คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Shocking truth
Shocking truth
ไม่นะ!!! เจ้าสิ่งมีชีวิตเรืองแสงนั่นเป็นทูต ไม่ใช่ทูตธรรมดาซะด้วย แต่เป็นสมาชิกขององค์กรลับของทูตจากเบื้องบนซึ่งไม่เคยมีประวัติในการลงมาที่โลกเลย แล้วฉันจะทำยังไงดี? ที่เจ้านั่นลงที่นี่มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา ต่อไป...ฉันก็ต้องเจอแต่เรื่องแปลกๆ งั้นหรอ? ถ้าใครรู้ว่า ฉันเลี้ยงทูตไว้ในบ้าน คนต้องแตกตื่นเป็นแน่ และความซวยของฉันก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณยิ่งขึ้น ฉันไม่น่ารับปากเขาเลย ว่าจะช่วยเขากลับไปยังที่ที่เขามา เพราะฉันไม่รู้ว่าทูตอยู่ที่ไหน และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะส่งทูตกลับบ้าน กรี๊ดดดดดดด!!! ทำยังไงดี!?!
“ แบล์...ถึงบ้านแล้ว “ เสียงของเบลลาทริกซ์ช่วยชีวิตฉัน มันทำให้ฉันออกจากความฟุ้งซ่านแล้วกลับสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน ฉันจึงลงจากรถทันที
พวกเรามุ่งตรงไปที่ห้องนอนของฉัน ซึ่งที่นั่นเจ้าสิ่งมีชีวิตเรืองแสงตัวปัญหากำลังนอนอยู่บนเตียงของฉัน คงเป็นเพราะความอ่อนเพลียละมั้ง
“ นี่ไง...ที่ฉันเล่าให้เธอฟัง ฉันคิดว่าเราควรจะไล่เขาออกไปจากบ้านเดี๋ยวนี้ก่อนที่จะมีบางอย่างเกิดขึ้น เขาเป็นทูต เขาคงจัดการเรื่องของเขาเองได้ “ ฉันว่า
“ อย่านะแบล์ เขาน่าสงสารออก ดูสิ น่าทางไร้เดียงสาจะตาย คงจะไม่มีพิษสงอะไร “ เบลลาทริกซ์ว่าพลางมองไปที่เจ้าสิ่งมีชีวิตเรืองแสงที่กำลังหลับเป็นตายอยู่บนเตียงของฉัน
“ ไม่มีพิษสงบ้าอะไรละเบล เจ้านั่นนะ ตอนมาช่วงแรกๆ นี่ร้องโวยวายไม่หยุด แถมยังด่าฉันจนไม่เหลือข้อดีอยู่เลย “
“ เขาด่าเธอว่ายังไง? “
“ ก็...มันบอกว่า ฉันทำให้มันเสียตัว เป็นทูตสติไม่ดีชัดๆ “
“ นี่แหละ ยิ่งสติไม่ดียิ่งน่าสงสาร ให้เขาอยู่ที่นี่นั่นแหละดีแล้ว “ ‘เบล เธอจะขี้สงสารคนอื่นไปถึงไหน อื่มม์...ให้อยู่ก็ได้ เชอะ! แล้วเธอจะรู้สึก!!!’ ฉันคิดแล้วเดินไปปลุกเจ้านั่น
“ เฮ้! นาย ตื่นสิ “ ฉันว่าพลางเขย่าร่างของเขา แต่ก็ต้องตกใจ เพราะร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น และเจ้าสิ่งมีชีวิตเรืองแสงนี่ไม่มีท่าทีที่จะตื่นเลย ก็ยิ่งทำให้ฉันแทบเป็นบ้า
ฉันพยายามปลุกเขาให้ตื่น แต่ผลลัพธ์ก็เป็นเหมือนเดิม จนในที่สุด...ฉันก็ท้อ
“ เบล...เขาไม่ตื่นอ่ะ ฉันจะทำยังไงดี “ ฉันร้องถามเบลลาทริกซ์ เบลลาทริกซ์จึงส่ายหน้าแทนคำตอบ ‘ไม่รู้งั้นหรอ? ทำยังไงดี? ฉันไม่ยอมให้มีคนตายในห้องนอนของฉันเป็นแน่’ ฉันคิดพลางแสดงสีหน้าวิตกกังวล
“ เดี๋ยวนะ ฉันว่าถ้าโทรไปหาเรอัส เรอัสอาจจะรู้ก็ได้ “ เบลลาทริกซ์ว่าพลางหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมา แล้วกดโทรหาเรอัส ไม่นาน...ก็มีเสียงเย็นๆ ตอบกลับมาเหมือนเดิม
“ อื่มม์...ว่ามา “
“ เรอัส เธอพอจะรู้มั้ยว่าเวลาที่ร่างกายของทูตเย็นจัด ต้องทำยังไง? “
“ ขั้นแรก เราควรให้ความอบอุ่นกับทูตด้วยการกอด ถ้ามันไม่ได้ผลก็ให้สวมล็อกเกตนั่นให้กับทูต มันจะช่วยได้เยอะทีเดียว “
“ ขอบคุณจ๊ะ “
“ อื่มม์ “
เบลลาทริกซ์หันมามองหน้าฉันทันทีที่คุยโทรศัพท์เสร็จ เธอบอกให้ฉันกอดเจ้าสิ่งมีชีวิตเรืองแสงนั่น และฉันก็ยอมทำตามแต่โดยดี ฉันกอดเจ้านั่นมาครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เจ้านั่นไม่มีท่าทีที่จะฟื้นตัวขึ้นเลย ฉันจึงล้วงเข้าไปในกระเป๋ากระโปรง หยิบล็อกเกตนั่นออกมาแล้วสวมคืนให้เขา เหมือนจะเป็นอย่างที่คิด ร่างกายของเขาค่อยๆ ฟื้นสภาพขึ้นทีละนิดๆ ร่างกายของเขาค่อยๆ ร้อนขึ้น ต่อมา...เขาก็ฟื้น เขาหาวแล้วบิดขี้เกียจสักพักแล้วยิ้มให้ฉัน
“ กลับมาแล้วหรอ? “ เขาเอ่ยถาม ฉันจึงพยักหน้ารับ
“ ฉันรู้สึกแปลกๆ เหมือนมันไม่คุ้นที่ต้องอยู่ที่นี่ “
“ นายจะไปคุ้นได้ยังไงล่ะ ก็นายเป็นทูต ไม่ใช่มนุษย์แบบพวกเราสักหน่อย “ ฉันว่า เหมือนพูดจบ เขาก็ทำหน้างง
“ ฟังนะ...นายเป็นทูตที่มาจากองค์กรลับของทูตจากเบื้องบนซึ่งองค์กรนี้ไม่เคยมีประวัติในการมาในโลกนี้เลย และนายก็เป็นคนแรกที่มาที่นี่ บอกฉันหน่อยสิ ว่านายมาที่นี่ได้ยังไง เผื่อฉันจะได้ช่วยหาวิธีให้นายกลับไป “
“ ไม่รู้โว๊ยยย!!! ก็ฉันจำอะไรไม่ได้เลย จะไปรู้ได้ไงวะ!!! “ เจ้านั่นโวยวายขึ้นก่อนที่จะว๊ากออกมา
“ เธอความจำเสื่อมงั้นหรอ? “ เบลลาทริกซ์ทวนคำแล้วหันมามองหน้าฉัน “ แบล์...เพราะเขาเป็นแบบนี้ เธอต้องให้เขาอยู่ที่นี่ แล้วช่วยเหลือเขาให้ถึงที่สุดนะ “ เมื่อเบลลาทริกซ์พูดจบ ฉันจึงได้แต่พยักหน้าอย่างเอือมๆ เพราะไม่รู้จะช่วยเจ้านั่นยังไงน่ะสิ
“ เธอชื่ออะไรหรอ? “ เบลลาทริกซ์เอ่ยถาม
“ ลูมินอส(Luminous-เรืองแสง) “ ฉันว่า ก็ฉันคิดอะไรไม่ออกจริงๆ นี่ ชื่อนี่แหละเหมาะกับเจ้านั่นที่สุดแล้ว ลูมินอส เจ้าสิ่งมีชีวิตเรืองแสง
“ แบล์...เขาชื่อแบบนี้จริงๆ หรอ? “ เบลลาทริกซ์กระซิบถามฉัน
“ เปล่าหรอก จริงๆ แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าเจ้านั่นชื่ออะไร อีกอย่าง...เจ้านั่นก็จำอะไรไม่ได้เลยด้วย ใช้ชื่อนี้ไปก่อนแหละ ดีแล้ว “ ฉันว่า แล้วเบลลาทริกซ์ก็พยักหน้ารับ
จากนั้นพวกเราสามคนก็เริ่มที่จะพูดคุยกันบนเตียงของฉัน เบลลาทริกซ์สอนสวนลูมินอสถึงเรื่องการมาของเขา เขาบอกแค่ว่า เขาตกลงมาจากที่สูงมากแล้วลงมาที่นี่ ข้อสันนิษฐานของฉันคือ เขาคงไม่ได้ตั้งใจลงมาที่นี่หรอกมั้ง เพราะถ้าเขาตั้งใจมาที่นี่ เขาคงไม่มีสภาพแบบนี้หรอก
พวกเราคุยกันจนถึงประมาณหนึ่งทุ่มเศษ ฉันกับเบลลาทริกซ์จึงลงไปกินอาหารเย็น แล้วให้ลูมินอสใส่เสื้อผ้าที่เบลลาทริกซ์ขอยืมมาจากดรากเนส
เรากินอาหารเย็นเสร็จประมาณเกือบสองทุ่ม พอกินอาหารเย็นเสร็จ เราก็แยกย้ายกันไปทำงานที่ห้องทำงาน ฉันไปทำการบ้าน ส่วนเบลลาทริกซ์ไปซ้อมเปียโนซึ่งเป็นงานอดิเรกของเธอ เบลลาทริกซ์เป็นนักเปียโนที่มีพรสวรรค์มาก เธอสามารถเล่นเพลงได้อย่างเข้าถึงบทเพลงนั้นๆ และเธอยังสามารถเล่นได้ทันทีที่เห็นโน้ต
หลังจากที่ทิ้งลูมินอสให้อยู่ในห้องนอนของฉันกว่าห้าชั่วโมง ฉันจึงกลับมาที่ห้องนอนของฉันในสภาพที่พร้อมจะนอน และฉันก็สามารถนอนได้อย่างมีความสุข เพราะเบลลาทริกซ์รับปากว่าจะเก็บเรื่องที่ฉันเลี้ยงทูตไว้เป็นความลับ
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน ฉันรู้สึกถึงลางร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามา ฉันใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังก้าวมาที่หน้าประตูห้องฉัน และเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นหลังจากนั้น
“ แบล์...เปิดประตูให้ฉันหน่อย “ น้ำเสียงที่ฟังดูร้อนรนของเบลลาทริกซ์ดังขึ้น ฉันจึงลุกขึ้นจากเตียงแล้วมองดูร่างของเจ้าสิ่งมีชีวิตเรืองแสงที่กำลังเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วอย่างไม่มีทางหลุดพ้นจากมันได้ก่อนที่จะเดินไปเปิดประตูให้เบลลาทริกซ์
“ มีอะไรหรอ? “ ฉันร้องถามด้วยน้ำเสียงเนิบๆ
“ มากับฉันเร็ว!!! “ เบลลาทริกซ์ร้องพลางลากฉันลงบันไดไปอย่างไม่สนใจเสียงของฉันที่ร้องถามเธอตลอดเวลาว่า’จะไปไหน’
ยังไม่ทันจะลงไปถึงชั้นล่าง โทรศัพท์ของเบลลาทริกซ์ที่เธอใส่เอาไว้ในกระเป๋าเสื้อนอนของเธอก็สั่นพร้อมกับเสียงเรียกเข้าซึ่งเป็นเพลง Funeral March ผลงานอมตะของโชแปง นักเปียโนยุคโรมานซ์ฝีมือบันลือโลกได้ดังขึ้น ฉันจึงดึงมือของเธอไว้ก่อนที่จะถามเธอว่า
“ ใครโทรมาน่ะ? เธอไม่รับโทรศัพท์หรอ? “ เบลลาทริกซ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะหันมามองฉันด้วยสีหน้าเป็นทุกข์แล้วพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ ฉันไม่มีเวลาทำเรื่องแบบนั้นหรอก เร็วเข้า...มันจะไม่ทันแล้ว!!! “ เธอว่าพลางลากฉันลงจากบันไดไปถึงประตูทางเข้าชั้นล่างของตัวบ้าน เงาของคนทั้งห้าคนไดเทิดยาวตามแนวพื้นห้อง ฉันจึงมองออกไปนอกกระจกแล้วพบว่า...มีผู้ชายสามคนกับผู้หญิงสองคนยืนอยู่ที่นอกประตู พวกเขาทั้งหมดมีสีหน้าเป็นทุกข์ และมีท่าทางที่ดูกระวนกระวายราวกับกลัวอะไรบางอย่าง
ครู่ต่อมา...เบลลาทริกซ์ก็เปิดประตูให้พวกเขาทั้งหมดเขาในบ้าน พวกเขาต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ ขอบคุณนะ...เบลลาทริกซ์ “ ทั้งหมดพูดขึ้นก่อนที่จะพากันเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาได้เจอมาก่อนที่จะมาถึงที่นี่
“ เป็นไปไม่ได้ ที่ผู้ปกครองแห่งคาร์ริสผู้ชั่วร้ายจะคืนชีพเร็วขนาดนี้ “ เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาล และนัยน์ตาสีน้ำเงินเอ่ยขึ้น ซึ่งฟังจากน้ำเสียงแล้ว ฉันคิดว่า...เขาคนนี้น่าจะเป็นเรอัส
“ ฉันก็ว่างั้นแหละ ไม่คิดเลยว่าลอร์ดพัวร์บลัดจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เพราะครั้งนี้ไม่มีอะไรเตือนฉันเลย “ เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ และนัยน์ตาสีน้ำตาลทองเอ่ยขึ้น เธอคนนี้คือ’ดีซีดอเรต้า’ เพื่อสาวไฮโซของเบลลาทริกซ์
“ เฮ้! ดรากเนส แกฆ่าปู่แกแล้วจริงๆ หรอ? “ อดอล์ฟถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
“ เอ่อดิวะ พวกแกก็เห็นว่าฉันเอาดาบประจำตระกูลเสียบตรงกลางหัวปู่ แล้วปู่ก็หายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ “ ดรากเนสว่า
“ มันแปลกมากเลยนะ ที่หลังจากที่เดรากเนสใช้ดาบประจำตระกูลฆ่าปู่ตัวเอง แล้วปู่ของดรากเนสก็หายไปต่อหน้าต่อตา มันต้องมีข้อผิดพลาดบางอย่างแน่ๆ “ เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีแดง และนัยน์ตาสีเขียวว่าพลางวางท่าเคร่งขรึมราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เธอคือ’มอนสเตลล่า’ เพื่อนสาวอัจฉริยะของเบลลาทริกซ์
“ เออ...เบลลาทริกซ์ ฉันขอรบกวนเธอหน่อยได้มั้ย? “ ดรากเนสเอ่ยถามขึ้น
“ อื่มม์...ได้แน่นอนอยู่แล้ว “ เบลลาทริกซ์ตอบ
“ คือ...พวกเราขอรบกวนอาศัยอยู่กับเธอสักพักได้มั้ย? ฉันยอมรับว่าปู่ของฉันน่ากลัวมาก พวกเราห้าคนเพิ่งจะผ่านเคราะห์ร้ายมาเมื่อกี้นี้ และถ้าเราไม่ตัดสินใจมาขอความช่วยเหลือจากเธอที่นี่ ก็คงจะไม่มีใครรอดเลย ปู่ของฉันทำลายที่อยู่ของพวกเรา รวมทั้งข้าวของของเพื่อนบ้านด้วย และฉันคิดว่า ไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าที่นี่อีกแล้ว ฉันหวังว่าปู่ของฉันคงจะไม่มาที่นี่ “
“ ไม่มาบ้าอะไรล่ะ แล้วคนที่ยืนอยู่ข้างนอกนั่นล่ะ มันเป็นใคร!?! “ อดอล์ฟร้องเสียงหลง สิ้นคำอดอล์ฟ ทุกคนต่างมองออกไปนอกกระจกแล้วพบว่าบุรุษชุดดำร่างสูงใหญ่กำลังก้าวเข้ามาทางเรา และลมก็ได้พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ แสงจากดวงดาวได้ดับไปเมื่อฉันได้ยินเสียงหัวเราะอันน่าหดหู่ของชายคนนี้
“ ทำยังไงดี...ทำยังไงดี!?! “ น้ำเสียงที่ร้องรนของอดอล์ฟร้องขึ้น “ เรอัส...แกช่วยพวกเราหน่อยสิ!!! “
“ ฉันเป็นพวกไร้เวทย์ ฉันช่วยอะไรพวกแกไม่ได้ “
“ พวกไร้เวทย์งั้นหรอ? มอนสเตลล่า...เธอเป็นนักเวทย์ไม่ใช่หรอ รีบใช้เวทย์จัดการมันเร็วเข้า “
“ ฉันใช้เวทย์จัดการได้แค่ผู้ใช้เวทย์เหมือนกันเท่านั้น ไม่สามารถใช้เวทย์จัดการผู้ใช้พลังมืดได้ “
“ อดอล์ฟ แกเป็นยมทูตไม่ใช่หรอ แกก็ดูดวิญญาณปู่ฉันสิ “ ดรากเนสว่า
“ ไม่ได้หรอกเว๊ย ตอนนี้ฉันถูกงดใช้อำนาจ เพราะฉันมีข้อหาพยายามฆ่าคนตายติดตัวอยู่ “ อดอล์ฟว่าพลางมองไปรอบๆ เพื่อหาทางออก “ ดอลล่าร์ เธอรู้มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป “
“ ไม่รู้ “ ดีซีดอเรต้าขึ้นเสียงสูง “ ขอโทษนะอดอล์ฟ ช่วงนี้ฉันไม่ได้ฝันเห็นอนาคตเลย “
“ ตายแน่กู “ อดอล์ฟสบถพลางเอามือกุมขมับแล้วนั่งนิ่ง
“ เบลลาทริกซ์ เธอคือความหวังเดียวของฉัน มันจะดีมากถ้าเธอเล่นบทเพลงมรณะที่ทำให้เราพบกันครั้งแรก “ ดรากเนสว่า
“ เอ่อ...ดรากเนส คือว่า...ฉัน ฉันจำโน้ตไม่ได้ “ สิ้นคำเบลลาทริกซ์ทุกคนก็ถอนหายใจขึ้นมาพร้อมกันทันที
“ แล้วแบล์คลีซาล่ะ เธอพอจะช่วยอะไรได้บ้างมั้ย? “ อดอล์ฟถามขึ้น ฉันจึงได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ “ งั้นก็ดีเลย มาตายด้วยกันเถอะ เฮ้ย! มันเข้ามาแล้ว!!! “
สิ้นคำอดอล์ฟ พวกเราทั้งหมดจึงเงยหน้าขึ้นไปดูแล้วพบว่าชายชุดดำคนนั้นได้เข้ามาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเรา พร้อมกับกระจกที่อยู่รอบๆ บ้านได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และดูเหมือนว่า บ้านของฉันกำลังจะถล่มลงมาในอีกไม่ช้า
ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้พวกเราขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นฝุ่นที่เข้ามาประทะจมูกของฉันอย่างจังทำให้ฉันหายใจไม่ออก ผิวสีซีดกับหนังหุ้มกระดูก และเสียงหัวเราะอันน่าหดหู่นั่นทำให้ฉันกลัวจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นในวินาทีอันน่าสยดสยองนั่น
พวกเราทั้งหมดกำลังจะตาย ดิ้นรนไปเท่าไรก็ไม่อาจหลุดพ้นจากโชคชะตาอันเลวร้ายนี้ไปได้ ฉันพยายามที่จะขยับหนี แต่ก็ไม่มีแรงที่จะขยับได้ พยายามที่จะเปล่งเสียงร้องให้คนช่วย แต่ฉันก็ไม่มีเสียงที่จะสามารถร้องออกมาให้ใครได้ยินได้ ฉันคงทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้แล้วจริงๆ
ฉันมองดูสีหน้าที่ดูหดหู่ของอีกทั้งหกคน พวกเขาคงรู้สึกไม่ต่างไปจากฉัน หรืออาจจะรู้สึกหดหู่มากกว่าฉันก็เป็นได้
“ แบล์...ฉันขอโทษ ฉันไม่น่าลากเธอมาเกี่ยวด้วยเลย “ เบลลาทริกซ์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาราวกับกระซิบ หน้าของเธอดูซีดมาก ฉันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าชายคนนั้นกำลังใช้วัตถุสีดำรัดคอเธออยู่
“ ไม่นะ...เบล!!! “ ฉันกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าร่างของเบลลาทริกซ์ได้แน่นิ่งไป และร่างของอีกห้าคนก็อยู่ในสภาพเดียวกันกับเธอด้วย ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือชายคนนั้นกำลังเดินเข้ามาหาฉัน เขาโบกมือให้วัตถุสีดำลอยขึ้นกลางอากาศแล้วลอยมาหยุดอยู่ที่ฉัน ‘ไม่! ฉันต้องไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้’ ฉันคิดพลางพยายามที่จะขยับหนี แล้วน้ำตาแห่งความหดหู่ของฉันก็ได้ไหลออกมา ฉันจึงได้แต่หลับตาเพื่อรอรับความตายที่กำลังจะมาเยือนฉันในอีกไม่ช้านี้
แต่มันน่าแปลกที่เมื่อฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกกลัวเลยล่ะ? ฉันกลับรู้สึกอบอุ่นแทนที่จะรู้สึกเย็นยะเยือก ฉันจึงตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้นมาดู เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังจะก้าวลงบันไดและก้าวมาทางฉัน
“ เกิดอะไรขึ้นหรอ? “ เจ้าของฝีเท้านั้นร้องถามขึ้น ฉันจึงหันไปมองทางต้นเสียงแล้วพบว่า เจ้าสิ่งมีชีวิตเรืองแสงกำลังจะเดินลงมาหาฉัน และที่ล็อกเกตของเขาก็มีแสงสีฟ้าเปล่งแสงขึ้น ด้วยแสงสว่างนั้น ทำให้บุรุษชุดดำนั้นร้องครวญคราญด้วยความเจ็บปวด และสันธานไปในที่สุด
และหลังจากนั้น...
“ ปฏิบัติการฟื้นคืนชีพ กูรอดแล้วเว๊ย!!! “ อดอล์ฟร้องขึ้นพลางกระโดดไปมาอย่างมีความสุข และเสียงของอดอล์ฟก็ทำให้อีกห้าคนฟื้นขึ้น พวกเขาต่างมีสีหน้าประหลาดใจเอพบว่าตัวเองยังไม่ตาย ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม และล็อกเกตของเจ้าสิ่งมีชีวิตเรืองแสงก็ไม่เรืองแสงแล้ว
“ พวกคุณเป็นเพื่อของแบล์คลีซาใช่มั้ย? “ เจ้าสิ่งมีชีวิตเรืองแสงร้องถามขึ้น ทุกคนต่างก็ตกใจเมื่อพบกับบุคคลที่พวกเขาต่างก็ไม่คุ้ยเคย
“ โอ้ว! นั่นใครน่ะ? “ ดีซีดอเรต้าร้องถามขึ้น
“ เขาเป็นผู้อยู่อาศัยลับๆ น่ะ ชื่อลูมินอส “ ฉันว่า
“ ฉันไม่ได้ชื่อลูมินอส ฉันชื่อยูลิคต่างหาก ชื่อที่เธอตั้งให้ฉันมันอุบาตก์ยิ่งกว่าขี้ซะอีก “ ว่าไงน่ะ? เขาบอกว่าเขาชื่อยูลิคงั้นหรอ? งั้นก็แสดงว่า...
“ นายจำได้แล้วหรอ? “
“ ก็เริ่มจำได้บางแล้วล่ะ ก็บ้านเธอน่ะมันสะเทือนแรงซะขนาดนั้น “ คงจะจำได้เพราะเกิดการกระทบกระเทือนเข้าที่ไหนซักแห่งสินะ งั้นก็ขอให้เกิดแผ่นดินไหวแล้วบ้านทั้งหลังก็ถล่มลงมา เพื่อเขาจะได้จำได้ทั้งหมด (แล้วฉันจะไม่ตายก่อนหรอ???)
“ เอ๊ะ? นี่มัน...ล็อกเกตขององค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบนนี่ “ เรอัสร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นล็อกเกตของยูลิค “ แบล์คลีซา...นี่เธอเลี้ยงทูตไว้หรอ? “
“ นี่แหละ...เรื่องที่ฉันอากจะให้พวกนายช่วย คือว่า...ทูตตัวนี้ได้ตกลงมาในห้องนอนของฉันในสภาพเปลือยกาย เขาเป็นพวกสติไม่ดี พูดไม่รู้เรื่อง และความจำเสื่อม และที่น่าหนักใจกว่านั้นก็คือเขาได้ขอร้องให้ฉันช่วยนำเขากลับไปยังที่ที่เขาเคยอยู่ และเมื่อฉันรู้ว่าเขาเป็นทูต ฉันก็ไม่รู้ว่าเขามาจากไหน และจะช่วยเขาได้ยังไง “
“ จริงๆ ฉันก็พอมีวิธีอยู่นะ แต่การส่งทูตกลับบ้านมันมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน ยิ่งตอนนี้ เขาก็ความจำเสื่อมอยู่ด้วย ก็ต้องรอให้เขาจำทุกอย่างให้ได้ก่อน เพราะว่าเขาต้องเป็นคนเล่าเรื่องทุกอย่างด้วยตัวของเขาเองให้กับคนรับเรื่อง เพื่อจะได้ส่งเขาให้กลับไปถูกที่ “ เมื่อเรอัสพูดจบ ฉันก็ถอนหายใจเมื่อรับความซวยที่จะมาเยือน และตอนนี้มันก็มาจ่ออยู่ตรงหน้าฉันแล้ว เฮ้อ~ ช่างยุ่งยากอะไรเช่นนี้!!!
“ แล้วพ่อกับแม่ของเธอรู้เรื่องนี้แล้วรึยัง? “
“ ยังหรอก ฉันคิดว่าคงต้องปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย เพราะฉันไม่อยากจะทำให้ใครต้องเดือดร้อน ถ้าไม่จำเป็น ฉันก็จะไม่ขอร้องให้ใครช่วยหรอกนะ “
“ มันจะแน่หรอสาวน้อย ฉันว่า อีกไม่นานพ่อกับแม่ของเธอก็ต้องรู้เรื่องนี้เองแหละ “ สิ้นคำอดอล์ฟ ไฟชั้นล่างก็ได้ถูกเปิดขึ้น พร้อมกับร่างของพ่อกับแม่ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเรา
“ ไม่ต้องเก็บเป็นความลับแล้วหรอกลูก พ่อกับแม่ได้ยินทุกอย่างแล้ว “ พ่อว่าพลางยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย
“ บ้านของเรายินดีต้อนรับทุกคนจ๊ะ “ แม่ว่าพลางหมุนตัวด้วยความพลิ้วไหวแล้วกางมือออก
“ พ่อกับแม่แน่ใจแล้วหรอคะ? มันอาจจะมีปัญหาตามมาก็ได้นะคะ “ ฉันขัดขึ้น
“ ปัญหาใหญ่แค่ไหนล่ะจ๊ะลูก? “ แม่ถามขึ้น
“ ฟังนะคะ นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หนูอยากจะสารภาพว่า หนูเลี้ยงทูตไว้ในห้อง “ ฉันว่าพลางมองหน้าเจ้าสิ่งมีชีวิตเรืองแสง และลากเขาออกมา “ คนนี้ไงคะ เขาชื่อยูลิค เขาเป็นทูตมาจากเบื้องบน และเขาก็กลับไปยังที่ที่เขามาไม่ได้ เขาจึงมาขอความช่วยเหลือจากหนู ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูที่ล็อตเกตของเขาสิคะ “ พอฉันพูดจบ พ่อกับแม่ก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง “ ว่าไงคะ ตกลงจะให้เขาอยู่ที่นี่อยู่หรือเปล่า? “
“ ตกลงลูก ปัญหาแค่นั้น มันไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนเลยซักนิด “ พ่อว่าพลางยิ้มแห้งๆ ราวกับว่าไม่เต็มใจที่จะตกลงเลยซักนิด
“ พ่อคะ แม่คะ แล้วเพื่อนของหนูอีกห้าคนล่ะคะ? “ เบลลาทริกซ์ถามขึ้น แล้วพ่อกับแม่ก็หันมามองหน้ากันแล้วทำตาโต
“ เพื่อนของลูกคงไม่ก่อปัญหาใช่มั้ยจ๊ะ? “ แม่เอ่ยถามขึ้น
“ ก่อปัญหาแน่นอนค่ะ “ สิ้นคำเบลลาทริกซ์ พ่อกับแม่ของฉันจึงขมวดคิ้วขึ้น แล้วร้องเสียงสูง “ หนูขอสารภาพว่า พวกเขาทั้งหมดไม่ใช่คน ดรากเนส คู่ควงคนปัจจุบันของหนูเป็นเจ้าแห่งคาร์ริส ดินแดนแห่งความมืด อดอล์ฟเป็นยมทูตที่มีคดีติดตัวอยู่ ดอลล่าร์เป็นคนที่มองเห็นอนาคตได้ เรอัสเป็นพวกไร้เวทย์ที่มีความรู้เกี่ยวกับโลกอื่นๆ เป็นอย่างดี และมอนสเตลล่าเป็นนักเวทย์คนสุดท้ายของตระกูลผู้วิเศษเกียรติยศ เดอ มาเรียไนล์ “ พอเบลลาทริกซ์พูดจบ แทนที่พ่อกับแม่จะสบถออกมาไม่เป็นภาษา แต่พวกท่านกลับยิ้มกว้างแล้วพูดพร้อมกันว่า
“ นั่นไม่ใช่ปัญหาจ๊ะ เพราะทุกคนในบ้านหลังนี้ก็ไม่ใช่คนเหมือนกัน “ พอพ่อกับแม่พูดจบ ฉันกับเบลลาทริกซ์ต่างก็มองหน้ากันแล้วอ้าปากค้าง ก่อนที่จะพูดขึ้นพร้อมกันว่า
“ หมายความว่ายังไงคะ? “
“ ขอโทษนะลูก ที่ต้องปิดเรื่องนี้ไว้นานไปหน่อย ตอนแรกพ่อกับแม่คิดว่า เราจะไม่บอกเรื่องนี้กับลูกแล้ว แต่ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว เราจึงต้องบอกให้ลูกรู้ “ พ่อว่า “ คือว่า...พ่อเป็นผู้ใช้พลังจิต “
“ แม่เป็นผู้ใช้พลังบริสุทธิ์ และคนใช้ทุกคนที่นี่ต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตนอกโลกทั้งสิ้น “
ตอนนี้ ไม่มีใครพูดอะไรออก ทุกคนต่างก็ทำหน้าอึ้งไปตามๆ กัน พอพ่อกับแม่เห็นท่าทางตกตะลึงของพวกเราแล้ว ท่านก็พูดขึ้นมาว่า
“ ตอนนี้ตีสองกว่าแล้ว ทุกคนควรเข้านอนก่อนที่จะไม่ได้นอน บ้านของเรามีห้องนอนอยู่เจ็ดห้อง นอนได้จริงๆ อยู่หกห้อง ส่วนอีกห้องถูกปิดตาย ถ้านับห้องนอนของเราและพวกคนใช้แล้ว ก็จะเหลือห้องนอนอยู่ทั้งหมดสี่ห้อง เพราะฉะนั้น ก็นอนได้ห้องละสองคน “ พอพ่อพูดจบ พวกเราต่างก็รีบวิ่งขึ้นไปเพื่อจองห้องของตัวเอง และรีบนอน ฉันกับเจ้าสิ่งมีชีวิตเรืองแสงนอนห้องเดียวกัน ดรากเนสกับเบลลาทริกซ์นอนห้องเดียวกัน อดอล์ฟกับดีซีดอเรต้านอนห้องเดียวกัน และเรอัสกับมอนสเตลล่านอนห้องเดียวกัน
และช่วงที่ดูวุ่นวายที่สุดสำหรับการอยู่ร่วมกันของพวกเราทั้งแปดคนก็คือตอนเช้า เพราะมีปัญหาเรื่องของหายบ่อยมาก
“ กางเกงในของฉันอยู่ไหน!?! “
“ แล้วบาร์เซียร์ฉันล่ะ ใครเห็นบ้าง? “
“ โอ๊ย! ถุงยางกูอยู่ไหนวะ ไอ่เหี้ย!!! “
แน่นอนว่าภาพของผู้ชายเปลือยท่อนบนกับผู้หญิงใส่บีกีนีวิ่งรอบบ้านได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับฉันไปแล้ว เพราะฉันต้องเห็นภาพเหล่านั้นอยู่ทุกเช้า
เฮ้อ~ ช่างวุ่นวายอะไรเช่นนี้!!!
ความคิดเห็น