คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : The jewel of the greatest power
The jewel of the greatest power
( Darkness 's part )
ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าผมได้กลายเป็นผู้ถูกเลือกให้ทำภารกิจต่อไปแล้วในตอนนี้ สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของทุกคนที่มองมาที่ผมทำให้ผมรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก ทุกคนคงอยากให้ผมทำภารกิจนี้ให้สำเร็จเพื่อให้พวกเขาจะได้มีชีวิตอยู่ต่ออีกหน่อยละมั้ง
" พวกคุณนี่โชคดีจริงๆ ที่เจ้าแห่งเบื้องบนยังเมตตาให้พวกคุณมีชีวิตอยู่ต่ออีกหน่อย และภาระหนักอึ้งนี้ก็ตกเป็นของคุณดรากเนสซึ่งคุณจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จเพื่อให้เพื่อนผู้ร่วมเดินทางของคุณจะได้ตายช้าลง " โซเฟจว่า
" แล้วฉันต้องทำยังไงบ้าง? " ผมถามขึ้นอย่างร้อนใจ
" หน้าที่ของคุณก็คือคุณจะต้องนำอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดออกมาจากงานประมูลสมบัติล้ำค่าที่สุดแห่งจักรวาลให้ได้ อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดก็คืออัญมณีที่มีหนึ่งเดียวในจักรวาลที่มีความสง่างาม และมีราคาแพงมาก และที่สำคัญ...ภายในอัญมณีนั้นยังเป็นที่เก็บซ่อนพลังอำมตะไว้ ถ้าหากใครได้อัญมณีนี้ไปครอบครองละก็ คนนั้นจะมีอำนาจเทียบเท่ากับพระเจ้าสูงสุดเลยก็ว่าได้ และงานประมูลนั้นจะเกิดขึ้นที่โรงแรมมานโดลีนาต้า เวลาที่ใช้ในการประมูลคือหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม " พอโซเฟจพูดจบ ผมก็ขมวดคิ้วก่อนที่จะถามขึ้นว่า
" ตอนนี้กี่โมงแล้ว? " พอผมพูดจบ โซเฟจก็ก้มมองนาฬิกาของตัวเองและในตอนนั้นเอง สีหน้าของเขาก็ไม่สู้ดีนักราวกับกำลังหน้าซีดราวกับกลัวอะไรบางอย่าง จากนั้น...เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า " ผมเสียใจที่ต้องบอกคุณว่าตอนนี้หกโมงเจ็ดนาทีแล้ว " พอผมได้ยินคำตอบของโซเฟจแล้ว ผมก็เลือดขึ้นด้วยความโกรธพลางคิดในใจว่า'ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้นะ'
" แล้วใครรู้บ้างว่าโรงแรมมานโดลีนาต้าอยู่ที่ไหน? " พอผมพูดจบ มอนสเตลล่าก็กางแผนที่ที่ได้รับแจกจากเจ้าหน้าที่บนรถไฟ
" รู้สึกว่ามันจะเลยมาแล้วนะ " พอผมได้ยินคำตอบจากมอนสเตลล่าแล้ว ความบ้าระห่ำของผมก็ได้ปรากฏออกมาทันที
ผมเดินไปที่ประตูรถไฟก่อนที่จะใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่กระชากมันให้หลุดออกแล้วร้องสั่งอย่างบ้าคลั่งว่า
" กระโดดลงจากรถไฟขบวนนี้ซะ! " พอผมพูดจบ ทุกคนก็ทำหน้าเหวอขึ้นมาทันที ผมจึงคิดไปว่าในตอนนี้...พวกเขาคงไม่อยากทำอะไรที่มีความเสี่ยงต่อชีวิตของตัวเองหรอกนะ เพราะรถไฟขบวนนี้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง และรางรถไฟนี้ก็ทำมาจากเหล็กแหลมๆ และถนนรอบนอกก็ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ บางที่เป็นเหวลึก มันเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะกลัว แต่ในเวลานี้ผมกลับไม่สนใจความขี้ขลาดของเพื่อนผู้ร่วมเดินทาง ผมจึงมองหน้าพวกเขาเชิงบีบบังคับให้พวกเขาทำตามความคิดห่ามๆ ของผม และแล้ว...
ตุ้บ!!!
ร่างของพวกเราทั้งหมดก็หล่นลงข้างทางในสภาพที่นอนทับกันไม่เป็นท่า มันโชคดีมากที่ไม่มีใครเป็นอะไรเลย
" โรงแรมมานโดลีนาต้าไกลจากที่นี่เยอะมั้ย? " ผมเอ่ยถามในขณะที่กำลังพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ในขณะที่คนอื่นๆ ก็ทำแบบนั้นเช่นกัน
" ต้องเดินไปทางซ้ายอีกสองกิโลกว่าน่ะ " มอนเตลล่าว่าพลางกางแผนที่ออกมาดู
" ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่สี่สิบแปดนาทีเท่านั้น จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเร็วๆ เถอะ " โซเฟจว่าพลางพยักหน้าให้ผม
" เรอัส ในฐานะที่นายมีความคิดดีที่สุด นายคิดว่าฉันควรจะทำภารกิจนี้คนเดียวหรือควรทำภารกิจโดยมีพวกนายคอยช่วยเหลือดีล่ะ? " พอผมพูดจบ เรอัสก็สวนขึ้นมาทันควันว่า
" ให้พวกเราช่วยนายด้วยดีกว่า เพราะในช่วงเวลาเพียงน้อยนิดแบบนี้ถ้าทำคนเดียวอาจทำให้ภารกิจล้มเหลวได้ อีกอย่างหนึ่ง...นายเป็นคนใจร้อน ในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้ นายอาจจะมีความคิดที่จะทำอะไรที่ไม่เข้าท่าขึ้นมาอีกก็เป็นได้ "
" ความคิดดีนี่ " ผมว่า " งั้น...ทุกคนเกาะฉันไว้แน่นๆ นะ "
จากนั้น...ผมก็ใช้ความไวกว่าแสงของตัวเองนำทุกคนไปยังโรงแรมมานโดลีนาต้า และพวกเราทั้งหมดก็ได้ไปถึงจุดหมายในเวลาเพียงคแค่สองวินาทีเศษๆ เท่านั้น
โรงแรมมานโดลีนาต้าเป็นโรงแรมหรูที่มีพื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตาราวกับว่าสามารถลองรับจำนวนคนจากทั่วทุกทิศของจักรวาลได้ มันถูกสร้างมาจากทองคำเปลวบริสุทธิ์ฝังเพชรรัตนชาติ และถูกประดับความเครื่องเรือนชั้นดีที่สุดแสนจะมีระดับ และตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมมาถึงที่นี่ ผมรู้ทันทีว่าเจ้าของโรงแรมนี้ต้องเป็นพวกบ้าของหรูหราแน่ๆ
ภายในโรงแรมมานโดลีนาต้า สิ่งแรกที่เราพบก็คือพนักงานต้อนรับที่คอยถามเราว่า’ต้องการเข้าพักห้องแบบไหนดีคะ?’ แต่พวกเราก็ไม่ได้สนใจที่จะหยุดคุยกับเธอ เราจึงเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...ผมได้พบกับสิ่งที่ต้องการนั่นก็คือป้ายขนาดใหญ่ที่มีสีสันแปลกตา มีตัวหนังสือสีม่วงตัวใหญ่สังเกตง่ายเขียนไว้ว่า’ขอเชิญท่านผู้มีเกียรติทุกท่านร่วมประมูลสมบัติล้ำค่าของเหล่าบุคคลสำคัญระดับจักรวาลครั้งแรก และครั้งเดียวเท่านั้นที่โรงแรมมานโดลีนาต้า ห้อง1835 (ชั้น18 ห้องทางขวาสุด) เราขอท้าท่าน ประมูลของให้ได้สักอย่างสิ แล้วท่านจะมีความสุขไปชั่วชีวิต’ ด้านล่างมีภาพของสิ่งที่นำมาประมูลพร้อมกับชื่อเจ้าของสิ่งเหล่านั้น ของประมูลทุกชิ้นต่างก็มีรูปร่างที่แปลกประหลาดดูแล้วเข้าใจยากทั้งสิ้น แต่สิ่งเหล่านั้นก็มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจที่ดูแล้วก็อยากจะได้มันมาครอบครอง ผมกวาดตามองหาอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดพบว่ามันเป็นอัญมณีสีเทา-ขาวที่มีรูปร่างที่คาดเดาไม่ได้ และผมก็ต้องแปลกใจที่อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดนั้นไม่ได้เขียนชื่อเจ้าของเอาไว้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมตื่นกลัวต่อสถานการณ์ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ผมจึงคิดไว้ว่าเจ้าแห่งเบื้องบนอาจจะทำแบบนี้เพื่อทดสอบเราก็เป็นได้
" ทุกคน เนื่องจากตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว และเพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ดังนั้น...ฉันจะขึ้นไปที่ห้องประมูลนี้คนเดียวนะ ส่วนทุกคนก็คอยให้ความช่วยเหลือฉันอยู่ด้านนอกนี้โดยติดต่อฉันทางเครื่องส่งสัญญาณ ตกลงมั้ย? " ผมว่า พอผมพูดจบ ทุกคนก็พยักหน้ารับ ผมดีใจที่มันออกมาเป็นแบบนั้น และในตอนนี้...ผมก็ไม่รอช้าที่จะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเพื่อไปยังห้อง1835ที่ซึ่งเป็นสถานที่ประมูล
เพียงแค่เสี้ยววินาที ผมก็มาถึงหน้าห้องประมูล หน้าประตูห้องนั้นมีกระดาษสีขาวเขียนด้วยตัวหนังสือสีดำตัวโตๆ ว่า'งานประมูลจะเริ่มเมื่อเวลา6.00-7.00L.T. ปล.ผู้ที่มีสิทธิ์ประมูลต้องเป็นชาวลาลาโมเซียนเท่านั้น' ผมคิดว่าการประมูลครั้งนี้มันไม่ยุติธรรมเสียเลยที่กำหนดให้ชาวลาลาโมเซียนมีสิทธิเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้เท่านั้นทั้งๆ ที่สิ่งของเหล่านี้ก็เป็นของล้ำค่าที่มาจากทั่วทุกมุมโลก และผมก็คิดว่าผมจะไม่ทำตามสิ่งที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นนั้น ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่ชาวลาลาโมเซียน แต่ผมก็จะเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้แบบลับๆ โดยนำอัญมณีแห่งฤทธานุภาพออกมาจากสถานที่ประมูลนี้ให้ได้โดยใช้วิธีที่เป็นเอกลักษณ์ของผมเอง
L.T. = Lalamoze time เวลาท้องถิ่นของลาลาโมเซ่
ผมเคลื่อนที่ผ่านประตูที่ถูกปิดอย่างหนาแน่นเข้าไปนั่งนิ่งๆ ในมุมแคบๆ ของห้องประมูล ที่ตรงนั้นไม่มีใครสังเกตเห็นผมได้เพราะผมเลือกที่จะใช้ความมืดอำพรางตัวเองไว้ บรรยากาศการประมูลดำเนินต่อไปอย่างคึกคัก เสียงของผู้ดำเนินรายการยังคงดังขึ้นต่อเนื่องให้ความรู้สึกตื่นเต้นๆ สลับกับผู้ร่วมประมูลที่มีความโลภอยากได้สิ่งของเหล่านั้นเกินพิกัดพากันตะโกนให้ราคากับสิ่งของเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง ผมจึงได้แต่มองพวกเขาอย่างเวทนา และคิดไปว่าไม่ว่าคนชาติใดก็มีความโลภเหมือนกันทั้งสิ้น
" และแล้วก็มาถึงของประมูลลำดับที่สี่กันแล้วนะครับ นั่นก็คือ...ผลงานชิ้นเอกนักเปียโนเงาแห่งไซเทร์น่า เพลงconcerto in Ab minor ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ห้าล้านเหรียญ มีใครจะให้มากกว่านี้มั้ยครับ? " 'ผลงานชิ้นเอกของนักเปียโนเงาแห่งไซเทร์น่างั้นหรอ? ผมคิดว่าผมควรจะเอามันมาให้เบลลาทริกซ์เพื่อให้เธอได้ย้อนวันวานที่ไซเทร์น่า อีกอย่าง...เธอก็เป็นนักเปียโนผู้คลั่งไคล้ดนตรี บางที...เธออาจกำลังต้องการสิ่งนี้อยู่ก็เป็นได้' ผมคิดแล้วตัดสินใจที่จะทำเรื่องบ้าระห่ำขึ้นมาอย่างหนึ่งซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้ร่วมประมูลเป็นอย่างมาก
" ห้าล้านห้าแสนเหรียญ! "
" ห้าล้านเจ็ดแสนเหรียญ! "
" ห้าล้านเก้าแสนเหรียญ! "
" หกล้านเหรียญ! "
ในขณะที่ผู้ร่วมประมูลกำลังแข่งกันเสนอราคาของผลงานชิ้นเอกของนักเปียโนเงาแห่งไซเทร์น่ากันอย่างบ้าคลั่ง ในเวลานั้นเอง...ผมก็ได้ตัดสินใจที่จะวิ่งไปบนเวที แล้วหยิบคว้าสิ่งนั้นมาด้วยความเร็วสูง และหลังจากนั้น...เพียงแค่เสี้ยววินาที คนทั้งห้องก็ทำหน้าเหวอเมื่อเห็นว่าของประมูลสุดล้ำค่าที่วางอยู่ตั้งอยู่บนโต๊ะบนเวทีได้หายไปต่อหน้าต่อตา
" หาไปไหนแล้วล่ะ? " ผู้ประมูลหลายคนพากันถามเป็นเสียงเดียวกันด้วยความร้อนรน และในเวลาเดียวกัน ผู้ดำเนินการประมูลก็ทำหน้าช็อคสุดขีดเป็นนัยน์ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง และดูเหมือนว่าหลังจากนั้นผู้ร่วมประมูลจะเริ่มโวยวายกันแล้ว ผู้ดำเนินการประมูลจึงเอ่ยขึ้นว่า
" เอาละครับทุกท่าน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลากับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้น ผมขอเริ่มการประมูลสิ่งล้ำค่าลำดับที่ห้าณ.บัดนี้! " นับว่านี่เป็นการแก้สถานการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะหลังจากนั้น...ความโลภที่มีอยู่ในตัวผู้ร่วมประมูลเหล่านั้นก็เริ่มจะทำงานทันที และมันก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงหกโมงสี่สิบห้าแล้ว และในเวลานั้น...ผมก็ได้แค่นั่งมองบรรยากาศประมูลต่อไป ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าที่ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกไม่ดีเหมือนกำลังสัมผัสกับรางร้ายที่แสนอัปโชค และในขณะที่ผมกำลังกังวลอยู่นั้น...ใครคนใดคนหนึ่งในแปดคนนั้นที่คอยช่วยเหลือผมอยู่ด้านนอกก็ได้ส่งสัญญาณเข้ามา
" ดรากเนส ตอนนี้เธอโอเคใช่มั้ย? " ผมดีใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงของเบลลาทริกซ์ ผู้หญิงอ่อนโยนผู้เป็นที่รัก
" แน่นอน...ฉันโอเค เบลลาทริกซ์...ตอนนี้ฉันได้นำของบางอย่างมาให้เธอด้วย เธอต้องดีใจแน่ๆ ที่ได้เห็นมัน " ผมว่า จากนั้น...เสียงของเบลลาทริกซ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
" แน่นอน...อะไรก็ตามที่เธอตั้งใจทำให้ฉัน ฉันก็ต้องดีใจอย่างแน่นอน " เบลลาทริกซ์ว่า จากนั้น...เธอก็เงียบไปสักพักก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเคร่งเครียดว่า " ดรากเนส...ตอนนี้พวกเราได้ข้อมูลมาจากการขโมยแผนการประมูลมาจากเจ้าหน้าที่ประมูลคนหนึ่ง ฟังให้ดีนะ อัญมณีแห่งฤทธานุภาพจะถูกประมูลเป็นลำดับสุดท้ายต่อจากสมุดบันทึกของศาสตราจารย์เอลเลสเพรซิโอ ขอให้เธอตั้งสติให้ดี และใช้ความเร็วของเธอให้เป็นประโยชน์ ฉันรู้ว่าเธอทำได้ ฉันเชื่อใจเธอ "
หลังจากนั้น...เสียงสัญญาณก็เงียบหายไป ผมจึงได้แต่นั่งดูการประมูลอย่างเงียบๆ จนกระทั่ง...การประมูลได้ดำเนินไปจนถึงการประมูลสิ่งล้ำค่าลำดับที่เก้าแล้ว และผมก็รู้ได้ว่าสิ่งที่ผมต้องทำมันก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว สิ่งที่ผมควรทำที่สุดในตอนนี้ก็คือผมต้องตั้งสติให้มั่น และใช้สายตาจับจ้องไปที่โต๊ะวางของประมูลที่ตั้งอยู่บนเวทีด้วยความแน่วแน่
" ของประมูลลำดับที่เก้า...สมุดบันทึกของศาสตราจารย์เอลเลสเพรซิโอ นักดนตรีอัจฉริยะระดับจักรวาล และเป็นบุคคลที่มีความลับมากที่สุดในโลก หากท่านเป็นผู้ครอบครองสมุดบันทึกเล่มนี้ ท่านก็จะเป็นคนเดียวในจักรวาลที่จะได้รู้ความลับทั้งหมดของนักดนตรีอัจฉริยะคนนี้ ราคาเริ่มต้นที่ยี่สิบล้านเหรียญ มีใครจะให้มากกว่านี้มั้ยครับ? "
หลังจากที่ผู้ดำเนินการประมูลพูดจบ และได้มีผู้ร่วมการมูลได้เริ่มให้ราคากันแล้ว เสียงสัญญาณจากเบลลาทริกซ์ก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง
" ดรากเนส...ฉันขอโทษที่บอกเธอช้าเกินไป ฉันคิดว่าเธอมีคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับการประมูลในครั้งนี้แล้วล่ะ เขาเป็นมนุษย์ล่องหนที่มาจากองค์กรล่าสมบัติล่ำค่าแห่งจักรวาล(ส.ล.จ.) และเขาคนนั้นก็ต้องการอัญมณีแห่งฤทธานุภาพเหมือนกัน ชื่อของเขาเหมือนนักแต่งเพลงชาวรัสเซียคนหนึ่งซึ่งฉันก็จำไม่ได้ เขาชื่ออะไรนะมอนสเตลล่า? " จากนั้น...เสียงสัญญาณนี้ก็ถูกตัดไปที่มอนสเตลล่า และมอนสเตลล่าก็เริ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ที่ฟังดูร้อนใจว่า
" เขาคนนั้นชื่อซคริอาบิน อย่างที่เบลลาทริกซ์บอกนายเขาเป็นมนุษย์ล่องหนที่คลั่งไคล้ในสมบัติล้ำค่าเป็นอย่างมาก และเขาก็ได้เข้าร่วมการประมูลอย่างลับๆ มาแล้วหลายครั้ง แต่เมื่อการประมูลเสร็จสิ้นลง เขาก็มักจะได้สิ่งที่ต้องการกลับมาทุกครั้ง ฟังนะ เขาคนนั้นน่ากลัวมาก เขาเป็นมนุษย์ล่องหนที่คนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เขาสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วจนจับตัวได้ยากเช่นเดียวกันกับนาย และที่สำคัญ...เขาคนนั้นเป็นคนที่ฉลาดมาก เขารู้ทุกอย่างในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ และเขาก็วางแผนเก่งมากด้วย ด้วยมุมมองที่ดูออกยากของเขา ทำให้ไม่มีใครคาดเดาได้ถูกต้องว่าเขาจะทำอะไรต่อไป ตอนนี้นายนั่งอยู่ที่มุมห้องทางขวาใช่มั้ย? ลองมองไปทางซ้ายสิ เขาคนนั้นก็กำลังนั่งอยู่ตรงนั้นเช่นกัน "
แล้วเสียงสัญญาณก็เงียบหายไปโดยทิ้งปริศนาไว้หลายประการ หลังจากนั้น...ผมจึงตัดสินใจที่จะมองไปทางซ้าย และทันใดนั้น...ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมของผมก็ทำให้ผมมองเห็นเส้นสีขาวจางๆ ที่ต่อกันเป็นร่างของคนคนหนึ่ง และผมก็มั่นใจว่าคนคนนั้นต้องเป็นซคริอาบินแน่ๆ
ดูเหมือนว่าซคริอาบินจะรู้ตัวว่าเขากำลังถูกผมจ้องอยู่ เขาจึงจ้องตอบผมพร้อมกับขยับปากขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวที่ชวนสะดุ้งสุดตัวว่า
" สวัสดีเจ้าแห่งคาร์ริส ผมได้ยินชื่อของคุณมานาน และผมก็ดีใจที่ได้พบคุณที่นี่ " ถึงแม้ว่าซคริอาบินจะเอ่ยทักผมด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร และส่งยิ้มให้ผม แต่ผมก็ไม่ได้จะทำตัวเป็นมิตรด้วย เพราะผมคิดว่านี่ต้องเป็นแผนการของซคริอาบินแน่นอน และดูเหมือนว่าซคริอาบินจะอ่านเกมผมออก เมื่อมันเอ่ยขึ้นว่า " คุณก็มาเข้าร่วมประมูลอย่างลับๆ เหมือนกันหรอ? แล้วคุณต้องการอะไรล่ะ? คุณต้องการเอาผลงานชิ้นเอกของนักเปียโนเงาแห่งไซเทร์น่าไปให้แฟนสาวของคุณใช่มั้ย เมื่อกี้ผมก็เห็นแล้ว คุณเป็นคนที่มีความพยายามสูง กล้าคิดกล้าตัดสินใจ และแน่นอน...สิ่งที่ผมนับถือคุณที่สุด คุณเป็นคนที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหลือร้ายที่ใครๆ ก็ต้องเกรงกลัวคุณ "
ตอนนี้ผมรู้อย่างแท้จริงแล้วว่าซคริอาบินนั้นเป็นอัจฉริยะที่กวนตีนที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา ผมคิดว่าเขาคงแกล้งโง่ที่ไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรในการประมูลครั้งนี้ หรือเขาอาจจะทำแบบนั้นเพื่อยั่วโมโหผมก็เป็นได้ และในที่สุด...ผมก็ตัดสินใจที่จะพูดออกมาอย่างชัดเจนให้ซคริอาบินได้ยินชัดทุกคำว่า
" ฉัน-ต้อง-การ-อัญ-ม-ณี-แห่ง-ฤท-ธา-นุ-ภาพ-สูง-สุด!!! " พอผมพูดจบ ผมก็รู้สึกอยากฆ่าซคริอาบินขึ้นมาทันที แทนที่มันจะตกใจกลัวแต่มันกลับหัวเราะขึ้นมาต่อหน้าต่อตา และผมก็ไม่รู้ว่ามันกำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่
" โอ้! เจ้าแห่งคาร์ริส เมื่อกี้คุณพูดว่าคุณต้องการอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดงั้นหรอ? คุณคิดดีแล้วหรอว่าคุณจะเอามันไปน่ะ เอาล่ะ...ถ้าคุณต้องการอย่างงั้น งานนี้คุณคงต้องทำงานหนักหน่อยล่ะ เพราะผมก็ต้องการสิ่งนั้นเหมือนกัน เพราะผมมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์เดียว นั่นก็คือ...ผมต้องนำอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดกลับไปที่องค์กรของผมให้ได้ และผมขอเตือนคุณไว้ก่อนนะว่าอะไรก็ตามที่ผมต้องการจะไม่มีใครได้สิ่งนั้นไปครอบครองได้นอกจากผม "
แน่นอนว่าคำพูดที่แสดงออกถึงความอวดดีของซคริอาบินทำให้ผมรู้สึกไม่ถูกชะตากับเขาตั้งแต่แรกพบ ผมเกลียดมันที่มันทำตัวอวดดีกับผม เกลียดมันที่มันพูดกวนตีนใส่ผม เกลียดในท่าทางที่หยิ่งยโสของมัน เกลียด...เกลียดทุกอย่างที่เป็นมัน!!! คิดว่าในจักรวาลนี้ตัวเองเก่งที่สุดงั้นหรอ แกกำลังดูถูกฉันอยู่ใช่มั้ย แกรู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว ฉันจะต้องเอาชนะแกให้ได้
" เอาล่ะครับ...ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน บัดนี้...การประมูลของล้ำค่าลำดับที่เก้าก็ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ลำดับต่อไป... " ใช่! ช่วงเวลานี้แหละที่ผมรอคอย และมันก็มาถึงแล้ว " ขณะนี้เวลาหกนาฬิกาห้าสิบห้านาที ขอเชิญทุกท่านรับประทานของว่างกันก่อนที่จะเริ่มการประมูลของชิ้นต่อไป ผมให้เวลาทุกท่านสามนาที ท่านจะต้องจัดการทำธุระของท่านให้เรียบร้อยภายในสามนาทีนี้ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ " พอผู้ดำเนินการประมูลพูดจบ ผู้ร่วมประมูลก็ได้ทยอยกันออกไปด้านนอกเพื่อไปรับประทานของว่าง และไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย และในตอนนี้...ไอ้ตัวกวนตีนข้างๆ ก็ยังไม่หยุดทำตัวอวดดีกับผม มันยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า
" ไปหาอะไรกินกันหน่อยมั้ย? มีเวลาอีกตั้งสามนาทีเชียวนะ คุณไม่จำเป็นต้องรีบหรอก " มันว่าแล้วหัวเราะ ผมพยายามจะตั้งสติ พยายามที่จะไม่มองหน้ามัน พยายามที่จะไม่สนใจท่าทางที่หยิ่งยโส การกระทำที่อวดดี และคำพูดกวนตีนของมัน ในเวลานี้...สิ่งที่ผมควรทำมากที่สุดก็คือผมควรนั่งอยู่เฉยๆ แล้วนิ่งไว้ เพราะในชีวิตนี้ผมจะไม่ฆ่าใครอีกนอกจากปู่ของผมเอง
และแล้ว...ความนิ่งของผมก็สามารถเอาชนะความอวดดีของมันได้ เมื่อหลังจากที่ผมเอาแต่นั่งนิ่งๆ ไปสักพัก ไอ้ตัวกวนตีนซคริอาบินก็เอาแต่นั่งนิ่งแล้วไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน และสามนาทีต่อมา...ผู้ดำเนินการประมูลรวมทั้งผู้ร่วมประมูลทั้งหลายก็พากันเดินเข้ามาในห้องประมูล และการประมูลก็ได้เริ่มขึ้นทันทีหลังจากนั้น ตอนนี้...ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว สายตาของผมตอนนี้กำลังจับจ้องไปที่โต๊ะประมูลที่ตอนนี้กลับว่างเปล่า ไม่มีอะไรวางไว้เลย
" ขณะนี้เวลาหกนาฬิกาห้าสิบแปดนาที ผมขอแจ้งทุกท่านเกี่ยวกับข่าวประชาสัมพันธ์ของโรงแรมมานโดลีนาต้านะครับ! " ตอนนี้...จิตใจของผมกระวนกระวายไปหมด เมื่อไหร่จะเริ่มประมูลสักที!?! นี่มันจะหนึ่งทุ่มอยู่แล้วนะ ถ้าผมทำภารกิจเสร็จหลังหนึ่งทุ่ม ผมก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนผู้ร่วมเดินทางทั้งแปดคนของผม
จนกระทั่ง...เวลาหกโมงห้าสิบเก้าเศษๆ หีบสีขาวบริสุทธิ์ที่มีลวดลายแปลกตาที่ผมดูไม่ออกมามันหมายถึงอะไรก็ได้ถูกยกมาวางบนโต๊ะประมูลแล้ว และในตอนนี้...ผมก็ไม่รอช้า ผมจึงตัดสินใจที่จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเพื่อที่จะไปเอามันมาในทันที แต่ครั้งนี้มันก็ยากกว่าครั้งไหนๆ เพราะว่าไอ้ตัวกวนตีนซคริอาบินก็ได้ออกตัวพร้อมๆ กับผมด้วย และดูเหมือนว่ามันจะได้เปรียบผมตรงที่มันอยู่ใกล้เวทีมากกว่าผมทำให้ตอนนี้มันกำลังนำผมอยู่ข้างหน้า และในตอนนี้...จิตใจของผมก็ได้กระวนกระวาย และอยู่ไม่เป็นสุข เมื่อนึกถึงเพื่อนผู้ร่วมเดินทางของผม พวกเขาจะเป็นอย่างไรเมื่อผมทำภารกิจครังนี้ไม่สำเร็จ ดังนั้น...ผมจึงพยายามเคลื่อนที่ให้เร็วที่สุดโดยไม่กลัวว่ากล้ามเนื้อจะฉีกหรือกระดูกจะหัก จนในที่สุด...ผมก็ได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าหีบสีขาวบริสุทธิ์นั้น และดูเหมือนว่ามันจะเป็นทั้งโชคดี และโชคร้าย เมื่อ...
หมั่บ!!!
มือของผมได้มาแตะลงบนพื้นผิวเรียบลื่นของหีบใบนั้นพร้อมกันกับไอ้ตัวกวนตีนซคริอาบิน มันจึงแสยะยิ้มให้ผมอย่างผู้ชนะ และ...
ผลั่ก!!!
ดูเหมือนว่าคราวนี้ผมจะเป็นฝ่ายได้เปรียบที่ผมแรงเยอะกว่า และแล้ว...ผมก็สามารถดึงหีบใบนั้นมาครอบครองได้สำเร็จ ส่วนไอ้ตัวกวนตีนซคริอาบิน ตอนนี้...มันก็ถูกผมผลักจนล้มลงไปกองกับพื้น และผมก็ตัดสินใจที่จะใช้พลังมืดของผมทำให้มันหายไปในที่สุด
" เอาล่ะครับ...ตอนนี้เวลาหนึ่งทุ่มตรง และแล้ว...เวลาที่ทุกท่านรอคอยก็มาถึงแล้ว ผมจึงขอเริ่มการประมูลของล้ำค่าลำดับที่สิบณ.บัดนี้ " ผู้ดำเนินการประมูลเอ่ยขึ้น และเมื่อเขาหันไปพบกับความว่างเปล่าบนโต๊ะประมูล เขาก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นว่า " อ้าว...มันหายไปไหนแล้วล่ะ! "
และในตอนนี้...สถานการณ์ในห้องประมูลแห่งนี้ก็วุ่นวายเป็นอย่างมาก เมื่อผู้ดำเนินการประมูลเริ่มเครียดที่ของล้ำค่าลำดับที่สิบหายไปต่อหน้าต่อหา เขาจึงเรียกเจ้าหน้าที่ถูกคนออกมาถามถึงเรื่องนี้ท่ามกลางเสียงโห่ร้องไม่พอใจของผู้ร่วมประมูลทุกคน จนในที่สุด...ผู้ดำเนินก็ตัดสินใจเรียกตำรวจที่อยู่รอบนอกให้เข้ามา และตั้งแต่วินาทีแรกที่ตำรวจได้เดินเข้ามาในห้องประมูลนั้น ผู้ดำเนินการประมูลก็รัวลิ้นบอกตำรวจถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าที่ช็อคสุดขีดว่า
" คุณตำรวจครับ เมื่อกี้ผมรวมทั้งผู้ร่วมประมูลทั้งห้องได้เจอเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งเข้า ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ก็ตอนที่เริ่มการประมูลอัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด มันก็หายไปแล้ว ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน แต่ก่อนที่จะเริ่มประมูลผมก็เห็นมันตั้งอยู่ตรงนี้นะ " ผู้ดำเนินการประมูลว่าพลางชี้ไปที่โต๊ะประมูลแล้วทำหน้าซีด จากนั้นตำรวจคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมียศสูงก็พยักหน้าขึ้นช้าๆ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขรึมๆ ว่า
" นี่เป็นคดีที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาเลยล่ะ " เขาว่าพลางเอามือข้างซ้ายขึ้นมาถูจมูกไปมาราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนักก่อนที่จะพูดต่อว่า " แล้วเหตุการณ์ประหลาดนั่นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ล่ะ? "
" เมื่อครู่นี้เองครับ พอผมรู้ว่ามันหายไปผมก็เรีบกเจ้าหน้าที่ทุกคนออกมาถามถึงเรื่องนี้ จากนั้น...ผมถึงจะเรียกพวกคุณเข้ามา " ผู้ดำเนินการประมูลว่าพลางปาดเหงื่อ
" เป็นไปได้ยังไง! " ตำรวจทุกคนร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
" ดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ถึงห้านาทีนะ แสดงว่า...คนร้ายต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ เพราะเขามีความเร็วที่ไวกว่าแสง " ตำรวจยศสูงว่า
" ผมขอสันนิษฐานครับ คนร้ายต้องเป็นซคริอาบินแน่ๆ " ตำรวจอีกคนร้องขึ้น
" ไม่ใช่หรอก! ถ้าเป็นซคริอาบินจริง เราก็ต้องเห็นของที่ถูกขโมยลอยอยู่กลางอากาศ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์ล่องหน แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะใช้พลังในการอำพลางสิ่งของให้หายไปได้ " ตำรวจยศสูงว่า
" งั้น...คนร้ายก็ต้องเป็น--- " ผมคิดว่า ใครก็ตามที่ทำอะไรลับๆ คนนั้นก็เป็นคนขี้ขลาด ดังนั้น...ก่อนที่ตำรวจคนนั้นจะพูดจบ ผมก็นึกที่จะทำอะไรสนุกๆ ขึ้นมาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ...การไปปรากฏตัวให้พวกเขาเห็น
" มันอยู่นั่นไง! " ผู้ร่วมการประมูลทุกคนร้องขึ้น แล้วหลังจากนั้น...ตำรวจทุกนายก็หันมามองที่ผม จากนั้น...ฝีเท้าของพวกเขาก็เริ่มทำงาน การไล่ล่าของเราจึงเริ่มต้นขึ้น
ผมรีบเคลื่อนที่ด้วยความเร็วออกไปทางด้านหลังประตู และในตอนนั้น...ตำรวจทุกนายก็ได้วิ่งตามผมอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับร้องตะโกนสั่งผมว่า " หยุดสักที! ฉันจะวิ่งตามแกไม่ไหวแล้วนะ! "
ตอนนี้...ผมก็วิ่งมาถึงชั้นหนึ่งของโรงแรมแล้ว ทันใดนั้น...ผมก็ได้ยินเสียงกดชัตเตอร์รัวติดกันหลายครั้ง ผมจึงหันไปมองทางต้นเสียงพบว่า...มีสำนักข่าวกำลังทำข่าวเกี่ยวกับคดีประหลาดนี้อยู่
" ท่านผู้ชมคะ ตอนนี้ดิฉัน และทีมงานอยู่ที่โรงแรมมานโดลีนาต้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มเจ็ดนาที ได้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่ห้อง1835ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประมูลในวันนี้ เพราะขณะที่เริ่มการประมูลอัญมณีแห่งฤทธานุภาพ มันก็ได้หายไปในชั่วพริบตาเดียว และผู้ก่อเหตุสุดประหลาดนี้ก็อยู่ที่นี่ค่ะ " หลังจากนั้น...ตากล้องก็วิ่งไปจับภาพผมที่กำลังวิ่งหนีตำรวจออกไปจากโรมแรมมานโดลีนาต้า แต่ก็เป็นโชคดี เพราะความเร็วของผมทำให้เขาเห็นภาพได้ไม่ชัดนัก จะเห็นเป็นเส้นสีต่างๆ เท่านั้น
" ท่านผู้ชมคงเดาไม่ออกใช่มั้ยคะว่าเขาคนนั้นเป็นใคร ถ้าลองรีทัชภาพดีๆ คุณก็จะเห็นว่าเขาคนนั้นก็คือเจ้าแห่งคาร์ริสนั่นเอง " พอนักข่าวคนนั้นพูดจบ ตำรวจทุกนายก็หอบพร้อมกับพูดขึ้นพร้อมกันว่า
" เจ้าแห่งคาร์ริสหรอ? " แล้วตำรวจยศสูงก็ตะโกนสั่งอย่างบ้าคลั่งว่า
" จับมันมาให้ได้! "
" รับทราบ! " ตำรวจนายอื่นๆ ขานรับพลางวิ่งตามผมอย่างบ้าคลั่ง แต่สุดท้าย...พวกเขาก็วิ่งไม่ทันผมอยู่ดี
" เฮ้ย! มันหายไปไหนแล้ววะ " ตำรวจนายหนึ่งร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจ
" นั่นสิ เมื่อกี้มันก็วิ่งนำหน้าเราอยู่เลย แล้วมันหายไปไหนแล้วล่ะ " ตำรวจนายที่สองร้องขึ้น
" เรากลับกันเถอะ ไม่ต้องทำแล้วคดีบ้าๆ นี่น่ะ มันเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนั้นพวกเราไม่มีทางวิ่งตามมันได้หรอก เจ้าแห่งคาร์ริสช่างน่าเกรงขามจริงๆ " ตำรวจยศสูงคนนั้นว่า จากนั้น...ตำรวจทุกนานก็พร้อมใจกันพยักหน้ารับ แล้วเดินกลับไปอย่างหมดสภาพทันที
ตอนนี้...ผมกำลังวิ่งไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายตามแนวถนนพื้นขรุขระโล่งๆ สายหนึ่ง ผมรู้สึกสบายใจที่ในที่สุด...ผมก็ทำภารกิจสำเร็จแล้ว พวกเรายังมีเวลาในการที่จะมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่า...จะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ผมก็ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการต่อลมหายใจให้กับตัวผมเอง รวมทั้งเพื่อนผู้ร่วมเดินทางทั้งแปดคน แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันล่ะ? และหลังจากนั้นก็มีเสียงสัญญาณดังขึ้น
" เฮ้! ดรากเนส แกยังไม่ตายใช่มั้ยเพื่อน ตอนนี้เรากำลังรอนายอยู่ที่ชั้นหนึ่งของตึกร้างแห่งหนึ่ง รีบมาเร็วๆ ล่ะ " พออดอล์ฟพูดจบ ผมก็ถอนหายใจด้วยความเซ็งกับความไร้มารยาทของมันทันที นี่มันยังแอบฟังเสียงในใจของคนอื่นอยู่อีกหรอเนี่ย?
เพียงแค่เสี้ยววินาที ผมก็ได้มาถึงที่หน้าหนึ่งของตึกร้างบนถนน189 ซอย124 ที่นั่น...พวกเขาทุกคนกำลังนั่งรอผมอยู่บนเก้าอี้ไม้สีนิลที่ล้อมโต๊ะยาวสีขาวไว้ พวกเขาต่างก็ยิ้มอย่างชื่นชมยินดีเมื่อเห็นว่าผมกลับมาพร้อมกับหีบใส่อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด จากนั้น...เบลลาทริกซ์ก็วิ่งขึ้นมากอดผมพร้อมกับพูดไม่หยุดว่า
" ดรากเนส เธอรู้มั้ยว่าเมื่อเวลาเฉียดหนึ่งทุ่ม พวกเราลุ้นแทบแย่ ลุ้นชนิดที่ว่าลืมหายใจเลยก็ว่าได้ ตอนนั้น...พวกเราอธิษฐานให้เธอทำภารรกิจสำเร็จ และกลับมาอย่างปลอดภัย และหลังจากนั้น...ตอนหนึ่งทุ่มเศษ พวกเราก็ร้องสรรเสริญพระเจ้าด้วยความยินดีเมื่อเห็นภาพเธอในทีวี พอได้ยินคำว่าเจ้าแห่งคาร์ริส พวกเราก็ดีใจมากๆ ที่รู้ว่าเธอกำลังจะทำสำเร็จ ฉันรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเธอทำได้ เพราะเธอไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังเลยสักครั้ง " พอเบลลาทริกซ์พูดจบ เธอก็เดินไปเลื่อนเก้าอี้พร้อมกับเชื้อเชิญผมให้นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เธอ แล้วผมก็พูดขึ้นมาว่า
" ขอบคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือฉันมาโดยตลอด ถ้าไม่ได้ข้อมูลจากทุกคน ฉันก็คงจะทำไม่สำเร็จ ถ้าไม่ได้ข้อมูลจากทุกคน ฉันก็คงจะไม่ทันระวังตัวว่ามีคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างซคริอาบิน ไอ้บ้านั่นน่ะ กวนตีนสุดๆ เลย "
" แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับซคริอาบินล่ะ? " มอนสเตลล่าเอ่ยถาม
" ฉันทำให้มันหายไปแล้วล่ะ " ผมว่า
" ตอนนี้เรายังมีเวลาเหลืออยู่ไม่มาก จะทำอะไรก็รีบๆ ทำซะก่อนที่จะไม่ได้ทำมันอีก " โซเฟจว่า เมื่อโซเฟจพูดจบ ทุกคนก็มีสีหน้าสลดใจเล็กน้อย ใช่! มันเป็นความจริง ความตายกำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว และเราก็ไม่สามารถที่จะฝ่าฝืนมันได้
" มีใครหิวบ้างมั้ย? " ยูลิคเอ่ยถามขึ้น
" หิว...สุดๆ เลย " ดอลล่าร์ว่า " ก็เรากินข้าวครั้งล่าสุดเมื่อตอนเที่ยงกว่า ตอนนี้ก็ทุ่มกว่าแล้ว ใครไม่หิวก็บ้าแล้ว "
" เรากินขนมปังนี่กันเถอะ " ยูลิคว่าพลางหยิบขนมปังที่ได้มาจากร้านเลื่อนหินด้วยรีโมทออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วแกะกระดาษที่หุ้มมันไว้ออก หลังจากนั้น...พวกเราก็พากันกินขนมปังก้อนนั้นด้วยความหิวโหยราวกับว่าไม่ได้กินอะไรมาชาติหนึ่งแล้วทันที
คำแรกที่ผมกินขนมปังก้อนนั้น ผมก็รู้สึกได้ว่ารสชาติฝืดๆ ของมันคงจะปั่นลำไส้ให้ผมอ้วกออกมาเร็วๆ นี้ กลิ่นแปลกๆ ของมันทำให้ผมรู้สึกปวดหัว และทันใดนั้น...ลางร้ายก็เริ่มปรากฏ เมื่อเสียงที่ประพึงสงค์ก็ดังขึ้นจากรูตูดของพวกเราทุกคน
ปู๊ดดดดดดดดดดด!!!
การที่พวกเราพร้อมใจกันตดออกมานั้นทำให้ผมนึกถึงทารกผีเข้าที่ผมเจอบนเครื่องบินนั้น นั่นเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมา
" ยูลิค นายได้อ่านฉลากที่ติดหน้ากระดาษห่อขนมปังนี่หรือเปล่าว่ามันหมดอายุวันไหน " มอนสเตลล่าพูดขึ้น แล้วยูลิคก็ทำหน้ามึนไปสักพักก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
" ก่อนกินขนมปังก้อนนี้ฉันก็ยังไม่ได้อ่านมันหรอก แต่บนฉลากเขียนไว้ว่าขนมปังนี่มันอายุวันที่สิบแปดน่ะ "
" หมดอายุวันที่สิบแปดงั้นหรอ? แล้ววันนี้วันที่เท่าไหร่ล่ะ? " มอนสเตลล่าร้องถาม
" วันนี้มันที่ยี่สิบห้าแล้ว " เรอัสเอ่ยขึ้น พอเรอัสพูดจบ ระบบขับถ่ายก็เริ่มที่จะทำงานทันที หมดอายุไปตั้งหนึ่งสัปดาห์แล้วหรอเนี่ย!?! บ้าที่สุด! และ...
ปู๊ดดดดดดดดดดดดดดดด!!!
เสียงตดของพวกเราทุกคนก็ได้ดังกระหึ่มไปทั้งตึกร้างนี้ มันมีพลังมากพอที่จะทำให้ตึกทั้งตึกถล่มลงมาได้ และหลังจากที่เสียงตดนั้นเงียบหายไปเพียงแค่เสี้ยววินาที พวกเราทั้งหมดก็พร้อมใจกันประสานเสียงกันขึ้นว่า
" มันมาแล้ว!!! " แล้วหลังจากนั้น...ทุกคนก็พากันไปถ่ายที่ชั้นใต้ดินทันที พอถ่ายเสร็จ เราก็เดินหน้าซีดขึ้นมาที่ชั้นหนึ่ง และดูเหมือนว่าเราจะไม่มีพลังงานเหลือไว้ทำอย่างอื่นแล้ว ดังนั้น...บทสรุปของเรื่องนี้ก็จบลงด้วยการนอนหลับ และเสียงกรน
คร่อกฟี้....คร่อกฟี้...Zz
( End Darkness 's Part )
(
" อ๊ากกก!!! แสบตาชะมัด " ผมร้องพลางยกหัวตัวเองขึ้นจากโต๊ะยาวแข็งๆ นั่นที่เมื่อกี้ผมใช้มันเป็นที่วางหัวนอนหลับในขณะที่คนอื่นยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนโต๊ะตัวนั้น ผมลุกขึ้นนั่งพิงพนักเก้าอี้พลางเอนหัวหลบแสงสีฟ้าที่ส่องมาจากเครื่องมือรับคำสั่งของโซเฟจที่ทำให้ผมอาจตาบอดได้ในไม่ช้า แต่ดูเหมือนว่า...ผมจะหนีมันไม่พ้น เมื่อผมพยายามจะขยับหนี แสงนั่นก็ยังคงตามมาส่องที่ใบหน้าของผม และเมื่อผมพยายามที่จะถอยห่างจากมัน เครืองมือรับคำสั่งนั่นก็ยังคงเคลื่อนที่ตามผมมาจนผมไม่รู้ว่าผมควรจะหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไรดี ผมจึงตัดสินใจยืนอยู่นิ่งๆ ที่มุมห้อง จากนั้น...เครื่องมือรับคำสั่งก็บินว่อนไปมาเหนือหัวผม และลอยอยู่ตรงหน้าผมในที่สุด จากนั้น...ฝาของมันก็ได้เปิดออกพร้อมกับมีเสียงพูดที่ฟังดูมีชีวิตชีวาดังขึ้นว่า
" พระราชสาส์นจากเจ้าแห่งเบื้องบนฉบับล่าสุด ว่าด้วยเรื่องชีวิตเบื้องปลายของกบฏหลวงทั้งเก้า ความว่า...เมื่อเวลายี่สิบสามนาฬิกา ยี่สิบนาทีตามเวลาท้องถิ่นของสาธารณะรัฐลาลาโมเซ่ ณ.เขตท้องฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่สูงที่สุดแห่งจักรวาล เจ้าแห่งเบื้องบนกำลังหารือกับคณะทูตศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อถือได้จำนวนหนึ่งร้อยตนเพื่อหาวิธีลงโทษพวกกบฏที่ไม่เชื่อฟังคำเตือนจากสวรรค์อย่างพวกคุณ ในที่สุด...ก็ได้มติออกมาว่า ให้คุณ...เรอัส ผู้ไร้เวทย์แห่งแคร์เซียน่าเป็นผู้ต่อรองขอชีวิตจากเจ้าแห่งเบื้องบนโดยการให้คุณเป็นผู้รับทำภารกิจสุดท้ายของวันนี้ หรืออาจจะเป็นภารกิจสุดท้ายในช่วงเวลาสุดท้ายของคุณ ถ้าหากคุณทำภารกิจนั้นไม่สำเร็จ และ...นี่เป็นหน้าที่ของคุณ " สิ้นเสียงนั้น ฝาหีบใส่อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุดก็ได้เปิดออกพร้อมกับมีกระดาษสีซีดแผ่นหนึ่งได้ลอยออกมาจากหีบใบนั้น และในที่สุด...กระดาษแผ่นนั้นก็มาหยุดอยู่บนมือของผม บนกระดาษแผ่นนั้นถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจอัดแน่นกันอยู่ในหนึ่งหน้ากระดาษ
" หน้าที่ของคุณก็คือ...คุณจะต้องแปลข้อความที่อยู่ในกระดาษแผ่นนี้ให้เสร็จก่อนที่จะหมดวันนี้ ขณะนี้...นายท่านโวเฟจ และอดีตท่านประธานยูลิคกำลังอยู่ระหว่างการถูกพิพากษาอยู่ที่ศาลหลวงแห่งบนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากคุณใช้เวลาเดินไปจากนี้ ท่านทั้งสองคนก็จะถูกพิพากษาลงโทษ เพื่อนของคุณทั้งหมดก็จะยังคงนอนหลับต่อไปเพื่อรอคอยความตายที่จะมาถึงในวันถรุ่งนี้ และตัวคุณเองก็จะถูกทำให้เสียชีวิตด้วยวิธีการที่ทรมานที่สุด และแน่นอนว่ากบฏหลวงทั้งเก้าคนจะต้องตาย และจะไม่ได้เห็นชีวิตของตนอีก แม้แต่ชีวิตหลังความตายก็อย่าให้มีเลย จบการประกาศพระราชสาส์นฉบับล่าสุดของเจ้าแห่งเบื้องบน ขอรับรองว่าเป็นความจริง เครื่องมือรับคำสั่งที่ซื่อสัตย์ที่สุดในโลก " พอเครื่องมือรับคำสั่งพูดจบ มันก็ลอยกลับเข้าไปในเสื้อคลุมของโซเฟจผู้ซึ่งกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะ เนื่องจากกำลังอยู่ระหว่างการพิพากษาทันที และแสงสีฟ้าที่ชวนแสบตาก็ได้สันธานไปโดยปริยาย
ขณะนี้...ผมกำลังเผชิญหน้ากับความกดดัน นี่เป็นช่วงเวลาที่หดหู่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ผมแทบเป็นบ้าเมื่อรู้ว่าตอนนี้เหลือเวลาเพียงแค่ยี่สิบห้านาทีเท่านั้น นี่มันแย่ยิ่งกว่าตอนที่แม่ของผมถูกผู้ปกครองแห่งคาร์ริสผู้ชั่วร้ายจับตัวไปฆ่าเสียอีก แล้วในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้ผมจะมีปัญญาทำอะไรได้ นี่ผมไม่ได้กำลังดูถูกตัวเองนะ แต่ผมกำลังจะบอกว่าในช่วงเวลาที่กระชั้นชิดแบบนี้ ผมมักจะทำได้ไม่ดีนัก
แต่ในที่สุด...ผมก็ตัดสินใจที่จะโบนความขี้ขลาดของตัวเองทิ้งไปเสียให้หมด และเริ่มที่จะทำภารกิจด้วยใจมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ และแล้ว...ผมก็หยิบมือถือสารพัดประโยชน์ของตัวเองขึ้นมาก่อนที่จะจัดการตัดลอกข้อความทั้งหมดที่มีอยู่ในกระดาษแผ่นนี้ลงไปในโปรแกรมแปลภาษา จากนั้น...ผมก็ได้เริ่มค้นหาว่าข้อความทั้งหมดที่มีอยู่ในกระดาษแผ่นนี้เป็นภาษาอะไร ผมตัดสินแปลข้อความนั้นมาทุกภาษา ตั้งแต่ภาษาแอบอนซ์นิสถึงภาษาไซน์ทิส แต่สุดท้าย...ผมก็พบว่าไม่มีภาษาไหนที่สามารถแปลข้อความนี้ได้เลย และ...ผลลัพธ์จากการพยายามอย่างหนักของผมก็คือผมต้องเสียสิบนาทีแรกของการภารกิจไปโดยเปล่าประโยชน์
ถึงแม้ว่าในการทำภารกิจครั้งนี้จะมีอุปสรรคมากมายที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จยากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม...ผมก็ไม่ย่อท้อ ทำให้ในเวลาต่อมา ผมจึงคิดที่จะหาวิธีในการที่จะสามารถแปลข้อความทั้งหมดในกระดาษสีซีดแผ่นนี้นั่นก็คือการโทรไปถามผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาระดับจักรวาล และตอนนี้ผมก็ได้ตัดสินใจที่จะทำมันแล้ว
" สวัสดีครับ ผม...ศาสตราจารย์เอลสเตรส ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาระดับจักรวาล ยินดีให้คำปรึกษาครับ ไม่ทราบคุณต้องการอะไรหรอครับ? " น้ำเสียงขี้เล่นที่ฟังดูเป็นกันเองของศาสตราจารย์เอลสเตรสดังขึ้นจากปลายสายตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมติดต่อเขา จากนั้น...ผมก็จัดการลอกข้อความทั้งหมดบนกระดาษแผ่นนั้นส่งไปให้ศาสตราจารย์เอลสเตรสก่อนที่จะสวนขึ้นทันควันว่า
" ผมอยากทราบว่าข้อความที่ผมส่งไปให้คุณเป็นภาษาอะไร ถ้าจะให้ดี คุณกรุณาแปลมันให้ผมด้วยครับ " พอผมพูดจบ ศาสตราจารย์เอลสเตรสก็เงียบไปสักพัก และหลังจากนั้นหนึ่งนาที เขาก็พูดขึ้นมาว่า
" ข้อความนี้ถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาดับเบิ้ลเอสซึ่งเป็นภาษาที่น้อยคนนักจะอ่านภาษานี้ออก และผมก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนส่วนมากที่อ่านไม่ออก " พอผมได้ยินว่าศาสตราจารย์เอลสเตรสอ่านภาษาดับเบิ้ลเอสไม่ออก ผมก็เลื่อนนิ้วไปวางที่ผุ่มวางสายเพื่อเตรียมกดทันที แต่ก่อนที่ผมจะวางสาย ก็มีเสียงจากปลายสายก็ดังขึ้นมาว่า
" ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณโทรมาจากที่ไหนครับ? สัญญาณไม่ค่อยดีเลย "
" ลาลาโมเซ่ครับ " ผมตอบเสียงเรียบตามธรรมชาติของผม
" คุณอยู่ที่ลาลาโมเซ่ใช่มั้ยครับ? อ๊า! พอดีเลย เพราะพจนานุกรมภาษาดับเบิ้ลเอสที่มีอยู่เพียงเล่มเดียวในจักรวาลก็ถูกเก็บไว้ในห้องสมุดแกนซ์ตันซึ่งตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองลาลาโมเซ่พอดีเลย " พอได้ยินดังนั้น ผมก็ยิ้มจนแก้มปริ มันรู้สึกดีจริงๆ ที่ผมไม่ได้ตัดสินใจวางสายไปเสียก่อน
" ขอบคุณมากครับ " พอผมพูดจบ ผมจึงรีบกดวางสายแล้วจัดการยัดมือถือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงทันทีก่อนที่จะควานหาแผนที่ และไฟฉายในกระเป๋าสัมภาระ แล้วรีบวิ่งไปยังห้องสมุดแกนซ์ตันให้เร็วที่สุด
โชคดีที่ห้องสมุดแกนซ์ตันนั้นอยู่ใกล้กับละแวกตึกร้างที่พวกเราอยู่ ทำให้อีกห้านาทีต่อมา...ผมก็ได้มาหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องสมุด และผมก็ตัดสินใจที่จะเดินเข้าทางประตูบานนั้นทันทีที่ไปถึง เป็นโชคดีของผมที่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ทำให้ไม่มีใครอยู่ในห้องสมุดแกนซ์ตันหรือแม้แต่ในละแวกนี้เลย
เนื่องจากภายในห้องสมุดแกนซ์ตันนั้นมืดมาก ทำให้ผมต้องเดินหาพจนานุกรมภาษาดับเบิ้ลเอสโดยการส่องไฟฉาย ผมเดินหาหนังสือเล่มนั้นตามชั้นวางหนังสือที่ผมคิดว่ามันควรจะอยู่ที่นั่น ผมเริ่มเดินหาจากหมวดภาษา และไปยังหมวดพจนานุกรม และในที่สุด...ผมก็พบพจนานุกรมภาษาดับเบิ้ลเอสวางอยู่บนชั้นวางหนังสือหมวดพจนานุกรมภาษาที่มีคนรู้จักน้อย มันเป็นพจนานุกรมเล่มหนากว่าสองพันหน้า ค่อนข้างหนัก และยังดูใหม่เหมือนเพิ่งซื้อมา เนื่องจากว่าไม่มีใครเคยใช้พจนานุกรมเล่มนี้เลย และผมก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อรู้ว่าตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึงห้านาทีแล้ว ดังนั้น...ผมจึงตัดสินใจที่จะเริ่มแปลข้อความในกระดาษสีซีดแผ่นนั้นที่นั่นโดยทันที
ผมใช้มือข้างหนึ่งเปิดพจนานุกรม และใช้มืออีกข้างหนึ่งส่องไฟฉายไปด้วย สายตาของผมจับจ้องไปที่ข้อความบนกระดาษสีซีดแผ่นนั้นพร้อมกับเปิดหาความหมายของมันไปทีละคำ ผมไล่นิ้วไปตามคำศัพท์ในพจนานุกรมก่อนที่จะอ่านความหมายของคำศัพท์นั้นๆ ออกมาดังๆ เพื่อให้ง่ายแก่การจดจำ
" ข้อมูล "
พึ่บ...พึ่บ!!!
" อัญมณีแห่งฤทธานุภาสูงสุด "
พึ่บ...พึ่บ!!!
" อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด...เป็นสมบัติของ...เจ้าแห่งนิรันดร์กาล...ผู้ซึ่ง...มีชีวิตอยู่...ณ.ดินแดนแห่งนิรันดร์กาล...เซนซา ซอร์ดิเนีย...มานาน...หลาย...สหัสวรรษ "
พึ่บ...พึ่บ!!!
" คุณสมบัติ...ของ...อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด...หนึ่ง...ช่วย...เพิ่ม...พลัง...ให้แก่...ผู้ครอบครอง...เพื่อให้...ผู้นั้น...มี...อำนาจ...เทียบเท่า...พระเจ้า...สูงสุด...สอง...เป็น...กุญแจ...เปิด...ประตู...เชื่อม...มิติ...ของ...ดินแดน...ที่...ซ่อนอยู่...ใน...เขต...ท้องฟ้า...ศักดิ์สิทธิ์...สาม...คง...สภาพ...อยู่...เป็น...นิจนิรันดร์ "
พึ่บ...พึ่บ!!!
" คำเตือน...สำหรับ...ผู้ใช้...หนึ่ง...ไม่ควร...นำ...อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด...ออก...มาจาก...หีบ...เป็น...เวลา...เกินกว่า...ห้า...นาที...สอง...อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด...อาจ...เสื่อมสภาพ...ถ้า...ตก...ไปอยู่ใน...มือ...ของ...ผู้ที่...ไม่สมควร...ได้รับ...สาม...ผู้ใช้...พลังบริสุทธิ์...มีสิทธิ์...ที่จะ...แตะต้อง...อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด...นี้...ได้เพียง...ผู้เดียว...เท่านั้น...ถ้าหาก...ผู้ใด...ที่...ไม่ใช่...ผู้ใช้....พลังบริสุทธิ์...แตะต้อง...อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด...อาจ...เกิด...รอยร้าว...และ...อาจ...สูญเสีย...พลัง...สะสม...และ...อาจ...ทำให้...ผู้ที่...แตะต้อง...เป็น...อันตราย...ต่อ...ชีวิต...ได้ "
'เฮ้อ! สำเร็จแล้ว' ผมคิดพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ดูเหมือนว่าภารกิจนี้จะยังคงไม่จบลงง่ายๆ เมื่อหลังจากนั้น...
ฟิ้ว...ฟิ้ว!!!
ลมจากด้านนอกได้พัดเข้ามาในห้องสมุดแกนซ์ตันแห่งนี้ และกระดาษสีซีดแผ่นนั้นก็ถูกลมตีจนทำให้มันพลิกไปอีกหน้าหนึ่งเผยให้เห็นข้อความที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีดำจางๆ และแน่นอน...ข้อความเหล่านั้นต่างก็ถูกเขียนด้วยภาษาดับเบิ้ลเอสที่ผมต้องจัดการแปลต่อให้จบ 'เฮ้อ! ยังมีอีกหรอเนี่ย' ผมคิดอย่างหัวเสียกว่าก่อนที่จะเริ่มเปิดไฟฉาย แล้วเปิดพจนานุกรมเพื่อแปลข้อความที่ยังเหลืออยู่ต่อไป
พึ่บ...พึ่บ!!!
" เรียน...ผู้...ครอบครอง...อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด...ข้า...เจ้าแห่งนิรันดร์กาล...มีความยินดี...อย่างยิ่ง...ที่จะ...มอบ...สิ่งล้ำค่า...นี้...ให้แก่...ท่าน...ท่าน...ควรจะ...เปิด...อ่าน...จดหมาย..นี้...ทันที...ที่...ได้รับ...สิ่งนี้...มา...ครอบครอง...ข้า...มี...สิ่งหนึ่ง...ที่จะ...บอกกล่าว...แก่...ท่าน...เพื่อให้...ท่าน...ปฏิบัติ...ตาม...กฏ...ของ...การเริ่มต้น...เป็น...ผู้ครอบครอง...อัญมณีแห่งฤทธานุภาพสูงสุด...ท่าน...จง...ทูลขอ...สิ่งที่...ท่าน...ปรารถนา...ต่อ...พระเจ้าสูงสุด...ตั้งแต่...วันแรก...ที่...ท่าน...ได้...สิ่งนี้...มา...ครอบครอง...เพราะว่า...เมื่อ...พ้นจาก...เวลา...เที่ยงคืน...ของ...วันนั้น...แล้ว...ท่าน...จะ...ไม่มีสิทธิ์...ที่จะ...ทูลขอ...ได้อีก "
และแล้ว...ผมก็แปลข้อความทั้งหมดในกระดาษแผ่นนี้เสร็จสิ้นลงเสียที แต่อย่างไรก็ตาม...นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจได้แม้แต่นิดเดียว เมื่อผมคิดไปถึงข้อความในกระดาษแผ่นนั้นที่ว่า 'ท่านจงทูลขอสิ่งที่ท่านปรารถนาต่อพระเจ้าสูงสุดตั้งแต่วันแรกที่ท่านได้สิ่งนี้มาครอบครอง เพราะว่าเมื่อพ้นจากเวลาเที่ยงคืนของวันนั้น แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ์ที่จะทูลขอได้อีก' ทำให้ต่อจากนั้น...ผมจึงรีบเอานาฬิกาขึ้นมาดูเวลาในทันที
ในตอนนี้...หัวใจของผมก็ได้เต้นด้วยจังหวะเร็วระรัวจนมันจะทำให้ผมอาจหัวใจวายได้ในไม่ช้านี้ และเส้นเลือดในสมองก็ได้ทำการบีบตัวจนหัวผมแทบจะระเบิดออกมา ผมรู้สึกหายใจไม่ออกราวกับว่ามีบางอย่างมาจุกอยู่ตรงหลอดลมเมื่อรู้ว่าตอนนี้ได้เลยเที่ยงคืนมาสองนาทีห้าสิบสามวินาทีแล้ว
ตุ้บ!
ผมทรุดตัวลงกับพื้นแล้วก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด ผมรู้สึกผิดที่ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าหากผมรู้ตัวเร็วกว่านี้ ผมจะพยายามรีบทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนเที่ยงคืนให้ได้ เจ้าแห่งเบื้องบนทรงเลือกผมให้เป็นผู้ต่อลองในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะรักษาสิทธิ์ของการเป็นผู้ต่อลองไว้ได้เพียงเพราะข้อผิดพลาดของตัวเอง ผมรู้สึกผิดที่เป็นเหตุทำให้เพื่อนผู้ร่วมเดินทางทุกคนต้องจบชีวิตลง ผมเป็นผู้ทำลายความหวังที่มีโอกาสเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยของพวกเขา ผมอยากจะขอโทษพวกเขาที่เป็นเหตุทำให้พวกเขาไม่มีวันพรุ่งนี้ อยากจะขอโทษพวกเขาที่เป็นเหตุทำให้พวกเขาไม่ได้เห็นชีวิตของตัวเองอีก ทั้งๆ ที่ผู้ถูกเลือกทั้งห้าคนก่อนหน้านี้ต่างก็ทำหน้าที่ที่พวกเขาได้รับไว้ดีมาก ดีจนทำให้ผมไม่สามารถทำได้ดีถึงครึ่งหนึ่งของพวกเขา เจ้าแห่งเบื้องบนครับ ได้โปรดให้โอกาสผมอีกสักครั้ง ผมไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ ได้โปรดเถอะ!
เรอัสเอ๋ย เจ้ามาขอร้องเราทำไม ในเมื่อเราก็ให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าก็ไม่มีความพยายามพอที่จะไขว่ขว้าโอกาสนั้นไว้ได้ เพราะฉะนั้น...อย่าพยายามอีกเลย เพราะอีกหน่อย...เจ้าก็จะตายตามเพื่อนผู้ร่วมเดินทางของเจ้าแล้ว เจ้ายังคงมีความหวังอยู่อีกหรือ?
ส่ะ...เสียงนั่น! เจ้าแห่งเบื้องบนกำลังพูดกับผม
ครับ ผมยังคงหวังว่าผม รวมทั้งเพื่อนผู้ร่วมเดินทางทุกคนจะหลุดพ้นจากการมีส่วนในความตาย นั่นเป็นความหวังเดียวที่พวกเรามีอยู่ จากการเดินทางทั้งหมดเก้าวัน ท่านก็ได้เห็นความพยายามของพวกเราแล้วนี่ครับ พวกเราทุกคนต่างก็พยายามเต็มที่เพื่อที่จะทำภารกิจที่ถูกมอบหมายมานั้นให้สำเร็จ แต่การเดินทางของเราก็สิ้นสุดลง เพียงเพราะผมทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมานั้นไม่สำเร็จ เจ้าแห่งเบื้องบนครับ ตัวผมรู้ดีว่าเพื่อนผู้ร่วมเดินทางทั้งแปดคนนั้นไม่สมควรได้รับส่วนแบ่งของการมีส่วนในความตายนี้เลยแม้แต่น้อย ถ้าท่านปรารถนาจะเอาชีวิตเอาใครสักคนเพื่อนเข้าไปมีส่วนในความตาย คนคนนั้นก็ควรจะเป็นผมดีกว่า อย่าให้พวกเขาต้องจบชีวิตแบบนี้เลย
เรอัสเอ๋ย สิ่งที่เจ้าพูดมานั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เราไม่ปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น เพราะถ้าหากจะต้องมีใครที่ต้องเข้ามีส่วนในความตายแล้ว ก็ควรจะเป็นพวกเจ้าทุกคนที่ทำผิด ดังนั้น...เจ้าอย่าเรียกหาเราอีกเลย เพราะสิ่งที่เจ้าควรทำที่สุดในขณะนี้ก็คือการนั่งนิ่งๆ เพื่อรอความตายที่กำลังจะมาเยือนเจ้าในไม่ช้านี้
และหลังจากนั้น...เสียงของเจ้าแห่งเบื้องบนก็เงียบหายไป ผมจึงได้แต่นั่งนิ่งๆ เพื่อรอความตายที่จะเข้าสังหารผมให้จากไปพร้อมกับความทุกข์ระทม และความผิดหวัง
( End
ความคิดเห็น