วนะคะ ^^

    ลำดับตอนที่ #39 : = 30 = พระเจ้าจะจากไป บ้านเมืองจะพินาศ...............(50%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 54
      3
      8 ม.ค. 62

     



             ชาวบ้านเบียดเสียดต่างมุงดูขบวนเสด็จของเจ้าชายน้อยทั้งสองพระองค์จากแดนเหนือ พระโฉมคมคาย วรกายงามสง่าบนหลังอาชาทรง ขบวนม้าเรียบง่ายปราศจากความหรูหราแต่ให้ความน่าเกรงขาม สองฟากถนนจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่ให้ความสนใจ ไม่มีใครทันสังเกตเจ้าชายทั้งสองและเหล่าองครักษ์ที่ติดตามดูคุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนเคยพบ เนื่องด้วยรัศมีความงามสง่าลบเลือนสองพี่น้องที่เคยแต่งกายธรรมดาไปสิ้น


             “พ่อจะให้เจ้าไป..อย่างสมเกียรติ พร้อมองครักษ์ ไปแสดงให้พวกเขาเห็นว่าทางเรายินดีต้อนรับไซซีและเจ้าหญิงเมโลดี้ตลอดไป นางไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่เยี่ยงนักโทษหลบหนี แสดงให้พวกนั้นเห็นถึงศักติของสองพระองค์”


             ราซายหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนลืมตาแน่วแน่แล้วยืนขึ้นบนหลังม้าอย่างฉับพลันสร้างความตื่นตระหนกให้ผู้คนที่รายล้อม แต่ไม่ใช่คนในภูผาหอมที่ทำกันได้ทุกคน เมื่อเจ้าชายเป็นผู้นำ คนที่เหลือทั้งหมดรวมถึงรามุสก็ลุกขึ้นยืนบนหลังม้าที่กำลังย่างเหยาะเช่นกัน ความลึกลับเมื่อครู่กลายเป็นการข่มขวัญให้แก่เจ้าบ้าน


             มือหนึ่งจับบังเหียน อีกมือยกโบกให้ชาวเมืองที่เข้าเฝ้าทั้งสองข้างทาง รอบด้านต่างร้องทรงพระเจริญด้วยความตื่นเต้นตระกรานตา ฉับพลันเด็กคนหนึ่งพลัดจากฝูงชน หกล้มตรงหน้าเหล่าอาชานับสิบที่กำลังตรงมาอย่างกระชันชิด ราซายดึงบังเหียนอย่างแรง อาชาทรงยกสองขาหน้าขึ้นร้องเสียงแหลม หากกีบเท้าแตะพื้นลงมาคงเหยียบย่ำร่างเล็กๆ เป็นแน่ วรองค์น้อยรีบกระโจนจากหลังม้าดึงร่างเล็กกลิ้งไปยังข้างทางด้วยกัน เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงชั่วลมหายใจ แต่ทำให้รอบด้านเงียบสงัดด้วยความตื่นกลัว 


             เมื่อรามุสคลายอ้อมกอด เด็กน้อยร้องไห้จ้า แม่เด็กรีบเข้ามาสำรวจลูกตน เมื่อเห็นว่าไม่เป็นอะไรก็คุกเข่าขอบคุณเสียงดัง เมื่อนั้นรอบด้านส่งเสียงกระหึ่มอีกครั้ง ทั้งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี และนับถือในความปราดเปรียวว่องไวทั้งจากสองพระองค์


             รามุสกระโจนขึ้นหลังม้าอีกครั้ง เมื่อมองกลับไปที่สองแม่ลูกก็กลืนหายไปในฝูงชนเสียแล้ว เจ้าชายน้อยมุ่นพระขนง ยามอยู่ใกล้ในอ้อมพระกร กลับได้กลิ่นที่คุ้นเคยคล้ายกลิ่นเครื่องหอมที่ชนภูเขานิยมทาบนตัวเด็กเพื่อขอให้พระแม่ธรณีคุ้มครองจากตัวเด็กน้อยคนนั้น เจ้าชายองค์รองมองวรองค์ที่บังคับอาชานำหน้าก็ส่ายพระพักตร์ให้กับองค์เอง


             คิดมากไปได้ เสด็จพี่จะจัดฉากนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร


             เนื่องจากอยู่ด้านหลังจึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มอย่างหมายมาดของคนข้างหน้า


             โทริที่ขี่ม้าตามขบวนเสด็จ ถอนหายใจ ถ้าไม่ได้อยู่ในช่วงสงคราม เขาคงไม่ต้องมาทำหน้าที่นี้ ตอนนี้เหล่าทหารอัศวินส่วนใหญ่เตรียมตัวออกศึกจึงไม่ได้เห็นการโอ้อวดของเหล่าคนจากเขาสูง


             ยืนบนหลังม้า? คนจะฝึกยืนบนหลังม้าทำไมให้ตกมาเจ็บตัว!


             ขบวนเสด็จมาถึงหน้าปราสาทก็ลงจากม้าด้วยความพร้อมเพรียง ขึ้นบันไดไปหยุดอยู่ที่ท้องพระโรงใหญ่ บุรุษผู้ประทับบนบัลลังก์ก้าวลงมา ในฐานะที่เด็กกว่า ต่ำด้วยวัยและพระยศ ราซายเป็นฝ่ายโค้งคำนับ


             “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ เจ้าหลวงมีราชสารเจริญสัมพันธไมตรีกับบ้านพี่เมืองน้องแห่งนี้ นี่คือของขวัญจากรูซาเวีย ขอสองเมืองปรองดองร่มเย็น” สุรเสียงไหลลื่นไม่ติดขัด บางครั้งชูดาสก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพระนิสัยของสองพี่น้องไม่มีผู้ใดถอดแบบองค์เจ้าหลวง


             แต่ก็ดี ถ้าได้คนที่ชื่นชอบการรบอย่างเดียวมาอีกคนคงแย่


             “ขอบใจมาก” อโดนิสว่า พลางทอดพระเนตรดูหีบขนาดไม่ใหญ่นักหากข้างในคงบรรจุอัญมณีงดงาม “ก่อนหน้านั้น เจ้าหญิงรัชทายาทของเจ้าชายก็เสด็จมาที่นี่เช่นกัน ไม่ทราบว่าพบเจอกันหรือไม่”


             “พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันมีโอกาสพบพี่หญิงแล้ว แต่พระนางเสด็จเยี่ยมพระญาติต่อ หม่อมฉันจึงได้มาที่นี่ตามพระกระแสรับสั่งของพระบิดา ทรงคิดถึงที่นี่ยิ่งนักพระเจ้าค่ะ โดยเฉพาะฝ่าบาท ยังโปรดประทานกริชคู่ที่ทำถวายฝ่าบาทโดยเฉพาะ” เมื่อตรัสถึงตอนนี้ องครักษ์ผู้หนึ่งถือหีบขนาดแบนราบเข้ามา ราซายเปิดให้เห็นกริชงดงามสองชิ้นที่อยู่ด้านใน


             “ทรงมีน้ำพระทัยต่อเรานัก” อโดนิสแย้มสรวล ลืมที่ติดใจเมื่อครู่ที่รับสั่งเจ้าหญิงรัชทายาทเยี่ยมพระญาติ ใคร..ที่ไหน.. “หลานๆ ของเราไม่ค่อยมีเด็กผู้ชายนัก มีสองสามคนก็เล็กเกินกว่าจะให้ออกมารับรอง นี่เจ้าหญิงไมชาดัสกับเจ้าหญิงไนจีทัสจะเป็นผู้ดูแลพวกท่านในขณะที่อยู่แก้วผลึก หากต้องการอะไรสามารถบอกพวกนางได้”


             “ขอบพระทัย” ราซายโค้งให้ราชาแห่งเมืองแก้วผลึก แล้วหันพักตร์สบเนตรกับอิสตรีสูงศักดิ์ทั้งสอง โค้งเศียรเล็กน้อยแทนคำทักทาย ไมชาดัสสำรวมกิริยา ในขณะที่ไนจีทัสอ้าปากค้าง


             นี่ไม่ใช่คนจร แต่เป็นถึงเจ้าชายจากแดนเหนือเชียวหรือ!


             ถ้าอย่างนั้น..ก็ไม่มีอุปสรรคอะไรให้น่ากังวลสินะ


     


             “ทำไมตอนที่เจอกัน พระองค์ถึงไม่บอกเราว่าเป็นใคร” ไนจีทัสเปิดฉากก่อนเมื่อเคลื่อนขบวนออกชมอุทยานไม้ดอก รามุสมองไปรอบๆ เอาแต่คิดว่าดอกนี้แม่คงชอบ ดอกนั้นเสด็จอาก็น่าจะโปรด จะทูลขอเอากลับรูซาเวียได้ไหมนะ


             “ขออภัย เจ้าหญิง พวกหม่อมฉันต้องปิดบังฐานะเพราะยังไม่สะดวกจะเข้าวังในตอนนั้น” ราซายตอบกลับ


             “แหม ถึงอย่างนั้นก็น่าจะกระซิบบอกกันบ้าง” เด็กสาวบ่นกระปอดกระแปด แอบชำเลืองมองพี่สาวที่เดินสำรวมอยู่ไม่ห่าง ไม่มีทีท่ายินดีเท่าที่นางคิดไว้


             “แล้วเจ้าชายจะทรงเสด็จแปรพระราชฐานนานเพียงใดเพคะ”


             “ก็..จนกว่าพี่หญิงของเราจะเสร็จธุระ จนกว่า..สงครามจะจบ”


             เมื่อได้ยินคำคำนี้ ใบหน้ารื่นเริงมีแววสลดลง แม้พวกนางเป็นสตรีไม่มีหน้าที่สู้รบ แต่จะให้มีความสุขได้เช่นใดเมื่อเหล่าบุรุษใกล้ตัวต้องออกไปเจออันตราย แม้แต่เชื้อพระวงศ์ก็จำต้องออกสู้ศึกเช่นกันเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ทหาร ในวังจึงอึมครึมไปด้วยบรรยากาศแห่งสงคราม เหล่านักบวชเฝ้าสวดวิงวอนเพื่อให้เทพเจ้าแห่งชัยชนะอยู่เคียงข้างพวกเขา


             อยากรู้นัก ใครเป็นคนคิดคำนี้ สงคราม..


             ใครที่เป็นคนเริ่มต้นเอ่ยเรียก คำที่ผู้คนได้ยินก็ต่างเกลียดชัง



     

             ภายนอกนางวางเฉย ใครจะรู้ภายในนางว้าวุ่นเพียงใด


             ทั้งที่คิดจะตัดใจ เมื่อจบจากการช่วยเหลือเสด็จอา เขาก็จากไปไม่มีแม้แต่คำลา

    เป็นนางที่ทุรนทุรายไปเอง เป็นนางที่ทรมานกับการมองเขาเพียงข้างเดียว


             แต่แล้วเขาก็กลับมา มาอีกในรูปลักษณ์หนึ่งสูงส่งจนนางรู้สึกด้อยค่า


             “ถอนหายใจอะไรจ๊ะ”


             ไมชาดัสผินพักตร์จากหน้าต่างห้องนอน มองพระมารดาเข้ามาในห้องพร้อมผลไม้ดั่งเช่นทุกค่ำคืนที่จะตรวจตราธิดาทั้งสามก่อนบรรทม


             “เสด็จแม่” ร่างบางย่อลงถวายความเคารพ


             “ไหน มีอะไรกลุ้มใจหรือ” พระชายาไรเรนแห่งพระเชษฐาที่สี่ขององค์ราชันให้นางกำนัลวางถาดผลไม้แล้วถอยไป “แม่ไม่เคยเห็นเจ้าแก้ปัญหาอะไรไม่ได้”


             “ทรงยกยอหม่อมฉันเกินไป” ขยับนั่งกับพื้น ซบใบหน้ากับตักมารดาที่นั่งบนเก้าอี้ “เสด็จแม่ทรงเคย.. ปรารถนาอะไรบางอย่างแล้วไม่รู้จะทำเช่นใดเพื่อให้ได้มาหรือไม่เพคะ”


             “หลายอย่าง คนเราใช่จะได้ในสิ่งที่ต้องการทั้งหมด”


             “สมมุตินะเพคะ สมมุติ” ไมชาดัสเงยพักตร์มองพระมารดา ไรเรนหัวเราะเบาๆ “สมมุติว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งชอบผู้ชาย แต่เขาคนนั้นอยู่สูงเกินไปและ..” พระพักตร์แดงขึ้นในขณะเอ่ยเรื่องสมมุติ “ผู้หญิงจะอาจหาญบอกรักชายก่อนคงเป็นการไม่สมควร เช่นนั้นผู้หญิงคนนั้นควรทำอย่างไรดีเพคะ”


             หัตถ์เรียวลูบศีรษะบุตรี


             “เขาคนนั้นมีค่าหรือไม่”


             ไมชาดัสเงียบลง หาคำตอบให้กับตนเองไม่ได้


             “ถ้าเขาคนนั้นไม่มีค่า ให้สูงส่งเพียงใดก็ไม่มีความหมาย แต่ถ้าเขามีค่ากับผู้หญิงคนนั้นต่อให้ต่ำศักดิ์ก็ควรแก่การพยายาม ของที่อยู่สูง..หากเราไม่คิดเอื้อมไขว่คว้า มีหรือจะได้มาครอบครอง จริงอยู่หญิงอย่างเราต้องระวังกิริยา ยิ่ง..ฐานะอย่างพวกเรา ผิดพลั้งอะไรขึ้นมาจะเสียถึงวงศ์วาร ทว่า..ผู้หญิงไม่ควรเป็นฝ่ายรออย่างเดียว หากไม่แสดงให้เขารู้..เขาจะรู้ได้เช่นใด”


             “เราควรเอ่ยวาจาก่อนหรือเพคะ” เจ้าหญิงน้อยฉงน


             “มีหลายวิธีที่สามารถทำให้เขารับรู้ได้โดยไม่ต้องพูดออกมาเหมือนกันนะจ๊ะ”

    ดวงเนตรคู่งามสว่างไสวขึ้น


             “เสด็จแม่..”


             “จ๊ะ?”


             “อย่าบอกเสด็จพ่อนะเพคะ”


             ไรเรนหัวเราะกับใบหน้าเขินอายของบุตรสาว ไซพาริสัสเป็นคนเคร่งขรึม ไม่อ่อนโยน ขาวเป็นขาวดำเป็นดำ นางมีแต่บุตรี ย่อมเป็นเรื่องปกติที่พ่อลูกไม่ได้ใกล้ชิดมากเกินไป ยิ่งเขาปกครองคนด้วยความเข้มงวด ลูกๆ ทั้งสามถึงได้เกรงพระทัยยิ่งนัก


             “เราพูดเรื่องสมมุติกันอยู่ไม่ใช่หรือจ๊ะ”


             “เพคะ เสด็จแม่!


             “รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้เจ้าว่ามีนัดกับเสด็จป้าไม่ใช่หรือ”


             “เพคะ” ไมชาดัสรับคำ นางในฐานะธิดาองค์โตแห่งแก้วผลึก บ่อยครั้งที่ติดตามเสด็จป้าไฮยาซินทัสเข้ากระทำพิธีกรรมต่างๆ ในวิหาร บทสวดก็ท่องจำได้ขึ้นใจไม่ติดขัด จนพ่ออยากให้นางทำหน้าที่แทนเสด็จป้าในอนาคต พระองค์ว่าเป็นทั้งภาระและเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่จะได้เป็นเจ้าสาวของพระผู้เป็นเจ้า ในขณะที่เสด็จลุงฮาเดสและเสด็จอาอโดนิสไม่ยินยอม เรื่องจึงยังไม่มีข้อสรุป


             พรุ่งนี้ เป็นวันซักซ้อมลำดับพิธีการ เพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในวันออกศึกที่จะมีพิธีทำขวัญใหญ่แก่เหล่าทหาร


             ร่างบางเอนลงบนพระแท่นบรรทม อดคิดถึงผู้ชายที่ทำให้จิตใจนางว้าวุ่นไม่ได้


             เมื่อยามนางคิดว่าเขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดา นางไม่รังเกียจที่จะเข้าหา


             หากยามนี้ ยามที่เขาปรากฏตัวตรงหน้าในฐานะที่ไม่ต่ำศักดิ์กว่า นางกลับ..ลังเล


             กลัวว่าเขาจะคิดว่านางเข้าหาเขาเพราะหวังลาภยศ


     

    .................................


     

             รุ่งสาง อาทิตยายังไม่พ้นเหลี่ยมเขา ร่างบางตื่นแต่เช้ามุ่งไปยังวิหาร ผ่านเวรยามเดินสวนเป็นปกติ ยิ้มรับทักทาย ทหารเปิดทางให้อย่างพร้อมเพรียง ห้องโถงกว้างใหญ่ด้านหน้า ผู้คนบางตาเนื่องด้วยยังเช้าอยู่มาก เจ้าหญิงไมชาดัสมุ่งเข้าสู่ห้องสวดขอพรที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น นางมาเร็วกว่ากำหนดเนื่องจากตนเองต้องการสวดภาวนา ขอคำตอบบางสิ่งจากพระเจ้า กลับพบว่ามีผู้อยู่ข้างในก่อนแล้ว


             เสด็จป้า?


             ไมชาดัสเอ่ยปากจะทักทาย


             “พระองค์ผู้ทรงชัย พระผู้อยู่เหนือใครในใต้หล้า ได้โปรด คำขอร้องของข้า..เจ้าสาวของพระองค์ โปรดนำพาเขากลับสู่บ้านเมืองอย่างปลอดภัย อย่าให้เขาต้องคมหอกคมดาบพวกไพรี อย่าให้ต้องคมเขี้ยวมฤตยูแห่งสัตว์ร้ายแลอสูรกาย ข้าไม่ปรารถนาเห็นเขาบาดเจ็บจากสงครามอีกแล้ว..”


             เท้าเล็กหยุดลงเมื่อไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้ มือเรียววางลงบนบานประตูที่ปิดไม่สนิท แสงตะเกียงด้านในส่องให้เห็นพระพักตร์ของพระพี่นางแห่งราชันอย่างชัดเจนไม่ผิดองค์ มืออีกข้างปิดปากตนพยายามกลั้นเสียงอุทาน


             ไม่.. ไม่มีใครในพวกเราที่ต้องไปเป็นทัพหน้า จริงอยู่บุรุษที่อายุมากกว่ายี่สิบต้องออกสงคราม หากเชื้อพระวงศ์ไปออกศึกเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหาร แม้ประสงค์จะออกไปสู้ แต่เหล่าทหารอัศวินก็ไม่ยอมให้เสี่ยงตาย ใช่..ในหมู่พวกเราไม่มีใครออกรบแน่นอน แล้ว..ใครล่ะ? ใครที่พระองค์ปรารถนาให้ปลอดภัย ใครที่ต้องออกไปนอกกำแพงซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย


             หัวใจของเด็กสาวหล่นไปอยู่ที่ข้อเท้า เมื่อรับรู้ความจริงที่ว่า เสด็จป้าผู้ควรครองความบริสุทธิ์ทั้งร่างกายและหัวใจ อาจจะ..มีใครอื่นที่อยู่ในพระหฤทัย มหานักบวชเชื้อพระวงศ์ผู้ควรจะวิงวอนขอความปรานีแก่บ้านเมืองของตนเอง กลับขอสิ่งอื่น ละเมิดกฎมณเฑียรแห่งนักบวช ถ้า..เจ้าสาวของพระเจ้ามีหัวใจรักเป็นอื่นนอกจากพระองค์ แล้วพระองค์จะให้อภัยบ้านเมืองนี้หรือ พระองค์ยังจะมอบความเมตตาให้ได้เช่นไร


             พระเจ้าจะจากไป และบ้านเมืองจะพินาศ


             ไมชาดัสหลับตาลง ก่อนจะเคาะบานประตู เผยรอยยิ้มแจ่มใส


             “หม่อมฉันว่าหม่อมฉันมาเช้าแล้ว ทรงมาก่อนหม่อมฉันเสียอีก”


             ไฮยาซินทัสลุกขึ้นยืน เปิดอ้อมกอดต้อนรับหลานสาวที่กำลังอยู่ในช่วงเบ่งบาน


             “ป้ามาสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า และเจ้าล่ะ? ทำไมวันนี้ถึงมาเร็วได้”


             เด็กสาวมองดูรูปปั้นสีขาว น่าแปลก ผู้คนบอกว่าพระเจ้าไร้ตัวตน ทรงสถิตอยู่ทุกๆ ที่จ้องมองความเป็นไปของมนุษย์ เหตุใดถึงมีรูปปั้นใบหน้าอันแสนงดงามได้


             “หม่อมฉันมาหาคำตอบเพคะ”


             “เจ้าปรารถนาจะรู้สิ่งใด”


             “เสด็จพ่ออยากให้หม่อมฉันเข้าสู่วิหารเมื่อหม่อมฉันอายุครบสิบแปด หม่อมฉันอยากรู้ว่าพระเจ้าต้องการเจ้าสาวคนนี้หรือไม่เพคะ เสด็จป้า หม่อมฉันควรทำหน้าที่เช่นพระองค์หรือไม่”


             ไฮยาซินทัสไม่ตอบคำถาม กลับกล่าวเพียง


             “เป็นเจ้าสาวแห่งพระผู้เป็นเจ้า ต้องอุทิศทุกสิ่งเพื่อพระองค์ ถ้าวันหนึ่งเจ้ามีความรัก เจ้าจะเจ็บปวดที่ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่ามองดู”


             เช่นเสด็จป้าหรือเพคะ คำถามที่นางไม่กล้าเอื้อนเอ่ย





    == ==  = = ==== = = = = = === = = = = =


    หลังจากตอนนี้ อาชูร่าจะลองอัพแบบ 50%-100% แต่เป็นอาทิตย์ละสองตอนแทนนะคะ แต่ละตอนเลยจะสั้นนิดนึง แต่โดยรวมแล้วมากกว่าอาทิตย์ละตอนอยู่ 2-3 หน้า


    ชอบแบบไหนมากกว่ากันคะ

    ระหว่าง อัพอาทิตย์ละตอน แต่อัพทีเดียวเต็มๆ เลย

    กับ อัพอาทิตย์ละสองครั้ง ครั้งละครึ่งตอน?



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×