ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    =*เทพธิดา*= [[ฤดูใบไม้ร่วงในจิตนาการแห่งความฝัน]]

    ลำดับตอนที่ #3 : - -บทนำ..คำมั่นสัญญาที่สาม- -

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ค. 50





     แด่น้องมุ เป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลัง

     แด่น้องพั้นช์ เป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้า

     แด่น้องนุ่ม นาซิออกแล้ว อย่าพยายามฆาตกรรมพี่อีก

     และแด่น้องทุกๆคนที่แวะเข้ามาเยี่ยมมาดูกันสม่ำเสมอค่ะ^^



    ** * * * * ** * * * * ***** * * *


             ‘สัญญา..สาบาน ด้วยเกียรติทั้งหมดที่มี  แม้ภูเขาจะไร้ยอด ฟ้าดินจะประสาน ไม่มีสิ่งใดห้ามรักของเราได้ ..แม้ความตายก็ไม่สามารถพรากเราจากกันได้!  ข้าไม่ใช่เทพบุตรที่สามารถทำให้ท่านเป็นเทพธิดาจริงๆได้ แต่ท่านจะเป็นเทพธิดาเพียงคนเดียวของข้าตลอดไป’


             และคำมั่นสุดท้ายหากไม่ใช่ท้ายสุด หัวใจที่ยอมภักดีต่อคนตรงหน้าโดยไม่หวั่นไหวต่ออนาคตที่ไม่แน่นอน  ให้มีเนื้อคู่มากเท่าไร ก็มิอาจสู้คู่แท้ที่เราเลือกเองได้  ปลายทางของเส้นด้ายแห่งโชคชะตาไม่จำเป็นต้องมีนับร้อย เพียงคนเดียวก็เกินพอ คนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ความรักกลายเป็นนิจนิรันดร์ได้  ไม่ว่าจะเจ็บปวดสักกี่ครั้ง แต่ความสุขจะรออยู่เบื้องหน้าเสมอถ้ารู้จักก้าวเข้าไปหา 






             “ดูเขาสิ” น้ำเสียงวี้ดว้ายของเหล่าแม่สาวภูตทั้งหลายดังขึ้นทันทีที่บุรุษหนึ่งเดินผ่าน อาภรณ์สีแดงปนทองบางเบาพลิ้วกับสายลมตามจังหวะการก้าวเท้า ใบหน้ามองตรงไปเริ่มวอกแวกกระวนกระวายจนทำให้เห็นดวงตาสีแดงคู่นั้นชัดเจน  ภูตสาววัยรุ่นจับมือเพื่อนในขณะที่พวกหล่อนแอบอยู่หลังต้นไม้ในป่าแห่งกาลเวลา  “วันนี้ก็เท่เหมือนเดิมเลยนะ~ ~”


             “ไม่ได้เห็นหน้าแค่สามวันเจียนขาดใจเสียให้ได้”  ภูตสาวกอดกันแน่นด้วยความดีใจ 


             เสียงวี้ดว้ายทำให้ภูตหนุ่มผู้ตกเป็นเป้าสายตาเริ่มส่ายหัว  จะซ่อนตัวก็ไม่รู้จักเงียบเสียง! แล้วจะแอบทำไมฟ่ะ!!


             “หวัดดี”  เสียงหนึ่งทักมาจากด้านหลังพร้อมกับแรงมือตบเข้าที่แผ่นหลังของภูตหนุ่มจนแทบคว่ำ  สึซาคุหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยของสาวผมดำ หาก..ใต้ความเรียบเฉยนั้นซ่อนประกายคนชอบยั่วเอาไว้  


             ชายหนุ่มลูบแผ่นหลังของตน ในขณะที่มองยมทูตสาวตวัดสายตาไปยังพุ่มไม้ซึ่งบัดนี้เสียงเงียบลงแล้ว  ภูตหงส์ทองถอนหายใจ ใครเจอสายตาของยมทูตเป็นต้องหนีทุกรายซีน่า 


             “เนื้อหอมขึ้นนะ ว่าไหม?”


             “สี่ผู้อารักษ์ก็เป็นแบบนี้ทุกคนแหละน่า”  สึซาคุโบกมือปัดไม่ยอมรับคำชมนั้น ไปยกให้ตำแหน่งที่เขาเพิ่งได้ครอบครองไม่ถึงสิบปี  “อารักษ์คนอื่นๆก็โดนแบบข้าทั้งนั้นแหละ”


             “อืม..”  รุย..แม่สาวยมทูตผู้มีหน้าที่นำพาวิญญาณที่สิ้นสุดของสรรพชีวิตสู่กงล้อแห่งกรรมะแกล้งทำเสียงในลำคอว่าเข้าใจ  “เอาเถอะ..นี่เพิ่งเสร็จงานใช่ไหม”


             ภูตหนุ่มอมยิ้ม เพราะคนตรงหน้าย่อมรู้ว่าทุกครั้งที่งานดูแลป่าแห่งกาลเวลาถึงคราวผลัดเวร เขาต้องไปหาใครคนหนึ่งเสมอ


             //ก็เรียกง่ายๆว่าหมด‘กะ’ของตนเอง  เฮ้อ....สี่ผู้อารักษ์ หน้าที่ก็ไม่ต่างจากยามเฝ้าประตูเท่าไร  ต้องคอยดูแลความสงบเรียบร้อยของป่าแต่ละป่าซึ่งมีสี่ผู้อารักษ์ต่างกันออกไป  ป่าแห่งนิรันดร์กาล..ผู้อารักษ์ย่อมเป็นเทพบุตรหรือภูตกับปีศาจที่มีตำแหน่งเทียบเท่าเทพบุตร  ป่าแห่งรัตติกาล..คนดูแลก็ต้องเป็นปีศาจ  หน้าที่จะหมุนเวียนกันไป ในวันหนึ่งจะแบ่งออกเป็นสี่ช่วง  ผู้อารักษ์จะรับหน้าที่แค่ช่วงของตนเท่านั้นที่จะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นในป่าที่ตนดูแลอยู่  ตอนนี้หมดหน้าที่ของหงส์ทองก็ต้องเป็นเสือขาวต่อไป  เอ่.......แล้วหน้าที่แบบนี้ต่างจากเครเบรอสที่เฝ้าประตูในยมโลกตรงไหน?

              อ้อ..บางทีอาจใช้ภาษาสวยหรูไปนิด  ลองคิดดีๆสิว่า หน้าที่นี้ต่างจากสุนัขเฝ้าบ้านหรือไม่?//



              “กำลังจะไปหานาซิ?”


              สึซาคุผงกหัวรับทันที เขาแย้มยิ้มที่คงกระชากหัวใจแม่ภูตสาวหลายคนได้ แต่ไม่ใช่หญิงตรงหน้าที่นอกจากจะไม่ใช่ภูตแล้ว ยังไม่รู้สึกอะไรกับรอยยิ้มของชายหนุ่มผู้สง่างามตนนี้อีกด้วย


              “ข้าก็เพิ่งผละจากนางมา อยู่ที่อาณาเขตของอะกิน่ะ”


              “ขอบใจ”  พูดพลางรีบจ้ำเท้าเดินไปทางอาณาเขตของผู้เป็นน้องสาวคนสุดท้องในหมู่ภูตฤดูกาลเขตตะวันตกทันที  รุยมองคนที่รีบเดินโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเพื่อให้ได้เห็นหน้าคนรักไวๆ หล่อนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายชัดเจน


              “เห็นหน้ากันอยู่เกือบทุกวัน หลายปี ไม่เบื่อกันบ้างหรือไงเนี่ย”
     





              วิหคแสนสวยสีครามอ่อนๆร่อนถลาอยู่กลางนภาที่เหมือนจะกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด สีครามอ่อนของมันแทบกลืนไปกับสีท้องฟ้าจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ดวงตาดุจดาราหลายคู่จ้องมองการร่อนอย่างสง่างามของวิหคตัวใหญ่ด้วยความเพลิดเพลิน 


              ครู่หนึ่งที่สาวน้อยในชุดสีแดงอ่อนยกมือขึ้นมา แววตาแห่งวิหคจ้องจับเรียวแขนที่คุ้นเคยแล้วอุ้งเล็บแหลมก็ถลามาเกาะที่แขนนั้น น่าแปลกที่เล็บแหลมและน้ำหนักอันใหญ่โตของมันไม่ได้ทำให้ผู้เป็นเจ้าของรู้สึกอะไรเลยนอกจากความอบอุ่นและนุ่มนวลของสัตว์เลี้ยงที่เป็นมากกว่าแค่สัตว์เลี้ยง


             “โคอิ เงียบน่า.. หยุดซนได้แล้ว”  เสียงปรามดังมาจากเจ้าของอาณาเขตและเจ้าของวิหค ทำให้นาซิขมวดคิ้วเล็กน้อย


             “อะกิ เจ้ารู้ได้ยังไงว่ามันกำลังซน  พี่ไม่เห็นว่ามันจะทำอะไรเลย นอกจากบินแล้วก็บิน แถมไม่ส่งเสียงร้องอะไรให้หนวกหูอีกด้วย”


             “นั่นเพราะพี่ไม่ได้ยินเองต่างหาก”  น้องสาวเถียงกลับ  “วันนี้มันอารมณ์ดีแบบอยู่ไม่สุขมาทั้งวันแล้ว ส่งเสียงจนน้องรำคาญเอามากๆเลย พี่รุยก็ถึงหนีกลับไปทำงานไงล่ะ ..ซนๆๆๆ”  คำสุดท้ายเจ้าหล่อนยื่นหน้าเข้าไปหาโคอิ..วิหคตัวโตที่มีปีกใหญ่กว่าตัวเสียอีก หางของมันก็ยาวเป็นสองเท่าของขนาดตัว จงอยปากสีเหลืองออกทองของมันส่งเสียงเบาๆเหมือนจะเถียงกับสิ่งที่เจ้านายว่ามัน  คนอื่นอาจไม่ได้ยิน แต่คนได้ยินยกมือไล่มันให้ไปถลาเกาะท่อนแขนของพี่สาวอีกคน  “อย่าเถียง ทำตัวดีๆหน่อยนะวันนี้  พี่ข้าอุตส่าห์อยู่กันครบทุกคน”


             ฮารุส่งเสียงคิกคัก ในขณะลูบขนเงางามของวิหคสีคราม


             “ข้าว่าพวกเราไม่ได้ยินเสียงของโคอิก็อาจจะดีกว่านะ เพราะอะกิต้องปรามมันบ่อยๆแบบนี้ มันคง..เถียงเก่งน่าดู”
     

             //อะแฮ่ม...ขอแทรกสักเล็กน้อยเพื่อความเข้าใจ  สัตว์เทพนั้นจะมีคลื่นเสียงพิเศษที่บางคนเท่านั้นจะได้ยิน ส่วนใหญ่แล้วยมทูตเกือบทุกคนจะมีสัมผัสทางเสียงดีกว่าพวกอื่น รองลงมาจึงเป็นปีศาจ ภูต และเทพที่น้อยนักจะมีเทพองค์ใดได้ยินเสียงของสัตว์เทพ  และบางคนอาจได้ยินเพราะเสียงสัตว์เทพเป็นบางตัวไม่ใช่ทุกตัวแล้วแต่ความสามารถในการรับคลื่นของแต่ละคน  อีกประเภทคือได้ยินในตอนเด็กและโตมาก็หยุดการได้ยิน หรือ..มาได้ยินตอนโตแทนที่จะเป็นตอนเด็ก  ดังนั้นการได้ยินเสียงของสัตว์เทพจะมีหลายสาเหตุหลายกรณี//



              เจ้าวิหคตัวโตที่ได้ยินคำปรามาสจากเจ้าของท่อนแขนที่มันเกาะอยู่คงน้อยใจจึงได้บินไปถลาหัวไหล่ของคนที่ดูเหมือนจะนิ่งเงียบมากที่สุด แต่ในความเงียบฉายความอบอุ่นออกมา และยิ่งเป็นคนที่เจ้านายของมันชอบที่สุดด้วย


              นาซิหัวเราะเบาๆเมื่อเจ้าสัตว์เลี้ยงแสนรู้แถมยังฉลาดเป็นกรดถลาไปเกาะไหล่ของน้องสาวภูตฤดูหนาว ฟุยุจับมันอุ้มนั่งบนตักแล้วกอดเบาๆรู้สึกเหมือนตนเองกำลังกอดนุ่นกองใหญ่ที่ไม่มีอาการระคายเคือง


              “อะกิสอนเจ้ามาดีเกินไปหรือเปล่า”  ภูตฤดูร้อนซึ่งอยู่ใกล้ๆหันไปแหย่จงอกปากคมกริบของมันที่ไม่มีวันทำอันตรายพวกเธอแน่  “ขี้อ้อนแบบนี้น่าให้ฟุยุพากลับอาณาเขต”


              “คงยาก”  น้องสาวที่สอนมาดีตอบแทน  “โคอิไม่ชอบอากาศหนาวๆ ข้าเคยพามันไปอาณาเขตพี่ฟุยุแล้ว มันบอกว่าไม่ชอบทั้งอากาศ บรรยายกาศ และก็หิมะที่ตกใส่หัวมันอยู่เรื่อย”


              เหล่าพี่น้องพร้อมใจกันส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง นานทีปีหนที่พวกเธอสามารถอยู่รวมกันได้แบบนี้ครบทุกคน  อะกิผุดนั่งอย่างรวดเร็ว ดวงตาจ้องไปทางช่องอาณาเขต


              “มีคนมาหรือ?”  พี่สาวคนที่สองแห่งฤดูใบไม้ผลิก่อนถามเมื่อเห็นปฏิกิริยาของน้องสาว  อะกิพยักหน้าแล้วกระโจนลงจากกลีบดอกไม้ที่แต่ละกลีบใหญ่กว่าตัวของเธอไปทางช่องรอยต่อระหว่างอาณาเขต  ชั่วครู่ร่างสูงที่คุ้นตาของเหล่าพี่น้องก็แทรกตัวเข้ามา ดวงตาสีแดงมองหาคนที่ต้องการไม่นานก็พบ


              “พี่นาซิ มีคนมารับค่า~”  น้องสาวผู้ร่าเริงตลอดเวลาตะโกนให้ใบหน้าของพี่สาวคนโตขึ้นสีระเรื่อ ร่างที่รวดเร็วเหมือนวายุกระโดดเพียงครั้งเดียวก็มาถึง ชายผ้าที่กระโปรงพลิ้วเพราะผ่าข้างสูงทั้งสองข้างจึงทำให้เห็นต้นขาอ่อนเล็กน้อย


              “ทำไมวันนี้มาเร็วจัง”  สาววายุเอ่ยถามในขณะที่น้องสาวหลบฉากหันไปขยิบตาให้กับพี่สาวที่เหลือ  ดวงตาของโคอิก็จ้องมองผู้มาใหม่ มันรับรู้มาหลายปีแล้วว่าผู้ชายคนนี้เป็นส่วนหนึ่งของพี่สาวเจ้านายของมัน เมื่อไม่ร็สึกถึงอันตราย วิคลสีครามก็ขดตัวลงนอนที่กลางดอกไม้ซึ่งเป็นเกสรอ่อนนุ่มกว้างพอดีตัวของมัน  “แล้วรู้ได้ไงว่าข้าอยู่ที่นี่ หรือว่าไปหามาทุกที่”


              “พอดีเจอรุยน่ะ”


              “อืม”  หล่อนเหลือบมองน้องสาวทั้งสามที่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้  “วันนี้เป็นวันที่ข้าต้องอยู่กับน้องๆนะ นานๆทีจะมากลับครบ”


              ใบหน้าสลดแต่ไม่เอ่ยเสียงคัดค้านของคนตรงหน้าทำให้นาซิรู้สึกผิด เขารู้ว่าเธอลำบากใจถึงไม่กล้าเอ่ยรั้งทั้งที่อยากอยู่ด้วยนานๆ  แล้วเสียงขัดจังหวะก็ดังขึ้น


              “พี่นาซิไปเถอะค่ะ วันนี้เพิ่งเป็นวันแรกยังไม่พรุ่งนี้อีก พี่ค่อยมาใหม่ก็ได้  ข้าไม่อยากถูกเพื่อนๆเกลียดเพราะทำให้พี่สึซาคุเสียใจหรอกนะคะ”  อะกิร้องบอกยิ่งทำให้นาซิหน้าแดงมากขึ้น แต่คำพูดที่พูดถึงหญิงคนอื่นไม่ได้ทำให้เธอหวั่นใจอะไรมากนัก


              เพราะรู้..รู้ดีว่าเขาไม่มีตามองใครนอกจากเธออีกแล้ว  หญิงอื่นรอบข้างที่เข้าหา เขาจะมองผ่านโดยไม่สนใจ  เชื่อใจ..คำนี้ง่ายนัก และถ้าคู่รักรู้จักมีให้กันและกันก็จะมีแต่ความสุขไม่ต้องมามัวหวาดระแวงจนเป็นเหตุให้แตกหัก


              “นาซิ ข้าเปล่านะ”  หากร่างสูงร้อนตัวเมื่อเห็นสาวผมสีส้มแซมแดงที่เหมือนพายุก้มหน้านิ่ง ด้วยกลัวว่าพายุจะพัดกระหน่ำ แค่เจ้าหล่อนงอนไม่พูดกับเขาไปสองสามวัน แค่นี้ใจก็จะขาดรอนๆเสียให้ได้  “คือ..เมื่อครู่ข้าเห็นเพื่อนอะกิแถวๆทางกลับก็จริง แต่ไม่มีอะไรเลยนะ”  เพราะร้อนรนจนต้องเอ่ยปากก่อนถูกซักไซ้ ทำให้หญิงข้างกายแอบขำ


              ก็..ซื่อ บอกอะไรหมดโดยไม่ต้องถามแบบนี้ จะให้เธอระแวงได้ยังไง


              นาซิคล้องแขนกับร่างสูงแล้วโบกมือลาน้องสาวทั้งสามก่อนจะเดินออกนอกอาณาเขต




              “โกรธเหรอ?”


             หลังจากที่เดินด้วยความเงียบมานาน คนข้างกายก็ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากก่อน  แม้แขนเจ้าหล่อนยังคล้องอยู่กับแขนทำให้เขาอุ่นใจบ้างแต่ก็ไม่ใช่จะวางใจได้


              “ถ้า..เจ้าไม่ชอบ  ข้าจะบอกเพื่อนๆของอะกิว่าไม่- -”


              “ทำไมถึงคิดว่าข้าไม่เชื่อใจขนาดนั้นล่ะ?”  นาซิเอ่ยปาก แล้วโน้มร่างสูงลงมาให้มองตาเธอ  “คิดว่าข้าใจแคบถึงขนาดเรื่องแค่นี้ก็ต้องโกรธด้วยหรือ  ไม่ใช่ความผิดเจ้านิที่พวกเด็กๆพวกนั้นชอบเจ้า ขอเพียงเจ้ามองแค่ข้า ข้าคนเดียวเท่านั้น  พอแล้ว ไม่ว่าจะมีผู้หญิงมากี่คน ข้าก็ไม่หวั่นไหวหรอกน่า”


              สึซาคุดึงร่างบางกอดแน่นไม่เกรงใจว่าเป็นทางเดินสาธารณะ


              “มองสิ มองแค่คนเดียวเท่านั้น  นาซิ มองคนนี้คนเดียวเท่านั้น”


              “ไปนั่งเล่นที่อาณาเขตข้าไหม?”  สาววายุดันตนเองออกห่างอกกว้างที่ทำให้หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะได้ทุกครั้ง


              “ไปสิครับ พี่สาว”  บางครั้งเขาก็เอ่ยเรียกเธอแบบนั้นด้วยความเอ็นดู ดวงตาสีแดงที่ทอดตรงมาให้ความรู้สึกอ่อนโยนยิ่งกว่าที่เธอเคยรู้สึกได้  “แต่ตอนนี้ผมมีสถานที่ที่ดีกว่าอาณาเขตของพี่สาว  จะตามผมไปไหม?”


              นาซิมองประกายระยับในดวงตาคู่ตรงหน้าแล้วก็ต้องถอนหายใจด้วยรู้ว่าริมฝีปากนั้นคงไม่ปริปากบอกอะไรแน่ นอกจากเธอต้องยอมตามไปอย่างเดียว  หล่อนแกล้งถอนหายใจดังๆอีกครั้ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ยิ้มแห่งวายุที่มัดหัวใจชายข้างกายได้ตลอดกาล


              “ไปสิ สุดหล้าฟ้าเขียว ข้าจะไปกับเจ้าทุกที่”


              เวลาที่ผ่านมาหลายปีไม่ได้ทำให้ความรักเปลี่ยนแปลงได้ ที่ลดลงอาจเป็นความรู้สึกวาบหวามหลงใหล และที่เพิ่มขึ้นมาคงเป็นความผูกพัน ความรู้สึกเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน


              ใครว่าความรักนั้นคงที่ดั่งนิจนิรันดร์?


              มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ขึ้นอยู่ว่ามันจะลดหรือเพิ่มก็เท่านั้น..







              “เฮ้อ.....พี่อยากให้ถึงฤดูใบไม้ผลิเร็วจัง”  ฮารุล้มตัวลงนอนแนบเสี้ยวหน้ากับกลีบดอกไม้หนานุ่ม  “พี่นาซิโชคดีจังที่ได้อยู่กับคนที่รักทุกวันแบบนี้”


              “ค่ะ..”  น้องสาวคนที่สามเปรยตาม ดวงตาเหม่อมองไปไกล นึกถึงชายชาวมนุษย์ที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรแล้ว  ฤดูของเธอเพิ่งสิ้นสุด เธอต้องจากเขามา ส่วนพี่ฮารุกำลังจะได้ไปพบกับเขาคนนั้นในฤดูของนาง  “และยังได้อยู่ด้วยกันอีกนานเท่านาน”


              คนที่ถูกกีดกันออกห่างมุ่นคิ้ว ยืนเท้าสะเอวทันที


              “พี่จะพูดแบบนี้ทำไม น้องว่าแค่พี่เจอคนที่พี่รักก็ดีเท่าไรแล้ว  คิดถึงคนที่ยังไม่เจอบ้างซี!”


              น้องสาวคนสุดท้องพูดด้วยเสียงกระฟัดกระเฟือด  พี่ๆของเธอมีความรักหมดแล้ว ทำไมเธอถึงยังไม่เจอเสียที


              ฟุยุหัวเราะแล้วดึงน้องสาวที่เธอเลี้ยงเองมาอยู่ในอ้อมกอด  ใช่..อย่างที่น้องของเธอพูด แค่ได้พบกับคนที่เรารัก และเขาก็รักเรา แค่นี้..ก็ดีกว่าสิ่งใดแล้ว จะต้องการมากกว่านี้ไปทำไม


              “อย่าคิดมากสิ เมื่อถึงเวลามีมามันก็ต้องมี ก็เท่านั้นเอง  เจ้ายิ่งวิ่งตาม ความรักก็ยิ่งหนี  เหมือนเจ้าหันหลังให้ดวงอาทิตย์แล้ววิ่งไล่จับเงาไงล่ะ”


              “ใช่ ดังนั้นเจ้าต้องรอจนพระอาทิตย์ตรงหัว แล้วเจ้าก็ค่อยก้มคว้าเงาแทน”  ฮารุเอ่ยเสริม จนอะกิได้แต่นั่งนิ่งกับคำพูดของพี่สาวทั้งสองที่มักจะขัดแย้งกันกลายๆ


              พี่ฮารุ..ชอบบอกว่าความรักนั้นเราต้องไขว่คว้าเอาเองเมื่อโอกาสมาถึง ไม่ใช่ของดีมาอยู่ตรงหน้าแล้วปล่อยผ่านไป  รู้จักรอคอยและไขว่คว้า โอกาสมีอยู่ทุกที่ทุกแห่ง เพียงเรารู้จักมองให้เห็นจังหวะนั้น  ความรักก็เช่นกันมันล่องลอยเหมือนฟองสบู่รอบกาย เพียงแต่เมื่อไรที่เราจะมองเห็นและรู้จักเลือกฟองนั้น  ท่ามกลางฟองสบู่มากมายจะมีเพียงฟองเดียวเท่านั้นที่เราต้องการอย่างแท้จริง


              พี่ฟุยุ..มักจะบอกว่าถ้าโชคชะตานำพาและบันดาลให้เป็นไปแล้ว เราก็มิอาจขัดได้  ทุกสิ่งมีช่วงเวลาในตัวของมันเองเสมอ ความบังเอิญมิใช่แค่เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้น หากเป็นพรหมลิขิตแห่งพระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างขึ้นมา คู่แล้วยอมไม่แคล้วกัน เมื่อโอกาสมาถึงความรักก็จะวิ่งเข้ามาหาเราเองแม้จะไม่ต้องการก็ตาม


              อะกิถอนหายใจ เหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายที่เธอจะรับรู้ได้  เข้าใจ..แต่ไม่รู้ซึ้ง  นิยายความรักของพี่สาวที่เหมือนจะแย้งกันเองแต่บางครั้งก็เหมือนไปด้วยกันได้เหมือนเส้นขนาน ภูตใบไม้ร่วงล้มตัวลงนอนกับกลีบดอกไม้สีแดงอ่อนคล้ายกับชุดของเธอ เหมือนกระต่ายสีขาวจมกองหิมะที่ทำให้นักล่าหาตัวของมันไม่พบ



              “แล้วข่าวลือที่พี่สึซาคุขอพี่นาซิแต่งงานล่ะคะ พี่ฮารุว่าจริงไหม?”


              พี่สาวที่มีความรู้และความคิดที่สุดในหมู่พี่น้องครุ่นคิดชั่วครู่ ใช่..เธอก็เพิ่งได้ข่าวมาแบบนั้นว่าสึซาคุตั้งใจจะขอพี่สาวเธอแต่งงาน แต่เป็นแค่ข่าวลือวงนอก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคู่รักทั้งหลายที่คบกันมาสิบปีขึ้นไปก็มักจะได้ยินข่าวลือแบบนี้เสมอ แม้ว่าคู่รักคู่นั้นกำลังจะเลิกกันก็ตาม  ฮารุยิ้มแล้วส่ายหน้า


              “เจ้าได้ยินแค่ข่าวลือ อย่าเดาส่งเดชสิ  เห็นพี่รุยบอกว่าสึซาคุเคยขอพี่นาซิแต่งงาน..ตั้งนานแล้ว”


              “อะไร! เมื่อไร!”  อะกิไม่เพียงผงกหัวขึ้นมาเท่านั้น ยังขยับตัวเกาะพี่สาวเอาไว้แน่น  ข่าวสำคัญแบบนี้เธอพลาดไปได้ยังไง!?


              “ก็ช่วงที่ฟุยุแต่งงานนั่นแหละ  พี่รุยแอบมากระซิบบอกพี่ตอนที่พี่ถามหาพี่นาซิน่ะ พี่สึซาคุขอพี่สาวพวกเราแต่งงาน พี่เขาก็ยอมตกลงแล้วด้วย”


              “แต่ว่า..”  ฟุยุอึกอักอย่างไม่แน่ใจ  ตั้งแต่..งานแต่งงานของเธอ ก็ผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว  แต่ทำไมทุกอย่าง.........ยังดูเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ?


              “ก็สึซาคุแค่ขอแต่งงาน แต่ยังไม่ยอมเตรียมการอะไรเลย  พี่เคยแอบถาม เขาบอกว่าต้องการให้พี่สาวเราพร้อมมากกว่านี้ก่อน เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ของพวกเขาได้ เขาว่าต่อให้ไม่ต้องแต่งงานพวกเขาก็มีความสุขด้วยกันสองคนแบบนี้ได้ แค่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปก็เพียงพอ.. ความจริงการแต่งงานไม่จำเป็นเลยสักนิด  แต่..เห็นพี่สึซาคุบอกว่ารอเวลาอยู่นะ”


              “หมายความว่าถ้าเวลามาถึง แล้วพี่นาซิพร้อม พี่สึซาคุจะขอแต่งงานใหม่?”  น้องคนเล็กยอมล้มลงไปนอนตามเดิมเมื่อรู้ว่คนตกข่าวไม่ใช่มีแค่เธอ แต่ยังมีพี่สาวที่สามอีกด้วย  ฮารุแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี


              “สึซาคุไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”


              “อะไร! พี่ฮารุไม่คิดว่าพี่สึซาคุจะแต่งงานกับพี่นาซิหรือไงคะ”  คราวนี้น้องสาวหิมะเป็นฝ่ายถามขึ้นมาด้วยความตกใจ กลัว..ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย  “หรือว่า..ที่พี่สึซากุขอแต่งงานก็เป็นแค่เรื่อง- -”


              “พี่ไม่ได้พูดแบบนั้นนะ”  ใบหน้าหวานหัวเราะคิกคัก แล้วชะโงกมาใกล้ๆน้องสาวทั้งสอง  “เจ้าลองคิดดูสิว่ากว่าสึซาคุจะทำให้พี่นาซิเชื่อใจได้ มันใช้เวลานานแค่ไหน  แล้วถ้าขอแต่งงานอีกรอบแบบของจริง พี่นาซิต้องลังเลแน่ๆ เผลอๆเดี๋ยวก็คิดมากกังวลใจอีก กลัวว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ดังนั้น..”  ใบหน้าหวานเหมือนน้ำผึ้งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์  “พี่ว่าสึซาคุไม่ขอพี่นาซิแต่งงานอีกหรอก แต่จะจับแต่งเลยมากกว่า!”


              ฟุยุเบิ่งตากว้าง แต่อะกิระเบิดเสียงหัวเราะไปแล้ว


              “ใช่ ถ้าเป็นพี่สึซาคุต้องทำแน่  ฮ่าๆๆ  ข้าอยากให้ถึงงานแต่งเร็วๆจัง เพื่อนๆข้าต้องน้ำตาตกในแน่”


              “เด็กพวกนี้เนี่ย”  ฟุยุปรามแล้วส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วยที่เด็กผู้หญิงทั้งหลายเอาแต่ติดตามภูตหรือเทพรูปงาม เพียงแค่เขาชายตามาให้ก็เก็บไปฝันได้เป็นวัน  “อะกิ เจ้าห้ามไปทำอะไรแบบนี้เด็ดขาดนะ พี่ห้ามจริงๆด้วย”  หล่อนพูดเหมือนคุณแม่หัวโบราณที่ทำให้น้องสาวหัวเราะคิกคักได้


              “แหม..พี่ฟุยุจ๋า”  น้องสาวกลิ้งตัวเข้าไปคลอเคลีย  “ข้าไม่ทำหรอกน่า ภูตพวกนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของข้าเสียหน่อย  ข้าชอบมนุษย์แบบพี่ๆมากกว่า ข้าอยากพบรักที่เหมือนโชคชะตาบันดาลแล้วไขว่คว้าให้ได้  พี่จะทำแบบพี่ฮารุแปลงเป็นมนุษย์แล้วลองเดินเข้าไปหาความรักดู”


              “อะกิ”  พี่สาวคนที่สามส่งเสียงปรามแบบดุๆอีกครั้ง  “มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะ พี่ไม่อยากให้เจ้ารักกับมนุษย์ มัน..ไม่สวยหรูขนาดนั้น  มีความสุขไหม..มีสิ  พี่มีความสุขที่ได้อยู่กับเขา แต่ก็ทุกข์ที่รับรู้ว่าวันหนึ่งเขาต้องจากพี่ไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง  ความรักไม่ได้สวยงามอย่างเดียวมันมีด้านที่เลวร้ายพอๆกับความงดงามของมัน”


              “พี่ฟุยุ..”


              “อย่ามองพวกพี่เป็นต้นแบบ เจ้ามีความรักได้ในแบบของเจ้า  อะกิ”


              “ค่ะ”  เด็กสาวยอมรับแล้วกอดพี่สาวตอบ 


              มีในแบบของตนเอง ก็ต้อง..งดงาม รัก..แรกพบ แล้วได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆแบบพี่ๆเจอ  จากนั้นก็มีความสุขรออยู่เบื้องหน้าอย่างที่พี่รุยเคยบอกไว้  นี่แหละ..ความรักที่ข้าต้องการ!  ต้องเป็นรักแรกพบ จากนั้นก็ค่อยๆเรียนรู้กัน ต้องหวานแบบพี่ฟุยุ ต้องเชื่อใจแบบพี่นาซิ และต้องเข้าใจกันแบบพี่ฮารุด้วย 


              ใช่! ข้ามีต้นแบบดีๆแบบนี้ตั้งสามคน จะให้ความรักผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด



              ช่องว่างระหว่างอาณาเขตบิดเบี้ยวจนอะกิผละออกจากอ้อมกอดของพี่สาวด้วยความแปลกใจ  แล้วสีรัตติกาลก็แทรกเข้ามา  เสื้อคลุมตัวยาวพลิ้วก่อนที่จะเผยคนที่อยู่ภายใน


              “พี่รุย? ก็ไหนว่าพี่จะไปทำงาน?”


              “พี่มีข่าวมาบอกจ้า”  ใบหน้าของยมทูตที่ปกติจะนิ่งเรียบแม้ในยามแกล้งคนก็ตาม กลับมีสีหน้าแช่มชื่นอย่างเห็นได้ชัด แม้ไม่ได้ยิ้มแก้มปริ แต่ดวงตาราตรีคู่นั้นก็ยิ้มได้ไม่ต่างจากริมฝีปากเลย  “พี่เขยของพวกเจ้ากำลังลากพี่สาวไปขอพรจากพระเจ้าอยู่”


              “อะไรนะ!!!”  สามเสียงพี่น้องประสานกันทันที แล้วหันมองตาซึ่งกันและกัน  จากนั้นเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขก็ดังลั่นอีกครั้ง


              ขอพรจากพระเจ้า..การไปขอเป็นคู่มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น พรที่จะทำให้ชีวิตสองชีวิตรวมเป็นหนึ่ง


              “โอย..พี่ฮารุ มีเรื่องไหนบ้างที่พี่จะเดาผิดพลาดนะ  พี่สึซาคุทำจริงๆด้วย”


              “เราต้องกลับไปเตรียมตัวกับข่าวครั้งนี้แล้วนะเนี่ย”  ฟุยุมีอาการกระตือรือร้นขึ้นมาทันที  “ข้าจะกลับอาณาเขตก่อนนะคะ จะดูสิว่าสามารถทำของขวัญพิเศษอะไรในโอกาสแบบนี้ได้หรือเปล่า”  ร่างสาวหิมะหายไปจากช่องมิติทันที


              รุยหันมองหน้าฮารุ


              “พี่รุยไม่ต้องจ้องแบบนี้เลย  ข้าเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้มานานแล้ว”  ภูตสาวใบไม้ผลิเอ่ย  รุยอมยิ้มนิดๆ แล้วหันไปทางคนที่เหลือ


              “น้อง..คิดว่าต้องใช้เวลาทำใจกับข่าวเมื่อครู่ก่อนที่จะไปกระจายค่ะ!”  อะกิร้องบอกอย่างร่าเริง  เพื่อนๆของเธอได้ต้องหาหนุ่มรูปงามคนใหม่ตามกรี๊ดแน่ๆ เอ่..เห็นบอกว่าภูตเสือขาวหนึ่งในผู้อารักษ์ก็งามสง่านี่หน่า แล้วยังบอกอีกว่าตอนนี้มีเทพตนหนึ่งเพิ่งเลิกกับคนรัก พวกเพื่อนของเธอก็รอแทนที่อยู่เหมือนกัน  ท่าทางเพื่อนๆของเธอคงไม่ช้ำใจนานหรอก  “จากนี้ไปพี่นาซิจะได้มีความสุขเสียทีนะคะ”


              “ใครว่าล่ะ นาซิน่ะมีความสุขมาตั้งนานแล้วต่างหาก”  ยมทูตสาวในเสื้อคลุมตัวยาวเอ่ยก่อนที่จะหายไปกับช่องว่างระหว่างมิติหลังจากที่แจ้งข่าวเสร็จ



              ใช่..ความสุขอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เข้าใจกัน หรืออาจเป็นตอนที่รับรู้ว่าหัวใจตรงกัน  และไม่แน่ว่าอาจเป็นตอนครั้งแรกที่สบตากันเลยก็ได้


              ความสุขอาจผ่านไปเร็วสำหรับความรู้สึก แต่ความสุขก็งดงามเกินกว่าจะลืมเลือนได้  มองหาความสุขแล้วคุณจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องที่เรียบง่ายก็สามารถทำให้เราแอบอมยิ้มได้เช่นกัน


                                                             ............................





    ** * ** *** * * * ** ***


    กว่าจาปั่นเสร็จ T^T

    ยาวกว่าทุกบทให้จุใจกันไปเลยเจ้าค่ะ


    ต่อไปก็ตอนของอะกิ ขอบอกว่าอาจจะช้า (อีกแหละ) อีกหน่อยนะคะ  TT-TT

    อย่าเพิ่งรีบร้อนกัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×