ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels คนบ้าระห่ำ แหกกฎสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #20 : Lord of eternal time 's direction

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ย. 61


     19

    Lord of eternal time 's direction

     

         ที่นี่โลกแห่งชีวิตหลังความตาย...

     

         ฉันกำลังล่องลอยอย่างไร้น้ำหนักไปตามชั้นบรรยากาศอันบางเบาที่เต็มไปด้วยสีขาว ฉันได้แต่ขยับตัวไปตามทิศทางของลมมรณะที่จะนำฉันไปสู่ห้วงมรณะ เป็นเพียงเพราะฉันไม่มีแรงมากพอที่จะต้านทานมันได้

     

         ชีวิตของฉันได้จบลงตั้งแต่เมื่อวาน หลังจากที่พวกเราทั้งหมดต่างก็ท้องเสียเนื่องจากการรับประทานขนมปังหมดอายุเข้าไป มันคงเป็นเรื่องที่ตลกมากแน่ๆ ถ้าเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพมาชันสูตรศพเราแล้วพบว่าเราตายเพราะกินขนมปังหมดอายุ แล้วหลังจากนั้นผู้ผลิตขนมปังยี่ห้อนั้นก็ต้องปิดกิจการลง และเจ้าของร้านเลื่อนหินด้วยรีโมทก็ต้องถูกจับ เพราะเขาเป็นคนให้ขนมปังก้อนนั้นแก่เรา

     

         ฉันเคลื่อนที่ไปตามทิศทางของลมด้วยความสงบนิ่งจนบางครั้งมันก็ทำให้ฉันคิดไปว่าตัวเองนั้นก็เป็นสายลมสายหนึ่ง จิตใจของฉันเป็นทุกข์เมื่อฉันคิดคำนึงถึงห้วงความทรงจำ มันทำให้ฉันเรียกร้องหาชีวิตที่ถูกเอาไปโดยองค์ผู้พิพากษา และฉันยังคงปรารถนาที่จะได้ชีวิตนั้นอยู่เสมอ

     

         " หวัดดี นี่เป็นเช้าที่ดีนะว่ามั้ย " มอนสเตลล่าเอ่ยทักในขณะที่เธอกำลังลอยขึ้นมาหาฉัน

     

         " หวัดดี " ฉันทักตอบ " ตกลงนี่เราตายแล้วหรอ? "

     

         " คงงั้นแหละ " เธอว่าพลางยักไหล่ก่อนที่จะลอยนำฉันขึ้นไปณ.เบื้องบน

     

         " แบล์...อรุณสวัสดิ์! " เบลลาทริกซ์เอ่ยทักในขณะที่เธอกำลังลอยขึ้นมาตามฉัน " วันนี้เธอตื่นสายมากนะ ตื่นตั้งเกือบเที่ยงแน่ะ " สิ้นคำเบลลาทริกซ์ ฉันก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจพลางนึกถึงคำพูดของผู้หญิงคงแก่เรียนที่ว่า 'พรุ่งนี้ท่านจะตื่นประมาณเกือบเที่ยง' และมันก็เป็นอย่างนั้น ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้โกหก

     

         " แล้วตอนนี้กี่โมงแล้วล่ะ? " ฉันเอ่ยถาม เบลลาทริกซ์จึงยิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " ไม่รู้สิ นาฬิกาฉันตายน่ะ " สิ้นคำเบลลาทริกซ์ ฉันก็ก้มไปมองนาฬิกาของตัวเองพบว่านาฬิกาของฉันก็ตายเช่นกัน มันคงจะตายตามเจ้าของสินะ

     

          " แล้วคนอื่นๆ ล่ะ? " เบลลาทริกซ์ร้องถาม

     

          " พวกเขาไปก่อนเราตั้งนานแล้ว ฉันคิดว่าเราน่าจะเร่งความเร็วนะเผื่อจะได้ตามทันพวกเขา " สิ้นคำมอนสเตลล่า ฉัน เบลลาทริกซ์ และมอนสเตลล่าจับมือกันแล้วพากันลอยขึ้นไปสู่เบื้องบนด้วยความเร็วสูง ไม่นาน...เราก็ลอยขึ้นมาพบกับแสงขาวที่ส่องมาจากเบื้องบน เราจึงตัดสินใจที่จะลอยเข้าไปในแสงขาวนั้นทันที และ...

     

         " กรี๊ดดดดดดดด!!! "

     

         ตุ้บ!

     

         ร่างของพวกเราถูกทำให้กระแทรกของพื้นหินแกรนิตสีขาวของสถานที่หรูหราแห่งหนึ่งอย่างแรง และทันทีที่มาถึงสถานที่แห่งนี้ เราก็ต้องพบกับความวุ่นวายที่รอเราอยู่ตรงหน้า

     

         " ฉันคิดว่าพวกเรายังไม่ตายนะ " เรอัสเอ่ยขึ้น " ถ้าเราตายจริง อดอล์ฟก็คงจะกลายเป็นฝุ่นธุลีไปแล้ว แต่ดูสิ เขายังมีตัวตนอยู่ นั่นเป็นแสดงให้เห็นว่าเรายังไม่ตาย "

     

         " คุณเรอัส ผมเสียใจที่ต้องบอกคุณว่า การเข้ามีส่วนในความตายที่เจ้าแห่งเบื้องบนทรงกำหนดไว้ไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอน อาจมีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นก็เป็นได้ใครจะไปรู้ คุณควรจะยอมรับความจริงซะเถอะ เราตายแล้ว " โซเฟจว่า ทันทีที่โซเฟจพูดจบ เรอัสก็ขมวดคิ้วขึ้นแล้วทำหน้าเคร่งเครียดก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " ไม่จริง! เรายังไม่ตาย "

     

         " เราตายแล้ว "

     

         " ยังไม่ตาย! "

     

         " ตายแล้ว! "

     

         " ยังไม่ตาย! "

     

         " ตายแล้ว! "

     

         " ยังไม่ตาย! "

     

         " ตายแล้ว! "

     

         " ว๊ากกกกกก!!! " ยูลิคว๊ากพลางชี้ไปที่เรอัสกับโซเฟจที่กำลังเถียงกันอยู่พร้อมกับสั่นหัวอย่างบ้าคลั่ง " หยุดสิวะ!!! " สิ้นคำยูลิค โซเฟจ และเรอัสก็หยุดเถียงกันทันที จากนั้น...เสียงแตรก็ดังขึ้นพร้อมกับได้มีผู้ชายร่างสูงที่สวมชุดเครื่องแบบสีขาวได้เป่าแตรเดินเข้ามาเป็นจังหวะเพลงมาร์ช ต่อมา...เขาคนนั้นก็ได้หยุดเป่าแตรแล้วยืนตรงก่อนที่จะร้องป่าวประกาศขึ้นว่า

     

         " เจ้าแห่งนิรันดร์กาลเสด็จแล้ว!!! " สิ้นเสียงนั้น ชายชราผู้ไว้ผมยาว และมีหนวดเครารุงรังสีเทาที่สวมเสื้อสีขาวที่ถูกทำอย่างประณีตก็ได้ก้าวเข้ามาณ.ลานกว้างสีขาวอย่างสง่างามก่อนที่จะเดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์สีขาวที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสายน้ำที่สงบนิ่ง ชายชราผู้เป็นเจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็ได้กระแอมขึ้นสองสามทีก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้าไม่ชอบเพลงนี้ ข้าบอกให้เจ้าเล่นเพลงอื่นตั้งหลายรอบ ทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อฟังข้า " เจ้าแห่งนิรันดร์กาลว่าพลางใช้พัดขนนกสีขาวตบหัวคนเป่าแตร

     

         " ขอประทานอภัยโทษขอรับ ข้าแต่เจ้าแห่งนิรันดร์กาลผู้สง่างาม " คนเป่าแตรว่า " แล้วท่านชอบแบบไหนล่ะขอรับ กระผมจะได้จัดเตรียมให้ท่านถูก "

     

         " ข้าชอบแบบร็อคน่ะ เจ้าเข้าใจมั้ย? " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล คนเป่าแตรก็พยักหน้าแรงๆ ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

     

         " เข้าใจขอรับ! "

     

         " ดี งั้นคราวหน้าเจ้าต้องแต่งตัวเป็นร็อกเกอร์ด้วยนะ เอาล่ะ...หมดหน้าที่ของเจ้าแล้ว ไปได้ " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล คนเป่าแตรก็เก็บแตรไว้ด้านหลังแล้วโค้งคำนับให้เจ้าแห่งนิรันดร์กาลก่อนที่จะเดินออกไป

     

         " กรี๊ดดดดดด! ตาแก่นั่น มันเคยลวนลามฉันบนเครื่องบิน!!! " ดีซีดอเรต้ากรีดร้องพลางชี้นิ้วสั่นๆ ของเธอไปที่เจ้าแห่งนิรันดร์กาลที่บัดนี้กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนบัลลังก์สีขาวสง่าอันทรงเกียรติ และกำลังขยับตัวไปมาแล้วคราง

     

         " อื้อ! "

     

         " ใช่! ตาแก่นั่นทำอย่างนี้แหละ มันแกล้งทำเป็นหลับแล้วพลิกตัวไปมา จากนั้น...มันก็ทำเป็นละเมอแล้วเอื้อมมือมาจับหน้าอกฉัน มันทำอย่างนี้ตั้งสามรอบนะ ตอนนั้นฉันก็ทนไม่ไหวจึงตบหน้ามันไปแรงๆ แล้วหลังจากนั้น...มันก็ตื่นมาแล้วพูดเหมือนกับมันไม่รู้ว่าเมื่อกี้มันได้ทำอะไรลงไป " พอดีซีดอเรต้าพูดจบ เจ้าแห่งนิรันดร์ก็เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ แล้วมองมาที่พวกเราทั้งหมดก่อนที่จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูงัวเงียว่า

     

         " พวกเธอเป็นใครกันน่ะ? "

     

         " ใช่! มันพูดด้วยน้ำเสียงประมาณนี้แหละ แต่มันไม่ได้พูดอย่างนี้นะ " พอสิ้นคำดีซีดอเรต้า เจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็ลุกพรวดขึ้นจากบัลลังก์ เขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงแล้วชี้นิ้วมาที่พวกเราก่อนที่จะร้องเสียงสูงว่า

     

         " โอ้! ไม่นะ มีสิ่งมีชีวิตเปื้อนมลทินอยู่ในอาณาจักรของข้า เซนซา ซอร์ดิเนียได้มาถึงคราววิบัติแล้ว!!! " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล สายน้ำที่แต่ก่อนสงบนิ่งก็ได้พุ่งพรวดขึ้นมาเป็นแนวสูงล้อมรอบบัลลังก์นั้นไว้ และแล้ว...เวลานั้น เจ้าแห่งนิรันดร์ก็ทรงพิโรธดั่งไฟบรรลัยกันที่ผ่านไปร้อยชาติก็ดับไฟนั้นไม่หมด เขามองเราด้วยสายตาอาฆาตแค้นก่อนที่จะร้องขึ้นเสียงก้องว่า

     

         " อ้ายคนบาป บัดนี้...มารกำลังเพรียกหาเจ้า เจ้าจงไปลงนรกเสีย!!! "  สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล เขาก็ชี้นิ้วไปที่ที่พวกเราอยู่ จากนั้น...แผ่นดินตรงนั้นก็ได้แยกออกเผยให้เห็นมิติเบื้องล่างซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม และความสิ้นหวัง พวกเราพยายามที่จะวิ่งออกไปจากแผ่นดินที่แยกออก แต่เราก็กลับหนีมันไม่พ้น แต่แล้วในตอนนั้น อดอล์ฟก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " ช้าก่อน ข้าแต่เจ้าแห่งชีวิตนิรันดร์ผู้สง่างาม มันจักเป็นพระกรุณาอย่างยิ่งถ้าหากว่าท่านโปรดอภัยบาปเรา ข้าพระองค์ทุกคนต่างก็ไม่มีจุดประสงค์ในการที่จะทำให้ดินแดนของท่านวิบัติ และข้าพระองค์ทุกคนต่างก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาที่นี่ เป็นเพียงเพราะข้าพระองค์ทุกคนต่างก็ได้เข้าไปในแสงขาวโดยที่ไม่รู้ว่าดินแดนของท่านได้ตั้งอยู่ที่นั่น ข้าพระองค์ทั้งหลายต่างก็เป็นคนชอบธรรม ไม่ใช่คนบาปอย่างที่ท่านกล่าวหา และนี่คือสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นคนชอบธรรมนั้นเป็นความจริง " อดอล์ฟว่าพลางหยิบหีบสีขาวบริสุทธิ์ขึ้นมา แล้วหลังจากนั้น...เจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็ได้มีสีหน้าตกตะลึง และในเวลานั้น...แผ่นดินที่แยกออกก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิม เจ้าแห่งนิรันดร์กาลอ้าปากค้างก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด! เจ้าได้มันมาจากไหนน่ะ? "

     

         " จากงานประมูลสมบัติล้ำค่าของเหล่าบุคคลสำคัญระดับจักรวาลที่ลาลาโมเซ่น่ะขอรับ " ดรากเนสสวนขึ้นทันควัน พอได้ยินดังนั้น เจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็ทำหน้าเหมือนจะขาดใจตายก่อนที่จะกลับขึ้นไปนั่งบัลลังก์อีกครั้งแล้วถามขึ้นว่า

     

         " เหตุใดเจ้าจึงต้องการอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดล่ะ? "

     

         " ที่จริงแล้วพวกข้าพระองค์ไม่ได้ต้องการอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดหรอกขอรับ แต่ที่พวกข้าพระองค์ทำไปก็เพื่อทำตามภารกิจที่เจ้าแห่งเบื้องบนมอบให้แก่พวกข้าพระองค์เท่านั้นขอรับ " เรอัสว่า

     

         " เพราะอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดอาจเสื่อมสภาพเมื่อตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ไม่สมควรจะได้รับ บัดนี้...ข้ารู้แล้วว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนบาป แต่เป็นผู้ที่เหมาะสมที่พระเจ้าสูงสุดมอบไว้ให้แก่ข้า ขอต้อนรับเข้าสู่เซนซา ซอร์ดิเนีย ขณะนี้เวลาสิบสามนาฬิกา หกนาที เลขสิบสามเป็นเลขมรณะ ส่วนเลขหกนั้นเป็นเลขของปีศาจ ดังนั้น...เวลานี้ถือเป็นฤกษ์ดีสำหรับพวกเจ้าที่จะได้ล้างมลทินบาป " พอเจ้าแห่งนิรันดร์กาลพูดจบ เขาก็ดีดนิ้ว และหลังจากนั้น...สายน้ำที่บริสุทธิ์ก็ได้ตกลงมาในที่ที่พวกเรายืนรวมกันอยู่เพื่อชำระร่างกายของเราให้พ้นจากบาป จากนั้น...เราทั้งหมดก็พากันมายืนอยู่หน้าบัลลังก์ของเจ้าแห่งนิรันดร์กาล แล้วเจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็เริ่มถามเราถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

     

         " ตอนนี้พวกเจ้ากำลังอยู่ระหว่างการทดสอบของเจ้าแห่งเบื้องบนอยู่ใช่มั้ย? แล้วตอนนี้เป็นวันที่เท่าไหร่ของการทดสอบของพวกเจ้าแล้วล่ะ? " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล โซเฟจก็ตอบขึ้นมาว่า

     

         " ถ้าเรายังไม่ตาย วันนี้เป็นวันที่สิบของการทดสอบของพวกเราแล้วขอรับ " สิ้นคำโซเฟจ เจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็หัวเราะดังลั่นก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " ทำไมพวกเจ้าถึงคิดว่าพวกเจ้าตายแล้วล่ะในเมื่อพวกเจ้าทุกคนก็ยังไม่ตายเสียหน่อย โอ้! ช่างน่าขันอะไรเช่นนี้ "

     

         " นี่เรายังไม่ตายจริงๆ หรอคะ? " เบลลาทริกซ์เอ่ยถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา

     

         " พวกเจ้ายังไม่ตายหรอก ถ้าหากพวกเจ้าตายแล้ว พวกเจ้าก็จะเข้ามาในเซนซา ซอร์ดิเนีย อาณาจักรอันเป็นที่รักยิ่งของข้ามิได้ เพราะที่นี่คือดินแดนแห่งนิรันดร์กาล เป็นดินแดนที่มีชีวิตนิรันดร์ และเป็นดินแดนที่ทุกสรรพสิ่งจะคงอยู่ตลอดไป " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล พวกเราทั้งหมดก็ยิ้มด้วยความยินดีก่อนที่จะโห่ร้องสรรเสริญพระเจ้า การที่รู้ว่าเรายังไม่ตายเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดี และถ้าเรารอดไปจนถึงวันพรุ่งนี้ได้ก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดียิ่งกว่า

     

         " พวกเจ้าเป็นคนที่พิเศษมาก เพราะข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้วว่าไม่มีใครเคยมีชีวิตรอดจนมาถึงวันที่สิบนี้ได้เลย แต่พวกเจ้าทุกคนก็รอดมาได้ พวกเจ้าควรจะดีใจนะที่เจ้าแห่งเบื้องบนได้เมตตาพวกเจ้า เพราะพระองค์ทรงมีจิตใจที่แข็งกร้าว และไม่เคยเมตตาใครมาก่อน แม้ว่าผู้นั้นจะพยายามขอร้องให้ไว้ชีวิตตนอย่างไร แต่เจ้าแห่งเบื้องบนก็ไม่ยอมที่จะทำเช่นนั้นเพื่อตอบสนองเขา เอาล่ะ...ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนต่างก็เป็นคนที่พิเศษมาก ดังนั้น...ข้าก็อยากที่จะช่วยให้พวกเจ้าทุกคนสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ในวันถัดไป ก่อนอื่น...พวกเจ้าต้องบอกข้ามาก่อนสิว่าพวกเจ้าเข้าไปในการทดสอบของเจ้าแห่งเบื้องบนนี้ได้อย่างไร? " พอเจ้าแห่งนิรันดร์พูดจบ ทุกคนก็เงียบ และหลังจากนั้น...เบลลาทริกซ์ก็พยักหน้าเป็นเชิงให้ฉันเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าแห่งนิรันดร์กาลฟัง และฉันก็ต้องเริ่มที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าแห่งนิรันดร์กาลฟังอย่างช่วยไม่ได้

     

         " เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อฉันพบกับทูตตนหนึ่ง เขาชื่อยูลิค ยูลิคขอร้องให้ฉันพาเขากลับไปยังที่ที่เขามา แต่ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าเขามาจากไหน ฉันจึงไปค้นหาความหมายของอักษรย่อ'S.O.G.'บนล็อกเกตของเขา และภายหลังฉันก็รู้ว่ามาจากเรอัสว่า มันคือองค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบนซึ่งทูตที่นั่นไม่เคยมีประวัติในการลงมาบนโลกมาก่อนเลย และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มที่จะละเมอถึงเรื่องกุญแจที่สามารถนำเขากลับไปยังที่ที่เขามาได้ เขาบอกว่ากุญแจนี้อยู่กับคนที่ชื่อฟาร์เวล เดอ โฮพิโอ และหลังจากนั้น...เราก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะนำกุญแจนี้มาให้ได้ สิบวันก่อนหน้านี้เป็นวันที่พวกเราได้กุญแจนี้มา และเราก็เริ่มไขกุญแจในห้องที่ปิดตายทันที และการกระทำของเราในครั้งนั้นก็นำเราเข้าสู่มิติปริศนาที่สอง-หนึ่ง-สาม-แปด และตั้งแต่วันแรกที่มาถึง พวกเราก็ฝ่าฝืนทุกอย่างที่เตือนเราไว้ว่าถ้าเราทำอย่างนั้นแล้วเราจะตาย แต่เราไม่สนใจมัน จนมันทำให้เราเข้าสู่การทดสอบของเจ้าแห่งเบื้องบนโดยที่เราไม่รู้ตัว และเผชิญหน้ากับการเสี่ยงตายมาหลายต่อหลายครั้ง เราต้องเผชิญหน้ากับความหนาวเหน็บที่เลเพรซโซ เผชิญความยากลำบากที่วิชเชล่า เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่าสยดสยองที่ไซเทร์น่า อยู่อย่างขัดสนที่ดิเครซซิโม ร้องไห้ร่วมกันบนหอคอยซาคอนเน่ที่ลาลาโมเซ่ จนกระทั่ง...เราได้มาถึงที่นี่ " พอฉันพูดจบ เจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็พยักหน้ารับก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " เอาล่ะ...ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็ต้องเริ่มในช่วยเหลือพวกเจ้าบัดเดี๋ยวนี้ " เจ้าแห่งนิรันดร์กาลว่าพลางลุกขึ้นยืน " หากว่ามีใครในพวกเจ้าที่ยังไม่ได้ทำภารกิจ ก็ขอให้ผู้นั้นก้าวออกมาข้างหน้าบัดเดี๋ยวนี้! " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล ฉันกับมอนสเตลล่าก็มองหน้ากันสักพักก่อนที่จะตัดสินใจก้าวออกไปข้างหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ

     

         ตอนนี้...ฉันรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งนิรันดร์กาล ฉันรู้สึกกลัวจนตัวสั่น และเหงื่อไหลไปทั่วหน้าเมื่อสายตาของเจ้าแห่งนิรันดร์กาลได้จับจ้องมาที่ฉัน

     

         " โชคดีที่พวกเจ้าได้อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดมาครอบครองเพราะมันเป็นวิธีเดียวที่สามารถนำทูตหลงทางให้กลับไปยังนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ได้ ตามคุณสมบัติของอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดข้อที่สองกล่าวไว้ว่ามันเป็นกุญแจเปิดประตูเชื่อมมิติของดินแดนที่ซ่อนอยู่ในเขตุท้องฟ้าศักดิ์สิทธิ์ และตามประเพณีของเราแล้ว ก่อนที่จะใช้พลังแห่งอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดจะต้องมีการคืนความสมดุลให้แก่จักรวาลเสียก่อน และผู้ที่ข้าเห็นสมควรว่าเหมาะสมแก่การทำหน้าที่นี้ที่สุดก็คือ...เจ้า! " เจ้าแห่งนิรันดร์กาลว่าพลางชี้นิ้วไปที่มอนสเตลล่า เฮ้อ~ ยังดีที่ไม่ใช่ฉัน ถ้าหากว่าฉันได้กลายเป็นผู้ถูกเลือกขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ การเดินทางในครั้งคงจบลงเพราะฉันแน่ๆ

     

    ( Monstella 's Part )

     

         ตอนนี้ฉันกำลังอยู่กันตามลำพังสองต่อสองกับเจ้าแห่งนิรันดร์กาลที่ลานกว้างสีขาวที่มีสายน้ำที่สงบนิ่งล้อมรอบ ส่วนคนอื่นๆ ก็ถูกเจ้าหน้าที่อาลักขาของเจ้าแห่งนิรันดร์ลากออกไปทันทีที่เจ้าแห่งนิรันดร์กาลมอบภารกิจนี้ให้ฉัน

     

         " ท่านคือมอนสเตลล่า ทายาทรุ่นที่หกแห่งตระกูลผู้วิเศษเกียรติยศ เดอ มาเรียไนล์ใช่มั้ย? " เจ้าแห่งนิรันดร์กาลเอ่ยถามขึ้นเมื่อคนอื่นๆ ได้สันธานไปจากที่ตรงนั้นกันหมดแล้ว พอเจ้าแห่งนิรันดร์กาลพูดจบ ฉันก็พยักหน้า จากนั้น...เขาก็ยิ้มกว้างพร้อมกับขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ ฉันก่อนที่จะพูดขึ้นต่อว่า " ฮ่าฮ่าฮ่า!!! ข้าปรารถนาที่จะพบท่านมาตลอดชีวิต จนในที่สุด...ความฝันของข้าของเป็นจริงแล้ว ฟังนะ ข้าเป็นผู้ที่ชื่นชอบในตัวท่าน ข้าติดตามชีวิตของท่านมาโดยตลอด จนกระทั่ง...ข้ารู้ว่าวันหนึ่งท่านจะมาที่นี่ ข้าก็ดีใจมาก ท่านไม่แปลกใจเลยหรือว่าทำไมข้าจึงรับปากว่าจะช่วยเหลือพวกท่านโดยที่พวกท่านไม่ได้ขอร้องอะไรข้าเลย แล้วทำไมเมื่อครู่นี้ข้าถึงเลือกท่านให้เป็นผู้ที่คืนความสมดุลให้แก่จักรวาลล่ะ ก็เพราะว่า...ข้าเชื่อใจท่านน่ะสิ " พอเจ้าแห่งนิรันดร์กาลพูดจบ ฉันก็นิ่งไปสักพักเพี่อทบทวนสิ่งที่เจ้าแห่งนิรันดร์กาลพูด เขาบอกว่าเขารับปากที่จะช่วยเหลือพวกเราเป็นเพราะว่าเขาชื่นชอบในตัวฉัน เพราะฉะนั้น...เขาคงจะไม่ปล่อยให้ฉันตายอย่างแน่นอน

     

         " แล้วข้าต้องทำอย่างไรบ้าง? " ฉันเอ่ยถาม

     

         " ตามข้ามาสิ แล้วข้าจะพาท่านไปยังสถานที่ที่สวยงาม และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในเซนซา ซอร์ดิเนียแห่งนี้ที่ซึ่งท่านจะต้องทำการคืนสมดุลให้แก่จักรวาลที่นั่น " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล เขาก็เดินนำฉันออกไปทันที

     

         ครู่ต่อมา...เจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็ได้นำฉันมาหยุดอยู่ณ.สวนแห่งหนึ่งที่ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้หลากสายพันธุ์ที่มีสีสัน และรูปทรงสูงเสียดฟ้าชวนน่าหลงใหล และต้นไม้เหล่านี้อาจมีอายุถึงล้านล้านปีแล้วด้วยซ้ำ เพราะพวกมันต่างก็เป็นต้นไม้แห่งชีวิตนิรันดร์ที่จะคงอยู่ตลอดไป

     

         สวนแห่งนี้ถูกปูด้วยหินอ่อนสีเงินที่มีลวดลายอันวิจิตรตระการตา และเมื่อเจ้าแห่งนิรันดร์กาลได้ยกหินก้อนที่วางอยู่ตรงกลางสวนแห่งนี้ออกก็เผยให้เห็นแสงสีขาวเจิดจ้าที่ส่องขึ้นมาจากเบื้องล่าง เจ้าแห่งนิรันดร์กาลผายมือมาที่ฉันก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " ขณะนี้เวลาสิบสามนาฬิกาสี่สิบห้านาทีถือเป็นฤกษ์ดีสำหรับการทำพิธีคืนสมดุลให้แก่จักรวาล ท่านจงลอยทะลุผ่านแสงขาวนี้ มันจะนำท่านไปยังจุดศูนย์กลางของจักรวาล และเพื่อให้พิธีนี้เสร็จสิ้นอย่างสมบรูณ์ ท่านไม่ควรที่จะใช้เวลาในการทำพิธีนี้เกินกว่าสิบห้านาที มิฉะนั้น...ท่าน และเพื่อนของท่านอาจเป็นมลทินบาป และการเดินทางสิบวันของท่านอาจสิ้นสุดลงได้ " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล ฉันพยักหน้าก่อนที่จะลอยเข้าทะลุผ่านแสงขาวนั้นไป

     

         ทันทีที่ฉันลอยเข้าทะลุผ่านแสงขาวนั้น ร่างของฉันก็ถูกกำให้เคลื่อนที่ด้วยเร็วสูงผ่านวัตถุที่มีรูปร่างคล้ายท่อลำเลียงที่มีความหนาแน่นของบรรยากาศมาก ฉันถูกทำให้ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ และถูกเหวี่ยง จนบางครั้ง ฉันก็รู้สึกเวียนหัวจนแทบจะอาเจียนออกมา จนในที่สุด...ร่างของฉันก็ได้มายืนอยู่บนแผ่นหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์อย่างสงบนิ่ง และเมื่อมองลงไปข้างล่างก็สามารถมองเห็นภาคพื้นที่อยู่เบื้องล่างได้อย่างชัดเจน ที่นี่ต้องเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลอย่างแน่นอน

     

         ขณะนี้...เหลือเวลาอีกเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น ฉันจึงเริ่มพยายามทำความเข้าใจกับความหมายของพิธีคืนความสมดุลให้แก่จักรวาล

     

         'พิธีคืนความสมดุลให้แก่จักรวาลเป็นพิธีที่ทำขึ้นเพื่อขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นบนดาวทุกดวงในจักรวาล และเพื่อให้สิ่งมีชีวิตบนดาวทุกดวงได้ชีวิตใหม่ซึ่งเป็นชีวิตนิรันดร์ที่บริบูรณ์ด้วยความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสัตย์จริง' ฉันคิดก่อนที่หลับตาลงแล้วคิดถึงความทรงจำในอดีต เมื่อครั้งที่ผู้วิเศษอำมตะ อเรียน่า เดอ มาเรียไนล์ ย่าทวดของฉันได้ถ่ายทอดพลังเวทย์แห่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้แก่ฉัน เมื่อตอนที่ฉันอายุห้าขวบ

     

         " มอนสเตลล่า...จงจำคำข้าไว้ให้ดี เวทย์แห่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้นเป็นเวทย์ชั้นสูงที่ทำกันได้ยาก ถ้าหากว่าเจ้าไม่มีสมาธิมากพอ มันก็จะไม่เกิดผล ขอให้เจ้าสงบนิ่ง และหลับตาลงเพื่อระลึกถึงจุดมุ่งหมายของการใช้เวทย์แห่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เจ้าจงระบายลมปราณออกมาแล้วผายมือออก และจงเปล่งเสียงที่ดังก้องขึ้นจากจิตวิญญาณของเจ้าว่าบาโลเวซโซ...เอสเมอซิโอ...กีซ!!! " หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางแสดงการใช้เวทย์แห่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้เด็กหญิงดู จากนั้น...แสงสีขาวก็ได้ปรากฏขึ้นปกคลุมภาคพื้น และเหล่านกพิราบสีขาวบริสุทธิ์ก็ได้โบยบินไปมาทั่วภาคพื้นนั้นด้วยความชื่นชมยินดี จากนั้น...นกพิราบเหล่านั้นก็ได้สันธานไปในกลุ่มเมฆหมอกเหล่านั้น และในเวลานั้นเอง เสียงหัวเราะแห่งความชื่นชมยินดีก็ได้ดังก้องไปทั่วพื้นพสุธา

     

         เมื่อเห็นดังนั้น เด็กหญิงจึงมองอย่างพิจารณาสักพักก่อนที่จะทำตามบ้าง เด็กหญิงหลับตาลง แล้วระบายลมปราณออกก่อนที่จะผายมือออกแล้วเปล่งเสียงร้องขึ้นว่า

     

         บาโลเวซโซ...เอสเมอซิโอ...กีซ!!! " และ...มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เด็กหญิงจึงเบ้ปากด้วยความผิดหวังก่อนที่จะร้องขึ้นว่า

     

         " ทำไมข้าถึงทำไม่ได้เหมือนท่านล่ะ? " เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงชราจึงลูบหัวเด็กหญิงด้วยความเอ็นดูก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

     

         " เป็นเพราะเจ้ายังกังวลมากเกินไปน่ะสิ นี่เป็นเวทย์บริสุทธิ์ ถ้าเจ้าปรารถนาที่จะทำให้ผลของเวทย์นี้เกิดผล เจ้าจะต้องสงบนิ่ง และเปล่งเสียงออกมาด้วยความจริง "

     

         หลังจากนั้น...ฉันจึงกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อทำสมาธิ และเมื่อรู้สึกว่าขณะนี้ทุกสิ่งได้หยุดเคลื่อนไหวท่ามกลางความสงบนิ่ง ฉันจึงหลับตาลงอีกครั้งเพื่อนึกถึงความวุ่นวายที่เป็นปัญหาในทุกที่ของจักรวาล

     

         ที่จริงแล้ว...ทุกที่ในจักรวาลก็ย่อมมีความวุ่นวายเกิดขึ้น และฉันก็ได้สัมผัสถึงมันในทุกที่ที่ฉันไป

     

         บนแผ่นดินโลก...ผู้คนยังคงใช้ความเห็นแก่ตัวของตัวเองเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่เพื่อให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดมาครอบครอง ที่อิมเมจีนิสก็เช่นกัน ตระกูลเดอ มาเรียไนล์ฝ่ายซ้ายยังคงก่อกบฏเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ของการเป็นผู้ปกครองแห่งอิมเมจีนิสมาจากตระกูลเดอ มาเรียไนล์ฝ่ายขวา โดยที่ตระกูลเดอ มาเรียไนล์ฝ่ายกลางยังคงยืนมองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความน่าสมเพชรได้อย่างชัดเจนโดยที่ไม่คิดจะช่วยทำอะไรเลยแม้แต่น้อย

     

         จากการเดินทางในครั้งนี้ พวกเราต่างก็ได้พบอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นปัญหา เราต้องพบเจอกับคำสาปแห่งความหนาวเหน็บที่เลเพรซโซ คนอธรรมที่ดำรงชีวิตโดยปราศจากจิตวิญญาณธาตุสว่างที่วิชเชล่า เหล่าผีดิบ และอสุรกายกระหายเลือดที่ไล่ล่าฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างบ้าคลั่งที่ไซเทร์น่า และประชาชนที่ถูกปลูกฝังให้รักการทำลายล้างที่ดิเครซซิโม

     

         แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานความสามารถให้แก่เหล่าผู้ถูกเลือกทั้งหมดเพื่อให้เขาสามารถที่จะทำให้ปัญหาเหล่านั้นหมดไป แต่อย่างไรก็ตาม...ก็ยังคงมีปัญหามากมายเกิดขึ้นบนดาวอีกหลายดาวในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ และสิ่งที่ฉันปรารถนาที่สุดในตอนนี้คือฉันต้องการให้ปัญหาเหล่านั้นหมดไปจากทุกๆ ที่ในจักรวาล เพื่อให้เหล่ามวลมนุษยชาติจะได้ใช่ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุข และเพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าในที่สูงสุด ฉันขอให้เวทย์แห่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่เกิดผลด้วย

     

         จากนั้น...ฉันจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนที่จะระบายลมปราณออกมาด้วยความสงบนิ่งราวกับว่าฉันกำลังถูกตัดขาดกับห้วงความกังวล ฉันจึงผายมืออกก่อนที่จะเปล่งเสียงขึ้นจากจิตวิญญาณแห่งความเป็นผู้วิเศษเกียรติยศเดอ มาเรียไนล์ว่า

     

        " บาโลเวซโซ...เอสเมอซิโอ...กีซ!!! "

     

         ทันใดนั้น...แสงสีขาวเจิดจ้าก็ได้เปล่งประกายไปทั่วภาคพื้น และเหล่านกพิราบก็ได้ปรากฏขึ้นรอบๆ แสงสีขาวนั้น พวกมันได้ส่งเสียงร้อง และพากันเต้นรำไปทั่วฟ้าด้วยความชื่นชมยินดี และหลังจากนั้น...แผ่นดินก็ถูกทำให้สั่นสะเทือนด้วยเสียงเพลงแห่งชีวิตนิรันดร์ และ...

     

         โครม!!!

     

         ร่างของฉันก็ได้ล้มลงนอนอย่างสงบนิ่งบนแผ่นหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์นั้น และภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นคือภาพของเหล่านกพิราบที่พากันบินวนรอบร่างของฉัน พวกมันพากันส่งเสียงร้องด้วยความชื่นชมยินดีราวกับกำลังร้องบอกเป็นนัยน์ว่า 'ยินดีด้วย เธอทำสำเร็จแล้ว!'

     

    ( End Monstella 's Part )

     

         ขณะนี้พวกเราทั้งแปดคนกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ในปราสาทของเจ้าแห่งนิรันดร์กาลด้วยความกระวนกระวายพลางจ้องไปที่นาฬิกาหินสีนิลที่ตั้งอยู่บนผนังห้องอย่างเอาเป็นเอาตาย

     

         " เฮ้อ! นี่ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำไมมอนสเตลล่ายังไม่กลับมาอีกล่ะ? " ดีซีดอเรต้าร้องขึ้นอย่างร้อนใจ " หรือว่า...เธอจะทำไม่สำเร็จ "

     

         " ไม่มีทาง! มอนสเตลล่าเป็นนักเวทย์ที่เก่งที่สุดในอิมเมจีนิสเชียวนะ เธอไม่มีวันทำไม่สำเร็จเป็นแน่ " เบลลาทริกซ์ว่า จากนั้น...คนที่เหลือก็พากันร้องประสานขึ้นพร้อมกันว่า

     

         " แล้วเธอมัวทำอะไรอยู่ล่ะ? " 

     

         ตึก...ตึก...ตึก!!!

     

         ทันใดนั้น...เสียงฝีเท้าก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านนอกปราสาท และเสียงฝีเท้านั้นก็ได้ดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีคนกำลังเดินมาทางนี้  และแล้วเงาของคนสองคนก็ได้เคลื่อนที่พาดผ่านผนังห้องมาณ.จุดที่พวกเรานั่งอยู่นี้เรื่อยๆ และเราก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเจ้าแห่งนิรันดร์กาลกำลังประคองร่างที่ไร้สติของมอนสเตลล่าเข้ามา และกำลังจะเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ลึกที่สุดของปราสาท พวกเราจึงพยักหน้าพร้อมกันก่อนที่จะตัดสินใจเดินตามเข้าไปทันที

     

         ห้องที่อยู่ลึกที่สุดของปราสาทนั้นเป็นห้องโล่งๆ ที่ผนังห้องทั้งหมดถูกทาเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ในห้องนี้ไม่มีอะไรวางอยู่เลยนอกเสียจากวัตถุที่มีลักษณะคล้ายหลอดแก้วยักษ์ที่วางอยู่กลางห้อง ด้านหน้าของหลอดแก้วยักษ์อันนั้นมีปุ่มสำหรับเหยียบติดตั้งไว้อยู่หลายปุ่ม และดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่แค่หลอดแก้วทำธรรมดาเสียด้วยสิ

     

         เจ้าแห่งนิรันดร์กาลประคองร่างที่ไร้สติของมอนสเตลล่าไปที่หน้าหลอดแก้วยักษ์ทันทีที่เข้ามาในห้องสีขาวอันว่างเปล่านี้ เขาใช้เท้าขาวเหยียบลงบนปุ่มสีน้ำเงินที่อยู่ทางขวาสุด และ...

     

         วื๊ดดดดดดดดดด!!!

     

         ทางเข้าของหลอดแก้วอันนี้ก็ได้เปิดออก จากนั้น...เจ้าแห่งนิรันดร์กาลจึงนำร่างที่ไร้สติของมอนสเตลล่าวางลงในหลอดแก้วนั้นทันทีก่อนที่จะเคลื่อนเท้าไปกดลงบนปุ่มสีม่วงที่อยู่ทางซ้ายสุด และหลังจากนั้น...เครื่องจักรกลที่ถูกติดตั้งอยู่บนหลอดแก้วนั้นก็เริ่มที่จะทำงานโดยทันที

     

         ตอนนี้พวกเราเริ่มได้สติแล้ว หลังจากที่ยืนอึ้งกันอยู่นาน ในที่สุด...เบลลาทริกซ์ก็ได้เอ่ยถามขึ้นด้วยความสะเทือนใจว่า

     

         " ทำไมมอนสเตลล่าถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของข้าล่ะเจ้าคะ? " พอเบลลาทริกซ์พูดจบ เจ้าแห่งนิรันดร์ก็มีสีหน้าเศร้าสลดอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " นางหมดสติไปเพียงเพราะว่านางไม่คุ้นเคยกับสภาพบรรยากาศภายในจุดศูนย์กลางของจักรวาลน่ะสิ เพราะจุดศูนย์กลางของจักรวาลเป็นสถานที่ที่มีสภาพอากาศแปรปวนเป็นอย่างมาก ทำให้นางปรับตัวไม่ทันจึงเป็นอย่างที่พวกเจ้าเห็นนี่แหละ " เจ้าแห่งนิรันดร์กาลว่า " แต่ในขณะนี้...ข้านำร่างนางไปรักษาตัวในหลอดแก้วเพิ่มพลังแล้ว และอีกสักพัก นางก็จะฟื้นตัวขึ้นมาเอง "

     

         " แล้วเรื่องภารกิจของนาง--- " เรอัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นที่ฟังดูหนักแน่นเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " เรื่องภารกิจน่ะ นางทำสำเร็จอยู่แล้ว พวกเจ้าไม่ต้องกังวลหรอกนะ " เจ้าแห่งนิรันดร์กาลว่า " และตอนนี้เราก็ยังทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากการรอให้นางฟื้นขึ้นมาเสียก่อน พวกเจ้าคงจะกระหายน้ำสินะ " เจ้าแห่งนิรันดร์กาลว่าพลางหยิบเหยือกน้ำสีนิล และแก้วน้ำทรงเรียวสูงสีขาวบริสุทธิ์ออกมาจากที่เก็บของใต้พื้น จากนั้น...เขาจึงรินน้ำจากเหยือกสีนิลให้พวกเราดื่ม มันเป็นน้ำสีนิลที่ดื่มแล้วให้ความรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง  " นี่คือน้ำที่ได้จากทะเลสาบแห่งชีวิตนิรันดร์ซึ่งอยู่ทางใต้สุดของเซนซา ซอร์ดิเนีย อาณาจักรอันเป็นที่รักของเจ้า น้ำจากทะเลสาบแห่งชีวิตนิรันดร์นี้จะช่วยให้พวกเจ้ารู้สึกสบายใจ ลืมความกังวลไปได้ตลอดวัน และมันยังทำให้พวกเจ้ารู้สึกเหมือนดีราวกับได้รับชีวิตใหม่อีกด้วย ระหว่างรอให้นักเวทย์ฟื้นตัว พวกเจ้าช่วยบอกข้าทีว่าพวกเจ้าเป็นใคร "

     

         " ข้า...โซเฟจ ทูตศักดิ์สิทธิ์จากนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในสมาชิกขององค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบน ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้มอบภารกิจให้แก่ผู้ถูกเลือก "

     

         " ข้า...ยูลิค ทูตศักดิ์สิทธิ์จากนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ อดีตประทานแห่งองค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบน ผู้ซึ่งถูกเลือกให้ทำภารกิจที่หนึ่งณ.เลเพรซโซ ดินแดนแห่งความหนาวเหน็บ และหน้าที่ของข้าก็คือการตามหาแสงแดดที่หายไปของเลเพรซโซให้กลับคืนมา ข้าใช้เวลาในการทำภารกิจทั้งหมดห้าชั่วโมง และในที่สุด...ข้าก็ทำสำเร็จ "

     

          " ข้า...อดอล์ฟ ยมทูตชนชั้นสูงแห่งมิติมรณะ ผู้ซึ่งถูกเลือกให้ทำภารกิจที่สองณ.วิชเชล่า ดินแดนแห่งความเสื่อม และหน้าที่ของข้าก็คือปกป้องผู้บริสุทธิ์ที่ยังคงเหลืออยู่ในวิเชล่า และทำลายล้างสัตว์นรกริโซเลโต้เพื่อจะให้จิตวิญญาณธาตุสว่างกลับคืนสู่ประชาชนชาววิชเชเลียนทุกคน ข้าในเวลาในการทำภารกิจทั้งหมดสามวัน และช่วงเวลาสุดท้ายของข้าคือสี่ชั่วโมง และในที่สุด...ข้าก็ทำสำเร็จ "

     

         " ข้า...เบลลาทริกซ์ ลูกสาวคนโตของตระกูลเวลส์ไดมอนด์ ข้าเป็นผู้ใช้พลังจิตที่ถูกเลือกให้ทำภารกิจที่สามณ.ไซไทร์น่า ดินแดนแห่งความวิปริต และหน้าที่ของข้าก็คือข้าต้องหยุดยั้งการล่าเหยื่อที่บ้าคลั่งของเหล่าผีดิบ และอสุรกายผู้กระหายเลือดให้ได้ ข้าใช้เวลาในการทำภารกิจสองวันและช่วงเวลาสุดท้ายของข้าคือสามชั่วโมง และในที่สุด...ข้าก็ทำสำเร็จ "

     

         " ข้า...ดีซีดอเรต้า ทายาทรุ่นที่หกสิบหกของตระกูลฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์ผู้ซึ่งมองเห็นอนาคตได้จากความฝัน ข้าเคยพบท่านครั้งหนึ่งบนเครื่องบินเมื่อสิบวันก่อน หวังว่า...ท่านคงจะจำข้าได้นะ ข้าถูกเลือกให้ทำภารกิจที่สี่ณ.ดิเครซซิโม ดินแดนแห่งการทำลายล้าง และหน้าที่ของข้าคือการหยุดยั้งการทำลายเพื่อให้จักรวาลอยู่รอด ข้าในเวลาในการทำภารกิจสองวัน และช่วงเวลาสุดท้ายของข้าคือสองชั่วโมง และในที่สุด...ข้าก็ทำสำเร็จ "

     

         " ข้า...ดรากเนส เจ้าแห่งคาร์ริส ผู้ใช้พลังมืดผู้ซึ่งมีความเร็วที่หาตัวจับได้ยาก ข้าถูกเลือกให้ทำภารกิจที่ห้าณ.ลาลาโมเซ่ ดินแดนแห่งความรื่นเริง และหน้าที่ของข้าคือการประมูลอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด ข้าใช้เวลาในการทำภารกิจหนึ่งชั่วโมง และในที่สุด...ข้าก็ทำสำเร็จ "

     

         " ข้า...เรอัสผู้ไร้เวทย์แห่งดินแดนทูต แคร์เซียน่า ข้าถูกเลือกให้ทำภารกิจที่หกณ.ลาลาโมเซ่ ดินแดนแห่งความรื่นเริง และหน้าที่ของข้าคือการแปลข้อความภาษาดับเบิ้ลเอสจากกระดาษที่บรรจุอยู่ในหีบใส่อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด ข้าใช้เวลาในการทำภารกิจประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ข้าให้เวลาเกินจากนั้นสองนาทีห้าสิบสามวินาที แต่แล้ว...ข้าก็ขอร้องกับเจ้าแห่งเบื้องบนให้ท่านให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง และในที่สุด...ข้าก็ทำสำเร็จ "

     

         " ข้า...แบล์คลีซา ลูกสาวคนรองของตระกูลเวลส์ไดมอนด์ ผู้ซึ่งไม่มีพลังวิเศษอะไรเลย และยังไม่ได้ถูกเลือกให้ทำภารกิจ " พอฉันพูดจบ เจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็ยิ้มก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " แบล์คลีซา...เจ้าจงเตรียมตัวไว้เถิด เพราะอีกไม่นาน...เจ้าก็จะได้มีส่วนร่วมในการเดินทางครั้งนี้แล้ว และภารกิจของเจ้าก็เป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดสำหรับการเดินทางครั้งนี้ด้วย " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล ฉันจึงพยักหน้ารับช้าๆ พลางรู้สึกกังวลเล็กน้อยแล้วคิดไปว่า'ฉันจะทำสำเร็จมั้ยนะ?'

     

         หลังจากนั้น...พวกเราก็นั่งรอการฟื้นตัวของมอนสเตลล่าอยู่นาน จนกระทั่ง...ตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยมาถึงสองทุ่มซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พวกเราเริ่มที่จะหมดหวังกันบ้างแล้ว แต่ในขณะนี้...ดูเหมือนว่าเจ้าแห่งนิรันดร์กาลจะเป็นเพียงคนเดียวที่ยังยิ้มได้ในช่วงเวลานี้ เขายิ้มให้ฉันก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

     

         " แบล์คลีซา...เจ้าจงฝาหีบบรรจุอัญมณีแห่งฤทธานาภาพสูงสุด แล้วจงดึงหนามที่ปักอยู่บนอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดนั้นออก " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล ฉันจึงเดินไปที่หีบบรรจุอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด แล้วเปิดฝาหีบก่อนที่จะดึงหนามที่ปักอยู่บนอัญมณีแห่งฤทธานาภาพสูงสุดนั้นออก หลังจากนั้น...เจ้านิรันดร์กาลก็ยื่นแก้วน้ำทรงเรียวสีขาวให้ฉันพร้อมกับพูดว่า

     

    " เจ้าจงรับแก้วนี้ไป แล้วจงรินน้ำยาชุบชีวิตซึ่งบรรจุอยู่ในอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดให้ได้ปริมาณเศษหนึ่งส่วนสี่ของแก้วนี้ " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล ฉันจึงรับแก้วนี้ไปก่อนที่จะหยิบอัญมณีแห่งฤทธานาภาพสูงสุดออกจากหีบแล้วคว่ำมันลงเพื่อรินน้ำชาชุบชีวิตให้ได้เศษหนึ่งส่วนสี่ของแก้ว พอรินเสร็จฉันก็เก็บอัญมณีแห่งฤทธานาภาพสูงสุดไว้ในกล่องตามเดิมก่อนที่จะยื่นแก้วน้ำที่บรรจุน้ำยาชุบชีวิตให้แก่เจ้าแห่งนิรันดร์กาลในขณะที่คนอื่นๆ ต่างก็มองฉันด้วยความตกตะลึง แล้วก็เริ่มที่จะซุบซิบกันซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

     

     หลังจากนั้น...เจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็รับแก้วน้ำใบนั้นไปแล้วเดินไปที่หน้าหลอดแก้วยักษ์ก่อนที่จะใช้เท้าเหยียบลงบนปุ่มสีม่วงเพื่อหยุดการทำงานของเครื่องจักร และปุ่มสีน้ำเงินเพื่อเปิดหลอดแก้วยักษ์นั้นออก

     

     เจ้าแห่งนิรันดร์กาลเดินเข้าไปใกล้ร่างที่ไร้สติของมอนสเตลล่าแล้วจึงนำน้ำยาชุบชีวิตที่บรรจุอยู่ในแก้วใบนั้นกรอกเข้าใส่ปากมอนสเตลล่า และเพียงแค่เสี้ยววินาทีต่อมา มอนสเตลล่าก็ได้เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ เธอค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ ก่อนที่จะเดินออกมาจากหลอดแก้วยักษ์นั้น เธอมองไปรอบๆ ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นว่า

     

         " เกิดอะไรขึ้นน่ะ? "

     

    " ท่านหมดสติไปหลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีคืนความสมดุลให้แก่จักรวาล เนื่องจากท่านปรับตัวไม่ทันกับสภาพบรรยากาศที่แปรปวนของจุดศูนย์กลางของจักรวาล " เจ้าแห่งนิรันดร์กาลว่า " แต่ท่านจงอย่ากังวลไปเลย เพราะภารกิจของท่านได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ท่านทำมันสำเร็จได้อย่างไร้ที่ติ และในอีกประมาณสามชั่วโมงข้างหน้า ภารกิจต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล ฉันก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาในทันที จิตใจของฉันกังวลถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น ผิวกายของฉันที่บัดนี้ได้ชาไปหมด และเหงื่อก็ได้เริ่มไหลท่วมร่าง สิ่งเหล่านั้นบ่งบอกได้ว่าฉันกำลังกลัว ฉันไม่ได้กลัวการทำภารกิจหรอกนะ เพียงแค่ฉันกลัวว่าฉันจะทำมันไม่สำเร็จน่ะสิ

     

         " พวกเจ้าทั้งหมดเป็นบุคคลที่น่าทึ่งมาก พวกเจ้าทั้งหมดมีความพยายามในการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ แม้เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเอง " เจ้าแห่งนิรันดร์กาลเอ่ยขึ้น แต่คำพูดให้กำลังใจของเขาก็ไม่ได้ทำให้ความกลัวของฉันหายไปเลยแม้แต่น้อย " และถ้าสังเกตจากช่วงเวลาสุดท้ายของภารกิจแรกจนถึงภารกิจที่เจ็ดจะเห็นว่าช่วงเวลาสุดท้ายในแต่ละภารกิจนั้นจะลดน้อยลง จากห้าชั่วโมงเหลือสี่ชั่วโมง จากสี่ชั่วโมงเหลือสามชั่วโมง จากสามชั่วโมงเหลือสองชั่วโมง จากสองชั่วโมงเหลือหนึ่งชั่วโมง จากหนึ่งชั่วโมงเหลือครึ่งชั่วโมง จากครึ่งชั่วโมงเหลือสิบห้านาที และจากสิบห้านาทีเหลือ...ห้านาที "

     

         " ห้านาที!?! " ฉันทวนคำด้วยความตกใจเล็กน้อยพลางหันไปมองคนที่เหลือ พวกเขาก็มีสีหน้าตกใจเช่นกัน " จะเป็นไปได้อย่างไรที่ข้าจะทำภารกิจให้เสร็จภายในห้านาที ในเมื่อข้าก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้มีพลังวิเศษเหมือนกับคนอื่นๆ เลย "

     

         " แบล์คลีซา...เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้นล่ะ เจ้าไม่ใช่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาหรอก แต่เจ้าเป็นผู้ใช้พลังบริสุทธิ์ต่างหากเล่า " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล ฉันก็อึ้งไปชั่วขณะ ฉันเป็นผู้ใช้พลังบริสุทธิ์งั้นหรอ? ป่ะ...เป็นไปไม่ได้!!!

     

         " เจ้าเป็นผู้ใช้พลังบริสุทธิ์จริงๆ ถ้าหากว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ใช้พลังบริสุทธิ์แล้วเจ้าก็จะจับต้องอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดไม่ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับคำเตือนสำหรับผู้ใช้ข้อที่สามที่ว่าผู้ใช้พลังบริสุทธิ์. มีสิทธิ์ที่จะแตะต้องอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดนี้ได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น ถ้าหากผู้ใดที่ไม่ใช่ผู้ใช้พลังบริสุทธิ์แตะต้องอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดอาจเกิดรอยร้าว อาจสูญเสียพลังสะสม และอาจทำให้ผู้ที่แตะต้องเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ " คำพูดของเจ้าแห่งนิรันดร์กาลช่วยเรียกสติของฉันให้กลับคืนมาเพื่อเข้าสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง และตอนนี้ฉันก็พยายามที่จะยอมรับว่าฉันเป็นผู้ใช่พลังบริสุทธิ์

     

         " ขณะนี้เวลายี่สิบนาฬิกายี่สิบห้านาที ภารกิจของเจ้าจะเริ่มขึ้นเมื่อเวลายี่สิบสามนาฬิกาห้าสิบห้านาที เพราะฉะนั้น...จะเหลือเวลาจากนี้เพียงแค่สองชั่วโมงสามสิบนาทีเท่านั้น และในตอนนี้...ข้าจะนำพวกเจ้าไปยังทะเลสาบแห่งชีวิตนิรันดร์ที่ซึ่งเจ้าจะทำภารกิจสุดท้ายของการเดินทางที่นั่น และแน่นอน...ภารกิจของเจ้าจำเป็นที่จะต้องใช้อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด ขอให้เจ้านำมันไปด้วย " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล เขาก็เดินนำพวกเราออกไป ฉันจึงหยิบหีบบรรจุอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดไปด้วยก่อนที่จะเดินตามเจ้าแห่งนิรันดร์กาลไปยังทะเลสาบแห่งชีวิตนิรันดร์ทันที

     

         สิบห้านาทีต่อมา...พวกเราทั้งหมดได้มาถึงทะเลสาบแห่งชีวิตนิรันดร์แล้ว มันเป็นทะเลสาบสีนิลที่สงบนิ่งท่ามกลางบรรยากาศหนาวเย็นยามราตรีกาล พวกเรานั่งลงรอบๆ ทะเลสาบนั้นพลางพูดคุยกันเพื่อรอเวลานั้นมาถึง

     

         " แบล์...ในที่สุดเธอก็มีพลังวิเศษเหมือนพวกเราแล้วนะ ไม่ต้องตื่นเต้นนะ ฉันเชื่อว่าเธอต้องทำได้อย่างแน่นอน " เบลลาทริกซ์ว่า " ตอนแรกที่ฉันรู้ว่าฉันเป็นผู้ใช้พลังจิตฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนเธอนั่นแหละ และตอนที่ฉันรู้ตัวว่าตัวเองได้กลายเป็นผู้ถูกเลือกให้ทำภารกิจ ฉันก็ไม่มั่นใจในตัวเองเหมือนกันว่าฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่พอฉันได้ใช้พลังจิตเป็นครั้งแรก และเห็นว่ามันใช้ได้ผล ฉันก็รู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นมากเลยล่ะ และมันทำให้ฉันแข็งแกร่ง และกล้าหาญมากขึ้น และฉันก็คิดว่าเธอคงจะเป็นเช่นนั้นเช่นกัน "

     

         " ขอบคุณนะเบล ฉันดีใจจริงๆ ที่มีพี่อย่างเธอ "

     

         " แบล์...ตั้งแต่เกิดมา ฉันได้ยินเธอพูดแบบนี้มาล้านรอบแล้วนะ " เบลลาทริกซ์ว่าพลางหัวเราะ

     

         " แบล์คลีซา...เธอต้องทำได้แน่ ฉันเชื่อใจเธอ " ยูลิคว่า แล้วหลังจากนั้นเขาก็โดนดรากเนสตบหัวแรงๆ เพราะว่า...

     

         " แกบังอาจล้อเลียนฉันหรอ หา! " ดรากเนสตวาดพลางจ้องหน้ายูลิคอย่างเอาเป็นเอาตาย และยูลิคก็หลบหน้าดรากเนส แล้วดรากเนสก็ตบบ่ายูลิคแล้วพูดขึ้นว่า " ล้อเล่นน่า " จากนั้น...ยูลิคก็ยิ้ม แล้วดรากเนสก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " ทุกคน...ถ้าเรารอดจากการเดินทางสิบวันนรกนี่ไปได้ ต่อไปเราจะทำอะไร? " สิ้นคำดรากเนส คนอื่นๆ ก็ร้องประสานเสียงเป็นทำนองเพลงกันขึ้นมาว่า

     

         " กลับบ้าน! กลับไปใช้ชีวิตปกติของเรา! กลับไปแหกกฎบนโลกกันต่อ! "

     

         " แล้วคิดว่าคืนนี้เราจะรอดกันมั้ย? "

     

         " รอด!!! "

     

         ยิ่งได้ยินแบบนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกกดดัน ฉันคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตถ้าหากว่าฉันทำภารกิจในครั้งนี้ไม่สำเร็จ แต่ฉันก็เชื่อว่าเพื่อนผู้ร่วมเดินทางอีกแปดคนผู้ซึ่งเชื่อมั่นในตัวฉันจะต้องเสียใจมากกว่าฉันเป็นแน่

     

         การนั่งตากอากาศแล้วชมทะเลสาบแห่งชีวิตนิรันดร์ยามราตรีกาลเป็นวิธีการฆ่าเวลาที่ดีจริงๆ เพราะการทำอย่างนี้ทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก และในทางตรงข้าม...ฉันก็รู้สึกว่าเวลาได้เดินเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้มาก จนกระทั่ง...

     

         " ขณะนี้เวลายี่สิบสามนาทีห้าสิบห้านาที แบล์คลีซา...เจ้าจงก้าวมาหาข้าแล้วรอฟังสิ่งที่เจ้าจะต้องทำในอีกสักครู่นี้ " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล ฉันจึงค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วก้าวออกไปหาเจ้าแห่งนิรันดร์กาลที่ยืนอยู่ที่ชายฝั่งของทะเลสาบแห่งชีวิตนิรันดร์อย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วเจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็ผายมือออกไปที่ทะเลสาบแห่งชีวิตนิรันดร์นั้น จากนั้น...แสงจากโคมไฟที่ตั้งอยู่รอบๆ ทะเลสาบนั้นก็ได้สาดส่องไปที่พื้นผิวน้ำสีนิลของทะเลสาบเผยให้เห็นหินสีน้ำเงินที่เรียงตัวกันเป็นเส้นตรงอย่างสวยงาม หลังจากนั้น...เจ้าแห่งนิรันดร์กาลก็เอ่ยขึ้นว่า

     

         " และนี่คือสิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือเจ้าต้องเดินข้ามทะเลสาบแห่งชีวิตนิรันดร์โดยเดินไปตามแนวหินสีน้ำเงินเหล่านี้ และมันจะพาเจ้าไปยังจุดหมาย นั่นก็คือ...จุดที่อยู่ใต้ท้องฟ้าศักดิ์สิทธิ์ และที่นั่น เจ้าจะต้องโยนอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดขึ้นสู่ฟ้าเพื่อให้ท้องฟ้าศักดิ์สิทธิ์เปิดออก จงหยิบอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดออกจากหีบแล้วจับมันไว้ให้แน่นเพื่อไม่ให้มันตกลงในทะเลสาบนี้ และทุกย่างก้าวของเจ้า ขอให้เจ้าตั้งสติไว้ให้ดี และจงก้าวเท้าให้มั่น เพราะหินเหล่านี้เคยทำให้คนตกลงไปในทะเลสาบแห่งนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เป็นเพราะว่าหินเหล่านี้จะคอยเอนตัวไปมาราวกับไร้น้ำหนัก และเจ้าจงระวังอย่าให้ตัวเจ้าเองตกลงไปในทะเลสาบแห่งชีวิตนิรันดร์นี้เด็ดขาด เพราะข้างใต้ทะเลสาบแห่งนี้ได้เชื่อมต่อกับมิติปริศนาที่หนึ่ง-แปด-สาม-ห้า ถ้าเจ้าตกลงไป เจ้าจะถูกขังอยู่ในมิติปริศนาที่หนึ่ง-แปด-สาม-ห้าไปตลอดชีวิต และไม่มีวันได้ออกมาอีกเลย " สิ้นคำเจ้าแห่งนิรันดร์กาล ฉันจึงเดินกลับไปหยิบอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดออกมาจากหีบ แล้วกอดมันไว้แน่น จากนั้น...ฉันจึงได้จัดสินใจที่จะก้าวขวาเท้าเหยียบลงบนหินสีน้ำเงินก้อนแรกที่ลอยอยู่บนทะเลสาบแห่งชีวิตนิรันดร์ แต่ดูเหมือนว่าฉันกำลังถูกมารผจญให้ฉันไขว้เขว้ไป และฉันก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะทำมันเมื่อมีเสียงดังก้องขึ้นในหัวฉัน

     

              " ฉันขอเตือนเธอไว้ก่อนนะว่าที่เธอมีกุญแจดอกนี้ไว้ครอบครองน่ะ มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ เพราะว่าการใช้กุญแจดอกนี้ มันเป็นการกระทำที่ผิดกฎของสวรรค์ จงใช้กุญแจดอกนี้แต่จำเป็น แล้วอย่าใช้มากจนเกินไป ถ้าหากเธอฝ่าฝืนล่ะก็ เธอ รวมทั้งผู้ร่วมกระทำผิดคนอื่นๆ จะต้องมีอันเป็นไปภายในสิบวันหลายจากที่ได้เริ่มไขกุญแจดอกนี้แล้ว "

     

          " ผมมีเรื่องจะขอร้องให้พวกคุณช่วยน่ะ คือว่า...ผมได้แอบหนีมาจากนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว นครบริสุทธิ์ของเราเป็นสถานที่ที่เข้ายาก และออกง่าย ถ้าใครออกไปจากที่นั่นเกินกว่าสิบวันโดยภารการแล้วจะต้องมีอันเป็นไปในอีกสิบวันข้างหน้า นับตั้งแต่วันที่ออกมาจากที่นั่น และตอนนี้ผมก็ออกมาจากที่นั่นหนึ่งวันแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เหลือเวลาอยู่อีกแค่เก้าวันเท่านั้นที่จะต้องกลับไปยังนครบริสุทธิ์ให้ได้ แต่การที่จะสามารถกลับเข้าไปในนครบริสุทธิ์นั้นได้ เราจำเป็นต้องเดินทางผ่านเมืองต่างๆ และแต่ละเมืองนั้นก็จะมีภารกิจรออยู่ และผู้ที่ถูกเลือกก็จะต้องทำภารกิจนั้นให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าคนนั้นทำไม่สำเร็จ ทั้งคนนั้น และเพื่อนผู้ร่วมการเดินทางทั้งหมดก็จะตาย "

     

         'ถ้าฉันทำพลาด แล้วการเดินทางครั้งนี้ก็จะจบลงทันที และทุกสิ่งที่พวกเราตั้งใจทำมาด้วยกันก็จะเปล่าประโยชน์ใช่มั้ย?' ฉันคิดพลางเลื่อนเท้าขวาลงจากหินก้อนนั้น 

     

         " แบล์คลีซา...เธอมัวทำอะไรอยู่! ทำไมไม่ไปต่อ!?! เลิกขี้ขลาดได้แล้ว!!! " ดีซีดอเรต้าตวาดขึ้น และคำพูดเสียดสีของดีซีดอเรต้าก็ทำให้ฉันคิดได้

     

         'ใช่! พวกเราดั้นด้นกันมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว จะไม่มีคำว่าถอย หรือยอมแพ้อีกแล้วนะ เธอขี้ขลาดมาตลอดทั้งชีวิตแล้ว ถึงเวลาที่เธอจะกลายเป็นคนใหม่ได้แล้ว แบล์คลีซา...สิ่งที่เธอต้องทำก็คือเธอต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ อย่าไปสนใจมัน คำขู่พวกนั้นทำอะไรเธอไม่ได้หรอก' ฉันคิดก่อนที่จะพยักหน้าให้ดีซีดอเรต้าแล้วตัดสินใจก้าวเท้าเหยียบลงบนหินสีน้ำเงินก้อนแรกอย่างมั่นคง ฉันพยายามก้าวเท้าอย่างช้าๆ แต่มั่นคงพลางใช้มือทั้งสองข้างกอดอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดไว้แน่น จนกระทั่ง...ฉันเดินมาได้ถึงครึ่งทางแล้ว

     

         " แบล์คลีซา...รีบๆ เร็วเข้า ตอนนี้เหลือเวลาเพียงแค่หนึ่งนาทีกว่าเท่านั้น! " มอนสเตลล่าร้องบอก เมื่อได้ยินดังนั้น...ฉันจึงก้าวเท้าเหยียบลงบนหินก้อนต่อไป และ...

     

         " กรี๊ดดดดดด! " ฉันกรีดร้องขึ้นเมื่อรู้สึกว่าหินก้อนที่ฉันกำลังก้าวเท้าไปเหยียบนั้นกำลังเอียงลงไปข้างล่าง ฉันจึงรีบตั้งสติแล้วประคองตัวไว้ให้มั่นก่อนที่จะใช้ปลายเท้าเหยียบลงบนหินก้อนต่อไปอย่างนุ่มนวล จนในที่สุด...ฉันก็มาถึงจุดใต้ท้องฟ้าศักดิ์สิทธิ์แล้ว และแล้วการเดินทางครั้งนี้กำลังจะจบลงแล้วในไม่ช้านี้

     

         " ตอนนี้เหลือเวลาเพียงแค่สิบวินาทีเท่านั้น! " มอนสเตลล่าร้องบอก " สิบ...เก้า...แปด--- "

     

         'เอาละนะ' ฉันคิดพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มที่มืดทึบราวกับถูกปิดตายก่อนที่จะตัดสินใจโยนอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดขึ้นสู่ฟ้า และ...

     

         พรึ่บ!!!

     

         แสงสีทองประกายขาวได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า และแสงนั้นก็ได้สว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ในวินาทีนั้น...ฉันก็รู้ได้ทันทีว่า ท้องฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้เปิดออกแล้ว 'นี่ฉันทำได้จริงๆ หรอเนี่ย?' ฉันถามตัวเองในใจพลางน้ำตาคลอด้วยความชื่นชมยินดี

     

         " บัดนี้...การทดสอบสิบวันของเจ้าแห่งเบื้องบนได้สิ้นสุดลงแล้ว ผมเสียใจที่ต้องบอกลาพวกคุณผู้ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของผม เพราะตอนนี้มันกำลังจะเข้าสู่วันที่สิบเอ็ดแล้ว หากถ้าเราไปช้ากว่านี้ เกรงว่าพระพิโรธของเจ้าแห่งเบื้องบนอาจปรากฏแก่ท่านได้ " โซเฟจเอ่ยขึ้นพลางปรากฏตัวต่อหน้าฉัน เขาสวมชุดสูทสีขาวเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน สวมล็อกเกตรูปกางเขนมีปีกสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์ลับของเหล่าทูตจากเบื้องบน และกำลังเคลื่อนที่ขึ้นสู่แสงสีทองด้วยปีกสีขาวสง่างามของเขา เมื่อโซเฟจสันธานไปแล้ว ยูลิคที่สวมชุดสูทสีขาวเช่นเดียวกันกับโซเฟจ สวมล็อกเกตรูปกางเขนมีปีกสีเงินที่บัดนี้มันได้เรืองแสงสีฟ้า และกำลังเคลื่อนที่มาหาฉันด้วยปีกสง่างามสีเทา เขาฉีกยิ้มกว้างให้ฉันก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " แบล์คลีซา ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เคยทำให้ฉัน ฉันรู้สึกว่าฉันโชคดีจริงๆ ที่ตกลงมาแล้วเจอเธอเป็นคนแรก ขอบคุณที่เธอไม่เห็นว่าฉันเป็นโรคจิตตอนที่เราเจอกันครั้งแรก แล้วตอนนั้นฉันก็ได้เปลือยกายทั้งตัว ขอบคุณสำหรับอาหารที่เธอยกมาเสิร์ฟให้ฉันทุกเช้า ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้าที่เธอยืมมาจากดรากเนสมาให้ฉันใส่ ขอบคุณสำหรับเตียงนุ่มๆ ของเธอ ขอบคุณสำหรับการที่เธอนอนคุยกับฉันทุกคืน เพราะมันทำให้ฉันไม่รู้สึกเหงา ขอบคุณสำหรับความกล้าหาญของเธอที่เธอพยายามในการเอากุญแจดอกนี้มาจากปู่ทวดของฟาร์เวล เดอ โฮพิโอ จนทำให้เธอเกือบถูกการ์ดของบ้านนั้นยิงตาย ขอบคุณสำหรับการตัดสินใจในการร่วมเดินทางด้วยกัน และขอบคุณที่เธอมีความกล้าพอที่จะช่วยให้ฉันกลับไปยังที่ที่ฉันมาได้นะ และฉันจะไม่ลืมการเดินทางที่แสนยิ่งใหญ่นี้ รวมถึงเพื่อนที่แสนดีทั้งเจ็ดคนด้วย ลาก่อน " ยูลิคว่า ฉันจึงได้แต่ยิ้มแล้วโบกมือให้เขา ก่อนที่ยูลิคจะบินผ่านแสงสีทองแล้วหายลับไป

     

         มันจบลงแล้วสินะ

     

         หลังจากนั้น...ฉันก็ถูกทำให้ลอยขึ้นสู่ฟ้าแล้วเคลื่อนที่กลับมายังชายฝั่งของทะเลสาบแห่งชีวิตนิรันดร์ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของฉัน ทุกคนล้วนแต่ยืนรอฉันอยู่ที่นั่นด้วยความชื่นชมยินดี

     

         " ขณะนี้...เวลาเที่ยงคืนเจ็ดนาที การเดินทางของพวกเจ้าได้สิ้นสุดลงแล้ว และบัดนี้ถือเป็นฤกษ์ดีสำหรับการเดินทางกลับบ้านของพวกเจ้า " เจ้าแห่งนิรันดร์กาลว่าพลางผายมือออก แล้วหลังจากนั้น...แสงสีขาวบริสุทธิ์ก็สาดส่องไปที่พวกเราทั้งหมด และต่อจากนี้...พวกเราทั้งหมดก็จะได้กลับไปยังที่ที่พวกเราอยู่ กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ส่วนเรื่องการเดินทางในครั้งนี้ก็จะกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่ล้ำค่าที่ยังตราตรึงอยู่ในใจฉันชั่วกัลปาวสาน...  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×