ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คาลิโดร่า..สาวงามแห่งเคลาคัส

    ลำดับตอนที่ #33 : ออร์ฟิอัส&ยูริดิซี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 767
      1
      15 ส.ค. 53




     
    “ครั้งหนึ่งเทพแอตลาส*ผู้ต้องโทษให้ทุกข์ทรมานโดยการแบกโลกไว้บนบ่ามีธิดาด้วยกัน 7 นาง..”


    มือเรียวยกขึ้นมาปิดปากช่างเจรจา แล้ววาดมือขึ้นไปบนฟากฟ้า เขาอุ้มนางจากในวิหารออกมานอนดูดาวข้างนอก คืนเดือนมืดก็เป็นใจให้เหล่าดาราแข่งกันเปล่งแสง มือขาวเรียวไปหยุดที่หมู่ดาวแห่งหนึ่ง


    “นั่นไง ดาวเจ็ดสาวงามที่กำลังส่องแสง ข้าฟังมาจนเบื่อแล้ว ก็ข้าไง ดาวที่อับแสงที่สุด”


    ใบหน้านั้นง้ำงอจนชายหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้


    ตำนานของดาวเจ็ดสาวงาม กล่าวกันว่าเหล่านางหลบหนีการตามล่าจากนายพรานที่มุ่งมั่นไม่ลดละ จนซูสเกิดสงสารพาพวกนางไปสถิตบนฟากฟ้าเป็นหมู่ดาวเจ็ดดวง* แต่ถึงจะหนีไปสุดขอบฟ้าชายผู้นั้นก็ยังตามขึ้นมากลายเป็นดาวนายพรานเช่นกัน เชื่อกันว่าหมู่ดวงนั้นมีเจ็ดดวง แต่มีเพียงหกดวงเท่านั้นที่มองเห็นชัดเจน ส่วนดาวดวงที่เจ็ดต้องคนที่มีสายตาดีเป็นพิเศษเท่านั้นจึงจะมองเห็นได้


    “พี่โซฟรอน์เนียถึงชอบว่าข้าเป็นดาวที่อับแสง ไม่มีผู้ใดจะมองเห็น”


    “แต่ข้าเห็น” ชายหนุ่มถอนสายตาจากท้องนภา หันกลับมาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนาง ตาของเขาสะท้อนแต่ภาพของหญิงสาวตรงหน้าเท่านั้น “ต่อให้ดวงตาข้าจะมืดบอด ดวงใจของข้าก็จะมองเห็นแต่พระองค์เท่านั้น”


    คำขอบคุณของนางคือจุมพิตที่ฝากหัวใจไว้ให้


    “ถ้าพระองค์ไม่ชอบเรื่องเจ็ดสาวงามที่ข้าจะเล่าถวาย ถ้าอย่างนั้น..สนพระทัยหมู่ดาวพิณหรือไม่”


    คาลิโดร่ายิ้มแล้วซุกตัวกับแผ่นอกกำยำ ความร้อนที่แนบชิดช่วยคลายความหนาวในยามค่ำคืนได้


    ความเงียบดุจเป็นคำตอบรับให้ชายหนุ่มเริ่มต้น


    “พวกมิวส์นางหนึ่งมอบพรสวรรค์แห่งเสียงเพลงแด่ลูกชายของนางนาม..ออร์ฟิอัส ไม่มีมนุษย์ผู้ใดจะมีฝีมือเทียบเท่าเขาได้อีกแล้ว แม้แต่ในหมู่ชาวเธรซที่เป็นกลุ่มคนซึ่งมีดนตรีในหัวใจมากที่สุดในกรีซก็ตาม อานุภาพของเสียงดนตรีที่เขาเล่นและร้องนั้นไร้ขีดจำกัด ไม่มีใครหรือสิ่งใดหักห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวไปกับเสียงเพลงของเขาได้


    ยามเขาขับร้องในป่าไพร เหล่านางไม้ หมู่สัตว์จะออกมาเยี่ยมเยียนเพื่อสดับฟังเสียงอันไพเราะที่แม้หินผาบนลาดเขายังเคลื่อนตามและเปลี่ยนทางเดินของแม่น้ำได้


    ออร์ฟิอัสเคยผจญภัยไปกับเรืออาร์โก เมื่อวีรบุรุษทั้งหลายเหนื่อยล้า เสียงพิณของเขาจะเรียกกำลังวังชากลับมา ดนตรีของเขายังช่วยให้เรือแล่นผ่านเหล่านางไซเรนที่ส่งเสียงบทเพลงมรนะเย้ายวนใจมาได้อีกด้วย


    และเจ้าของเสียงที่แสนจะไพเราะก็พบรักกับสาวงาม..ยูริดิซี นางรักเขามากอย่างที่เขาเองก็ลุ่มหลงนางหมดหัวใจ..” ระหว่างเอ่ย ชายหนุ่มดึงมือของหญิงสาวไปลูบที่แก้มของเขา ให้รู้ว่า เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ลุ่มหลงหญิงคนรักจนถึงขนาดเรียกว่า..ตาบอดเลยก็ว่าได้


    รักหนอ รักอานุภาพของมันช่างร้ายกาจยิ่งนัก ผู้ใดไม่เคยมีรัก ไม่รู้หรอกว่าพิษของมันร้อนแรงเพียงใด ผู้ใดไม่รู้จักรัก มิรู้หรอกว่าความทุกข์ที่เกิดจากมันสาหัสแค่ไหน


    “แล้วเรื่องร้ายก็เกิดขึ้น เมื่อการแต่งงานจบลง เจ้าสาวแสนสวยไปเดินเล่นในสวนกับเพื่อนของนางจนถูก..อสรพิษกัดตาย ออร์ฟิอัสโศกเศร้าเหลือแสน ความเจ็บของเขาเป็นยิ่งกว่ายาพิษชนิดใดในโลกจะทำได้ เขาจึงตัดสินใจฝืนกฎของธรรมชาติ ฝืนกฎแห่งทวยเทพ เขาปรารถนาจะได้นางกลับคืนสู่อ้อมแขน


    ออร์ฟิอัสตัดสินใจเดินทางสู่ยมโลก ที่ซึ่งฮาเดสเป็นผู้ปกครอง ที่ซึ่งมีแต่ความมืดมิดและเย็นยะเยียบ หัวใจของเขากล้าแกร่งกว่าหินผา เดินทางสู่เส้นทางที่น่าสะพรึงกลัวอย่างไม่หวาดหวั่นเพียงเพื่อหญิงอันเป็นที่รัก เสียงพิณของเขาทำให้อาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลนิ่งสนิท เซอร์เบอรัสต้องมนต์ลืมตัวจนละเลยการเฝ้ายาม


    เขาใช้เพลงเจรจาความกับเทพใต้พิภพ.. เพื่อขอนางให้กลับขึ้นไปอยู่กับเขาอีกครั้ง ความรักที่เอื้อนเอ่ยผ่านบทเพลงและเสียงพิณเรียกน้ำตาจากชายผู้ใจแข็งและราชินีของเขาได้ ใครเล่าจะปฏิเสธสิ่งที่เขาวิงวอนได้เมื่อผ่านมนต์สะกดแห่งเสียงเพลง พวกเขามอบตัวหญิงสาวกลับคืน


    เงื่อนไขนั้นง่ายแสนง่าย.. ถ้าเพียงเขาจะไม่หันกลับไปมองนาง ก่อนถึงโลกเบื้องบน


    ออร์ฟิอัสจับจูงยูริดิซีผ่านประตูบานใหญ่สู่เส้นทางที่จะนำทั้งสองพ้นจากโลกมืด มือของนางเย็นยะเยือกดั่งคนที่ตายไปแล้ว ออร์ฟิอัสแข็งใจไม่หันกลับไปมอง แม้จะอยากหันไปเพื่อความมั่นใจมากเท่าไรก็ตาม ทันทีที่เขาก้าวพ้นโพรงแห่งความมืดสู่แสงทิวาของพื้นพิภพ ชายผู้นั้นจึงรีบหันไปมองคนรักอย่างรวดเร็ว โลกมืดขมุกขมัวลงอีกครา เขาทันเห็นนางที่ตามหลังยังอยู่ในโพรงมืด เขาก้าวข้ามทิวามาแต่เพียงผู้เดียว


    สาย..ไปเสียแล้ว


    นางถูกดึงกลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง และครั้งนี้..ตลอดกาล


    ลาก่อน.. ยูริดิซีเอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหายลับไป ออร์ฟิอัสถลาตาม แต่ทวยเทพไม่ยอมให้เขาก้าวล่วงแดนคนตายอีกเป็นครั้งที่สองทั้งที่ยังมีลมหายใจ เขามีชีวิต แต่ก็ไร้จิตวิญญาณเสียแล้ว


    เขาเสียคนรัก แต่ก็เหมือนเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่มีหมดสิ้น จนกระโดดน้ำที่หน้าผา* ซุสเห็นใจในความรักของเขาจึงเก็บพิณขึ้นมาสถิตเป็นดาราอยู่บนฟากฟ้า..”


    เสียงของชายหนุ่มทอดอ่อนในเรื่องเล่าแห่งโศกนาฏกรรม คาลิโดร่าที่นอนหนุนอยู่บนอกก็อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้


    “เขาช่างกล้าหาญนัก อาจหาญยิ่งกว่าชายอื่นใดที่เคยอาจหาญทำเพื่อคนรัก”


    มือใหญ่บังคับให้นางเงยหน้า ดวงตาทั้งคู่สบกันในระยะห่างเพียงชั่วปลายนิ้ว


    “ถ้าข้าเป็นเขา เมื่อเสียพระองค์ไป ข้าก็ไม่คิดจะมีชีวิตอยู่เช่นกัน คาลิโดร่า หัวใจของข้ามีพระองค์เพียงผู้เดียว หนึ่งเดียวไม่มีสอง เชื่อเถอะ ถ้าทำได้ ต่อให้ที่ที่พระองค์อยู่เป็นยิ่งกว่าแดนคนตาย ข้าก็จะไปตามหา เพื่อ..พระองค์”


    “เจ้าทำแล้ว” ยามนางแย้มยิ้ม โลกทั้งใบก็สว่างไสว “เจ้าตามหาข้าจนพบแล้ว”


    นางยันตัวจากแผ่นอกของชายหนุ่ม นิ้วเรียวแกล้งบีบจมูกอีกฝ่ายไปมา


    “บอกไว้ก่อนเลยนะ สามีของข้า ปากเจ้าช่างเจรจาคำหวาน เจ้ามาทำให้ข้ารักหมดใจเช่นนี้แล้ว ถ้าวันหน้า เจ้ากล้ามีใครอื่นเฉกชายทั่วไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”


    นาธานเนลหัวเราะจนอกกระเพื่อมขึ้นลง ดู..เจ้าหญิงขงอเขาสิ ยังไม่ทันมีเรื่องใด ก็ ‘หึง’ เสียงแล้ว


    หึง.. คำนี้ทำให้หัวใจฟู่ฟ่องขึ้นมาเลยทีเดียว


    “ข้ายอมให้พระองค์ควักหัวใจได้ ถ้าข้าเปลี่ยนเป็นอื่น”


    “ไม่ต้องบอก ข้าทำแน่” นางว่า แล้วนอนซบแผ่นอกกว้างอีกครั้ง เขากอดกระชับนางไว้ ถ่ายทอดไอร้อนซึ่งกันแล้วกัน


    ดวงดาวบนท้องฟ้านับล้านเปล่งประกายระยับราวกับสามารถเอื้อมมือไปคว้าได้
     


    ......................................


     
    นางไม่รู้ว่าจะทำสีหน้าเช่นใด เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ ที่แน่ๆ นางอยากซุกใบหน้ากับอกของเขาเป็นที่สุด


    รุ่งเช้า คาลิโดร่าและนาธานเนลตัดสินใจออกจากวิหารหลังจากที่ภารกิจเสร็จสิ้น นางได้มงกุฎวงงามเป็นของกำนัลแล้ว แม้ว่าจะยังเป็นกังวลกลัวว่าจะคลาดกับพวกที่มาตามหานาง แต่นาธานเนลก็สร้างร่องรอยให้รู้ว่าพวกเขาไปทางไหน เพราะไม่รู้ว่าแม่น้ำพัดพาพวกนางมาไกลถึงเพียงใด ถ้าเอาแต่รออย่างเดียว พวกเขาก็คงอดตาย ถึงแม้จะหาอาหารจากธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาอยู่ดี


    นาธานเนลจับจูงมือหญิงสาวเดินลัดเลาะไปเรื่อย คาลิโดร่าชื่นชมต้นไม้รอบตัว นานแล้วที่นางไม่ได้กลับเป็นเด็ก สีเขียววันนี้ดูสดใสกว่าทุกครั้ง หรือเพราะนางต่างหากที่ไม่เหมือนเดิม


    ยามคิดถึงค่ำคืนอันแสนหวาน แก้มแดงๆ ก็ร้อนผะผ่าวอย่างช่วยไม่ได้ ดีที่เขาเดินนำหน้า มิเช่นนั้น นางก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเช่นกัน เขาขี้อ้อนและ..ช่างเรียกร้องนัก เสียงทุ้มที่คลอเคลียข้างหูทำให้อดยอมทำตามที่เขาต้องการไม่ได้ เขารักนางราวกับโลกจะถล่มลงมาในวันรุ่งขึ้น


    “คิดอะไรอยู่” จู่ๆ ชายที่เดินนำหน้า ก็หันกลับมาจ้องใบหน้าของนาง คาลิโดร่าตกใจ กลัวว่าเขาจะล่วงรู้ความคิด รอยยิ้มชั่วร้ายเผยขึ้นในดวงตาของอีกฝ่าย “คิด..ทะลึ่งอยู่ใช่ไหม”


    “บ้า!” นางบริภาษกลับทันที


    “เสียงสูงแบบนี้ จริงใช่ไหม” นาธานเนลได้ทีหยอกล้อ เพราะแทบไม่ค่อยเห็นหญิงสาวสะท้านอายแบบนี้เท่าใดนัก นอกจากเวลาอยู่ในอ้อมแขนของเขา “หรือว่าพระองค์กำลังคิดถึง..เรื่องเมื่อคืน”


    สู่รู้!!


    “เรื่องเมื่อคืนมีอะไรน่าคิดกัน” คาลิโดร่าสะบัดเสียงใส่ แต่ก็หันหน้าหนีไม่ยอมสบตา แก้มแดงๆ ก็ยิ่งฟ้องทุกสิ่ง ทำให้นาธานเนลยิ้มมากขึ้น


    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะพยายามให้น่าคิดใหม่”


    เพียะ! มือเรียวฟาดไปที่ต้นแขนของเขาอย่างแรง นางถลึงตาใส่ แต่ใช้ไม่ได้ผลกับคนตรงหน้านัก ร่างบางจึงโถมทั้งร่างขึ้นไปเกาะหลังของเขาไว้


    “มีแรงนักก็พาข้าเดินไปแบบนี้แหละ!”


    นาธานเนลหัวเราะ นางเบาราวกับปุยนุ่นเมื่ออยู่บนหลังของเขา เหตุใดเขาจะแบกนางเดินไม่ได้เล่า ทว่าชายหนุ่มยังมีข้อแม้


    “จุมพิตหนึ่ง แลกได้ทุกอย่างตามประสงค์”


    คาลิโดร่าหมั่นไส้ จนอยากจะหยิกเนื้อของเขา แต่สิ่งที่นางทำ คือโน้มคอลง ริมฝีปากเกือบจะจรดกับอีกฝ่ายถ้าไม่ได้ยินเสียงนี้ก่อน


    “เจ้าหญิง!!”



     
    มันทั้งน่าอาย และน่าหัวเราะในเวลาเดียวกัน เมื่อทหารจำนวนหนึ่งอ้าปากค้างยามเห็นนางอยู่บนหลังของชายที่เคยได้ชื่อว่าเป็นสามีแต่ในนาม โดยเฉพาะ..เหล่าทหารคนสนิทของทาร์เธเมส


    นาธานเนลมีสติกลับมาอย่างฉับไว เขาให้เหตุผลว่าเจ้าหญิงข้อเท้าแพลงจึงต้องทำเช่นนี้ แต่ไม่ได้อธิบายว่าทำไมหน้าของพวกเขาจึงเข้าใกล้กันมากเกินกว่าเหตุ ซิลลาตรงเข้ามารับร่างของนางไปอย่างรวดเร็ว สายตาของนายทหารระดับสูงกวาดตามองดูลูกน้องที่ยังอ้าปากค้าง ประกายตาเหี้ยมให้รู้ว่า ถ้ามีใครหลุดปากถึงฉากเมื่อครู่ เตรียมโลงศพไว้ได้เลย


    คาลิโดร่ายอมนอนนิ่งๆ ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย มือเรียวโอบคอของซิลลาไว้ ทันเห็นชายหนุ่มของนางส่งสายตาไม่ชอบใจมาให้ ริมฝีปากบางก็อยากจะคลี่ยิ้มมากขึ้น ถ้าไม่ติดว่าสถานการณ์ไม่เป็นใจให้เล่นสนุกเสียเลย สไกซอนเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายบรรยายที่น่าอึดอัดนี้


    “เราเจอพระสาวมีของเจ้าหญิงแล้ว หาที่พักผ่อนก่อนเดินทางต่อ”


    ทหารหลายนาย แยกย้ายกันปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็ว กระโจมถูกกางขึ้นอย่างง่ายๆ ซิลลาอุ้มร่างบางเข้ามาโดยไม่สนใจว่าจะเป็นกระโจมของใคร เขาวางนางลงอย่างแผ่วเบาบนพื้นพรม เนื่องจากข้าวของส่วนใหญ่อยู่กับคาราวานอีกขบวน เพื่อให้ขบวนเล็กนี้สามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว


    หลังจากวางนางบนพรมหนานุ่มแล้วนายทหารระดับสูงถอยออกไปยืนไม่ห่างนัก แต่ก็เป็นไปตามระเบียบจนคาลิโดร่ารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธ..จัดเสียด้วย ทหารอีกสองนายตามเข้ามาข้างใน ส่วนด้านนอกก็มีอีกสองนายเฝ้าประตูเหมือนเช่นเคย


    คาลิโดร่าเพียงยกมือขึ้นมาด้านหน้า ร่างสูงก็คุกเข่าเข้ามาใกล้ แตะปลายนิ้วของนาง รอรับคำสั่ง


    “ขอโทษ..” นางเอ่ยแผ่วเบา ผละจากมือของชายหนุ่ม ไปลูบไล้ใบหน้าเขาเชื่องช้า “เป็นห่วงใช่ไหม”


    “เราทุกคนห่วงพระองค์มาก ขออภัยที่กระหม่อมทำหน้าที่บกพร่อง..”


    “ชู่ว์.. อย่าพูดแบบนั้น มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย ไม่มีมนุษย์ใดสามารถรับมือกับธรรมชาติได้ ที่สำคัญ ข้าปลอดภัยกลับมานี่น่า”


    ซิลลามองไปที่พระวรกายของเจ้าหญิง เนื้อนวลมีรอยขีดข่วน ฟกช้ำเป็นบางแห่ง แล้วยังซูบซีดกว่าที่เคยเห็น เจ้าหญิงที่เคยมีผิวผุดผ่อง ไร้ราคีต้องมาเป็นเช่นนี้ จะเรียกว่าปลอดภัยกลับมาได้อย่างไร!


    “กระหม่อมไม่มีหน้ากลับไปพบท่านทาร์เธเมส แค่ดูแลพระองค์ให้ดี กระหม่อมยังทำไม่ได้” ในขณะเอ่ย ทหารฝาแฝดอีกสองนายก็โค้งต่ำมากขึ้น เป็นการยอมรับผิดเช่นเดียวกัน คาลิโดร่าเชื่อว่านายทหารเฝ้ายามทั้งสองก็คงไม่ต่าง “เจ้าหญิง.. ถ้าพระองค์เป็นอะไรไป..”


    “ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว..” คาลิโดร่าเชยหน้าของเขาขึ้นให้มองนาง ไม่ใช่มองอดีต ทว่าก่อนนางจะเอ่ยสิ่งใดได้ ด้านนอกก็มีเสียงเอะอะ นาธานเนลเปิดกระโจมเข้ามา โดยมีนายทหารร่างใหญ่ทั้งสองกั้นเอาไว้ คนหนึ่งเข้ามารัดคอของชายหนุ่ม ไม่ให้เข้ามาข้างในได้ อีกคนใช้หอกจ่อไปที่ลำคอ


    คาลิโดร่าลุกพรวดทันที


    “อย่า! วางอาวุธลงเดี๋ยวนี้นะ!”


    นายทหารทำตาม แต่คนที่รัดคอยังไม่ยอมปล่อย ดึงร่างของชายหนุ่มให้คุกเข่าเบื้องพักตร์ของพระองค์ นาธานเนลพยายามสะบัดตัว อีกฝ่ายที่ยอมวางอาวุธจึงเข้ามาช่วยจับให้เขาอยู่นิ่งๆ


    “ท่านมาทำอะไรที่นี่!” ซิลลาขึ้นเสียงด้วยความโมโหที่เห็นตัวต้นเหตุกล้าเข้ามายังกระโจมซึ่งเจ้าหญิงประทับอยู่ นาธานเนลถลึงตากลับอย่างอวดดี เพราะเขายังไม่ได้สะสางบัญชีที่ชายตรงหน้าอุ้มผู้หญิงของเขาไปเลย ถ้าไม่เห็นแก่พักตร์ของเจ้าหญิงต่อหน้าทหารชั้นเลวหลายนาย เขาไม่มีวันปล่อยมือจากนางแน่


    นาธานเนลหันกลับมามองหญิงสาว


    “คนเป็นสามีจะมาหาภรรยาไม่ได้หรือไง”


    ซิลลาเลือดขึ้นหน้าทันทีที่ร่างสูงซึ่งถูกบังคับให้คุกเข่า ช่างไม่เจียมตัว กล้าพูดจาจาบจ้วงเจ้าหญิงของพวกเขาถึงเพียงนี้ ฝาแฝดสองนายชักมีดสั้นออกมาพร้อมกัน จี้ไปที่ลำคอ มีดสั้นสองเล่มไขว้เป็นรูปกากบาทพร้อมจะสังหารคนตรงหน้าจะดับดิ้น ไดเมอัสเอ่ยเสียงกร้าว


    “ถ้าล่วงเกินเจ้าหญิงอีกแม้แต่คำเดียว ท่านกลายเป็นศพไม่มีหัวแน่”










    == = = === ===== = = == == == = = === = =======

    ทำไมสีตัวอักษรมัน ไม่เท่ากันหว่า = ="



    ใครไปดู step up3 แล้วยกมือขึ้นนนนน

     > </

    กรี๊ดค่ะ ต้องกรี๊ด ไม่ไหวล่ะ จะละลาย
    หล่อล่ำทั้งน้านนนนนนน พระเอกก็ล่ำ ศัตรูก็ล่ำ ผู้หญิงยังล่ำ!  5555
    (บางคนเท่านั้นแหละ เพราะนางเอกรู้สึกผอมแฮะ)

    พระเอกนอกจากหล่อแล้ว โอ้ กล้ามเป็นมัดๆ น่าซบเป็นที่ซู้ดดดดดดด
    อยากได้ๆๆๆๆ (ลงไปดิ้น)

    ทวยเทพขาาาาาา ลูกตัวน้อยๆ ขอแบบนี้สักคนเตอะ T^T


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×