ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels คนบ้าระห่ำ แหกกฎสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #18 : Still frantic II

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 61


     17

    Still frantic II

     

         ความเยือกเย็นของของเหลวที่เปียกชุ่มทำให้ฉันขนลุก วัตถุลื่นๆ ที่วางอยู่ใต้เท้าของฉันทำให้ฉันสะดุ้ง ฉันค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ และในวินาทีนั้น...ฉันก็ต้องประหลาดใจเมื่อฉันพบว่าตัวเองกำลังนอนราบอยู่ใต้หนองน้ำ คนอื่นๆ ก็เช่นกัน แต่เมื่อทุกคนได้สติแล้ว เราทั้งหมดก็รีบกระโจนขึ้นจากหนองน้ำนี้ทันที

     

         ห้านาทีต่อมา...พวกเราทั้งหมดได้ยืนอยู่บนพื้นราบที่สามารถมองเห็นหนองน้ำได้ทั้งสองข้างทางในสภาพเปียกโชก พวกเราต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจกลัวในสภาพโทรมๆ ของแต่ละคน แล้วพวกเราก็ชี้นิ้วไปที่ตัวเองพร้อมกับประสานเสียงขึ้นพร้อมกันว่า

     

         " อ๊ากกกกกก! ทำไมฉันถึงได้อยู่ในสภาพแบบนี้!?! " แล้วเรอัสก็หอบพร้อมกับพูดขึ้นว่า

     

         " จำได้มั้ยตอนที่...เฮือก...เราไปร่วมเล่นละครบอร์ดเวย์กับคณะละครโฮเมิร์กเชสน่ะ พอเราแสดงเสร็จ ผู้กำกับก็ด่าเราซะเละแล้วจากนั้นเขาก็ชวนเรากินเหล้าท้องถิ่น จากนั้น...เฮือก...เราก็...เมา " พอเรอัสพูดจบ พวกเราก็ร้องขึ้นพร้อมกันว่า

     

         " ว่าไงนะ! เราเมางั้นหรอ? " จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็กรีดร้องพร้อมกับโวยวายขึ้นมาว่า

     

         " กรี๊ดดดดดด! ไม่จริง ฉันดื่มไปแค่หยดเดียวเองนะจะเมาได้ยังไง " จากนั้น...มอนสเตลล่าก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " ดอลล่าร์ ฉันคิดว่าเธอต้องไม่ได้อ่านฉลากที่ติดข้างขวดเหล้านั้นแน่ๆ มันเขียนไว้ว่าแค่หยดเดียวก็เมาได้น่ะ " พอมอนสเตลล่าพูดจบ ทุกคนก็ทำหน้าเหวอ เพราะไม่มีใครได้อ่านฉลากข้างขวดเหล้านั้นกันซักคน ยกเว้นมอนสเตลล่า จากนั้น...พวกเราก็ร้องถามขึ้นพร้อมกันว่า

     

         " แล้วเธอดื่มเหล้านั่นทำไมล่ะ? " พอเราพูดจบ มอนสเตลล่าก็หัวเราะลั่นก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " เพราะฉันอยากเมาน่ะสิ " คำตอบของมอนสเตลล่าทำให้ฉันตกใจ ฉันรู้สึกว่าเธอเริ่มเพี้ยนขึ้นทุกวัน จากนั้นยูลิคก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " เดี๋ยวก่อนนะ พอเราเมาแล้วเรามากระโดดน้ำเล่นงั้นหรอ? "

     

         " ฉันคิดว่ามันคงไม่เป็นแบบนั้นนะ " มอนสเตลล่าว่า " เราคงตกน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจน่ะ แล้วนี่เราจะทำยังไงต่อดีล่ะ? "

     

         " ไปเที่ยวกันเถอะ!!! " ดรากเนสร้องขึ้น จากนั้น...เราทั้งหมดก็ทำหน้าตกใจก่อนที่จะร้องขึ้นพร้อมกันว่า

     

         " ไปในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ!?! "

     

         " ไม่ใช่หรอก ดูนั่นสิ! " ดรากเนสว่าพลางชี้ไปที่หนองน้ำอีกฝั่งหนึ่งที่มีพวกชาวบ้านกำลังว่ายน้ำเล่นกันอยู่ และที่ชายฝั่งหนองน้ำก็มีเสื้อคลุมสีขาววางซ้อนกันอยู่ " ฉันว่าเราควรจะไปหยิบเสื้อคลุมนั่นมาคนละตัว จากนั้นก็ใส่มันแล้วทิ้งเสื้อผ้าของพวกเราไว้ที่นี่ซะ "

     

         " มันเป็นวิธีการที่ไม่เลวนะว่ามั้ย? " มอนสเตลล่าว่า จากนั้น...ทุกคนก็พยักหน้ารับ แล้วเราก็ตัดสินใจที่จะทำแบบนั้นจริงๆ พวกเราวิ่งไปขโมยเสื้อคลุมของชาวบ้านที่วางอยู่บนชายฝั่ง จากนั้น...พวกเราก็ถอดเสื้อผ้าของพวกเราออกแล้วสวมเสื้อคลุมนั้นก่อนที่จะวิ่งออกไปอย่างไร้จุดหมายโดยที่ไม่สนใจเสียงร้องของพวกชาวบ้านที่ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า " เอาเสื้อคลุมของพวกเราคืนมานะ! "

     

         สิบนาทีต่อมา...พวกเราทั้งหมดก็มาหยุดอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งของลาลาโมเซ่...ดัทลิสต์ แต่ก่อนที่เราจะเดินเข้าประตูห้างนั้น เราก็ต้องเจอกับยามร่างยักษ์ที่กำลังยืนเฝ้าประตูอยู่ ยามคนนั้นรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเรา เขาหรี่ตามองเราแล้วพูดขึ้นมาว่า

     

         " กรุณาแต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยครับ " พอยามพูดจบพวกเราก็เดินชนยามคนนั้นจนล้มสลบไปก่อนที่จะเดินเข้าห้างไป

     

         มันเป็นโชคดีของเราที่ทันทีที่เราเดินดัทลิสต์เราก็พบกับนิตยสารอันดับหนึ่งของลาลาโมเซ่วางอยู่บนเก้าอี้นั่งซึ่งหน้าปกเป็นรูปบุคคลสำคัญของลาลาโมเซ่ มีผู้ชายห้าคนกับผู้หญิงสี่คนกำลังยืนตัวตรงแล้วส่งยิ้มให้เรา จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " เรามาแต่งตัวเลียนแบบพวกเขากันเถอะ! " แล้วก็เป็นแบบนั้น เมื่อพวกเราตัดสินใจที่จะแต่งตัวเลียนแบบบุคคลสำคัญทั้งเก้า พวกเราเอานิตยสารนั้นไปด้วยแล้วไปหาซื้อเสื้อผ้าที่เหมือนกับในนิตยสารซึ่งเราใช้เวลาในการซื้อเสื้อผ้าเพียงแค่สิบนาที และใช้เงินซื้อเสื้อผ้าเพียงแค่ไม่เกินคนละหนึ่งแสนบาทเท่านั้น พอพวกเราซื้อเสื้อผ้าเสร็จ พวกเราก็สวมเสื้อผ้าพวกนั้นแล้วออกมายืนอยู่ตรงประตูทางออก

     

         " ฉันว่าเราแค่แต่งตัวเลียนแบบพวกเขายังไม่พอหรอกนะ เราควรจะปลอมตัวเป็นพวกเราไปเลยดีกว่า " มอนสเตลล่าว่า พอพูดจบเธอก็โบกมือขึ้นกลางอากาศแล้วร่ายมนต์เพื่อปรับปรุงหน้าตาของพวกเราให้กลายเป็นบุคคลเหล่านั้นในนิตยสาร และตอนนี้...พวกเราก็ได้กลายเป็นบุคคลเหล่านั้นไปแล้ว ฉันเป็นนักคิดสูตรอาหารท้องถิ่นที่ชื่อเดมินา ยูลิคเป็นจิตรกรที่ชื่ออคาเลนโต้ โซเฟจเป็นนักการเมืองที่ชื่อควาเชโล่ ดรากเนสเป็นนักรบประจำเมืองที่ชื่อเลรอนโด้ เบลลาทริกซ์เป็นนักดนตรีที่ชื่อเพรซเซียร์ อดอล์ฟเป็นนักภาษาศาสตร์ที่ชื่อโพฟอนโซ ดีซีดอเรต้าเป็นนักธุรกิจที่ชื่อโวลอนต้า เรอัสเป็นนักประดิษฐ์ที่ชื่อเบฟเว่ และมอนสเตลล่าเป็นนักการทูตที่ชื่อแอคเชียทูร่า " แล้วเราจะไปไหนกันดีล่ะ? " พอมอนสเตลล่าพูดจบจอโทรทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าก็ปรากฏภาพมาสคอร์ตบรรดาสัตว์ในตำนานของลาลาโมเซ่ที่กำลังเต้นกันอย่างเมามันส์ แล้วบรรดาเหล่าโจ๊กเกอร์ก็พากันออกมายิ้มอย่างเริงร่า จากนั้นผู้หญิงที่แต่งชุดเดรสยาวสีขาวก็เดินออกมาแล้วร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสว่า

     

         " สวนสนุกเบอกามาสคามีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้มาเยือนวันนี้เท่านั้น ทุกท่านที่มาเที่ยวสวนสนุกเบอกามาสคาในวันนี้จะได้รับส่วนลดสามสิบเปอร์เซ็นต์ ราคาบัตรเข้าสวนสนุกจากเจ็ดหมื่นเหรียญเหลือเพียงสี่พันสองร้อยเหรียญเท่านั้น ทุกท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับเครื่องเล่นที่หลากหลายที่จะทำให้ทุกท่านรู้สึกดีตลอดกาล และได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่จะตราตรึงในใจท่านตราบนานเท่านาน " พอโฆษณานั้นจบลง พวกเราก็ตัดสินใจที่จะไปปรากฏตัวที่สวนสนุกเพื่อให้ผู้คนตกใจเล่น

     

         ยี่สิบนาทีต่อมา...พวกเราทั้งหมดได้มึนอยู่หน้าประตูทางเข้าสวนสนุกเบอกามาสคาแล้ว ที่นี่มีคนเดินพลุกพ่านไปทั่ว ภายในสวนสนุกมีเสียงอึกทึกคึกโครมดังมาจากหลายๆ ที่ พวกเราตัดสินใจที่จะเดินไปรอบๆ บริเวณสวนสนุกนั้นก่อนที่จะเดินไปที่ประตูทางเข้าเพื่อซื้อบัตรเข้าสวนสนุก และมันก็เป็นอย่างที่เราต้องการ เมื่อผู้คนที่อยู่แถวนั้นต่างมาที่เราก่อนที่จะชี้นิ้วมาที่เราแล้วกระซิบกระซาบกันยกใหญ่ บางคนที่ไม่เชื่อว่าพวกเราเป็นบุคคลสำคัญเหล่านั้นก็จ้องพิจารณาพวกเราไปเรื่อยๆ ส่วนบางคนที่เชื่อก็ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายรูปพวกเรา แล้วพวกเราก็เดินตรงไปที่ประตูทางเข้าเพื่อซื้อบัตรเข้าสวนสนุกโดยที่ไม่ได้ใส่ใจกับการกระทำของคนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

     

         พอพวกเราไปถึงที่ประตูทางเข้า พวกเราก็รีบจ่ายเงินค่าบัตรให้กับพนักงานขายบัตร ครู่ต่อมา...พนักงานขายบัตรก็ส่งบัตรเข้าสวนสนุกให้เรา เธอยิ้มอย่างเป็นมิตรพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า

     

         " ขอบคุณมากนะคะ ที่มาใช้บริการสวนสนุกเบอกามาสคาของเรา ขอให้เที่ยวให้สนุกนะคะคุณลูกค้า เฮือก!!! " พอพนักงานขายบัตรคนนั้นพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเรา แล้วเธอก็ตกใจจนอ้าปากค้าง เธอเอามือสั่นของเธอชี้หน้าพวกเราพร้อมกับพูดขึ้นว่า " คุณควาเชโล่ คุณอคาเลนโด้ คุณเดมินา คุณเลรอนโด้ คุณเพรซเซียร์ คุณโพฟอนโซ คุณโวลอนต้า คุณเบฟเว่ คุณแอคเชียทูร่า เฮือก!!! พวกคุณมาทำอะไรที่นี่คะ? " พอเธอพูดจบ พวกเราก็ประสานเสียงกันขึ้นมาว่า

     

         " พวกเรามาเที่ยวพักผ่อนกันน่ะสิ " พอได้ยินดังนั้น พนักงานขายบัตรคนนั้นก็มีท่าทางที่ดูประหลาดใจขึ้นไปกว่าเดิม

     

         " บุคคลสำคัญของชาติอย่างพวกคุณมีเวลาเที่ยวพักผ่อนเหมือนประชาชนคนอื่นๆ ด้วยหรอคะ? ฉันคิดว่าพวกคุณงานยุ่งจนไม่ได้ทำอะไรนอกจากจะทำงานของตัวเองเสียอีก "

     

         " ที่จริงแล้วพวกเราก็มีงานอีกมากที่ต้องไปทำ แต่ที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อเป็นการให้รางวัลแก่ความสำเร็จของตัวเองน่ะ " เบลลาทริกซ์ว่า

     

         " พวกคุณนี่ช่างเลือกสถานที่พักผ่อนได้ดีจริงๆ คะ สวนสนุกเบอกามาสคาของเราจะไม่ทำให้พวกคุณผิดหวังแน่นอนค่ะ " พอพนักงานขายบัตรคนนั้นพูดจบ เธอก็โค้งคำนับให้พวกเรา จากนั้น...พวกเราก็เดินเข้าไปในสวนสนุกทันที

     

         ตั้งแต่ก้าวแรกที่พวกเราก้าวเข้ามาในสวนสนุกเบอกามาสคาแห่งนี้ พวกเราก็ได้พบเจอกับบรรยากาศที่วุ่นวายที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา พวกเรากำลังตื่นตาตื่นใจไปกับการแสดงน่าหวดเสียวของเหล่านักกายกรรมทีมชาติแห่งลาลาโมเซ่ และอีกสักครู่ก็ต้องปวดหัวกับภาพของผู้คนที่วิ่งขวักไขว่ไปมาตามบู๊ทร้านขายของแฟนซี

     

         และแล้ว...ขาที่อ่อนล้าของฉันก็พาฉัน และเพื่อนผู้ร่วมเดินทางทั้งแปดคนให้มาหยุดอยู่หน้าสถานที่ที่น่าดึงดูดใจแห่งหนึ่ง มันเป็นเรือนกระจกเล็กๆ ทรงปริซึมสีมบลอนด์ทองซึ่งมีพนักงานต้อนรับชายสองคนซึ่งแต่งตัวเป็นนักรบโบราณกำลังช่วยกันแบกกระจกสีทองบานใหญ่อยู่คนละข้าง ภายในกระจกบานนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งซี่งแต่งตัวด้วยเดรสสั้นบางๆ สีเทา-ขาวนั่งอยู่ด้านในกระจกบานนั้น เธอกำลังร่ายรำอยู่ในกระจกบานนั้นอย่างสวยงามก่อนที่จะขยับปีกแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าหลงไหลว่า

     

         " ยินดีต้อนรับท่านผู้มาเยือนทั้งเก้า ข้า...เทพธิดากระจกมีความยินดีที่จะต้อนรับพวกท่านเข้าสู่เรือนกระจกของเรา ตามข้ามาสิ " สิ้นคำเทพธิดากระจก เธอก็กระพือปีกแล้วบินนำเราเข้าไปในเรือนกระจกซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้านั้น

     

         ทันทีที่ก้าวเข้ามาในเรือนกระจก เราก็พบกับห้องกว้างๆ ห้องหนึ่งซึ่งทั้งห้องถูกทาเป็นสีทอง มีกระจกบานยักษ์ที่ถูกแกะสลักเป็นรูปเทพธิดากระจกในอริยาบถต่างๆ วางเรียงอยู่ตรงมุมห้องนับสิบบาน กลิ่นไอที่ไม่คุ้นเคยที่เข้าปะทะกับจมูกของฉันทำให้ฉันหายใจไม่ออก ฉันก้าวเท้าไปเรื่อยๆ เพื่อชื่นชมความงามของกระจกเหล่านั้น ครู่ต่อมา...เทพธิดากระจกก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " ขอให้พวกท่านไปยืนประจำที่หน้ากระจกของท่าน ขอให้ท่านมีความสุขกับกระจกอัจฉริยะของเรา " สิ้นคำเทพธิดากระจก พวกเรามทั้งหมดก็พากันไปยืนหน้ากระจกที่อยู่คนละมุมห้อง ฉันกำลังยืนอยู่หน้ากระจกที่ถูกแกะสลักเป็นรูปเทพธิดากระจกนอนหลับ ครู่ต่อมา...ภาพของหญิงคงแก่เรียนคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่บนกระจกบานนั้น สักพัก...เธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูน่าฟังว่า

     

         " สายัณห์สวัสดิ์ ท่านผู้หญิง ข้าคือกระจกอัจฉริยะ ท่านสามารถถามข้าถึงสิ่งที่ท่านปรารถนาจะรู้ได้เพียงแค่สามคำถามเท่านั้น " สิ้นคำกระจกอัจฉริยะ ฉันจึงหยุดคิดสักครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นมาว่า

     

         " ความปรารถนาของฉันคืออะไร? " สิ้นคำฉัน ผู้หญิงคงแก่เรียนในกระจกบานนั้นก็สั่นหัวไปมาก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         "  ท่านปรารถนาที่จะคิดสูตรอาหารที่ทำให้ตัวท่านเองนั้นสวยขึ้น " สิ้นคำกระจกอัจฉริยะ ฉันก็พยักหน้ารับอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคงแก่เรียนคนนี้เชื่อเสียสนิทว่าฉันคือเดมินาก่อนที่จะเริ่มต้นถามคำถามถัดไป ฉันจะถามอะไรดีนะ? ถามเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าฉันจะรอดจากสิบวันนรกนี่มั้ยดีกว่า

     

         " ในชีวิตนี้ ฉันจะได้เจอเรื่องเหลือเชื่อบ้างมั้ย? "

     

          " ถ้าท่านโชคดี ท่านก็จะได้พบกับเรื่องเหลือเชื่อภายในหนึ่งเดือนข้างหน้านี้แน่นอน " คำว่า'ถ้าท่านโชคดี'ที่ผู้หญิงคงแก่เรียนคนนี้ว่าคงจะหมายถึง'ถ้าฉันรอด'สินะ แล้วฉันจะรอดมั้ยเนี่ย?

     

         " พรุ่งนี้ฉันจะตื่นกี่โมง? " สิ้นคำฉัน ผู้หญิงคงแก่เรียนก็นิ่งไปสักพัก เธอขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " พรุ่งนี้ท่านจะตื่นประมาณเกือบเที่ยง " พอพูดจบ ภาพผู้หญิงคงแก่เรียนก็หายไปจากกระจกบานนั้นโดยทิ้งให้ฉันจมอยู่กับความสงสัยแต่เพียงลำพัง แล้วฉันจะมีพรุ่งนี้มั้ย?

     

         สักพัก...พวกเราทั้งหมดก็เดินออกจากเรือนกระจก แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย และในตอนนี้...เราก็ถูกชายวัยกลางคนผู้สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินต้อนเข้าไปในร้านของเขา เขาก้มหัวให้เราพร้อมกับพูดว่า

     

         " ช่วยใช้บริการร้านผมหน่อยนะครับ "

     

         " ได้ค่ะ แล้วเราจะต้องทำยังไงบ้างคะ? " เบลลาทริกซ์ผู้แสนดีเอ่ยถามขึ้น ชายวัยกลางคนคนนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า

     

         " ตามมาสิครับ " พอพูดจบ ชายวัยกลางคนคนนั้นก็เดินนำเราเข้ามาในร้านของเขา ภายในร้านเล็กๆ นั้น มีลานน้ำพุที่ถูกล้อมรอบด้วยรูปปั้นหินของเหล่าสัตว์ในตำนานของลาลาโมเซ่ และรอบห้องนั้นถูกล้อมรอบด้วยแนวกำแพงหินหนาแน่น สักพัก...ชายวัยกลางคนก็กระแอมก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " สิ่งที่พวกคุณต้องทำก็คือพวกคุณต้องเลื่อนหินที่อยู่บนกำแพงนั้นด้วยรีโมทอันนี้ " สิ้นคำชายวัยกลางคน เขาก็ส่งรีโมทสีฟ้า-ขาวรูปแท่งแก้วทรงปริซึมให้เบลลาทริกซ์ก่อนที่จะพูดต่อว่า " คุณจะต้องจับฉลากแบบรูปขึ้นมาสามรูป แล้วเลื่อนหินให้ได้ตามแบบรูปนั้นภายในสามนาที ถ้าคุณใช้เวลาเกินไปจากนั้น คุณจะต้องจ่ายเป็นเงินสามพันเหรียญลาลาโมเซ่ ขอให้โชคดี " พอชายวัยกลางคนพูดจบ หีบสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกแกะสลักเป็นรูปลายแทงขุมทรัพย์ก็ลอยปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเรา ทันทีที่ฝาหีบเปิดออก ชายวัยกลางคนก็พูดขึ้นมาว่า " เชิญท่านจับแบบรูปที่หนึ่ง " สิ้นคำชายวัยกลางคน ดรากเนสก็ก้าวออกไปที่หน้าหีบใบนั้นแล้วหยิบกระดาษสีซีดขึ้นมาใบหนึ่ง มีภาพกางเขนปรากฏขึ้นบนกระดาษสีซีดแผ่นนั้น

     

        " เอาล่ะ...เริ่มได้! " สิ้นคำชายวัยกลางคน ภาพนาฬิกาสีแดงเทือกก็ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำของน้ำพุนั้น หน้าปัดของนาฬิกาเป็นแบบดิจิตอล มันจะนับถอยหลังตั้งแต่3.00 2.59 2.58ไปเรื่อยๆ จนถึง0.00 และเมื่อเริ่มจับเวลา เบลลาทริกซ์ก็เริ่มยกรีโมทขึ้นมาแล้วเริ่มทำการเลื่อนหินทันที

     

         แกร๊ก...แกร๊ก!!!

     

         หินบล็อกเคลื่อนที่ตามทิศทางที่ถูกบังคับ และส่งเสียงที่ดูน่าฟัง จนกระทั่ง...เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงหนึ่งนาทีกว่า หินบนกำแพงก็ถูกทำให้เป็นรูปกางเขนแล้ว

     

         " หนึ่งนาที ห้าสิบสามวิ! " ชายวัยกลางคนร้องบอกก่อนที่จะจัดการให้หินรูปกางเขนที่อยู่บนกำแพงนั้นกลับคืนสู่สภาพเดิม " เชิญท่านจับแบบรูปที่สอง " สิ้นคำชายวัยกลางคน ดรากเนสก็ออกไปจับกระดาษสีซีดขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ได้รูปเขาวงกต

     

         " แบล์...ถึงตาเธอบ้างแล้ว " เบลลาทริกซ์ว่าพลางส่งรีโมทมาให้ฉัน ฉันจึงรับพลางส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้เบลลาทริกซ์ ช่างเป็นพี่สาวที่ดีอะไรเช่นนี้ 

     

         ตอนนี้ ฉันกำลังยืนอยู่ในท่าที่อยู่เกร็งๆ สาตาจับจ้องไปที่แบบรูปเขาวงกตที่ดูซับซ้อนอย่างเคร่งเครียด และวางมือบนรีโมทอยู่ในท่าที่สามารถเตรียมกดได้อยู่ตลอดเวลา และทันทีที่เริ่มจับเวลา นิ้วของฉันก็เริ่มกดลงบนรีโมทนั้นตามสัญชาตญาณทันที

     

         ตอนแรกที่ฉันเริ่มบังคับหินด้วยรีโมท ฉันก็รู้สึกเซ็งตัวเองเป็นอย่างมาก เนื่องจากลองกดมาหลายรอบแล้ว หินก็ยังไม่ยอมเคลื่อนสักที จนฉันต้องใช้มืออีกข้างเข้าช่วยหินจึงจะเคลื่อนที่ ฉันกดเลื่อนหินผิดจนต้องเริ่มใหม่อยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายมันก็จบลงด้วยดี

     

         " สองนาที ห้าสิบเจ็ดวิ! " พอชายวัยกลางคนพูดจบ ฉันก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉันสามารถที่จะประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการประสบความสำเร็จแบบเฉียดฉิวก็ตาม " เชิญท่านจับแบบรูปที่สาม " สิ้นคำชายวัยกลางคน ดราเนสก็ออกไปจับกระดาษสีซีดขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ได้รูปปราสาทที่ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะของลาลาโมเซ่ ซึ่งมันก็ยากเกินความสามารถของฉัน จนฉันตัดสินใจที่จะส่งรีโมทอันนี้ไปให้ยูลิค ยูลิคจึงยิ้มอย่างเต็มใจก่อนที่จะรับรีโมทนี้ไป

     

         ทันทีที่เริ่มจับเวลา ยูลิคก็เริ่มที่จะรัวนิ้วลงบนรีโมทบังคับหิน ภาพของหินที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วกับเสียง'แกร๊ก...แกร๊ก!'ที่ดังขึ้นต่อเนื่องเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ และแล้ว...เกมส์นี้ก็จบลงเพียงแค่ในระยะเวลาสั้นๆ

     

         " สามสิบแปดวิ! " ชายวัยกลางคนร้องลั่นด้วยความปิติยินดี " ยินดีด้วยครับ คุณเป็นคนแรกที่ใช้เวลาเลื่อนหินให้เป็นรูปปราสาทภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที! นี่เป็นของสัมมนาคุณเล็กๆ น้อยๆ จากร้านเราครับ " ชายวัยกลางคนว่าพลางส่งห่อขนมปังก้อนเล็กๆ ให้ยูลิค ยูลิคจึงรับมาก่อนที่จะยัดห่อขนมปังนั้นลงในกระเป๋ากางเกง แล้วชายวัยกลางคนคนนั้นก็โค้งคำนับให้เราพร้อมพูดขึ้นว่า " โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ "

     

         จากนั้น...พวกเราทั้งหมดก็ก้าวเท้าออกจากร้านนั้นอย่างผู้ขนะก่อนที่จะเดินไปตามทางเท้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้ารกๆ และเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น

     

         " กรี๊ดดดดดดด! เร็วๆ เข้า มันจะฆ่าฉันแล้ว!!! " และติดตามมาด้วยเสียงอึกทึกคึกโครม

     

         ปัง!!! โครม!!!

     

         และติดตามมาด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ทำให้ฉันหลอนเล็กๆ

     

         " เสียงนั่นมาจากไหนน่ะ? " เบลลาทริกซ์เอ่ยถามขึ้น

     

         " ฉันคิดว่ามันน่าจะมาจากแถวนี้นะ ตามมาสิ " มอนสเตลล่าเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเดินนำเราไปตามเสียงกรีดร้องนั้น สักพัก...เราก็มาหยุดอยู่หน้ากระท่อมหินที่ถูกปกคลุมด้วยพุ่มไม้รกๆ ที่เสาไฟฟ้าข้างกระท่อมมีหัวอสูรกายพ่นไอเสียบอยู่บนเสาไฟฟ้านั้น และกระท่อมนี้ถูกล้อมรอบด้วยรั้วหนาม และบนรั้วหนามนั้น มีป่ายที่ถูกเขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงเลือดว่า 'เรากำลังตามหาผู้กล้าที่ต้องการฆ่าอสุรกายผู้ดุงร้ายจากทั่วทุกทิศของจักรวาล ถ้าหากคุณกล้าพอ ขอให้คุณเปิดประตูเข้ามา' พออ่านข้อความบนป้ายนี้จบ ดรากเนสก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " เรามาย้อนวันวานที่ไซเทร์น่ากันเถอะ! " สิ้นคำดรากเนส พวกเราก็ไม่รอช้าจึงรีบเดินเข้าประตูที่อยู่ตรงหน้าทันที

     

         ทันทีที่ฉันก้าวเท้าลงบนพื้นหินชื้นๆ ที่ถูกปกคลุมด้วยขนหนาๆ ของอสุรกาย ฉันก็ได้กลิ่นของความตายขึ้นมาในทันที ฉันก้าวเท้าไปข้างหน้าเพื่อเดินไปตามเสียงกรีดร้องโหยหวนของอสุรกาย ครู่ต่อมา...พวกเราทั้งหมดก็พบกับเจ้าหน้าที่ที่สวมเสื้อเกราะสีกรมท่าที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตู เขายิ้มกว้างให้เราพร้อมกับพูดขึ้นว่า

     

         " ยินดีต้อนรับเข้าสู้เกมส์ฆ่าอสุรกายครับคุณผู้กล้า ไม่ทราบว่าพวกคุณเคยฆ่าอสุรกายที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าครับ? " พอเจ้าหน้าที่คนนั้นพูดจบ พวกเราก็พร้อมใจกันประสานเสียงขึ้นมาว่า

     

         " ที่ไซเทร์น่าครับ/ค่ะ " ทันทีที่เราพูดจบ เจ้าหน้าที่คนนั้นก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขาเงียบไปสักพักก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " โอ้! แล้วพวกคุณรอดมาได้ยังไงครับ? "

     

         " มันไม่ยากหรอกค่ะ ถ้าคุณรู้วิธีที่จะหยุดพวกมัน " เบลลาทริกซ์ว่าพลางยิ้มกว้างให้เจ้าหน้าทึ่คนนั้น พอพูดจบ เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ทำหน้าอึ้งไปอีกรอบก่อนที่จะยิ้มแห้งๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า

     

         " พวกคุณอยากฆ่าอสุรกายขึ้นมาแล้วใช่มั้ยครับ งั้นเดี๋ยวผมจะมัดพวกคุณไว้กับสริงแล้วส่งพวกคุณไปอีกห้องหนึ่งเพื่อจัดการกับอสุรกายนะครับ โดยผมจะให้ปืนพวกคุณคนละกระบอก พวกคุณจะต้องยิงอสุรกายให้ได้อย่างน้อยสามตัว ถ้ามีใครในพวกคุณที่ยิงไม่โดนอสุรกายหรือถูกอสุรกายพ่นน้ำเหมือกใส่จะถือว่าจบเกมส์ทันที ผมเชื่อว่า คนเก่งอย่างพวกคุณไม่จำเป็นต้องใช้เสื้อเกราะหรือน้ำยาแก้พิษอสุรกายก็ได้ใช่มั้ยครับ " พอเจ้าหน้าที่คนนั้นพูดจบ เขาก็จัดการมัดพวกเราไว้กับสริงพร้อมกับให้ปืนพวกเราคนละกระบอกก่อนที่จะส่งเราให้ลอยข้ามกำแพงไปยังอีกห้องหนึ่ง

     

         ตอนนี้ พวกเราทั้งหมดกำลังลอยไปลอยมาอยู่ในห้องที่มีผนังลื่นๆ สีแดงเลือดซึ่งด้านล่างถูกปกคลุมไปด้วยน้ำเหมือกสีเขียว และเสียงกรีดร้องโหยหวนของเหล่าอสุรกายก็ดังมาจากที่ตรงนั้น

     

         " กร๊าซซซซซซซซซซซ!!! " อสุรกายตัวหนึ่งกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับจะกระโดดขึ้นมาขย้ำเราให้เละ แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อ...

     

         ปัง!!!

     

         ลูกกระสุนที่ออกจากปลายกระบอกปืนของดรากเนสที่พุ่งเข้าใส่ปากของอสุรกายตัวนั้นทำให้มันกระอักเลือดตายในที่สุด

     

         ต่อมา...อสรุกายนับสิบตัวก็พร้อมใจกันโผล่หัวขึ้นมาจากใต้น้ำเหมือกแล้วพ่นน้ำเหมือกที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์นั้นใส่เราทำให้เราต้องวุ่นวายกับการหลบน้ำเหมือกของอสุรกายเหล่านั้นยกใหญ่ และ...

     

         ปังๆๆๆๆๆ!!!

     

         ลูกกระสุนปืนกว่าสิบลูกที่เกิดจากการกระหน่ำยิงของอดอล์ฟก็ได้ทำให้อสุรกายที่กำลังคึกอยู่บนผิวน้ำได้กลับไปนอนนิ่งอยู่ใต้น้ำเหมือกตามเดิม

     

         และดูเหมือนว่าสถานการณ์ที่เงียบสงบไปกว่าห้านาทีจะกลับมาเขย่าขวัญพวกเราอีกครั้งเมื่อ...

        

         กึก...กึก...กึก!!!

     

         ผนังห้องได้ถูกทำให้สั่นด้วยอะไรบางอย่าง และสริงที่มัดตัวพวกเราอยู่กำลังจะขาดลง และพวกเรากำลังจะตกลงไปในน้ำเหมือกนั้นอีกในไม่ช้า

     

         " กรี๊ดดดดดดด! จะตกแล้ว " ดีซีดอเรต้ากรีดร้องขึ้น

     

         " อ๊ากกกกกก! ตายแน่ๆ " พวกเราทั้งหมดพร้อมใจกันร้องขึ้น

     

         " ทุกคน...อยู่นิ่งๆ ! " ดรากเนสร้องบอก สิ้นคำดรากเนส อสุรกายร่างยักษ์ก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำเหมือกนั้น และร่างของพวกเราทั้งหมดก็ถูกทำให้แกว่งแรงขึ้นเรื่อยๆ และนี่คือความคิดเดียวที่มีอยู่ในหัวของฉันในขณะนี้...'ตายแน่ๆ' และ...

     

         ปัง!!!

     

         เสียงปืนได้ดังขึ้นจากใครคนใดคนหนึ่ง พอฉันหันไปมองทางต้นเสียง ฉันก็พบว่ามอนสเตลล่าเป็นคนยิงปืนใส่หัวอสุรกายยักษ์ตัวนั้น

     

         " กร๊าซซซซซซซ!!! " อสุรกายยักษ์ตัวนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะสันธานไปโดยเหลือไว้เพียงแค่ผิวน้ำที่สงบนิ่งเท่านั้น

     

         หลังจากนั้น...พวกเราทั้งหมดก็ถูกดึงให้ออกจากห้องฆ่าอสุรกายที่น่าสยดสยองนั้นแล้วถูกส่งกลับมายังที่เดิม ที่นั่น เจ้าหน้าที่คนนั้นมองหน้าเราอย่างไม่เชื่อสายตา เขาถอดสริงออกให้เราก่อนที่จะรับปืนไปเก็บ จนกระทั่ง...เราได้เดินออกไปจากกระท่อมนั้น ในเวลานั้น เขาก็ยังคงยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น

     

         ตอนนี้ พวกเราทั้งหมดได้เดินออกจากโซนของเล่นสยองขวัญแล้ว และกำลังเดินเข้าสู่โซนเครื่องเล่นหวาดเสียว ในที่สุด...เราก็ได้เดินมาพบกับป้ายประกาศขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่หน้าลานเครื่องเล่นที่เป็นเบาะนั่งสีนิลเรียงต่อกันเป็นแนวลูกคลื่น บนป้ายนั้นมีตัวหนังสือสีฟ้าขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า 'เครื่องเล่นที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้เป็นเครื่องเล่นที่ติดหนึ่งในสิบอันดับของเครื่องเล่นอันตรายที่สุดแห่งจักรวาล มันได้คร่าชีวิตผู้คนมา189,736,245คนแล้ว ถ้าหากท่านรักชีวิตของท่านเอง โปรดอยู่ห่างจากมัน' เมื่ออ่านข้อความนั้นจบ อดอล์ฟก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " โอ๊ะโอ! เราเจอป้ายแบบนี้อีกแล้วว่ะเพื่อน น่ารำคาญจริงๆ "

     

         " ตามกฎของThe rebelsแล้ว เมื่อไหร่ที่เราเจอป้ายแบบนี้ เราก็ไม่ควรจะไปทำตามที่มันบอก แหกกฎไปเลย! " ดรากเนสว่า " เราไปเล่นเครื่องเล่นอันตรายนี้กันเถอะ! " สิ้นคำดรากเนส พวกเราทั้งหมดก็พร้อมใจกันก้าวอย่างมั่นใจเพื่อเข้าไปในลานเครื่องเล่นหวาดเสียวนั้นทันที

     

         และมันก็เป็นอย่างที่เราคิด เพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่เราก้าวเข้ามาในลานเครื่องเล่นหวาดเสียวแห่งนี้ เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องเล่นนี้ก็มองหน้าพวกเราด้วยความประหลาดใจ

     

         " พวกท่านจะเล่นเก้าอี้เหาะจริงๆ หรอคะ? " เธอร้องถามเสียงสูง พอเธอพูดจบ เราก็พยักหน้าพร้อมกัน จากนั้น...เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้พร้อมกับพูดขึ้นว่า " ไม่ได้นะคะ พวกท่านเป็นบุคคลสำคัญของลาลาโมเซ่ ฉันจะไม่ยอมให้บบุคคลสำคัญของลาลาโมเซ่ตายเพราะเครื่องเล่นนี้เด็ดขาด "

     

         " วางใจซะเถอะ พวกเราจะไม่เป็นอะไร " ดรากเนสว่า จากนั้น...เจ้าหน้าที่คนนั้นก็อ้าปากค้างแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

     

         " อย่าเลยค่ะ...ท่านเลรอนโด้ ฉันไม่อยากติดคุก "

     

         " เธอไม่ติดคุกแน่ๆ เพราะฉันเข้าในโครงสร้างของเครื่องเล่นนี้ดี และพวกเราทุกคนก็รู้ว่าจะต้องรับมือกับมันยังไง " เรอัสว่า

     

         " ถ้าพวกท่านต้องการเช่นนั้นก็เชิญไปนั่งประจำที่ได้เลยค่ะ " สิ้นคำเจ้าหน้าที่คนนั้น พวกเราทั้งหมดก็พร้อมใจกันเดินไปนั่งประจำที่เบาะนั่งบนเครื่องเล่นของแต่ละคน มันเป็นเบาะนั่งที่น่าหวาดเสียวพอสมควร เพราะมันไม่มีที่จับ ไม่มีพนักพิง มีเพียงลาดเหล็กเส้นบางๆ ที่ยึดติดกับก้นเบาะเท่านั้น

     

         พอเราขึ้นไปนั่งบนเครื่องเล่นได้สักพัก เจ้าหน้าที่คนนั้นก็พยักหน้าให้เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้กับเครื่องบังคับ จากนั้น...ปุ่มสีเขียวที่อยู่บนเครื่องบังคับก็เรืองแสงขึ้น และในวินาทีนั้นเอง...กลไกเครื่องเล่นจึงเริ่มทำงาน

     

         วืดดดดดดดดด!!!

     

         เสียงอึกทึกคึกโครมได้ดังขึ้นจากใต้เครื่องเล่นหวาดเสียวอันนี้ทำให้ฉันหูอื้อไประยะหนึ่ง และหลังจากนั้น...ลวดเหล็กบางๆ ที่อยู่ก้นเบาะนี้ก็ได้ทำการเหวี่ยงเบาะแคบๆ สีดำนี้ขึ้นไปกลางอากาศ ตอนแรกๆ เบาะนี่ก็ลอยขึ้นไปเรื่อยด้วยความเร็วปานกลางจากนั้นมันก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ แล้วเริ่มเหวี่ยงตัวไปมา มันเริ่มเอียงไปข้างๆ จนลุ้นว่าเราจะตกจากเครื่องเล่นนี่เมื่อไหร่ และจะตายทันทีมั้ย ตอนที่เหวี่ยงกลับหัวนั่นแหละอันตรายที่สุด เพราะมันมีความเสี่ยงในการตายสูง นั่นถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าหวาดเสียวที่สุดในชีวิต เพราะตอนนั้นตัวฉันเย็นเฉียบ และมีเหงื่อออกทั่วตัว ฉันพยายามใช้มือที่แทบจะไม่มีแรงของตัวเองจับเบาะนั่งนี้ไว้แน่น แล้วหลับตาปี๋ บางครั้งก็กรีดร้องออกมาบ้าง ฉันพยายามที่จะควบคุมสติของตัวเองไว้ให้อยู่เพื่อให้นั่งนิ่งๆ อยู่บนเครื่องเล่นน่าหวาดเสียวนี้ และแล้ว...ความพยายามของฉันก็ได้ผลดี เมื่อช่วงเวลานรกนี่ได้กำลังจะผ่านพ้นไป และมันได้ใช้เวลาเพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น

     

          วืดดดดดดดดดดด!!!

     

         เสียงจากเครื่องเล่นหวาดเสียวนี่ได้ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเบาะนั่งสีดำได้ถูกบังคับให้ลอยลงมาติดอยู่กับลวดเหล็กเส้นบางๆ ดังเดิม และทันทีที่พวกเราก้าวเท้าเหยียบลงบนพื้นดินอีกครั้ง พวกเราก็หอบหายใจถี่ๆ พร้อมกับเดินออกไปจากลานของเล่นหวาดเสียวนี่ทันที

     

         และหลังจากนั้น...ชีวิตของพวกเราก็ต้องกลับสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง เมื่อ...

     

         " ดูนั่นสิ! คนพวกนั้นคือคนกลุ่มแรกในรอบสิบปีที่สามารถรอดชีวิตจากเครื่องเล่นหวาดเสียวนั้นได้! "  ผู้หญิงคนหนึ่งร้องบอกเพื่อนของเธอด้วยความตื่นเต้นพลางชี้มาที่เรา

     

         " นั่น! พวกเขาคือบุคคลสำคัญทั้งเก้าของลาลาโมเซ่ไม่ใช่หรอ? " ผู้หญิงคนที่สองว่า  

     

         " ใช่แล้ว! แล้วพวกเขามาทำอะไรที่นี่ล่ะ? " ผู้หญิงคนที่สามเอ่ยถามขึ้น

     

         " พวกเราไปถ่ายรูปพวกเขากันเถอะ " พอผู้หญิงคนที่สี่พูดจบ ประชาชนทั้งหมดก็อยู่บริเวณนั้นก็ได้เบียดเสียดกันเข้ามาล้อมรอบพวกเราเพื่อถ่ายรูปทันที และในวินาทีนั้น...ฉันก็รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังหายใจไม่ออก เป็นเพราะคนจำนวนมากที่เบียดเสียดกันน่ะหรอ เปล่าเลย มันเป็นเพราะฉันเหนื่อยจากการเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวนั่นต่างหาก

     

         ตอนนี้พวกเราทั้งหมดกำลังมองหน้ากันเพื่อวางแผนโดยใช้พลังจิตว่าเราควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี เกรงว่าเราอาจถึงฆาตก่อนกำหนดก็เป็นได้ เราควรจะวิ่งฝ่าฝูงชนไปดีมั้ย? วิ่งน่ะมันธรรมดาเกินไป ถ้าฉันเหาะได้ฉันคงเหาะไปแล้ว และแล้ว...เสียงสวรรค์ที่ดังมาจากโทรทัศน์จอใหญ่ที่อยู่บริเวณนี้ก็ได้ดังขึ้น แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่านี่เป็นเสียงสวรรค์แน่หรอ?

     

         " คุณเลรอนโด้ คุณจะแก้ลถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้อย่างไรคะ? " เลรอนโด้? หมายถึงดรากเนสสินะ ซวยแล้ว!!!

     

         " เธอได้ยินเหมือนที่ฉันได้ยินมั้ย? " ผู้หญิงคนที่หนึ่งเอ่ยถามขึ้น

     

         " ได้ยินชัดเต็มสองหูเลยล่ะเธอ " ผู้หญิงคนที่สองว่า

     

         " ตอนนี้บุคคลสำคัญทั้งเก้าของลาลาโมเซ่กำลังให้สัมภาษณ์ออกรายการอยู่ซึ่งเป็นการถ่ายทอดสดเสียด้วย งั้นคนพวกนี้ก็เป็นตัวปลอมน่ะสิ! " พอผู้หญิงคนที่สามพูดจบ ประชาชนทั้งหมดที่ยืนอยู่แถวนั้นก็มองหน้าพวกเราด้วยสายตาอาฆาตแค้น

     

         " จับพวกมันไว้! " ผู้หญิงคนที่สี่ร้องสั่งอย่างบ้าคลั่ง และในวินาทีนั้นเอง...พวกเราก็พากันเร่งฝีเท้าเพื่อวิ่งออกจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว และแล้ว...การวิ่งไล่ล่ากันอย่างบ้าคลั่งระหว่างพวกเรากับชาวลาลาโมเซ่ก็ได้เปิดฉากขึ้นอย่างดุเดือด พวกเราวิ่งไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย แม้ว่าขาจะอ่อนล้าแต่พวกเราก็ยังคงวิ่งต่อไป จนกระทั่ง...พวกเราได้ออกมานอกเขตุสวนสนุกเบอกามาสคาแล้ว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามเรามาแล้ว มอนสเตลล่าจึงร่ายมนต์ให้เราทั้งหมดกลับสู่สภาพเดิม และเสียงหนึ่งที่ทำให้เราได้แรงบันดาลใจที่จะทำเรื่องบ้าระห่ำอีกครั้งก็ได้ดังขึ้นจากรถตู้สีขาวคันใหญ่ตรงหน้า

     

         " ใครมาถึงแล้วขึ้นรถเลยค่ะ ตอนนี้สี่โมงเย็นแล้ว รีบๆ หน่อยค่ะ เดี๋ยวไปถึงหอคอยซาคอนเน่ช้านะคะ " สิ้นคำเสียงนั้น ฉันจึงมองไปทางต้นเสียงทันที พบว่าหญิงวัยกลางคนร่างบางที่สวมเสื้อผ้าสีขาวที่ดูสบายตาเป็นคนพูดประโยคนั้น เธอคนนั้นเป็นไกด์ที่กำลังต้อนลูกทัวร์ให้ขึ้นรถตู้คันนั้นเพื่อจะได้เดินทางไปยังสถานที่ต่อไป

     

         " ฉันคิดว่าเราควรจะขึ้นรถไปกับพวกเขานะ เพราะที่นั่นอาจมีอะไรดีๆ ให้เราทำก็เป็นได้ " ดรากเนสว่า พอดรากเนสพูดจบพวกเราก็มองหน้ากันงงๆ ก่อนที่จะพูดขึ้นพร้อมกันว่า

     

         " แล้วเราจะขึ้นรถไปกับพวกเขาได้ยังไงล่ะ? "

     

         " เกาะฉันไว้แน่นๆ แล้วฉันจะพาทุกคนขึ้นรถตู้คันนั้นไปอย่างรวดเร็ว " สิ้นคำดรากเนส พวกเราทั้งหมดก็ยืนมือไปสัมผัสร่างของดรากเนส จากนั้น...ดรากเนสก็ออกวิ่งไปอย่างรวดเร็วทำให้ภายในระยะเวลาไม่ถึงสามวินาที พวกเราก็ได้ขึ้นไปนั่งด้านล่างของรถตู้คันนั้นแล้ว

     

         ตอนนี้พวกเราทุกคนกำลังนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงเบาะหลังของรถตู้สีขาวคันสวย พวกเราพยายามหายใจ และเคลื่อนไหวร่างกายให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้คนอื่นที่นั่งอยู่ด้านหน้าตกใจ เพราะฉันคิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาเห็นว่ามีคนแปลกหน้าที่ไม่ได้รับเชิญขึ้นมานั่งรถคันเดียวกับพวกเขา พวกเขาอาจตกใจจนเสียสติหรือหัวใจวายตายได้

     

         สำเนียงเพลงพื้นบ้านที่ฟังไม่คุ้นหูได้ดังขึ้นจากด้านหน้า มันทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก รถที่วิ่งบนท้องถนนเรียบด้วยความนุ่มนวลกับไออุ่นๆ จากเครื่องปรับอากาศที่เข้าปะทะหน้าอย่างจังทำให้ฉันเคลิ้มหลับไปในที่สุด

     

         " ตอนนี้สี่โมงครึ่งเป๊ะ เรามาถึงหอคอยซาคอนเน่กันแล้วนะคะ ขอให้ทุกคนลงจากรถได้แล้วค่ะ มาชมความสวยงามของหอคอยที่ได้ชื่อว่าเป็นหอคอยกลางเมืองที่มีความเก่าแก่ และโรแมนติกที่สุดในลาลาโมเซ่กัน " เสียงของไกด์ปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์ทันที ฉันจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วสะบัดหัวไล่ความง่วงนอนออกไปก่อนที่จะให้มือเกาะร่างดรากเนสแล้วเคลื่อนที่ออกไปข้างนอกด้วยความรวดเร็ว

     

         ตอนแรกที่มองถึงหอคอยซาคอนเน่ พวกเราก็ทำเนียนไปเดินชมรอบหอคอยไปกับเขา โดยที่เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย พวกเราได้เห็นสิ่งที่หน้าประทับใจหลายอย่างที่หอคอยซาคอนเน่แห่งนี้ ทั้งหอคอยสูงเสียดฟ้าที่ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่ดูสง่างาม สวนที่ถูกประดับด้วยพืชพันธ์ที่หายากที่ล้อมรอบหอคอยนั้นไว้ และรูปปั้นคนโบราณที่กำลังเต้นรำอยู่กลางทะเลสาบสีครามที่ถูกล้อมรอบด้วยอัญมณีหายากจำนวนมาก และพอเดินตามเขาไปได้ประมาณสิบห้านาที พวกเราก็เริ่มอยากทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การเดินตามคนอื่นแล้ว ดังนั้น...พวกเราจึงตัดสินใจที่จะขึ้นบันไดพันขั้นขึ้นไปยังดาดฟ้าของหอคอยซาคอนเน่ที่แสนสง่า แล้วประเดิมด้วยการเดินชมทิวทัศน์ของลาลาโมเซ่ทั้งเมือง มันเป็นเมืองที่ประหลาดที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมา เพราะตึกแต่ละตึกมีสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร ทุกสิ่งในลาลาโมเซ่ถูกสร้างมาจากจินตนาการทั้งสิ้นเหมือนกับว่ากำลังอยู่ในเมืองแห่งเทพนิยายที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และสถาพแวดล้อมที่น่าขัน พอเสร็จจากการดูทิวทัศน์แล้ว พวกเราก็มานั่งล้อมวงกัน แต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาเลย จนกระทั่ง...

     

         " ตั้งแต่พวกเราตัดสินใจที่จะไขกุญแจเปิดประตูที่ถูกปิดตายมานานแล้วเข้ามาในมิติปริศนาที่สอง-หนึ่ง-สาม-แปดแล้วเผชิญหน้ากับความยากลำบาก และการเสี่ยงตายด้วยกัน วันนี้เป็นวันที่เก้าแล้วนะ และพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากด้วยกันอีก และหลังจากนั้นจะไม่มีอีกแล้ว ฉันหวังว่าเราคงจะพบแต่เรื่องดีๆ นะ " ดรากเนสเอ่ยขึ้น " ก่อนอื่นฉันต้องขอสารภาพว่า ฉันเป็นพวกที่หลับยากมากๆ และฉันจะต้องวิ่งก่อนนอนทุกคืน ฉันถึงจะนอนหลับไป ฉันขอโทษที่เสียงฝีเท้าของฉันก่อความน่ารำคาญให้ทุกคนอยู่ทุกๆ คืน ถ้าจะให้ดี ฉันขอให้ทุกคนลืมความผิดนั้นไปซะ แล้วต่อไป ฉันจะพยายามลงฝีเท้าให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ " ดรากเนสว่าพลางก้มหน้า เขาเงียบไปสักพักก่อนที่จะพูดด้วยความไม่มั่นใจว่า " เอ่อ...มีใครอยากพูดอะไรอีกมั้ย? " พอดรากเนสพูดจบ เบลลาทริกซ์ก็หน้าซีดขึ้นมาทันที เธอหันไปมองหน้าดีซีดอเรต้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนที่จะขยับปากสั่นๆ ของตัวเองแล้วพูดขึ้นว่า

     

         " ดอลล่าร์...ฉันขอโทษ อย่าโกรธฉันนะ ถ้าฉันจะบอกเธอว่า เอ่อ--- " เบลลาทริกซ์หยุดหายใจเพื่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีก่อนที่จะพูดต่อว่า " วันแรกที่ดิเครซซิโม ตอนที่เธอแยกตัวไปทำภารกิจน่ะ ตอนนั้น...พวกเรามากินข้าวกันที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนถนนสายหลักแห่งหนึ่ง แต่ก่อนที่จะเข้าไปในร้าน ฉันก็เห็นหญิงแก่คนหนึ่งท่าทางน่าสงสารกำลังนั่งขอทานอยู่หน้าร้าน ตอนนั้น...ฉันสงสารผู้หญิงคนนั้นมาก ดังนั้นฉันจึง...ฉันจึงเอาเงินสองแสนเหรียญดิเครสซิโมของเธอบริจาคให้ขอทานคนนั้นไปแล้ว!!! ฉันขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ เธออย่าโกรธฉันนะ เธอควรจะให้อภัยฉันแล้วเราจะได้เป็นเพื่อนกันตลอดไปไง " พอเบลลาทริกซ์พูดจบ ดีซีดอเรต้าก็อ้าปากค้าง ฉันคิดว่าอีกสักครู่...เธอก็จะกรีดร้องเสียงดีง แล้วก็ชี้นิ้วด่าเบลลาทริกซ์ด้วยสำนวนการพูดที่กรีดแทงหัวใจของเธอ แต่ผิดคาด เพราะว่า...

     

         " ไม่เป็นไรเบลลาทริกซ์ ฉันไม่โกรธเธอหรอก ฉันเข้าใจว่าตอนนั้นเธอคงจะสงสารผู้หญิงคนนั้นมาก ฉันรู้จักนิสัยของเธอดีว่าเธอเป็นคนขี้สงสารแค่ไหน ก็ดีนะ เราจะได้เหลือเงินเท่าๆ กันไง " พอดีซีดอเรต้าพูดจบ เธอก็หัวเราะ และฉันก็สับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างมาก ทำไมดีซีดอเรต้าถึงเปลี่ยนไป เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรอ?

     

         " ขอบใจนะดอลลาร์ เธอเป็นเพื่อนที่วิเศษที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย " จากนั้น...เบลลาทริกซ์กับดีซีดอเรต้าที่โผลกอดกัน ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจอะไรเช่นนี้!

     

         " เฮ้! ขออนุญาตขัดจังหวะแป๊ปนะ " อดอล์ฟเอ่ยขึ้น " ฉันมีเรื่องอยากจะสารภาพน่ะ คือว่า...ตลอดเวลาเก้าวันมานี้ ฉันได้ทำเรื่องที่เสียมารยาทอย่างแรงนั่นก็คือการแอบฟังเสียงในใจของทุกคนโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต เพราะฉะนั้น...เวลาที่ทุกคนบ่นอะไรในใจทั้งเรื่องดี และเรื่องไม่ดีฉันได้ยินหมดนะ ดังนั้น...ตอนนี้ฉันก็เป็นคนเดียวที่รู้ความลับของทุกคน แต่วางใจได้เลยว่ะเพื่อนว่าฉันจะไม่เอาความลับของพวกแกไปแฉให้คนอื่นรู้แน่ๆ ยกเว้นถ้ามีเหตุจำเป็นจริงๆ น่ะ " พออดอล์ฟพูดจบ ทุกคนก็มีสีหน้าเอือมระอากับการกระทำของเขา ทำตัวน่ากระทืบทั้งแต่ต้นจนจบ ช่างเป็นคนที่เสมอค้นเสมอปลายอะไรเช่นนี้!

     

         " ฉันก็มีเรื่องจะสารภาพเหมือนกัน " ดีซีดอเรต้าพูดพลางหอบ เธอแสดงสีหน้าที่บ่งบอกถึงความกระวนกระวายได้อย่างชัดเจน " คือว่า...ตอนที่เราหนีพวกผีดิบเข้ามาในป่าที่ไซเทร์น่าน่ะ ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่า ทุกคนก็หลับกันหมดยกเว้นฉัน ตอนนั้นฉันหิวมาก ฉันจึงแอบกินเสบียงสะสมที่เหลืออยู่ทั้งหมดในสัมภาระ ทำให้ในเวลาต่อมาก็ไม่มีเสบียงเหลือไว้ให้ทุกคนกินเลย ฉันขอโทษนะ ถ้าฉันไม่แอบกินเสบียงจนหมด ทุกคนก็ไม่ต้องไปนั่งกินข้าวท่ามกลางบรรยากาศที่น่าสยดสยองของภัตคารร้างนั่นหรอก " พอดีซีดอเรต้าพูดจบ ยูลิคก็พูดขึ้นมาว่า

     

        " ไม่เป็นไรหรอก บรรยากาศแบบนั้นน่ะ ตื่นเต้น เร้าใจดีออก มันได้อารมณ์ดีนะ " จากนั้น...พวกเราทั้งหมดก็พากันประสานเสียงกันขึ้นมาว่า

     

         " ใช่ใช่! ประสบการณ์แบบนั้นหายากนะ "  จากนั้น...พวกเราก็ทำหน้านิ่งแล้วพูดขึ้นพร้อมกับว่า " ใช่ใช่! ใช่ใช่! ใช่ใช่! ใช่ใช่! " หลังจากนั้น...เรอัสก็หน้าแดงแล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " หยุดล้อเลียนฉันสักที!!! " จากนั้น...พวกเราทั้งหมดก็ขำก๊ากกับท่าทางของเขา และเมื่อฉันนึกถึงตอนที่เขาแสดงละครเวทีด้วยใบหน้านิ่งๆ มันก็ทำให้ฉันอดหัวเราะไม่ได้

     

         " เรอัส...หยุดทำหน้าแดงได้แล้ว เราต้องบอกความจริงกับพวกเขาเดี๋ยวนี้ " มอนสเตลล่าเอ่ยขึ้น พอมอนสเตลล่าพูดจบ เรอัสก็มองหน้ามอนสเตลล่าเป็นนัยน์ว่า'จะดีหรอ?' พอมอนสเตลล่าพยักหน้าให้สัญญาณ ทั้งคู่ก็พูดขึ้นพร้อมกันว่า

     

         " ทุกคน...พวกเราขอโทษ " พอพูดจบ พวกเขาก็โค้งคำนับเป็นเชิงขอโทษให้เรา " คือว่า...พวกเราได้ไปขโมยหนังสือเล่มหนึ่งมาจากห้องสมุดของวิชเชล่า และหนังสือเล่มนั้นก็คือหนังสือรวมความลับของมิติปริศนาที่สอง-หนึ่ง-สาม-แปดซึ่งมีอยู่เล่มเดียวในจักรวาล " พอมอนสเตลล่า และเรอัสพูดจบ พวกเขาก็หอบหายใจพร้อมกัน แล้วมอนสเตลล่าก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันคิดว่าเราควรจะเก็บหนังสือเล่มนี้ไว้เป็นอนุสรณ์นะ เพราะยังไงซะ เราก็หาทางเอาหนังสือเล่มนี้ไปคืนไม่ได้แล้ว "

     

         " เธอทำถูกแล้ว บ้าระห่ำแบบนี้สมกับเป็นthe rebelsที่สุด " ดรากเนสร้องขึ้นด้วยความยินดี " มีใครจะพูดอะไรอีกมั้ย? " พอดรากเนสพูดจบ ยูลิคก็ยกมือขึ้นก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " ฉันขอพูดตรงๆ เลยนะว่าตั้งแต่ตอนที่เราเข้ามาในมิติปริศนาที่สอง-หนึ่ง-สาม-แปดนี้เป็นครั้งแรก ฉันรู้สึกไม่ไว้ใจทุกคนเลย เพราะฉันเอาแต่คิดว่าทุกคนก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่อยากจะได้ผลประโยชน์จากการเดินทางครั้งนี้ รวมถึงการได้เข้าไปในนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ด้วย แต่...พอฉันได้ใช้ชีวิตร่วมกับทุกคน ได้ร่วมทำอะไรหลายๆ อย่าง ได้เสี่ยงตายด้วยกัน ได้เห็นถึงความพยายามที่ทุกคนพยายามที่จะช่วยฉันให้กลับไปยังที่ที่ฉันมา ฉันก็รู้อย่างแท้จริงว่าทุกคนต้องไม่เป็นเหมือนคนพวกนั้นแน่นอน แต่ฉันกลับรู้สึกได้ว่าทุกคนเป็นเพื่อนผู้ร่วมเดินทางที่ดี ทุกคนกลับปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ตลอดการเดินทางในครั้งนี้ ฉันรู้สึกประทับใจในความรู้สึกดีๆ ที่ทุกคนมีใครฉันเป็นอย่างมาก ขอให้ทุกคนอดทน และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แม้ว่าจะถูกทดลองโดยวิธีไหนก็ตาม ขอให้ทุกคนอย่ายอมแพ้ต่อความตาย แต่ขอให้ทุกคนทำเหมือนกับที่เราได้ร่วมสาบานกันไว้ตอนก่อนเข้ามาที่นี่ ฉันเชื่อว่า...ทุกคนทำได้ ขอจบการบรรยายเพียงเท่านี้ ขอบคุณ " พอยูลิคพูดจบ ฉันรวมถึงใครหลายๆ คนในที่นี้ก็แอบน้ำตาซึมกันเล็กน้อย ตอนนี้...ฉันรู้สึกได้นี้เป็นประสบการณ์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตของฉันเลยก็ว่าได้ ถ้าเป็นไปได้ ฉันไม่อยากให้มันจบลงเลย ฉันแค่อยากหยุดเวลานี้ไว้ แค่อยากให้มันเป็นอย่างนี้ตลอดไป

     

         " แบล์...เธอพูดอะไรบ้างสิ " คำพูดของเบลลาทริกซ์ทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย ฉันจึงหยุดคิดสักพักก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " ตลอดการเดินทางครั้งนี้ ฉันรู้สึกว่าทุกคนเจ๋งมากๆ และฉันก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่ามากเมื่อต้องมาอยู่ท่ามกลางผู้ที่มีพลังวิเศษสุดเจ๋งอย่างพวกเธอ และฉันก็เป็นคนเดียวในที่นี้ที่ไม่มีพลังวิเศษอะไรเลย แต่ที่ฉันสามารถที่จะรอดมาได้ก็เพราะทุกคนช่วยฉันไว้ ฉันรู้สึกว่าสี่คนแรกที่ทำภารกิจไว้แล้วนั้นเป็นคนที่ทั้งเก่งทั้งรักเพื่อนผู้ร่วมเดินทางของตัวเอง เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่อาจปล่อยให้เพื่อนร่วมทางของตัวเองต้องตายได้จากการทำภารกิจล้มเหลวของพวกเขาเอง และทุกสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการเดินทางอันล้ำค่านี้ ฉันจะไม่มีวันลืมมันได้เลย ฉันรู้สึกดีเมื่ออยู่ที่นี่มากกว่าอยู่ในโลก เพราะมันทำให้ฉันเจอโชคดีมากกว่าโชคร้าย และบางครั้งโชคร้ายที่ฉันเจอที่นี่มันก็เลวร้ายเกินกว่าที่จะรับได้ และตราบใดที่ฉันได้ทุกคนเป็นเพื่อนผู้ร่วมเดินทางแล้ว ฉันจะไม่รู้สึกเกรงกลัวต่อโชคร้ายอีกต่อไป และฉันเชื่อว่า...พวกเราจะรอดจากสิบวันนรกนี่ไปด้วยกัน "

     

         " ทุกคนฟังนะ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้อาจทำให้คุณรู้สึกหวาดกลัวเพียงเล็กน้อย " โซเฟจเอ่ยขึ้น " ผมเสียใจที่ต้องบอกพวกคุณว่า ตั้งแต่สมัยที่มนุษย์กลุ่มแรกที่เข้ามาที่นี่จนกระทั่งถึงตอนนี้ ไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่จนถึงหลังจากการเดินทางสิบวันนี้ได้เลย มนุษย์ส่วนใหญ่ที่เข้ามาที่นี่จะตายตั้งแต่วันแรก เพราะว่าพวกเขาไม่มีความพยายามในการที่จะทำภารกิจแรกให้สำเร็จ แต่พวกคุณก็โชคดีมากที่มีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้ นี่เป็นชะตากรรมที่เจ้าแห่งเบื้องบนกำหนดไว้ และไม่มีใครที่จะสามารถฝ่าฝืนมันได้นั่นก็คือความตาย ผมเสียใจที่ปิดบังเรื่องนี้มานานโดยที่ไม่ได้บอกพวกคุณ เพราะความจริงที่ผมกำลังจะบอกพวกคุณอาจทำให้พวกคุณรู้สึกหมดหวังเล็กน้อย " โซเฟจก้มหน้าลงอธิษฐานอยู่นาน และครู่ต่อมา...เขาก็ได้เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เขาสั่นหัวเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " ความจริงก็คือ...ผู้ร่วมเดินทางทุกคนจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินวันที่เก้าของการเดินทาง และวันนั้นก็มาถึงแล้ว นี่เป็นโชคชะตาที่เจ้าแห่งเบื้องบนกำหนดมาให้แก่เรา และไม่มีใครเคยฝ่าฝืนมันมาได้ แม้ว่าคนคนนั้นจะมีอำนาจเทียบเท่ากับเทพสูงสุดก็ตาม และในเวลานี้...สิ่งที่พวกคุณควรทำที่สุดก็คือพวกคุณควรทำใจให้สบายแล้วรอความตายซะ มันจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ ขอให้พวกคุณโชคดี แต่พวกคุณไม่ต้องกังวลไปนะ เพราะทั้งผม และยูลิคจะตายไปพร้อมๆ กับพวกคุณด้วย เพราะพวกเรารู้ดีว่าทูตที่ออกมาจากนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์แล้ว จะกลับเข้าไปที่นั่นอีกไม่ได้ แต่เราสองคนจะถูกเจ้าแห่งเบื้องบนพิพากษาในอีกไม่ช้านี้ ถึงแม้ว่าพวกเราจะตายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ แต่ผมก็ดีใจที่ได้พบกับเพื่อนที่แสนดีอย่างพวกคุณ ผมจะจดจำประสบการณ์อันล้ำค่านี้จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต หรือจนกระทั่งถึงชีวิตหลังความตาย ผมจะไม่มีวันลืมมันเลย ผมสัญญา " พอโซเฟจพูดจบ น้ำตาแห่งความทุกข์ระทมก็ได้ไหลออกมาจากดวงตาของพวกเราทุกคนโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้หน้าฉันได้ร้อนผ่าวราวกับกำลังสำนึกผิด แล้วฉันจะมาสำนึกผิดอะไรตอนนี้ อย่างน้อยถ้าฉันเชื่อคำพูดของคุณปู่ทวดของฟาร์เวล มันก็คงจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

       

         " ฮึก...ฮึก...ฉันขอโทษ ฉันผิดเองที่ฉันเป็นคนไขกุญแจดอกนี้เข้ามา " ดีซีดอเรต้าสะอื้น

     

         " ไม่! ไม่ใช่เธอ แต่เป็นฉัน ฉันผิดเองที่เป็นต้นคิดที่จะเข้ามาที่นี่ ฉันคิดเองที่เริ่มต้นสาบานบ้าๆ นั่น มันเป็นเพราะความคิดห่ามๆ ของฉันเองที่ทำให้ทุกคนต้องมาจบชีวิตลงที่นี่ " ดรากเนสว่า

     

         " ดรากเนส...เธออย่าโทษตัวเองเลย ไม่มีที่ใครผิดหรอก เราทำดีแล้วนะ คิดดูสิว่าเราโชคดีมากแค่ไหน มีน้อยคนมากนะที่รอดชีวิตมาได้จนถึงตอนนี้น่ะ " เบลลาทริกซ์ว่า

     

         " ใช่! เบลลาทริกซ์พูดถูก ทุกคนเยี่ยมมาก เราอาจเป็นผู้เดินทางที่โชคดีที่สุดเลยก็ว่าได้ " มอนสเตลล่าว่า " และฉันคิดว่า พระเจ้าอาจจะเข้าข้างเราอีกก็ได้ ถ้าเราผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ เอาล่ะ...ก่อนจบชีวิตลง เรามาหาวิธีคลายเครียดกันดีกว่า! " และ...ทันใดนั้นเอง...

     

         เปร้ง...เปร้ง...เปร้ง!!!

     

         เสียงระฆังดังขึ้นมาจากสถานที่ที่อยู่ด้านซ้ายของหอคอยซาคอนเน่ ฉันจึงหันไปทางต้นเสียงแล้วพบว่า ชายร่างเล็กที่สวมเสื้อคลุมสีกรมท่ากำลังสั่นกระดิ่งอยู่หน้ารถไฟขบวนสีม่วงรูปสัตว์ในตำนานของลาลาโมเซ่ เขาสั่นกระดิ่งเป็นจังหวะพร้อมกับพูดขึ้นว่า

     

         " อีกห้านาทีรถไฟจะออกจากสถานีแล้ว ขอให้ผู้โดยสารทุกคนขึ้นรถไฟได้แล้วครับ " พอพูดจบ ผู้โดยสารหลายๆ คนก็พากันเดินขึ้นรถไฟไปด้วยความเร่งรีบ จากนั้น...ดรากเนสก็ยืนขึ้นแล้วชี้ไปที่รถไฟขบวนนั้นก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " เราไปนั่งรถไฟเล่นกันเถอะ! " สิ้นคำดรากเนส พวกเราทุกคนต่างก็พากันข้ามสะพานที่เชื่อมต่อกับหอคอยซาคอนเน่ไปยังสถานีรถไฟจูซเดอทิมเบร์สทันที

     

         สถานีรถไฟจูซเดอทิมเบร์สถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมที่ดูเรียบง่าย และถูกตกแต่งด้วยของประทับสีอ่อนที่ดูสบายตาให้ทำให้ดูโรแมนติกเป็นอย่างมาก บรรยากาศภายในสถานีรถไฟแห่งนี้ดำเนินไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คนพากันวิ่งวุ่นเพื่อเดินหาชานชาลาเพื่อขึ้นรถไฟ เสียงพูดคุยของพวกเขาทำให้เรามีความรู้สึกคล้อยตามไปกับพวกเขาด้วย พวกเราเดินลากขาไปตามพื้นหินอ่อนของสถานีรถไฟแห่งนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...พวกเราได้มาหยุดอยู่หน้าจุดขายนตั๋ว

     

         " สวัสดีครับ " คนขายตั๋วเอ่ยทักขึ้นด้วยความเป็นกันเอง " พวกคุณต้องการจะไปที่ไหนครับ? "

     

         " ไปที่ที่ไกลที่สุด " ดรากเนสเอ่ยตอบ สิ้นคำดรากเนส คนขายตั๋วคนนั้นก็มองหน้าพวกเราด้วยความประหลาดใจราวกับว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้ยินเมื่อครู่นี้

     

         " หูของคุณได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ ไปที่ที่ไกลที่สุด " มอนสเตลล่าเอ่ยขึ้น พอได้ยินดังนั้น คนขายตั๋วก็พยักหน้ารับแล้วจึงจัดการตั๋วให้เราทันที

     

         " สามหมื่นห้าพันเหรียญครับ " เขาว่า พอเราส่งเงินให้เขา คนขายตั๋วคนนั้นก็พูดต่อว่า " ขอให้คุณไปที่ชานชาลาที่สิบเจ็ดเศษหนึ่งส่วนสี่นะครับ รถไฟจะจอดรอคุณอยู่ที่นั่น ขอให้สนุกกับการเดินทางมากๆ นะครับ " คนขายตั๋วว่าพลางโบกมือลาพวกเรา และหลังจากนั้น...พวกเราทั้งหมดก็เริ่มที่จะเดินไปยังชานชาลาที่สิบเจ็ดเศษหนึ่งส่วนสี่ทันที พวกเรามาถึงที่นั่นในเวลาไม่ถึงห้านาที และพวกเราก็ได้เดินขึ้นรถไฟทันทีที่มาถึงโดยเราจะเลือกนั่งในรถไฟตรงขบวนที่อยู่ลึกที่สุด

     

         พวกเรากำลังนั่งนิ่งๆ อยู่บนรถไฟขบวนนี้โดยไม่รู้ว่ามันจะพาเราไปที่ไหน และสิ่งที่ควรทำที่สุดสำหรับในตอนนี้ก็คือการนั่งชมทิวทัศน์ที่น่าขันผ่านทางกระจกรถไฟ เพราะมันจะช่วยให้เราหายเครียดได้เยอะเลยทีเดียว และฉันก็ได้รู้แล้วว่าการได้หัวเราะก่อนตายมันเป็นเรื่องที่วิเศษมากๆ

     

         ฉันเพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์ที่น่าขันของลาลาโมเซ่มาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว และตอนนี้พวกเราก็กำลังคุยกันถึงเรื่องที่ผ่านมา และกำลังหัวเราะกับเรื่องน่าขันของข้อผิดพลาดที่พวกเราเคยทำไว้ด้วยกัน และในตอนนี้เสียงหัวเราะก็ได้หายไปพร้อมกับความเครียดได้กลับมาครอบงำจิตใจของพวกเราอีกครั้งเมื่อโซเฟจมีสีหน้าที่ดูกังวลใจเป็นอย่างมาก เขาก้มหน้าสักพักก่อนที่จะหยิบเครื่องมือรับคำสั่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมแล้วพูดขึ้นมาว่า

     

         " มันอาจจะเป็นทั้งโชคดี และโชคร้ายของเราที่เจ้าแห่งเบื้องบนประทานภารกิจพวกคุณทำอีกครั้ง และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมจำเป็นต้องแจ้งรายละเอียดของภารกิจให้พวกคุณทราบเดี๋ยวนี้ " พอพูดจบ โซเฟจก็เปิดฝาเครื่องรับคำสั่งออกก่อนที่จะพูดต่อว่า " สำหรับภารกิจที่ห้านี้จะเกิดขึ้นที่ลาลาโมเซ่ ดินแดนแห่งความรื่นเริง และผู้ถูกเลือกก็คือ--- " สิ้นคำโซเฟจ แสงสีฟ้าก็สาดส่องไปที่ใบหน้าของผู้ถูกเลือกคนใหม่ และเขาคนนั้นก็เป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับการทำภารกิจในเวลานี้ที่สุดแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×