คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : - -บทนำ..คำมั่นสัญญาที่สาม- -
แด่น้องมุ เป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลัง
แด่น้องพั้นช์ เป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้า
แด่น้องนุ่ม นาซิออกแล้ว อย่าพยายามฆาตกรรมพี่อีก
และแด่น้องทุกๆคนที่แวะเข้ามาเยี่ยมมาดูกันสม่ำเสมอค่ะ^^
** * * * * ** * * * * ***** * * *
‘สัญญา..สาบาน ด้วยเกียรติทั้งหมดที่มี แม้ภูเขาจะไร้ยอด ฟ้าดินจะประสาน ไม่มีสิ่งใดห้ามรักของเราได้ ..แม้ความตายก็ไม่สามารถพรากเราจากกันได้! ข้าไม่ใช่เทพบุตรที่สามารถทำให้ท่านเป็นเทพธิดาจริงๆได้ แต่ท่านจะเป็นเทพธิดาเพียงคนเดียวของข้าตลอดไป’
และคำมั่นสุดท้ายหากไม่ใช่ท้ายสุด หัวใจที่ยอมภักดีต่อคนตรงหน้าโดยไม่หวั่นไหวต่ออนาคตที่ไม่แน่นอน ให้มีเนื้อคู่มากเท่าไร ก็มิอาจสู้คู่แท้ที่เราเลือกเองได้ ปลายทางของเส้นด้ายแห่งโชคชะตาไม่จำเป็นต้องมีนับร้อย เพียงคนเดียวก็เกินพอ คนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ความรักกลายเป็นนิจนิรันดร์ได้ ไม่ว่าจะเจ็บปวดสักกี่ครั้ง แต่ความสุขจะรออยู่เบื้องหน้าเสมอถ้ารู้จักก้าวเข้าไปหา
“ดูเขาสิ” น้ำเสียงวี้ดว้ายของเหล่าแม่สาวภูตทั้งหลายดังขึ้นทันทีที่บุรุษหนึ่งเดินผ่าน อาภรณ์สีแดงปนทองบางเบาพลิ้วกับสายลมตามจังหวะการก้าวเท้า ใบหน้ามองตรงไปเริ่มวอกแวกกระวนกระวายจนทำให้เห็นดวงตาสีแดงคู่นั้นชัดเจน ภูตสาววัยรุ่นจับมือเพื่อนในขณะที่พวกหล่อนแอบอยู่หลังต้นไม้ในป่าแห่งกาลเวลา “วันนี้ก็เท่เหมือนเดิมเลยนะ~ ~”
“ไม่ได้เห็นหน้าแค่สามวันเจียนขาดใจเสียให้ได้” ภูตสาวกอดกันแน่นด้วยความดีใจ
เสียงวี้ดว้ายทำให้ภูตหนุ่มผู้ตกเป็นเป้าสายตาเริ่มส่ายหัว จะซ่อนตัวก็ไม่รู้จักเงียบเสียง! แล้วจะแอบทำไมฟ่ะ!!
“หวัดดี” เสียงหนึ่งทักมาจากด้านหลังพร้อมกับแรงมือตบเข้าที่แผ่นหลังของภูตหนุ่มจนแทบคว่ำ สึซาคุหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยของสาวผมดำ หาก..ใต้ความเรียบเฉยนั้นซ่อนประกายคนชอบยั่วเอาไว้
ชายหนุ่มลูบแผ่นหลังของตน ในขณะที่มองยมทูตสาวตวัดสายตาไปยังพุ่มไม้ซึ่งบัดนี้เสียงเงียบลงแล้ว ภูตหงส์ทองถอนหายใจ ใครเจอสายตาของยมทูตเป็นต้องหนีทุกรายซีน่า
“เนื้อหอมขึ้นนะ ว่าไหม?”
“สี่ผู้อารักษ์ก็เป็นแบบนี้ทุกคนแหละน่า” สึซาคุโบกมือปัดไม่ยอมรับคำชมนั้น ไปยกให้ตำแหน่งที่เขาเพิ่งได้ครอบครองไม่ถึงสิบปี “อารักษ์คนอื่นๆก็โดนแบบข้าทั้งนั้นแหละ”
“อืม..” รุย..แม่สาวยมทูตผู้มีหน้าที่นำพาวิญญาณที่สิ้นสุดของสรรพชีวิตสู่กงล้อแห่งกรรมะแกล้งทำเสียงในลำคอว่าเข้าใจ “เอาเถอะ..นี่เพิ่งเสร็จงานใช่ไหม”
ภูตหนุ่มอมยิ้ม เพราะคนตรงหน้าย่อมรู้ว่าทุกครั้งที่งานดูแลป่าแห่งกาลเวลาถึงคราวผลัดเวร เขาต้องไปหาใครคนหนึ่งเสมอ
//ก็เรียกง่ายๆว่าหมด‘กะ’ของตนเอง เฮ้อ....สี่ผู้อารักษ์ หน้าที่ก็ไม่ต่างจากยามเฝ้าประตูเท่าไร ต้องคอยดูแลความสงบเรียบร้อยของป่าแต่ละป่าซึ่งมีสี่ผู้อารักษ์ต่างกันออกไป ป่าแห่งนิรันดร์กาล..ผู้อารักษ์ย่อมเป็นเทพบุตรหรือภูตกับปีศาจที่มีตำแหน่งเทียบเท่าเทพบุตร ป่าแห่งรัตติกาล..คนดูแลก็ต้องเป็นปีศาจ หน้าที่จะหมุนเวียนกันไป ในวันหนึ่งจะแบ่งออกเป็นสี่ช่วง ผู้อารักษ์จะรับหน้าที่แค่ช่วงของตนเท่านั้นที่จะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นในป่าที่ตนดูแลอยู่ ตอนนี้หมดหน้าที่ของหงส์ทองก็ต้องเป็นเสือขาวต่อไป เอ่.......แล้วหน้าที่แบบนี้ต่างจากเครเบรอสที่เฝ้าประตูในยมโลกตรงไหน?
อ้อ..บางทีอาจใช้ภาษาสวยหรูไปนิด ลองคิดดีๆสิว่า หน้าที่นี้ต่างจากสุนัขเฝ้าบ้านหรือไม่?//
“กำลังจะไปหานาซิ?”
สึซาคุผงกหัวรับทันที เขาแย้มยิ้มที่คงกระชากหัวใจแม่ภูตสาวหลายคนได้ แต่ไม่ใช่หญิงตรงหน้าที่นอกจากจะไม่ใช่ภูตแล้ว ยังไม่รู้สึกอะไรกับรอยยิ้มของชายหนุ่มผู้สง่างามตนนี้อีกด้วย
“ข้าก็เพิ่งผละจากนางมา อยู่ที่อาณาเขตของอะกิน่ะ”
“ขอบใจ” พูดพลางรีบจ้ำเท้าเดินไปทางอาณาเขตของผู้เป็นน้องสาวคนสุดท้องในหมู่ภูตฤดูกาลเขตตะวันตกทันที รุยมองคนที่รีบเดินโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเพื่อให้ได้เห็นหน้าคนรักไวๆ หล่อนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายชัดเจน
“เห็นหน้ากันอยู่เกือบทุกวัน หลายปี ไม่เบื่อกันบ้างหรือไงเนี่ย”
วิหคแสนสวยสีครามอ่อนๆร่อนถลาอยู่กลางนภาที่เหมือนจะกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด สีครามอ่อนของมันแทบกลืนไปกับสีท้องฟ้าจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ดวงตาดุจดาราหลายคู่จ้องมองการร่อนอย่างสง่างามของวิหคตัวใหญ่ด้วยความเพลิดเพลิน
ครู่หนึ่งที่สาวน้อยในชุดสีแดงอ่อนยกมือขึ้นมา แววตาแห่งวิหคจ้องจับเรียวแขนที่คุ้นเคยแล้วอุ้งเล็บแหลมก็ถลามาเกาะที่แขนนั้น น่าแปลกที่เล็บแหลมและน้ำหนักอันใหญ่โตของมันไม่ได้ทำให้ผู้เป็นเจ้าของรู้สึกอะไรเลยนอกจากความอบอุ่นและนุ่มนวลของสัตว์เลี้ยงที่เป็นมากกว่าแค่สัตว์เลี้ยง
“โคอิ เงียบน่า.. หยุดซนได้แล้ว” เสียงปรามดังมาจากเจ้าของอาณาเขตและเจ้าของวิหค ทำให้นาซิขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อะกิ เจ้ารู้ได้ยังไงว่ามันกำลังซน พี่ไม่เห็นว่ามันจะทำอะไรเลย นอกจากบินแล้วก็บิน แถมไม่ส่งเสียงร้องอะไรให้หนวกหูอีกด้วย”
“นั่นเพราะพี่ไม่ได้ยินเองต่างหาก” น้องสาวเถียงกลับ “วันนี้มันอารมณ์ดีแบบอยู่ไม่สุขมาทั้งวันแล้ว ส่งเสียงจนน้องรำคาญเอามากๆเลย พี่รุยก็ถึงหนีกลับไปทำงานไงล่ะ ..ซนๆๆๆ” คำสุดท้ายเจ้าหล่อนยื่นหน้าเข้าไปหาโคอิ..วิหคตัวโตที่มีปีกใหญ่กว่าตัวเสียอีก หางของมันก็ยาวเป็นสองเท่าของขนาดตัว จงอยปากสีเหลืองออกทองของมันส่งเสียงเบาๆเหมือนจะเถียงกับสิ่งที่เจ้านายว่ามัน คนอื่นอาจไม่ได้ยิน แต่คนได้ยินยกมือไล่มันให้ไปถลาเกาะท่อนแขนของพี่สาวอีกคน “อย่าเถียง ทำตัวดีๆหน่อยนะวันนี้ พี่ข้าอุตส่าห์อยู่กันครบทุกคน”
ฮารุส่งเสียงคิกคัก ในขณะลูบขนเงางามของวิหคสีคราม
“ข้าว่าพวกเราไม่ได้ยินเสียงของโคอิก็อาจจะดีกว่านะ เพราะอะกิต้องปรามมันบ่อยๆแบบนี้ มันคง..เถียงเก่งน่าดู”
//อะแฮ่ม...ขอแทรกสักเล็กน้อยเพื่อความเข้าใจ สัตว์เทพนั้นจะมีคลื่นเสียงพิเศษที่บางคนเท่านั้นจะได้ยิน ส่วนใหญ่แล้วยมทูตเกือบทุกคนจะมีสัมผัสทางเสียงดีกว่าพวกอื่น รองลงมาจึงเป็นปีศาจ ภูต และเทพที่น้อยนักจะมีเทพองค์ใดได้ยินเสียงของสัตว์เทพ และบางคนอาจได้ยินเพราะเสียงสัตว์เทพเป็นบางตัวไม่ใช่ทุกตัวแล้วแต่ความสามารถในการรับคลื่นของแต่ละคน อีกประเภทคือได้ยินในตอนเด็กและโตมาก็หยุดการได้ยิน หรือ..มาได้ยินตอนโตแทนที่จะเป็นตอนเด็ก ดังนั้นการได้ยินเสียงของสัตว์เทพจะมีหลายสาเหตุหลายกรณี//
เจ้าวิหคตัวโตที่ได้ยินคำปรามาสจากเจ้าของท่อนแขนที่มันเกาะอยู่คงน้อยใจจึงได้บินไปถลาหัวไหล่ของคนที่ดูเหมือนจะนิ่งเงียบมากที่สุด แต่ในความเงียบฉายความอบอุ่นออกมา และยิ่งเป็นคนที่เจ้านายของมันชอบที่สุดด้วย
นาซิหัวเราะเบาๆเมื่อเจ้าสัตว์เลี้ยงแสนรู้แถมยังฉลาดเป็นกรดถลาไปเกาะไหล่ของน้องสาวภูตฤดูหนาว ฟุยุจับมันอุ้มนั่งบนตักแล้วกอดเบาๆรู้สึกเหมือนตนเองกำลังกอดนุ่นกองใหญ่ที่ไม่มีอาการระคายเคือง
“อะกิสอนเจ้ามาดีเกินไปหรือเปล่า” ภูตฤดูร้อนซึ่งอยู่ใกล้ๆหันไปแหย่จงอกปากคมกริบของมันที่ไม่มีวันทำอันตรายพวกเธอแน่ “ขี้อ้อนแบบนี้น่าให้ฟุยุพากลับอาณาเขต”
“คงยาก” น้องสาวที่สอนมาดีตอบแทน “โคอิไม่ชอบอากาศหนาวๆ ข้าเคยพามันไปอาณาเขตพี่ฟุยุแล้ว มันบอกว่าไม่ชอบทั้งอากาศ บรรยายกาศ และก็หิมะที่ตกใส่หัวมันอยู่เรื่อย”
เหล่าพี่น้องพร้อมใจกันส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง นานทีปีหนที่พวกเธอสามารถอยู่รวมกันได้แบบนี้ครบทุกคน อะกิผุดนั่งอย่างรวดเร็ว ดวงตาจ้องไปทางช่องอาณาเขต
“มีคนมาหรือ?” พี่สาวคนที่สองแห่งฤดูใบไม้ผลิก่อนถามเมื่อเห็นปฏิกิริยาของน้องสาว อะกิพยักหน้าแล้วกระโจนลงจากกลีบดอกไม้ที่แต่ละกลีบใหญ่กว่าตัวของเธอไปทางช่องรอยต่อระหว่างอาณาเขต ชั่วครู่ร่างสูงที่คุ้นตาของเหล่าพี่น้องก็แทรกตัวเข้ามา ดวงตาสีแดงมองหาคนที่ต้องการไม่นานก็พบ
“พี่นาซิ มีคนมารับค่า~” น้องสาวผู้ร่าเริงตลอดเวลาตะโกนให้ใบหน้าของพี่สาวคนโตขึ้นสีระเรื่อ ร่างที่รวดเร็วเหมือนวายุกระโดดเพียงครั้งเดียวก็มาถึง ชายผ้าที่กระโปรงพลิ้วเพราะผ่าข้างสูงทั้งสองข้างจึงทำให้เห็นต้นขาอ่อนเล็กน้อย
“ทำไมวันนี้มาเร็วจัง” สาววายุเอ่ยถามในขณะที่น้องสาวหลบฉากหันไปขยิบตาให้กับพี่สาวที่เหลือ ดวงตาของโคอิก็จ้องมองผู้มาใหม่ มันรับรู้มาหลายปีแล้วว่าผู้ชายคนนี้เป็นส่วนหนึ่งของพี่สาวเจ้านายของมัน เมื่อไม่ร็สึกถึงอันตราย วิคลสีครามก็ขดตัวลงนอนที่กลางดอกไม้ซึ่งเป็นเกสรอ่อนนุ่มกว้างพอดีตัวของมัน “แล้วรู้ได้ไงว่าข้าอยู่ที่นี่ หรือว่าไปหามาทุกที่”
“พอดีเจอรุยน่ะ”
“อืม” หล่อนเหลือบมองน้องสาวทั้งสามที่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ “วันนี้เป็นวันที่ข้าต้องอยู่กับน้องๆนะ นานๆทีจะมากลับครบ”
ใบหน้าสลดแต่ไม่เอ่ยเสียงคัดค้านของคนตรงหน้าทำให้นาซิรู้สึกผิด เขารู้ว่าเธอลำบากใจถึงไม่กล้าเอ่ยรั้งทั้งที่อยากอยู่ด้วยนานๆ แล้วเสียงขัดจังหวะก็ดังขึ้น
“พี่นาซิไปเถอะค่ะ วันนี้เพิ่งเป็นวันแรกยังไม่พรุ่งนี้อีก พี่ค่อยมาใหม่ก็ได้ ข้าไม่อยากถูกเพื่อนๆเกลียดเพราะทำให้พี่สึซาคุเสียใจหรอกนะคะ” อะกิร้องบอกยิ่งทำให้นาซิหน้าแดงมากขึ้น แต่คำพูดที่พูดถึงหญิงคนอื่นไม่ได้ทำให้เธอหวั่นใจอะไรมากนัก
เพราะรู้..รู้ดีว่าเขาไม่มีตามองใครนอกจากเธออีกแล้ว หญิงอื่นรอบข้างที่เข้าหา เขาจะมองผ่านโดยไม่สนใจ เชื่อใจ..คำนี้ง่ายนัก และถ้าคู่รักรู้จักมีให้กันและกันก็จะมีแต่ความสุขไม่ต้องมามัวหวาดระแวงจนเป็นเหตุให้แตกหัก
“นาซิ ข้าเปล่านะ” หากร่างสูงร้อนตัวเมื่อเห็นสาวผมสีส้มแซมแดงที่เหมือนพายุก้มหน้านิ่ง ด้วยกลัวว่าพายุจะพัดกระหน่ำ แค่เจ้าหล่อนงอนไม่พูดกับเขาไปสองสามวัน แค่นี้ใจก็จะขาดรอนๆเสียให้ได้ “คือ..เมื่อครู่ข้าเห็นเพื่อนอะกิแถวๆทางกลับก็จริง แต่ไม่มีอะไรเลยนะ” เพราะร้อนรนจนต้องเอ่ยปากก่อนถูกซักไซ้ ทำให้หญิงข้างกายแอบขำ
ก็..ซื่อ บอกอะไรหมดโดยไม่ต้องถามแบบนี้ จะให้เธอระแวงได้ยังไง
นาซิคล้องแขนกับร่างสูงแล้วโบกมือลาน้องสาวทั้งสามก่อนจะเดินออกนอกอาณาเขต
“โกรธเหรอ?”
หลังจากที่เดินด้วยความเงียบมานาน คนข้างกายก็ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากก่อน แม้แขนเจ้าหล่อนยังคล้องอยู่กับแขนทำให้เขาอุ่นใจบ้างแต่ก็ไม่ใช่จะวางใจได้
“ถ้า..เจ้าไม่ชอบ ข้าจะบอกเพื่อนๆของอะกิว่าไม่- -”
“ทำไมถึงคิดว่าข้าไม่เชื่อใจขนาดนั้นล่ะ?” นาซิเอ่ยปาก แล้วโน้มร่างสูงลงมาให้มองตาเธอ “คิดว่าข้าใจแคบถึงขนาดเรื่องแค่นี้ก็ต้องโกรธด้วยหรือ ไม่ใช่ความผิดเจ้านิที่พวกเด็กๆพวกนั้นชอบเจ้า ขอเพียงเจ้ามองแค่ข้า ข้าคนเดียวเท่านั้น พอแล้ว ไม่ว่าจะมีผู้หญิงมากี่คน ข้าก็ไม่หวั่นไหวหรอกน่า”
สึซาคุดึงร่างบางกอดแน่นไม่เกรงใจว่าเป็นทางเดินสาธารณะ
“มองสิ มองแค่คนเดียวเท่านั้น นาซิ มองคนนี้คนเดียวเท่านั้น”
“ไปนั่งเล่นที่อาณาเขตข้าไหม?” สาววายุดันตนเองออกห่างอกกว้างที่ทำให้หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะได้ทุกครั้ง
“ไปสิครับ พี่สาว” บางครั้งเขาก็เอ่ยเรียกเธอแบบนั้นด้วยความเอ็นดู ดวงตาสีแดงที่ทอดตรงมาให้ความรู้สึกอ่อนโยนยิ่งกว่าที่เธอเคยรู้สึกได้ “แต่ตอนนี้ผมมีสถานที่ที่ดีกว่าอาณาเขตของพี่สาว จะตามผมไปไหม?”
นาซิมองประกายระยับในดวงตาคู่ตรงหน้าแล้วก็ต้องถอนหายใจด้วยรู้ว่าริมฝีปากนั้นคงไม่ปริปากบอกอะไรแน่ นอกจากเธอต้องยอมตามไปอย่างเดียว หล่อนแกล้งถอนหายใจดังๆอีกครั้ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ยิ้มแห่งวายุที่มัดหัวใจชายข้างกายได้ตลอดกาล
“ไปสิ สุดหล้าฟ้าเขียว ข้าจะไปกับเจ้าทุกที่”
เวลาที่ผ่านมาหลายปีไม่ได้ทำให้ความรักเปลี่ยนแปลงได้ ที่ลดลงอาจเป็นความรู้สึกวาบหวามหลงใหล และที่เพิ่มขึ้นมาคงเป็นความผูกพัน ความรู้สึกเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
ใครว่าความรักนั้นคงที่ดั่งนิจนิรันดร์?
มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ขึ้นอยู่ว่ามันจะลดหรือเพิ่มก็เท่านั้น..
“เฮ้อ.....พี่อยากให้ถึงฤดูใบไม้ผลิเร็วจัง” ฮารุล้มตัวลงนอนแนบเสี้ยวหน้ากับกลีบดอกไม้หนานุ่ม “พี่นาซิโชคดีจังที่ได้อยู่กับคนที่รักทุกวันแบบนี้”
“ค่ะ..” น้องสาวคนที่สามเปรยตาม ดวงตาเหม่อมองไปไกล นึกถึงชายชาวมนุษย์ที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรแล้ว ฤดูของเธอเพิ่งสิ้นสุด เธอต้องจากเขามา ส่วนพี่ฮารุกำลังจะได้ไปพบกับเขาคนนั้นในฤดูของนาง “และยังได้อยู่ด้วยกันอีกนานเท่านาน”
คนที่ถูกกีดกันออกห่างมุ่นคิ้ว ยืนเท้าสะเอวทันที
“พี่จะพูดแบบนี้ทำไม น้องว่าแค่พี่เจอคนที่พี่รักก็ดีเท่าไรแล้ว คิดถึงคนที่ยังไม่เจอบ้างซี!”
น้องสาวคนสุดท้องพูดด้วยเสียงกระฟัดกระเฟือด พี่ๆของเธอมีความรักหมดแล้ว ทำไมเธอถึงยังไม่เจอเสียที
ฟุยุหัวเราะแล้วดึงน้องสาวที่เธอเลี้ยงเองมาอยู่ในอ้อมกอด ใช่..อย่างที่น้องของเธอพูด แค่ได้พบกับคนที่เรารัก และเขาก็รักเรา แค่นี้..ก็ดีกว่าสิ่งใดแล้ว จะต้องการมากกว่านี้ไปทำไม
“อย่าคิดมากสิ เมื่อถึงเวลามีมามันก็ต้องมี ก็เท่านั้นเอง เจ้ายิ่งวิ่งตาม ความรักก็ยิ่งหนี เหมือนเจ้าหันหลังให้ดวงอาทิตย์แล้ววิ่งไล่จับเงาไงล่ะ”
“ใช่ ดังนั้นเจ้าต้องรอจนพระอาทิตย์ตรงหัว แล้วเจ้าก็ค่อยก้มคว้าเงาแทน” ฮารุเอ่ยเสริม จนอะกิได้แต่นั่งนิ่งกับคำพูดของพี่สาวทั้งสองที่มักจะขัดแย้งกันกลายๆ
พี่ฮารุ..ชอบบอกว่าความรักนั้นเราต้องไขว่คว้าเอาเองเมื่อโอกาสมาถึง ไม่ใช่ของดีมาอยู่ตรงหน้าแล้วปล่อยผ่านไป รู้จักรอคอยและไขว่คว้า โอกาสมีอยู่ทุกที่ทุกแห่ง เพียงเรารู้จักมองให้เห็นจังหวะนั้น ความรักก็เช่นกันมันล่องลอยเหมือนฟองสบู่รอบกาย เพียงแต่เมื่อไรที่เราจะมองเห็นและรู้จักเลือกฟองนั้น ท่ามกลางฟองสบู่มากมายจะมีเพียงฟองเดียวเท่านั้นที่เราต้องการอย่างแท้จริง
พี่ฟุยุ..มักจะบอกว่าถ้าโชคชะตานำพาและบันดาลให้เป็นไปแล้ว เราก็มิอาจขัดได้ ทุกสิ่งมีช่วงเวลาในตัวของมันเองเสมอ ความบังเอิญมิใช่แค่เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้น หากเป็นพรหมลิขิตแห่งพระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างขึ้นมา คู่แล้วยอมไม่แคล้วกัน เมื่อโอกาสมาถึงความรักก็จะวิ่งเข้ามาหาเราเองแม้จะไม่ต้องการก็ตาม
อะกิถอนหายใจ เหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายที่เธอจะรับรู้ได้ เข้าใจ..แต่ไม่รู้ซึ้ง นิยายความรักของพี่สาวที่เหมือนจะแย้งกันเองแต่บางครั้งก็เหมือนไปด้วยกันได้เหมือนเส้นขนาน ภูตใบไม้ร่วงล้มตัวลงนอนกับกลีบดอกไม้สีแดงอ่อนคล้ายกับชุดของเธอ เหมือนกระต่ายสีขาวจมกองหิมะที่ทำให้นักล่าหาตัวของมันไม่พบ
“แล้วข่าวลือที่พี่สึซาคุขอพี่นาซิแต่งงานล่ะคะ พี่ฮารุว่าจริงไหม?”
พี่สาวที่มีความรู้และความคิดที่สุดในหมู่พี่น้องครุ่นคิดชั่วครู่ ใช่..เธอก็เพิ่งได้ข่าวมาแบบนั้นว่าสึซาคุตั้งใจจะขอพี่สาวเธอแต่งงาน แต่เป็นแค่ข่าวลือวงนอก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคู่รักทั้งหลายที่คบกันมาสิบปีขึ้นไปก็มักจะได้ยินข่าวลือแบบนี้เสมอ แม้ว่าคู่รักคู่นั้นกำลังจะเลิกกันก็ตาม ฮารุยิ้มแล้วส่ายหน้า
“เจ้าได้ยินแค่ข่าวลือ อย่าเดาส่งเดชสิ เห็นพี่รุยบอกว่าสึซาคุเคยขอพี่นาซิแต่งงาน..ตั้งนานแล้ว”
“อะไร! เมื่อไร!” อะกิไม่เพียงผงกหัวขึ้นมาเท่านั้น ยังขยับตัวเกาะพี่สาวเอาไว้แน่น ข่าวสำคัญแบบนี้เธอพลาดไปได้ยังไง!?
“ก็ช่วงที่ฟุยุแต่งงานนั่นแหละ พี่รุยแอบมากระซิบบอกพี่ตอนที่พี่ถามหาพี่นาซิน่ะ พี่สึซาคุขอพี่สาวพวกเราแต่งงาน พี่เขาก็ยอมตกลงแล้วด้วย”
“แต่ว่า..” ฟุยุอึกอักอย่างไม่แน่ใจ ตั้งแต่..งานแต่งงานของเธอ ก็ผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว แต่ทำไมทุกอย่าง.........ยังดูเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ?
“ก็สึซาคุแค่ขอแต่งงาน แต่ยังไม่ยอมเตรียมการอะไรเลย พี่เคยแอบถาม เขาบอกว่าต้องการให้พี่สาวเราพร้อมมากกว่านี้ก่อน เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ของพวกเขาได้ เขาว่าต่อให้ไม่ต้องแต่งงานพวกเขาก็มีความสุขด้วยกันสองคนแบบนี้ได้ แค่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปก็เพียงพอ.. ความจริงการแต่งงานไม่จำเป็นเลยสักนิด แต่..เห็นพี่สึซาคุบอกว่ารอเวลาอยู่นะ”
“หมายความว่าถ้าเวลามาถึง แล้วพี่นาซิพร้อม พี่สึซาคุจะขอแต่งงานใหม่?” น้องคนเล็กยอมล้มลงไปนอนตามเดิมเมื่อรู้ว่คนตกข่าวไม่ใช่มีแค่เธอ แต่ยังมีพี่สาวที่สามอีกด้วย ฮารุแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“สึซาคุไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”
“อะไร! พี่ฮารุไม่คิดว่าพี่สึซาคุจะแต่งงานกับพี่นาซิหรือไงคะ” คราวนี้น้องสาวหิมะเป็นฝ่ายถามขึ้นมาด้วยความตกใจ กลัว..ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย “หรือว่า..ที่พี่สึซากุขอแต่งงานก็เป็นแค่เรื่อง- -”
“พี่ไม่ได้พูดแบบนั้นนะ” ใบหน้าหวานหัวเราะคิกคัก แล้วชะโงกมาใกล้ๆน้องสาวทั้งสอง “เจ้าลองคิดดูสิว่ากว่าสึซาคุจะทำให้พี่นาซิเชื่อใจได้ มันใช้เวลานานแค่ไหน แล้วถ้าขอแต่งงานอีกรอบแบบของจริง พี่นาซิต้องลังเลแน่ๆ เผลอๆเดี๋ยวก็คิดมากกังวลใจอีก กลัวว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ดังนั้น..” ใบหน้าหวานเหมือนน้ำผึ้งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “พี่ว่าสึซาคุไม่ขอพี่นาซิแต่งงานอีกหรอก แต่จะจับแต่งเลยมากกว่า!”
ฟุยุเบิ่งตากว้าง แต่อะกิระเบิดเสียงหัวเราะไปแล้ว
“ใช่ ถ้าเป็นพี่สึซาคุต้องทำแน่ ฮ่าๆๆ ข้าอยากให้ถึงงานแต่งเร็วๆจัง เพื่อนๆข้าต้องน้ำตาตกในแน่”
“เด็กพวกนี้เนี่ย” ฟุยุปรามแล้วส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วยที่เด็กผู้หญิงทั้งหลายเอาแต่ติดตามภูตหรือเทพรูปงาม เพียงแค่เขาชายตามาให้ก็เก็บไปฝันได้เป็นวัน “อะกิ เจ้าห้ามไปทำอะไรแบบนี้เด็ดขาดนะ พี่ห้ามจริงๆด้วย” หล่อนพูดเหมือนคุณแม่หัวโบราณที่ทำให้น้องสาวหัวเราะคิกคักได้
“แหม..พี่ฟุยุจ๋า” น้องสาวกลิ้งตัวเข้าไปคลอเคลีย “ข้าไม่ทำหรอกน่า ภูตพวกนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของข้าเสียหน่อย ข้าชอบมนุษย์แบบพี่ๆมากกว่า ข้าอยากพบรักที่เหมือนโชคชะตาบันดาลแล้วไขว่คว้าให้ได้ พี่จะทำแบบพี่ฮารุแปลงเป็นมนุษย์แล้วลองเดินเข้าไปหาความรักดู”
“อะกิ” พี่สาวคนที่สามส่งเสียงปรามแบบดุๆอีกครั้ง “มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะ พี่ไม่อยากให้เจ้ารักกับมนุษย์ มัน..ไม่สวยหรูขนาดนั้น มีความสุขไหม..มีสิ พี่มีความสุขที่ได้อยู่กับเขา แต่ก็ทุกข์ที่รับรู้ว่าวันหนึ่งเขาต้องจากพี่ไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ความรักไม่ได้สวยงามอย่างเดียวมันมีด้านที่เลวร้ายพอๆกับความงดงามของมัน”
“พี่ฟุยุ..”
“อย่ามองพวกพี่เป็นต้นแบบ เจ้ามีความรักได้ในแบบของเจ้า อะกิ”
“ค่ะ” เด็กสาวยอมรับแล้วกอดพี่สาวตอบ
มีในแบบของตนเอง ก็ต้อง..งดงาม รัก..แรกพบ แล้วได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆแบบพี่ๆเจอ จากนั้นก็มีความสุขรออยู่เบื้องหน้าอย่างที่พี่รุยเคยบอกไว้ นี่แหละ..ความรักที่ข้าต้องการ! ต้องเป็นรักแรกพบ จากนั้นก็ค่อยๆเรียนรู้กัน ต้องหวานแบบพี่ฟุยุ ต้องเชื่อใจแบบพี่นาซิ และต้องเข้าใจกันแบบพี่ฮารุด้วย
ใช่! ข้ามีต้นแบบดีๆแบบนี้ตั้งสามคน จะให้ความรักผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
ช่องว่างระหว่างอาณาเขตบิดเบี้ยวจนอะกิผละออกจากอ้อมกอดของพี่สาวด้วยความแปลกใจ แล้วสีรัตติกาลก็แทรกเข้ามา เสื้อคลุมตัวยาวพลิ้วก่อนที่จะเผยคนที่อยู่ภายใน
“พี่รุย? ก็ไหนว่าพี่จะไปทำงาน?”
“พี่มีข่าวมาบอกจ้า” ใบหน้าของยมทูตที่ปกติจะนิ่งเรียบแม้ในยามแกล้งคนก็ตาม กลับมีสีหน้าแช่มชื่นอย่างเห็นได้ชัด แม้ไม่ได้ยิ้มแก้มปริ แต่ดวงตาราตรีคู่นั้นก็ยิ้มได้ไม่ต่างจากริมฝีปากเลย “พี่เขยของพวกเจ้ากำลังลากพี่สาวไปขอพรจากพระเจ้าอยู่”
“อะไรนะ!!!” สามเสียงพี่น้องประสานกันทันที แล้วหันมองตาซึ่งกันและกัน จากนั้นเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขก็ดังลั่นอีกครั้ง
ขอพรจากพระเจ้า..การไปขอเป็นคู่มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น พรที่จะทำให้ชีวิตสองชีวิตรวมเป็นหนึ่ง
“โอย..พี่ฮารุ มีเรื่องไหนบ้างที่พี่จะเดาผิดพลาดนะ พี่สึซาคุทำจริงๆด้วย”
“เราต้องกลับไปเตรียมตัวกับข่าวครั้งนี้แล้วนะเนี่ย” ฟุยุมีอาการกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ข้าจะกลับอาณาเขตก่อนนะคะ จะดูสิว่าสามารถทำของขวัญพิเศษอะไรในโอกาสแบบนี้ได้หรือเปล่า” ร่างสาวหิมะหายไปจากช่องมิติทันที
รุยหันมองหน้าฮารุ
“พี่รุยไม่ต้องจ้องแบบนี้เลย ข้าเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้มานานแล้ว” ภูตสาวใบไม้ผลิเอ่ย รุยอมยิ้มนิดๆ แล้วหันไปทางคนที่เหลือ
“น้อง..คิดว่าต้องใช้เวลาทำใจกับข่าวเมื่อครู่ก่อนที่จะไปกระจายค่ะ!” อะกิร้องบอกอย่างร่าเริง เพื่อนๆของเธอได้ต้องหาหนุ่มรูปงามคนใหม่ตามกรี๊ดแน่ๆ เอ่..เห็นบอกว่าภูตเสือขาวหนึ่งในผู้อารักษ์ก็งามสง่านี่หน่า แล้วยังบอกอีกว่าตอนนี้มีเทพตนหนึ่งเพิ่งเลิกกับคนรัก พวกเพื่อนของเธอก็รอแทนที่อยู่เหมือนกัน ท่าทางเพื่อนๆของเธอคงไม่ช้ำใจนานหรอก “จากนี้ไปพี่นาซิจะได้มีความสุขเสียทีนะคะ”
“ใครว่าล่ะ นาซิน่ะมีความสุขมาตั้งนานแล้วต่างหาก” ยมทูตสาวในเสื้อคลุมตัวยาวเอ่ยก่อนที่จะหายไปกับช่องว่างระหว่างมิติหลังจากที่แจ้งข่าวเสร็จ
ใช่..ความสุขอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เข้าใจกัน หรืออาจเป็นตอนที่รับรู้ว่าหัวใจตรงกัน และไม่แน่ว่าอาจเป็นตอนครั้งแรกที่สบตากันเลยก็ได้
ความสุขอาจผ่านไปเร็วสำหรับความรู้สึก แต่ความสุขก็งดงามเกินกว่าจะลืมเลือนได้ มองหาความสุขแล้วคุณจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องที่เรียบง่ายก็สามารถทำให้เราแอบอมยิ้มได้เช่นกัน
............................
** * ** *** * * * ** ***
กว่าจาปั่นเสร็จ T^T
ยาวกว่าทุกบทให้จุใจกันไปเลยเจ้าค่ะ
ต่อไปก็ตอนของอะกิ ขอบอกว่าอาจจะช้า (อีกแหละ) อีกหน่อยนะคะ TT-TT
อย่าเพิ่งรีบร้อนกัน
ความคิดเห็น