ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels คนบ้าระห่ำ แหกกฎสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #21 : Revenge

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ย. 61


     Revenge

     

         ณ.นครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหล่ามวลมนุษยชาติปรารถนาที่จะย่างกรายเข้ามาสัมผัสความศักดิ์สิทธิ์ และพระคุณความรักจากเจ้าแห่งเบื้องบนเป็นที่สุด ขณะนี้เป็นเวลาสามนาฬิกาห้าสิบนาที แสงไฟอุ่นๆ สีขาวนวลที่ตกกระทบณ.ทะเลสาบแก้วผลึกทำให้มองเห็นเงาสะท้อนของตึกสูงเสียดฟ้าที่ถูกหลอมจากทองคำเปลว และถูกแกะสลักเป็นรูปพระฉายาลักษณ์ของเจ้าแห่งเบื้องบนได้อย่างชัดเจน และที่นั่นคือสถานที่ทำการขององค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบน

     

         ภายในห้องประชุมของสถานที่แห่งนั้น ผนังห้องถูกทำจากแก้วมณีโชติสีขาวบริสุทธิ์ และถูกรอบล้อมด้วยเสาเครูบที่สง่างามทั้งสี่ต้น ตรงกลางห้องมีโต๊ะยาวรูปสี่เหลี่ยมผื่นผ้ามีส่วนโค้งสีน้ำเงินคริสตัลตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง และมีเก้าอี้ทรงสูงสีเทาอ่อนที่ถูกวาดเป็นลวดลายของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ในอิริยาบถต่างๆ ในแนวโมเสกไว้บนผื่นผ้า และถูกประดับด้วยบุษราคัมน้ำอ่อนสีม่วงล้อมรอบโต๊ะยาวตัวนั้น

     

         เหล่าสมาชิกองค์กรผู้ซึ่งสวมชุดสูทสีขาวประดับฟู่ขนแกะ และสวมล็อกเกตรูปกางเขนมีปีกสีขาวพากันบิดขี้เกียจ เนื่องจากการที่นั่งเป็นระยะเวลานานๆ ทำให้พวกเขาเมื่อยไปทั้งตัว แม้ว่าพวกเขาจะเข้ามานั่งในห้องประชุมได้เกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอะไร

     

         ในที่สุด...บรรยากาศที่เงียบสงบของห้องประชุมก็ได้ถูกทำลายลง เมื่อท่านประธานองค์กรผู้สวมชุดสูทสีขาว สวมล็อกเกตรูปกางเขนมีปีกสีน้ำเงิน และสวมมงกุฏทองคำผู้ซึ่งก้มหน้านิ่งอยู่นานราวกับรออะไรบางอย่างก็ได้เงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

     

         " ขณะนี้เป็นระยะเวลาสองเดือนเต็มแล้วที่ท่านประธานคนเก่าได้หายไปจากนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และข้าคิดว่า เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ข้าจะได้ใช้อำนาจปกครองอย่างเต็มที่แต่เพียงผู้เดียวโดยที่พวกท่านไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยว ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ? " จากนั้น...สมาชิกทั้งหมดก็พากันอ้าปากค้างแล้วมองหน้ากันก่อนที่สมาชิกคนหนึ่งจะพูดขึ้นว่า

     

         " ท่านประธานโรเชส ข้าคิดว่า เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่ท่านจะปกครองนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว เพราะยังมีปัญหาอีกมากที่ท่านยังไม่ได้แก้ไข บัดนี้...ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากกฎที่ท่านได้บัญญัติไว้มีมากเกินไปจนทำให้ประชาชนเกิดความตึงเครียด พวกเขาไม่สามารถเดินออกจากบ้านได้เกินกว่าเจ็ดไมล์เทพ พวกเขาไม่สามารถใช้เงินได้เกินกว่าเจ็ดพันเหรียญเทพต่อเดือน และราคาสิ่งของในปัจจุบันก็แพงขึ้นมากด้วยจนทำให้ประชาชนพากันเก็บของเหลือใช้ในถังขยะมาใช้ บัดนี้...ประชาชนทุกคนต่างก็มีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ เนื่องจากการที่ท่านสั่งไม่ให้พวกเขาเล่นดนตรีในเวลาว่าง แต่ท่านกลับสั่งให้พวกเขาหล่านั้นไปทำความสะอาดพระวิหารแทน เด็กๆ ทุกคนไม่มีความสุข เป็นเพราะท่านสั่งให้เด็กทารกอายุเจ็ดเดือนขึ้นไปต้องเข้าเรียนในโรงเรียนทูต บัดนี้...นครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์กำลังจะกลายเป็นสถานที่ปลีกวิเวก เป็นเพราะท่านสั่งห้ามไม่ให้พวกเขาคุยกันก่อนเจ็ดโมงเช้า และหลังหนึ่งทุ่ม และให้คุยกันได้เฉพาะกับคนในครอบครัวเท่านั้น และอีกประการหนึ่ง เป็นเพราะว่าประชาชนทุกคนยังคงพอใจกับวิธีการปกครองของท่านประธานคนเก่าอยู่ " สิ้นคำสมาชิกคนนั้น โรเชสก็มองหน้าเขาด้วยความไม่พอใจก่อนที่จะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า

     

         " ประชาชนทุกคนนี่รวมถึงพวกท่านด้วยใช่มั้ย? " สิ้นคำโรเชส เหล่าสมาชิกก็พากันก้มหน้าเพื่อหนีความผิด แล้วโรเชสก็ลุกขึ้นพร้อมกันชี้นิ้วอย่างเกรี้ยวกราดไปที่ใบหน้าของเหล่าสมาชิกก่อนที่จะตะคอกออกมาว่า

     

         " ใครที่ยังจงรักษ์ภักดีต่อท่านประธานคนเก่าอยู่ ให้ก้าวออกมาข้างหน้าเดี๋ยวนี้!!! " สิ้นคำโรเชส เหล่าสมาชิกก็พร้อมใจกันก้าวออกมาข้างหน้า โรเชสจึงปรบมือก่อนที่จะพยักหน้าแล้วทำหน้านิ่งก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " โอ้! น่าชื่นชมจริงๆ ที่พวกท่านยังจงรักษ์ภักดีต่อมันอยู่ จนถึงบัดนี้....มันได้ถูกพิพากษาแล้วเนื่องจากความบาปของมัน ทำไมพวกท่านถึง--- " ก่อนที่โรเชสที่พูดจบ ก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น

     

         กึก...กึก!!! ตึ่ง...โครม!!!

     

         ทันใดนั้น...ห้องประชุมก็ถูกทำให้สั่น และไข่มุกแห่งความสัตย์จริงที่ถูกประดับไว้บนเพดานห้องจำนวนล้านล้านเม็ดก็ได้ถูกทำให้ตกลงมาเรื่อยๆ ด้วยความเร็วสูง จนทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในห้องนั้นต่างพากันก้มหัวหลบไข่มุกเหล่านั้นอย่างสุดชีวิต เมื่อสงครามไข่มุกสงบลงแล้ว เหล่าสมาชิกก็พากันโผล่หัวขึ้นมาแล้วถามกันด้วยความงงงวยว่า

     

         " เกิดอะไรขึ้นหรือ? " สิ้นคำเหล่าสมาชิก แสงสีน้ำเงินก็ได้สาดส่องเข้ามาในห้องนั้น มันเจิดจ้ามากจนทำให้ทุกคนพากันยกมือขึ้นมาปิดตาเพื่อหลบเลี่ยงแสงสว่างนั้น

         ตึก...ตึก...ตึก...!!!

     

         เสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนคนใหม่ดังขึ้นหลังจากที่แสงสีน้ำเงินที่ชวนน่าแสบตานี้ได้สันธานไปแล้ว เขาคนนั้นหยุดเดินอยู่หน้าห้องก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า

     

         " โรเชส...ท่านทำแบบนี้ทำไม? " สิ้นคำของเขาคนนั้น เหล่าสมาชิกก็พากันลืมตาขึ้นมองเจ้าของเสียงที่ฟังดูคุ้นเคยนั้น และในวินาทีนั้นเอง...พวกเขาก็รู้สึกชื่นชมยินดีไปพร้อมๆ กันเมื่อพบว่าเขาคนนั้นคือ'ยูลิค' ประธานคนเก่าแห่งองค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบน

     

         " ยูลิค...เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ? เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรในเมื่อเจ้าออกไปแล้ว เจ้าไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่ได้แล้วไม่ใช่หรือ? "

     

         " ต้องขอบคุณน้องชายฝาแฝดของท่านนะที่คอยให้ความช่วยเหลือข้ามาโดยตลอด และข้าก็ต้องขอบคุณท่านเช่นกัน เพราะตอนที่ข้าอยู่ข้างนอกนั้น ข้าได้เรียนรู้ถึงหลายสิ่งหลายอย่าง เอาล่ะ...ข้าคิดว่าเราควรจะคุยกันด้วยเหตุผลนะ ท่านทำแบบนี้ทำไม? " สิ้นคำยูลิค โรเชสจึงพูดขึ้นว่า

     

         ข้าแค่ต้องการที่จะเป็นผู้ปกครองเท่านั้น แต่ไม่มีใครให้โอกาสข้า และเป็นเพราะข้าทนเห็นเจ้าได้ดีกว่าข้าอีกต่อไปไม่ได้ และการกำจัดเจ้าออกไปให้พ้นจากที่นี่เป็นทางเดียวที่ข้าพอจะทำได้เพื่อทำตามความปรารถนาของตัวข้าเอง และบัดนี้...เจ้าก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง ข้าคงไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่อีกต่อไปแน่! " โรเชสร้องลั่นก่อนที่กางปีกแล้วผายมือออก แต่ยูลิคก็พูดขึ้นว่า

     

         " ข้าไม่ยอมให้ท่านทำแบบนั้นอีกแน่! " สิ้นคำยูลิค โรเชสก็ขมวดคิ้วก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นว่า

     

         " หมายความว่าอย่างไร? "

     

         " อย่าลืมสิว่าข้าเก่งกว่าท่านนะ " สิ้นคำยูลิค เสียงอึกทึกคึกโครมก็ดังขึ้นภายในห้องนั้น

     

         วืด...วืด!!!

     

         ทันใดนั้น...พื้นห้องก็ถูกแหวกเป็นเหวลึก และหลังจากนั้น...ลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้อาคารแห่งนี้ถูกทำให้หมุนกลับหัว และ...

         " ไม่!!! " โรเชสร้องก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปในเหวนั้น และสันธานไปยังมิติปริศนาที่หนึ่ง-แปด-สาม-ห้าเพื่อเรียนรู้ชีวิตใหม่ และถูกขังอยู่ที่นั่นตลอดไป

     

         ทันทีที่ถูกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ แสงไฟอุ่นๆ สีขาวนวลก็ได้สาดส่องเข้ามาในห้องนั้นพร้อมกับพระสิริของเจ้าแห่งเบื้องบนผู้สง่างามก็ได้สถิตอยู่ท่ามกลางพวกเขาเหล่านั้นด้วย

     

         " ยูลิคเอ๋ย เรายินดีที่ได้เห็นคนเฉกเช่นเจ้าดำรงอยู่บนแผ่นดินของเรา และเรามีความยินดียิ่งไปกว่านั้นคือการที่เราได้เห็นเจ้ากลับมายืนหยัดเพื่อความถูกต้องอีกครั้ง และจากการทดสอบครั้งนี้ เราก็ได้เห็นแล้วว่าเจ้าเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเป็นผู้ปกครองแห่งนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สุด " สิ้นเสียงเจ้าแห่งเบื้องบน พระองค์ก็ทรงสันธานไปก่อนที่เหล่าสมาชิกจะพากันสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี และหลังจากนั้น...โซเฟจก็เดินเข้ามาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า

     

         " ขอประโทษครับท่านประธาน ไม่ทราบว่าท่านพร้อมสำหรับการแถลงการณ์หรือยังครับ? "

     

     

         ณ.ใจกลางเมือง เหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ก็พากันนั่งกุมขมับแล้วทำหน้าเครียดอย่างไร้ความหวัง พวกเขาทุกคนต่างพากันเฝ้ารอให้ท่านประธานคนเก่ากลับมาปกครองนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง และแล้ว...พวกเขาทั้งหมดก็ยิ้มออกทันทีที่เห็นภาพของท่านประธานที่พวกเขาเคารพรักปรากฏบนจอฉายภาพขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ณ.ใจกลางเมือง

     

         " อรุณสวัสดิ์...ชาวทูตศักดิ์สิทธิ์ที่รักทุกท่าน ข้า..ยูลิคมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้กลับมาปกครองณ.สถานที่อันเป็นที่รักแห่งนี้อีกครั้ง ข้าขอโทษที่ต้องหายไปเป็นระยะเวลานานถึงสองเดือน และตลอดระยะเวลาสองเดือนนั้น ข้าก็ได้รับบททดสอบจากเจ้าแห่งเบื้องบน และเผชิญหน้ากับความยากลำบากมากมาย จนในที่สุด...ข้าก็ฝ่าฟันทุกอุปสรรคจนสามารถกลับมาที่นี่ได้ ต้องขอบคุณโซเฟจสหายผู้ชื่อสัตย์ที่คอยให้ความช่วยเหลือข้ามาโดยตลอด ส่วนโรเชสพี่ชายฝาแฝดของเขา ตอนนี้ข้าได้เนรเทศเขาไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่จงวางใจเสียเถิด เพราะเขาไม่มีทางที่จะกลับมาที่นี่ได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น...ข้าขอขอบคุณเพื่อนผู้ร่วมเดินทางผู้เสียสละทั้งเจ็ดคน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ทูตศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกเขาทุกคนก็รัก แล้วผูกพันกับข้าราวกับว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน และข้าก็ได้เรียนรู้จากความบ้าระห่ำของพวกเขาว่า บางที...เราก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเสมอไป และข้าคิดว่าข้าควรจะตอบแทนพวกเขาด้วยการเปิดประเทศต้อนรับผู้มาเยือนต่างเผ่า และบางที...ข้าก็อยากที่จะเชิญพวกเขามาปกครองสถานที่แห่งนี้ร่วมกันด้วย ข้ารู้ว่าพวกท่านลำบากเพราะกฎบ้าๆ ของโรเชสมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะเปลี่ยนแปลงกฎบ้างแล้ว กฎของข้ามีเพียงแค่สามข้อเท่านั้น ข้อที่หนึ่ง ท่านควรใช้ปีกของท่านเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น ข้อที่สอง ท่านควรจะผสมพันธ์กับผู้มาเยือนต่างเผ่าบ้าง และข้อที่สาม กฎเก่าๆ ข้อไหนที่ท่านไม่อยากที่จะปฏิบัติตาม ท่านก็ควรแหกกฎข้อนั้นไปเลย ขอบคุณ " สิ้นคำยูลิค ชาวทูตศักดิ์สิทธิ์ก็พากันสรรเสริญพระเจ้าด้วยความยินดี

     

    + + + + + + + +

     

         ณ.ดินแดนแห่งความมืดคาร์ริส ขณะนี้เป็นเวลาสี่นาฬิกาตรงตามเวลาท้องถิ่น ชายหญิงร่างสูงสง่าคู่หนึ่งกำลังจูงมือกันขึ้นบันไดที่ทั้งสูงทั้งชัน แต่ด้วยความเชื่อใจซึ่งกันและกัน ทำให้ทั้งคู่ก้าวเท้าได้อย่างมั่นคง และสามารถก้าวขึ้นไปยังระเบียงของปราสาทได้สำเร็จ

     

         " ดรากเนส...ที่เธอพาฉันวิ่งข้ามมิติมาเมื่อกี้ทำฉันเกือบอ้วกแน่ะ เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยนะว่าเธอพาฉันมาทำไมที่นี่? " เบลลาทริกซ์เอ่ยถามดรากเนสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางหอบ

     

         " ฉันพาเธอมาดูพระอาทิตย์ขึ้นไง " ดรากเนสว่าพลางส่งยิ้มอย่างจริงใจให้เบลลาทริกซ์ สิ้นคำดรากเนส แสงสีทองของพระอาทิตย์ก็สาดส่องไปที่พวกเขา พวกเขาจึงยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยน แล้วดรากเนสก็พูดต่อว่า " ไม่คิดเลยว่าฉันจะได้มีโอกาสมองเห็นแสงสว่างที่คาร์ริสอีก แต่พวกเราก็เก่งจริงๆ นะที่เอาชนะปู่ผู้ชั่วร้ายของฉันมาได้ ถ้าพวกเราไม่ได้พยายามร่วมกัน คาร์ริสก็จะไม่ได้แสงสว่างกลับคืนมา แล้วฉันก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเธอ เธอนี่สวยเป็นบ้าเลย ยิ่งดูก็ยิ่งสวย " สิ้นคำดรากเนส เบลลาทริกซ์ก็หน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย เธอบิดตัวไปมาก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

     

         " เธอก็หล่อ แถมเก่งมากด้วย "

     

         " แน่นอนว่าลูกของเราต้องเกิดมาหน้าตาดี และต้องเป็นอัจฉริยะทั้งด้านการปกครอง และด้านดนตรี "

     

         " หวังว่าลูกของเราลูกของเราคงจะไม่บ้าอำนาจ และมีความคิดห่ามๆ เหมือนเธอนะ " สิ้นคำเบลลาทริกซ์ ทั้งคู่ก็หัวเราะ

     

         " มากับฉันสิ ฉันจะพาเธอไปยังที่ที่หนึ่งซึ่งเป็นที่ที่เราเจอกันเป็นครั้งแรก หวังว่าเธอคงจะจำเรื่องของเราได้ขึ้นใจนะ " ดรากเนสพูดก่อนที่จะจูงมือเบลลาทริกซ์เข้าไปในปราสาท

     

         และแล้ว...ทั้งคู่ก็มาหยุดอยู่ที่ห้องโถงซึ่งเป็นห้องที่อยู่ลึกที่สุดของปราสาท พื้นห้องโถงถูกปูด้วยหินอ่อนสีเทา ผนังถูกประดับด้วยอัญมณีสีทองสะท้อนแสง และตรงกลางห้องโถงนั้นก็มีเปียโนไม้เก่าๆ หลังหนึ่งตั้งอยู่ ดรากเนสเดินไปเปิดฝาเปียโนพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้เปียโนออกก่อนที่จะผายมือออกให้เบลลาทริกซ์เดินเข้าไปเล่น

     

         " ฉันอยากฟัง...เพลงที่ทำให้เราเจอกันครั้งแรก " สิ้นคำดรากเนส เบลลาทริกซ์จึงเริ่มขยับนิ้วเพื่อที่จะบรรเลงบทเพลงมรณะแอนดิเย่ ซอง มันเป็นเพลงบัลลาตเศร้าๆ ที่ถูกบรรเลงในคีย์Am ด้วยจังหวะอันเดนเต้ และทำนองของมันก็เป็นที่น่าเศร้าสลดเป็นอย่างมาก ถ้าหากใครฟังเพลงนี้โดยที่จิตไม่แข็งพอ ผู้นั้นอาจตายได้

     

         เมื่อเบลลาทริกซ์เล่นเสร็จ เธอก็ลุกขึ้นโค้งคำนับด้วยท่าทางที่สง่างามราวกับเป็นนักดนตรีระดับตำนาน แล้วดรากเนสก็ปรบมือให้เบลลาทริกซ์พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

     

         " เชื่อมั้ยว่าเพลงนี้ฉันแต่งเอง? "

     

         " เชื่อสิ ใครไม่เชื่อก็บ้าแล้ว แนวเพลงน่ากลัวขนาดนี้มีแค่เธอคนเดียวที่แต่งได้ ทำนองของเพลงนี้มันฆ่าคนตายได้เลยนะรู้มั้ย ไม่รู้ว่าตอนที่เธอแต่งเพลงนี้เธอคิดอะไรอยู่ "

     

         " ฉันก็คิดแค่ว่าฉันจะต้องแต่งเพลงนี้ให้เสร็จให้ได้ เพื่อที่มันจะได้พาคนที่ฉันรักมาที่นี่ "

     

         " ความรักของเธอน่ากลัวมาก พอได้ยินแบบนี้ฉันแทบพูดไม่ออกเลยล่ะ "

     

         " จำได้มั้ย? ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก ฉันพูดกับเธอว่าอะไร? " สิ้นคำดรากเนส เบลลาทริกซ์ก็ยิ้มพร้อมกับตอบขึ้นทันทีว่า

     

         " เธอบอกฉันว่า...เธอตกหลุมรักฉันตั้งแต่เธอได้ยินเสียงเปียโนของฉันเป็นครั้งแรก เธอมักจะแอบไปดูฉันซ้อมเปียโนทุกวัน แต่ฉันไม่มีวันเห็นเธอได้หรอก เพราะเธอมักจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเสมอ ถึงแม้ว่าเธอจะซ่อนตัวเธอไว้ในความมืด แต่เธอกลับไม่เคยที่จะซ่อนความรักที่มีต่อฉันไว้ในความมืดเลย " พอเบลลาทริกซ์พูดจบ ดรากเนสก็ยิ้มกว้างก่อนที่จะพูดต่อว่า

     

         " ฉันอยากฟังRomance Impromptu ให้สมมุติว่าเรากำลังแสดงละครเรื่องคอนเดลเซียร์อยู่ละกันนะ " สิ้นคำดรากเนส เบลลาทริกซ์ก็พยักหน้ารับ ทันทีที่เบลลาทริกซ์เริ่มที่จะบรรเลงบทเพลงรักระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ดรากเนสก็เดินเข้ามาข้างหลังเบลลาทริกซ์พร้อมกับกระซิบข้างหูเธออย่างแผ่วเบาว่า

     

          " ผมเดินตามเสียงเปียโนที่เพราะจับใจของคุณมาที่นี่ แล้วผมก็พบว่าเจ้าของเสียงเปียโนนั้นก็มีใบหน้าที่สง่างามที่ชวนน่าหลงใหลเช่นกันกับเสียงเปียโนของคุณ จนมันทำให้ผมรักคุณจนมิอาจถอนตัวได้ แต่งงานกับผมนะ " พอได้ยินดังนั้น เบลลาทริกซ์จึงหยุดเล่นเปียโนทันที เธออ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เมื่อตั้งสติได้แล้วเธอจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เปียโนแล้วหันไปมองชายหนุ่มผู้เป็นที่รักก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " เจ้าแห่งคาร์ริสอุตส่าห์มาขอแต่งงานถึงที่ ใครไม่แต่งก็บ้าแล้ว " สิ้นคำเบลลาทริกซ์ ดรากเนสก็ดึงเบลลาทริกซ์เข้ามาประกบปากกับเขาด้วยความร้อนแรงท่ามกลางความมืด และความเงียบสงบแห่งคาร์ริส

     

    + + + + + + + +

     

         .มิติมรณะ ขณะนี้เป็นเวลาห้านาทีสามสิบห้านาทีตามเวลาท้องถิ่น ณ.ศาลหลวงแห่งมิติมรณะซึ่งเป็นตึกหลังเล็กทำจากหินอ่อนสีนิล ภายในถูกประดับด้วยหัวกะโหลก และขนนกสีดำ ที่มุมมืดของศาล ผู้พิพากษาหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม และผมสีน้ำตาลทองนามว่า'เอสเมอร์กำลังมองไปข้างหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอยด้วยความเบื่อหน่ายกับชีวิต และเขาก็ต้องสะดุ้งโหยงในเวลาต่อมาเมื่อมือเรียวขาวซีดคู่หนึ่งได้เคลื่อนมาโอบร่างของเขา เจ้าของมือคู่นั้นได้ยื่นหน้ามาข้างๆ หูของเอสเมอร์พร้อมกับกระซิบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า

     

         " สวัสดี เอสเมอร์ ผมคิดถึงคุณจัง คุณสบายดีมั้ย? " สิ้นเสียงนั้น เอสเมอร์ก็อึ้งไปสักพัก พอตั้งสติได้ เขาจึงลุกขึ้นเพื่อหันไปมองหน้าคนตรงหน้าให้ชัดๆ ก่อนที่จะร้องขึ้นว่า

     

         " โอ้! อดอล์ฟ นี่นายจริงๆ หรอเนี่ย? ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายยังมีตัวตนอยู่น่ะ ปกตินายจะฮอตมากจนชนิดที่ว่าจะมีข่าวนายขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกวัน แต่ตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ฉันไม่ได้ยินข่าวนายเลย จนทำให้ฉันคิดไปเองว่านายน่ะได้กลายเป็นฝุ่นธุลีเหมือนกับบรรพบุรุษของนายไปแล้ว ทุกคนที่นี่ก็เหมือนกัน แต่นายรู้มั้ยว่านายมีอิทธิพลต่อคนที่นี่มากแค่ไหน ทุกครั้งก่อนกินข้าว ผู้คนก็มักจะอธิษฐานเผื่อนายเสมอ และพวกเขาก็มักจะพูดถึงนายทุกวัน " เอสเมอร์ว่า " ไหนๆ นายก็กลับมาแล้ว ฉันจะเรียกนักข่าวมาที่นี่นะ ทุกคนจะได้ไม่ต้องเข้าใจผิดไง "

     

         " ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวอีกไม่นานพวกเขาก็จะรู้เอง " อดอล์ฟตัดบทก่อนที่จะเดินออกไป

     

         " เฮ้! นั่นนายจะไปไหนน่ะ? " เอสเมอร์ตะโกนถาม

     

         " ทำเนียบความตายสีดำ " สิ้นคำอดอล์ฟ เอสเมอร์ก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเป็นนัยน์ว่า 'นี่เขาบ้าไปแล้วหรอ? เขากำลังจะไปทำงานเนี่ยนะ'

     

    * ทำเนียบความตายสีดำ = สำนักงานของคณะผู้ปกครองสูงสุดแห่งมิติมรณะ

     

         ณ. ทำเนียบความตายสีดำซึ่งเป็นอาคารสูงเสียดฟ้าสีดำที่ถูกกัดเซาะจนเหว้าแหว่งเป็นรูปปากผู้เสพความตาย มีหนามปกคลุมทั่วทั้งอาคาร ภายในห้องทำงานของยมทูตชั้นสูง ของทุกชิ้นล้วนถูกปกคลุมไปด้วยขี้เถ้าเขม่าควันเนื่องจากไม่มีใครเข้าออกห้องนี้มาเกือบหนึ่งปีเต็มแล้ว ทำให้สิ่งมีชีวิตวัยกลางคนกว่าร้อยชีวิตต้องพยายามเบียดกันเพื่อยื่นหน้าออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก และพวกเขาเหล่านี้คือบรรพบุรุษแห่งตระกูลยมทูตชั้นสูงผู้ซึ่งฟื้นคืนชีพขึ้นมาหลังจากที่พิธีคืนความสมดุลให้แก่จักรวาลได้สิ้นสุดลงอย่างสมบรูณ์แบบ

     

         " แค่กๆ " เหล่าบรรพบุรุษต่างพร้อมใจกันจามขึ้นพร้อมกัน จากนั้น...ชายผู้เป็นต้นตระกูลยมทูตชั้นสูงก็ลุกขึ้นอย่างสง่างามก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า

     

         " ให้ตายเถอะ! ฉันชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ ทำไมยมทูตชั้นสูงคนปัจจุบันถึงไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ ถ้ามันกลับมาฉันจะจัดการมันด้วยตัวของฉันเอง "   

     

         " ไม่ใช่แค่พี่คนเดียว แต่พวกเราทั้งหมดจะช่วยจัดการมันเอง เจ้าเด็กนี่ทำตัวแย่มาก มันเหมือนไม่ให้เกียรติเราเลย ดูสิ เมื่อก่อนประชาชนยกย่องพวกเราเพราะความดีที่เราได้สะสมกันมาจากรุ่นสู่รุ่น พอมาถึงรุ่นของเจ้าเด็กนี่ ความดีของเราก็ถูกความชั่วของมันกลบจนมิด มันใช้ได้ที่ไหนกัน " ชายอีกคนว่า

     

         " ใช่ๆ พวกเราจะจัดการมันเอง " ทั้งหมดว่า จากนั้น...เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเสียงฝีเท้าคู่นั้นหยุดลง เสียงลูกบิดประตูก็ดังขึ้น

     

         แอด!!!

     

         " เฮ้ย! " อดอล์ฟร้องขึ้นด้วยความตกใจเหมือนเห็นบรรพบุรุษของเขาจ้องมาที่เขาด้วยสายตาอาฆาตแค้น เมื่อตั้งสติได้ เขาจึงรีบยิ้มให้บรรพบุรุษทุกคนก่อนที่จะเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงทีเป็นมิตรว่า สวัสดีครับ บรรพบุรุษทุกท่าน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ พวกคุณฟื้นขึ้นจากตายเมื่อไหร่กันน่ะ ทำไมไม่มีใครบอกผมเลย

     

         " เธอไม่รู้ว่าเราฟื้นคืนชีพเพราะยังไม่มีใครรู้เหมือนกันยังไงล่ะทายาทที่รัก " หญิงผู้เป็นคู่ครองของชายผู้เป็นต้นตระกูลเอ่ยขึ้น " ตั้งแต่ตอนที่เราฟื้นคืนชีพ เราก็ได้แต่มานั่งในห้องนี้เพื่อรอที่จะแก้แค้นเธอยังไงล่ะ " สิ้นคำหญิงคนนั้น บรรพบุรุษทั้งหมดก็พร้อมใจกันเงยหน้าขึ้นแล้วผายมือออก จากนั้น...ฝุ่นธุลีสีดำก็ได้ลอยไปที่อดอล์ฟ และมันกำลังจะดูดกลืนเขา ถึงแม้ว่าเวลาของเขาจะดำเนินมาจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตแล้ว แต่อดอล์ฟก็ยังไม่ยอมแพ้ เขายังคงจะต่อรองขอชีวิตด้วยกลอุบายของเขา

     

         " พวกคุณทุกคนต่างก็เป็นยมทูตชั้นสูงแห่งมิติมรณะ เพราะพวกคุณมีประสบการณ์ในการทำงานมาก ดังนั้นพวกคุณจึงรู้ดีว่าพวกคุณควรแก้ปัญหานี้ยังไง แต่นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง พวกคุณไม่ควรยุติปัญหาด้วยการแก้แค้น แต่ควรเจรจากันด้วยเหตุผล เพราะฉะนั้นพวกคุณควรที่จะหยุดการกระทำที่ไร้สติของพวกคุณเดี๋ยวนี้ ถ้าหากยังคงอยากให้ผู้คนยกย่องพวกคุณอยู่ " สิ้นคำอดอล์ฟ บรรพบุรุษทั้งหมดจึงลดมือลง แล้วพ่อของอดอล์ฟก็เอ่ยขึ้นว่า

     

         " อดอล์ฟ พวกเราทุกคนไว้ชีวิตแกแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเราต้องการให้แกได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง เพราะฉะนั้น...ต่อไปจากนี้ไป แกต้องทำงานหนักทุกวัน และห้ามทำตัวเหลวไหลเด็ดขาด " สิ้นคำผู้เป็นพ่อ อดอล์ฟจึงพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนที่จะหันไปมองบนโต๊ะทำงานของเขาที่มีเอกสารกองโตสูงเท่าทางขึ้นสวรรค์วางอยู่ และในวินาทีนั้น อดอล์ฟก็คิดอยากที่จะถอนคำพูดตัวเองทันที แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

     

         " ทำให้เสร็จด้วยนะ " บรรพบุรุษต้นตระกูลว่าพลางตบบ่าอดอล์ฟก่อนที่จะพากันเดินออกไปเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก

     

         เมื่อไร้ซึ่งเงาของเหล่าบรรพบุรุษในห้องทำงานแล้ว อดอล์ฟจึงทรุดตัวลงกับเก้าอี้ก่อนที่จะเริ่มจัดการกับงานตรงหน้าให้เสร็จทันที แต่งานที่ถูกดองมาเป็นปีแบบนี้ มันคงไม่เสร็จง่ายๆ อย่างแน่นอน ต่อให้ทำงานทุกวันโดยไม่หยุดพักเป็นสิบๆ ปีมันคงไม่มีวันเสร็จได้หรอก เพราะว่า...

     

         ฟึ่บ!!!

     

         เอกสารอีกกองหนึ่งถูกนำมาวางบนโต๊ะในเวลาต่อมา อดอล์ฟผู้ซึ่งกำลังทำงานอย่างเอาเป็นเอาตายก็ได้ตะคอกขึ้นมาว่า

     

         " อย่าเพิ่งเอางานมาเพิ่มได้มั้ย ดูสิ งานเก่าผมยังทำได้แค่นิดเดียวอยู่เลย ใครเป็นคนปลุกบรรพบุรุษบ้าเลือดพวกนั้นขึ้นมาวะ เดี๋ยวฆ่าแมร่งเลย!!! " สิ้นคำอดอล์ฟ เอกสารกองนั้นก็ถูกยกออกไป

     

        " ถ้าทำเสร็จเมื่อไหร่ ให้เรียกฉันนะคะ " น้ำเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น สิ้นเสียงนั้น อดอล์ฟจึงเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเจ้าของเสียง และเขาก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะเจ้าของเสียงนั้นเป็นหญิงสาวร่างบาง เจ้าของผมยาวสีชมพูอ่อน และนัยน์ตาสีน้ำเงิน 'นี่มันผู้บริสุทธิ์ที่วิชเชล่านี่หว่า? เธอตายแล้วหรอ?' เขาคิดก่อนที่จะผลัดหัวเพื่อไล่ความคิดบ้าๆ ออกไปแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า

     

         " เธอเป็นใครน่ะ? "

     

         " ฉันชื่อซินโฟเนียค่ะ ต่อไปนี้ฉันคือเลขาส่วนตัวของคุณ " สิ้นคำซินโฟเนีย อดอล์ฟจึงยิ้มบางๆ ที่มุมปากก่อนที่จะก้มมองต่ำลงแล้วคิดในใจว่า 'เลขางั้นหรอ? ต้องใช้งานคุ้มแน่ๆ แมร่งนมใหญ่ว่ะ' ว่าแล้วเจ้าจอมวายร้ายก็คิดแผนการอันชั่วร้ายได้ และแล้ว...

     

    " คุณเป็นเลขาของผมใช่มั้ยครับ? " พอพูดจบ ซินโฟเนียก็พยักหน้า แล้วอดอล์ฟก็ยิ้มบางๆ ที่มุมปากก่อนที่พูดขึ้นต่อว่า " เลขาที่ดีก็ต้องช่วยเจ้านายทำงาน ดังนั้น...คุณเอางานที่อยู่ในมือของคุณไปทำให้เสร็จ ถือเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันไงล่ะครับ พอเสร็จงานแล้วผมจะแบ่งเงินเดือนให้คุณคนละครึ่งเลย หรืออยากได้มากกว่านั้นก็ค่อยมาว่ากันทีหลัง "  'แต่คุณต้องให้ผมจับนมก่อนนะ' เขาต่อเองในใจ

     

    " ค่ะ "  ซินโฟเนียรับคำก่อนที่จะเดินออกไปในขณะที่อดอล์ฟกำลังมองดูสรีระของเธอด้วยความเพลิดเพลิน  เฮ้อ! ไม่ไหวจริงๆ ใครก็ได้ช่วยเอาไอ้โรคจิตนี่ไปเก็บที!

     

     + + + + + + + +

     

         " กรี๊ดดดดดดด!!! " เสียงกรีดร้องของหญิงวัยกลางคนดังมาจากชั้นสองของคฤาหาสน์ฟรานสเตลเดอราสแชร์เมื่อเวลาหกนาฬิกาหกนาที เซอร์คาริโนต้า ฟรานสเตลเดอราสแชร์ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงกรีดร้องสะท้านโลกเมื่อครู่นี้ได้สะดุ้งตื่นเมื่อยามรุ่งสาง เธอลุกขึ้นนั่งกับเตียงพลางหอบหายใจถี่ๆ เธอกำมือไว้แน่นก่อนที่จะก้มหน้าร้องไห้ ครู่ต่อมา...ร่างของเธอก็ได้มาอยู่ในอ้อมกอดของเรลเลนแทนโต้ผู้เป็นสามี เขาลูบหลังเธอเบาๆ เป็นเชิงปลอบก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า

     

         " คุณฝันร้ายอีกแล้วใช่มั้ย? " สิ้นคำเรลเลนแทนโต้ เซอร์คาริโนต้าจึงเช็ดน้ำตาก็ที่จะเงยหน้ามองหน้าผู้เป็นสามีแล้วเอ่ยขึ้นว่า

     

         " ใช่ค่ะ แต่ฝันครั้งนี้มันเหมือนจริงกว่าครั้งไหนๆ ฉันไม่อยากให้มันเป็นจริงเลย ฉันคิดถึงลูกค่ะ ตอนนี้แกอยู่ที่ไหนฉันก็ยังไม่รู้ แกยังอยู่ดีใช่มั้ยคะ? "

     

         " แน่นอนว่าลูกของเราต้องไม่เป็นอะไร ผมเชื่ออย่างนั้น ตอนนี้อาหารเช้าพร้อมเสิร์ฟแล้ว เราลงไปข้างล่างกันเถอะ " เรลแลนโต้ตัดบทก่อนที่จะประคองร่างภรรยาของเขาลงไปข้างล่าง

     

         ณ.ห้องอาหารของคฤาหาสน์ฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมคลาสสิก และถูกตกแต่งด้วยเครื่องประดับสีน้ำตาลทอง  ที่นั่นสมาชิกทั้งหมดกำลังนั่งรออยู่บนโต๊ะอาหารเพื่อรอรับประทานอาหารร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา สมาชิกตระกูลฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์ทุกคนได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของตนไปแล้ว ขณะนี้ทุกคนได้กลับมารวมตัวกันเพื่อเป็นครอบครัวใหญ่ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยไม่อิจฉากัน เรลเลนแทนโต้ นักธุรกิจพันล้านที่เมื่อก่อนต้องไปดูงานที่ต่างประเทศบ่อยๆ แต่บัดนี้เขากลับใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านกับครอบครัว และเซอร์คาริโนต้า สุภาพสตรีที่แต่ก่อนเคยบ้าระเบียบ แต่บัดนี้เธอกลับปล่อยวาง และไม่เคร่งเครียดกับการวางตัวของสุภาพสตรีมากจนเกินไป การเปลี่ยนแปลงของสมาชิกตระกูลฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์ในครั้งนี้มีสาเหตุมาจากดีซีดอเรต้า ทายาทรุ่นที่หกสิบหกคนเดียวของตระกูลที่ทุกคนยังคงหวังว่าเธอจะยังคงมีชีวิตอยู่ และจะกลับมาที่คฤาหาสน์ฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์ในเร็ววัน จนกระทั่ง...เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงสามปีเต็มแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าทายาทคนดังกล่าวจะกลับมาจนทำให้สมาชิกในครอบครัวเกิดความกังวลเป็นอย่างมาก

     

         " ฉันกลัวว่าดอลล่าร์จะไม่กลับมา " เซอร์คาริโนต้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพลางมองไปที่เก้าอี้ว่างข้างๆ เธอ " คุณว่าลูกจะเกลียดฉันมั้ย? "

     

         " ในเมื่อคุณปล่อยให้ดอลล่าร์เป็นอิสระมาสามปีแล้ว ผมเชื่อว่าลูกก็ไม่น่าจะเกลียดคุณนะ " เรลเลนแทนโต้เอ่ยตอบ

     

         " ในเมื่อดอลล่าร์ไม่ได้เกลียดฉัน ทำไมแกถึงไม่ยอมกลับบ้านล่ะคะ? หรือว่า...ดอลล่าร์ของเรา...จะตายแล้ว "

     

         " ไม่หรอก เซอร์คาริโนต้า ลูกของเธอเป็นผู้ไม่มีวันตายนะ ตอนเด็กๆ ลูกของเธอมักจะรอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ทุกครั้ง " สกอร์เดตราซึ่งเป็นน้องสาวของเรลเลนแทนโต้เอ่ยขึ้นพลางรินชานมใส่แก้วให้เซอร์คาริโนต้า " ดื่มชานมอุ่นๆ ก่อนนะ เผื่อเธอจะดีขึ้น " สิ้นคำสกอร์เดตรา เซอร์คาริโนต้าจึงพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณก่อนที่จะยกแก้วขึ้นดื่ม

     

         " เซอร์คาริโนต้า ถ้าเธออยากเจอดอลล่าร์เร็วๆ ฉันจะช่วยส่งคนไปตามตัวแกเอง รับรองไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ เธอต้องได้เห็นหน้าลูกอีกครั้ง " วาซิลเลนเต้ผู้เป็นพี่ชายของเรลเลนแทนโต้เอ่ยขึ้น

     

         " ขอบคุณค่ะพี่วาซิลเลนเต้ แต่ฉันคิดว่า--- " ไม่ทันที่เซอร์คาริโนต้าจะพูดจบ เสียงกดกริ่งก็ดังขึ้น พอเสียงกริ่งเงียบลง ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอก็ได้ดังขึ้นเรื่อยๆ และทันทีที่ประตูคฤาหาสน์ถูกเปิดออก ร่างของเด็กสาวร่างสูงสง่าเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลทอง และเรือนผมสีบลอนด์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องอาหารนั้น

     

         " ดอลล่าร์! " เซอร์คาริโนต้าร้องขึ้นพลางเดินเข้าไปกอดดีซีดอเรต้า เธอปรารถนาที่จะกอดลูกสาวของเธอให้นานที่สุดเพื่อทดแทนความรักที่ไม่ได้มอบให้เป็นระยะเวลาสามปีเต็ม

     

         " หนูขอโทษที่หนูไม่เชื่อฟังแม่ หนูขอโทษที่หนูเคยก้าวร้าวเอาแต่ใจ แต่ตอนนี้หนูคิดได้แล้วว่าไม่มีใครดีไปกว่าคนในครอบครัวของตัวเอง หนูขอโทษนะคะที่หายไปนานจนทำให้ทุกคนเป็นห่วง ต่อไปนี้หนูจะกลับมาอยู่ที่นี่โดยจะไม่จากไปไหนแล้วค่ะ " พอดีซีดอเรต้าพูดจบ สองแม่ลูกก็โผลกอดกันร้องไห้ ญาติคนอื่นๆ ที่คอยดูอยู่ก็พลอยตื้นตันใจไปด้วย

     

         " ดอลล่าร์ ลูกหายไปไหนมา? พวกเราทุกคนที่นี่เป็นห่วงลูกนะรู้มั้ย "

     

    " หนูไปอยู่กับเพื่อนที่หอพักมาค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะเพราะตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นหนูสบายดี พวกเขาดีกับหนูมาก ดีซะจนหนูไม่รู้จะตอบแทนพวกเขายังไง " ดีซีดอเรต้าว่า " ขอโทษค่ะแม่ที่หนูไม่ดีพอที่จะเป็นสุภาพสตรีผู้เพียบพร้อมได้ "

     

    " ไม่เป็นไรหรอกลูก ในเมื่อลูกไม่สามารถเป็นไปตามทางที่แม่วางไว้ได้ แม่ก็จะไม่บังคับลูกอีกแล้วจ๊ะ " สิ้นคำผู้เป็นแม่ ดีซีดอเรต้าก็ฉีกยิ้มกว้างพลางเช็ดน้ำตาออกก่อนที่จะร้องขึ้นว่า

     

    " จริงหรอคะ? ขอบคุณค่ะแม่ " เธอว่าพลางโผลกอดแม่ของเธออีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อว่า " แม่คะ หนูขอขึ้นไปดูห้องนอนของหนูได้มั้ยคะ? " สิ้นคำดีซีดอเรต้า เซอร์คาริโนต้าก็พยักหน้า ดีซีดอเรต้าจึงไม่รอช้า เธอรีบวิ่งไปยังห้องนอนของเธอทันที

     

    ภายในห้องนอนที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิก มีเตียงนอนทรงสูงสีน้ำเงินสะท้อนแสงวางเด่นอยู่กลางห้อง มีเครื่องเรือนสีน้ำเงินเข้าชุดกันวางไว้รอบๆ ดีซีดอเรต้าค่อยๆ ก้าวเบาๆ บนพื้นแก้วคริสตัลเพื่อไปยังหน้าต่างไม้โอ๊กลายก้นหอยสีนิลก่อนที่จะเปิดมันออกเพื่อรับลม ครู่ต่อมา...นกพิราบสีครามตัวหนึ่งได้บินเข้ามา และมันได้คาบกระดาษสีซีดสองแผ่นมาวางบนหัวเตียงด้วย ดีซีดอเรต้าจึงไม่รอช้า เธอจึงหยิบกระดาษสีซีดใบที่หนึ่งขึ้นมาดู ภายในกระดาษแผ่นนั้นมีข้อความสั้นๆ ได้ใจความที่ถูกเขียนด้วยลายมือคลาสสิกว่า 'เรียนคุณดอเซ็น ซิติเซ็น ดอเรต้า ฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์ ทายาทรุ่นที่หกสิบหกแห่งตระกูลฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์ คณะผู้ปกครองแห่งดิเครซซิโมมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะเชื้อเชิญท่านเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในกรรมสิทธิ์ของดิเครซซิโม ดินแดนแห่งสันติภาพ หากตกลง กรุณาลงนามของท่านที่ช่องทางขวามือแล้วส่งหลักฐานของท่านแก่นกพิราบสีครามด้วย ผู้ปกครองคอนอัสโซ'

     

    เมื่ออ่านข้อความในกระดาษสีซีดแผ่นนั้นจบ ดีซีดอเรต้าก็แทบเป็นบ้าขึ้นมาในทันที 'ให้ฉันเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนของดิเครซซิโมงั้นหรอ? เมืองคลาสสิกอย่างนั้นใครไม่อยากได้ก็บ้าแล้ว ดังนั้น...ตกลง!!!' ดีซีดอเรต้าคิดก่อนที่จะควานหาปากกาขนนกขึ้นมาเซ็นชื่อก่อนที่จะฉีกส่วนนั้นให้กับนกพิราบสีครามเพื่อมันจะได้นำไปส่งคณะผู้ปกครองดิเครซซิโมต่อไป

     

    ดีซีดอเรต้าฮัมเพลงอุปกรสมัยโพลิไฟนิคอย่างมีความสุขก่อนที่จะเปิดอ่านข้อความในกระดาษสีซีดแผ่นที่สอง และคราวนี้เธอคงได้เป็นบ้าจริงๆ แน่ เพราะว่า...

     

    เรียน...เลดี้ ดอเซ็น ซิติเซ็น ดอเรต้า ฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์

    สวัสดีครับคุณดีซีดอเรต้า ผมได้ยินมาว่าทักษะการแสดงของคุณนั้นน่าทึ่งมาก หวังว่าเราคงจะได้มีโอกาสร่วมงานกันเร็วๆ นี้นะครับ ถ้าคุณมีเวลาวันอาทิตย์นี้ตอนสองทุ่มครึ่งได้โปรดมาพบผมที่สตูดิโอด้วยนะครับ

    ปล. ในการทำงานครั้งนี้ผมต้องการความเป็นส่วนตัว ดังนั้น...กรุณาอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด

                                                                                                     ฟาเวล เดอ โฮพิโอ

     

    " กรี๊ดดดดด!!! " ดีซีดอเรต้ากรีดร้องด้วยความดีใจก่อนที่จะล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วกอดกระดาษแผ่นนั้นไว้นั้นพลางทำท่าเพ้อฝัน 'ฟาเวล เดอ โฮพิโอ ชวนฉันออกเดทหรอเนี่ย? ตอนสองทุ่มครึ่งด้วย โรแมนติกที่สุด! เหมือนในฝันเมื่อวานไม่มีผิด กรี๊ดดดด!!!' เฮ้อ! คนนี้ท่าทางอาการหนักกว่าคนเมื่อกี้เสียอีก จะมีใครบ้าไปกว่ายัยคนนี้อีกมั้ยเนี่ย!?!

     

    + + + + + + + +

     

         ณ.หมู่บ้านผู้ไร้เวทย์ในดินแดนทูตแคร์เซียน่า ขณะนี้เป็นเวลาประมาณเกือบเที่ยง ที่กระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่งซึ่งทำจากไม้ศักดิ์สิทธิ์สีน้ำตาลแดง  และประดับตกแต่งด้วยหินนำโชคหลากสี ภายในกระท่อมหลังนั้น หญิงชราร่างเล็กกำลังวุ่นอยู่กับการปัดฝุ่นกรุสมบัติของเธออยู่ ครู่ต่อมา...เสียงอึกทึกคึกโครมจากภายนอกก็ได้ดังขึ้น

     

         โครมๆๆ!!!

     

         " แม่เฒ่ารูธเซียร์อยู่มั้ย? ข้าสองคนมาจากสภาทูตจะมาเก็บภาษีน่ะ " 'พวกคนเก็บภาษีอีกแล้วหรือ? ข้าล่ะเบื่อคนพวกนี้จริงๆ' แม่เฒ่ารูธเซียร์บ่นในใจแล้วถอนหายใจออกมาด้วยความเซ็งก่อนที่จะเดินออกไปพบกับพวกตัวน่ารำคาญที่ยืนรออยู่ที่ลานบ้าน

     

         " พวกเจ้าสองคนไม่เบื่อบ้างหรือที่ต้องตามเก็บภาษีตามบ้านทุกเดือนแบบนี้น่ะ? " หญิงชราเอ่ยทักคนเก็บภาษีสองคนที่สวมเครื่องแบบสีน้ำเงินประดับทองคำที่กำลังยืนเก็กอยู่หน้ากระท่อมของนางด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูไม่เป็นมิตรนักพลางล้วงหาเศษเหรียญในกระเป๋าเสื้อคลุม

     

         " ไม่หรอก พวกข้าชินแล้ว " คนเก็บภาษีคนที่หนึ่งว่า

     

         " แต่ข้าเบื่อพวกเจ้านะ เอาเงินนี่ไปแล้วรีบไสหัวไปซะ " แม่เฒ่ารูธเซียร์ว่าพลางส่งเหรียญสีครามจำนวนหนึ่งให้คนเก็บภาษี แต่พวกคนเก็บภาษียังไม่รับเงินนั้น คนเก็บภาษีอีกคนจึงพูดขึ้นว่า

     

         " เดือนนี้สภาทูตได้เปลี่ยนกฎหมายใหม่ เพราะฉะนั้น...เดือนนี้พวกข้าก็เลยต้องเก็บภาษีจากท่านเป็นเงินสามแสนเหรียญทูตน่ะ "

     

         " อะไรกัน เดือนก่อนยังแค่สองหมื่นเหรียญทูตอยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมเดือนนี้มันกลับเพิ่มขึ้นเป็นสิบกว่าเท่าล่ะ? ยังไงซะข้าก็ไม่จ่าย!!! " แม่เฒ่ารูธเซียร์ร้องเสียงแข็ง

     

         " แม่เฒ่ารูธเซียร์ ข้าขอเตือนท่านไว้ก่อนนะว่าถ้าท่านไม่จ่าย จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับท่านอย่างแน่นอน " คนเก็บภาษีคนแรกว่า

     

         " ข้าไม่กลัว! ไม่มีใครในแคร์เซียน่าสามารถทำอะไรข้าได้หรอก ข้าขอเตือนพวกเจ้าไว้ก่อนนะว่าถ้าพวกเจ้าไม่รีบรับเงินแล้วออกไปซะ พวกเจ้าก็อาจมีปัญหาได้เหมือนกัน " แม่เฒ่ารูธเซียร์ประกาศลั่น " พวกเจ้าคงไม่รู้สินะว่าเรอัสหลานชายของข้าเก่งแค่ไหน เขาเป็นผู้ไร้เวทย์คนเดียวของจักรวาลที่ถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมการทดสอบสิบวันของเจ้าแห่งเบื้องบน เขาสามารถนำแสงแดดที่หายไปแห่งเลเพรซโซให้กลับมา เขาสามารถทำลายอสูรกายริโซเลโต้เพื่อนำจิตวิญญาณธาตุสว่างกลับคืนสู่ประชาชนวิชเชล่า เขาสามารถสั่งสิ่งมีชีวิตบ้าคลั่งที่ไซเทร์น่าให้หยุดทำลายผู้บริสุทธิ์ เขาสามารถหยุดการทำลายล้างจักรวาลของผู้ปกครองดิเครซซิโม เขาสามารถชิงอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดมาครอบครอง เขาสามารถอ่านภาษาดับเบิ้ลเอสออก เขาได้ขึ้นไปที่ดินแดนแห่งนิรันดร์กาลมาแล้วเพื่อทำพิธีคืนความสมดุลให้แก่จักรวาล และใช้อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดเพื่อใช้เป็นกุญแจเปิดประตูเชื่อมมิติของดินแดนที่ซ่อนอยู่ในเขตุท้องฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เรอัสหลานชายข้าทำทุกอย่างสำเร็จด้วยตัวเอง เขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากการทดสอบนั้น และตอนนี้เขาก็ได้กลับมาที่นี่แล้ว ดังนั้น...ข้าขอเตือนพวกเจ้าไว้ก่อนนะว่าถ้าพวกเจ้าไม่รีบไสหัวไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ หลานชายข้าคงได้บดพวกเจ้าให้เละเป็นผงธุลีแน่!!! " สิ้นคำแม่เฒ่ารูธเชียร์ คนเก็บภาษีสองคนก็หน้าซีด แต่พวกเขาก็กลับไม่ยอมขยับออกจากหน้ากระท่อมของหญิงชรา จนกระทั่ง...

     

         ตึก...ตึก...ตึก!!!

     

        เสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังก้าวมาทางนี้ เมื่อคนเก็บภาษีสองคนได้หันไปมองทางต้นเสียงพวกเขาก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจเมื่อพบกับร่างสูงของเด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาล และนัยน์ตาสีน้ำเงินที่กำลังเดินก้มหน้าแบกหีบไม้เก่าๆ สีน้ำตาลแดงซึ่งภายในบรรจุตำราทฤษฎีโลกอื่นได้เดินตรงมาณ.จุดที่พวกเขายืนอยู่ เด็กหนุ่มคนนั้นได้เงยหน้าขึ้นก่อนที่จะใช้หน้าตาไม่รับแขกของตนเอ่ยขึ้นว่า

     

         " ยาย...คนเก็บภาษีพวกนี้ยังไม่กลับไปอีกหรือ? " พอได้ยินดังนั้น คนเก็บภาษีสองคนก็ทำหน้าตกใจสุดขีดก่อนที่จะพากันวิ่งออกไปจากบริเวณนั้นทันที

     

    + + + + + + + +

     

         ณ.รัฐลอคริอานเนสซึ่งเป็นรัฐเล็กๆ ที่มีชายแดนทางด้านทิศตะวันออกติดต่อกับดินแดนอิมเมจีนิส ณ.ภัตคารหรูแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางรัฐ มันถูกสร้างจากหินอ่อนสีครีมด้วยสถาปัตยกรรมร่วมสมัย และทุกสิ่งภายในภัตคารแห่งนั้นล้วนถูกทำมาจากแก้วคริสตัลสีใส

     

         แสงสว่างที่ส่องมาจากภายในภัตคารแห่งนั้นเผยให้เห็นเงาคนที่นั่งอยู่เต็มร้าน บรรยากาศภายในภัตคารแห่งนี้ดำเนินไปอย่างคึกคัก แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาจนเกือบตีหนึ่งแล้ว แต่ผู้คนก็ยังไม่กลับบ้าน พวกเขายังคงจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนานไปพร้อมๆ กับดื่มด่ำกับบรรยากาศกลางคืนที่แสนโรแมนติก ฟังเพลงกลางคืนที่ให้ความรู้สึกสงบนิ่ง และลิ้มรสอาหารท้องถิ่นรสชาติเยี่ยม

     

         ณ.มุมหนึ่งของภัตคารแห่งนั้น หญิงสาวร่างผอมสูงอายุราวๆ สามสิบต้นๆ เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้า และเรือนผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงสีทองผู้ซึ่งสวมเสื้อคลุมสีม่วงขาดๆ และแบกสัมภาระสีแดงเก่าๆ ไว้ที่หลังกำลังจ้องมองไปข้างหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอยในขณะที่กำลังจิบเหล้าท้องถิ่นพลางเคาะนิ้วไปด้วย คาดว่าหญิงสาวท่าทางสบายๆ คนนี้คงเป็นนักเดินทางพเนจรเป็นแน่

     

         หญิงสาวนักเดินทางหลับตาลงเพื่อฟังบทเพลงกลางคืนอย่างใจจดใจจ่อ เธอโยกหัวไปมาพลางฮัมเพลงที่มีทำนองประสานกับบทเพลงนั้นไปด้วย แต่แล้ว...เธอก็ต้องหยุดฮัมเพลงเมื่อได้ยินบทสนทนาที่น่าสนใจจากโต๊ะข้างหน้า

     

         " สหายที่รัก อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง เราทั้งหมดก็จะประสบความสำเร็จ และในเวลานั้น...อิมเมจีนิสก็จะตกเป็นของเรา " หญิงคนหนึ่งว่า

     

         " ข้าเชื่ออย่างนั้นเช่นกัน...สหายที่รัก เพราะเวห์โมทิคไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง ท่านผู้นั้นเป็นนักฆ่าที่เก่งที่สุดในจักรวาลอันไพศาลนี้ ท่านสามารถใช้อำนาจฝ่ายมืดทำลายผู้วิเศษเกียรติยศเดอ มาเรียไนล์ทั้งตระกูลให้พินาศลงได้ ข้าชักจะรอให้เวลานั้นมาถึงไม่ได้แล้วสิ " ชายคนหนึ่งว่า

     

         " มันเหลือเวลาอีกไม่มากหรอก...สหายที่รัก เหลืออีกเพียงแค่ยี่สิบห้านาทีเท่านั้น ข้าคิดว่าเราควรจะรอเวลาแห่งความสำเร็จอยู่ที่นี่ และเมื่อเวลานั้นมาถึง...เราก็จะได้เดินทางเข้าดินแดนอิมเมจีนิสในฐานะผู้ปกครองอย่างมีเกียรติ และแผนการนี้ ข้าเชื่อว่าไม่มีใครสามารถที่จะขัดขวางเราได้ " สิ้นคำหญิงคนนั้น ชายหญิงคู่นั้นรวมทั้งคณะกบฏก็พากันดื่มฉลองอย่างมีความสุข

     

          'พวกมันคิดจะส่งนักฆ่าฝ่ายมืดมาทำลายล้างผู้วิเศษเกียรติยศเดอ มาเรียไนล์งั้นหรือ? ฝันไปเถอะ! เพราะข้านี่แหละจะเป็นผู้ขัดขวางแผนการอันชั่วร้ายของพวกเจ้าเอง ฮ่าฮ่า!' หญิงสาวร้องบอกตัวเองในใจแล้วใช้เวทย์เพื่อบันทึกเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนที่จะรีบสันธานไปอย่างไร้ร่องรอย

     

         ณ.ปราสาทอาคาโดสซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของดินแดนอิมเมจีนิส มันถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมยุคโรมานซ์ที่ดูโอ่อ่าหรูหรา ปราสาทเกือบทั้งหลังถูกสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีเทา และบางส่วนถูกหลอมขึ้นจากทองคำเปลวบริสุทธิ์สีทองแดง และปราสาทหลังนี้เป็นที่พำนักของเหล่าผู้วิเศษเกียรติยศเดอ มาเรียไนล์มาหลายหมื่นปีแล้ว

     

         ภายในห้องโถงใหญ่ภายในปราสาทอาคาโดส เหล่าผู้วิเศษเกียรติยศเดอ มาเรียไนล์ต่างร่วมกันวางแผนเพื่อกำจัดพวกกบฏให้ออกจากแผ่นดินของตนด้วยท่าทางที่ดูเคร่งเครียด การถกปัญหาในครั้งนี้ได้กินเวลายืดเยื้อมากว่าห้าชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าพวกเขาควรจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไรดี จนกระทั่ง...

     

          " ผู้วิเศษเกียรติยศเดอ มาเรียไนล์ทุกท่าน ข้ามีเรื่องจะมาแจ้งให้พวกท่านทราบ! " น้ำเสียงแหลมสูงของหญิงคนหนึ่งดังขึ้นสะท้อนกับแนวผนังโล่งๆ ผู้วิเศษเดอ มาเรียไนล์ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันหันไปทางต้นเสียง และพวกเขาก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจเมื่อพบหญิงสาวท่าทางประหลาดปรากฏตัวขึ้นในปราสาทของพวกเขา

     

         " เจ้าเป็นใคร? เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? " ผู้วิเศษเกียรติยศเดอ มาเรียไนล์พร้อมใจกันเอ่ยถามขึ้นพร้อมกัน สิ้นคำเหล่าผู้วิเศษเกียรติยศ หญิงสาวคนนั้นจึงคืนร่างเป็นเด็กสาวร่างสูงผู้มีนัยน์ตาสีเขียว และเรือนผมสีแดงตามเดิม ผู้วิเศษเกียรติยศทั้งหมดจึงชี้นิ้วไปที่เด็กสาวคนนั้นก่อนที่จะขานนามของเธอคนนั้นด้วยความชื่นชมยินดีว่า

     

         " มอนสเตลล่า! "

     

         " มอนสเตลล่า พี่ดีใจที่เจ้าปลอดภัย พี่เชื่อว่าคนฉลาดเช่นเจ้าจักต้องไม่แสดงตัวต่อหน้าสาธารณะชนเป็นอันขาด เจ้าไม่เคยทำให้พี่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย " ชายหนุ่มผู้เป็นพี่ว่า

     

         " มอนสเตลล่า เจ้ามีอะไรจะแจ้งแก่เราหรือ? " ชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อว่า สิ้นคำผู้เป็นพ่อ มอนสเตลล่าจึงผายมือออก จากนั้น...แสงสีเทาจางๆ ก็ลอยขึ้นมายังโคมระย้าสีบลอนด์ และในวินาทีนั้น...ภาพของพวกกบฏที่กำลังวางแผนชั่วร้ายก็ได้ปรากฏขึ้นที่นั่น

     

         " พวกกบฏพวกนี้คิดจะส่งเวห์โมทิคมาทำลายเรางั้นหรือ? ไม่มีทางเสียหรอก! มอนสเตลล่า เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าเจ้าควรจะจัดการกับกบฏพวกนั้นอย่างไร? " สิ้นคำหญิงชราที่ดูเหมือนจะเป็นผู้อาวุสโสที่สุด มอนสเตลล่าจึงพยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " ข้าคิดว่าเราควรจะย้ายอิมเมจีนิสไปยังเขตุหวงห้ามเจ็ดสี่สามที่ซึ่งเป็นที่ที่ผู้ใช้ศาสตร์มืดไม่สามารถเข้าไปได้ และพื้นที่บริเวณดินแดนอิมเมจินีสเดิม ข้าได้วางกับดักไว้แล้ว พวกกบฏจะถูกทำให้แข็งด้วยเวทย์จู่โจมระดับสามแปดหก และจะถูกสัตว์บ้าเลือดกัดแทะในเวลาต่อมา "

     

         " ฉลาดมาก...มอนสเตลล่า สมแล้วที่ข้าเลือกเจ้าเป็นศิษย์เอกของข้าน่ะ " ผู้วิเศษอำมตะอเรียน่า เดอ มาเรียไนล์ว่า แล้วทุกคนก็พยักหน้าให้มอนสเตลล่าเป็นเชิงว่า'ให้รีบจัดการให้เสร็จ เพราะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว' มอนสเตลล่าจึงพยักหน้ารับก่อนที่จะผายมือออกแล้วว่าคาถาทันที

     

         " ujollhgrfbujiko qazedecrfrb!!! "

     

         ทันใดนั้น! อิมเมจีนิสทั้งดินแดนก็ถูกทำให้หมุนกลับหัว แสงสีเทาอ่อนอุ่นๆ ได้สาดส่องไปทั่วบริเวณพร้อมกับเสียงฝูงนกแอลเบลอร์โต้ที่พากันขับขานบทเพลงแห่งความเบิกบานใจ และพากันเต้นรำไปทั่วภาคพื้นได้ดังขึ้น และเหตุการณ์เหล่านี้กำลังบ่งบอกว่าชาวอิมเมจีนิสทุกคนกำลังจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างสงบสุขณ.สถานที่ที่ไม่มีใครสามารถมาถึงได้

     

         ส่วนพวกกบฏน่ะหรือ? ไม่ต้องถามก็รู้ว่าตอนนี้พวกมันได้กลายเป็นรูปปั้นเน่าๆ ผุงพังไปแล้ว โอ้! ช่างน่าสมเพชรอะไรเช่นนี้!!!

     

    + + + + + + + +

     

         แบล์คลีซายังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง เธอปรารถนาที่จะหลับแบบนี้ไปตลอดกาลโดยที่ไม่ต้องตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้าย เป็นเพราะว่าเธอปรารถนาที่จะติดอยู่ในโลกแห่งความฝันที่ซึ่งทำให้เธอมีความสุขกับสิ่งที่เธอปรารถนา

     

         จนกระทั่ง...ขณะนี้เป็นเวลาสิบนาฬิกายี่สิบห้านาที แสงสีเงินอุ่นๆ ได้สาดส่องเข้ามาในห้องนั้น และน้ำเสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ได้เรียกเธอให้ตื่นขึ้นจากภวังค์

     

         " แบล์คลีซา " สิ้นเสียงนั้น แบล์คลีซาจึงค่อยๆ ลืมตัวขึ้นมองชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นเจ้าของน้ำเสียงอันน่าหลงใหลนั้น เธอพบว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าอ่อน และผมสีน้ำตาลแดง เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งทำมาจากขนนกพิราบ และกำลังลอยอยู่เหนือพื้นห้องด้วยปีกสีทองเงางามดุจสายน้ำ เขาคนนั้นก็คือ...

     

         " ฟาร์เวล นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ? " แบล์คลีซาเอ่ยถามขึ้นก่อนที่จะลุกขึ้นนั่งบนเตียง

     

         " ฉันมีบางอย่างจะบอกเธอ " ฟาร์เวลว่าพลางยิ้มให้แบล์คลีซาอย่างอ่อนโยน " ปู่ทวดของฉันเป็นทูตระดับสามแห่งนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ และท่านก็ได้เสียชีวิตตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เป็นเพราะท่านปรารถนาที่จะสละชีวิตเพื่อช่วยเธอกับเพื่อนของเธอให้มีชีวิตรอดมาจนถึงวันสุดท้ายของการทดสอบ ดังนั้น...ฉันจึงต้องดำรงตำแหน่งแทนท่าน และหน้าที่สำคัญของทูตระดับสามก็คือการเป็นผู้รักษากุญแจข้ามเขตุท้องฟ้าศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเพราะฉันเห็นว่าเธอเป็นผู้ที่เหมาะสมกว่าฉันที่จะทำหน้าที่นี้ ดังนั้น...ฉันจึงตัดสินใจที่จะมอบกุญแจดอกนี้แก่เธอ " สิ้นคำฟาร์เวล เขาก็ผายมือออก แล้วกุญแจเก่าๆ สีทองเหลือง ประทับตรารูปกางเขนมีปีกสีม่วงแดงก็ได้ลอยขึ้นจากผ่ามือของฟาร์เวลมาที่แบล์คลีซา แบล์คลีซาจึงรับกุญแจดอกนั้นมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมสุขว่า

     

         " แล้วยูลิคล่ะ? ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง? " สิ้นคำแบล์คลีซา ฟาร์เวลจึงยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนที่จะเอ่ยตอบขึ้นว่า

     

         " ตอนนี้ทั้งยูลิค และโซเฟจได้กลับมาถึงนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยูลิคสามารถใช้ความอัจฉริยะของเขาจัดการโรเชสได้สำเร็จ และตอนนี้เขาก็ได้กลับมาเป็นประธานองค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบนเหมือนเดิมแล้ว ประชาชนทุกคนต่างก็พอใจในวิธีการปกครองของเขา และยูลิคยังบอกอีกด้วยว่าเขายังอยากพบพวกเธอทุกคนเร็วๆ นี้ และฉันก็เชื่อว่าเธอก็อยากที่จะพบเขาเช่นกัน " ฟาร์เวลว่า " เพราะฉะนั้น...เมื่อไหร่ก็ตามที่เธออยากที่จะพบยูลิค ก็ให้ใช้กุญแจดอกนี้ไขประตูห้องที่ถูกปิดตาย แล้วมันจะนำเธอไปยังนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์โดยที่เธอไม่ต้องพบกับบททดสอบอะไรเลย แต่ก่อนที่เธอจะใช้มัน ขอให้เธอพูดว่าSempre Obbligato Glockenspielเพื่อเป็นการล้างมลทินบาปแก่ตัวเธอเอง และผู้ร่วมเดินทางคนอื่นๆ "

     

         " มันคืออะไรน่ะ? "

     

         " พระนามของเจ้าแห่งเบื้องบน ชื่อเต็มของS.O.G.น่ะ " ฟาร์เวลว่า จากนั้น...ฟาร์เวลก็เงียบไปสักพัก เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เขาก็พูดขึ้นมาว่า " การประชุมรวมคณะทูตศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อถือได้กำลังจะเริ่มขึ้น ฉันต้องรีบไปแล้ว ลาก่อน! "

     

         " ลาก่อน! " แบล์คลีซาร้องพลางโบกมือให้ฟาร์เวลที่กำลังบินหายลับไปกับแสงไฟอุ่นๆ สีขาวนวล แบล์คลีซาเงยหน้ามองภาคพื้นที่สงบนิ่งพลางกอดกุญแจดอกนั้นไว้แนบอก เธอฉีกยิ้มกว้างที่สุดในชีวิตก่อนที่จะตะโกนบอกผู้ที่กำลังรอเธออยู่ณ.เบื้องบนว่า

     

         " หวังว่าคงจะได้พบกันเร็วๆ นี้นะ...ยูลิค!!! "

     

     

    นี่ถือเป็นฤกษ์ดีสำหรับการปิดตำนาน!!!!!!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×