ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels คนบ้าระห่ำ แหกกฎสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #17 : Still Frantic I

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 61


     16

    Still Frantic I

     

         พวกเราทั้งเก้าคนแบกสัมภาระซึ่งมีเอกสารเข้าเมือง(ปลอม) และเงินที่ถูกแลกมาแล้วเรียบร้อยคนละสองล้านแปดแสนเหรียญลาลาโมเซ่ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามเพื่อที่จะไปยืนรอเรืออยู่บนชายฝั่งของท่าเรือ นี่เป็นครั้งแรกรอบแปดวันที่ฉันรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่ต้องพบกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด และเสี่ยงกับความตายมานาน ตอนนี้ฉันสัมผัสได้ถึงความสุขเล็กๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเราทั้งหมด

     

         ขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่ม คลื่นทะเลที่สงบนิ่งมานานก็ได้ก่อตัวขึ้น เรือโดยสารลำใหญ่หรูหราสีสดใสซึ่งยอดเรือเป็นรูปโจ๊กเกอร์พ่นไอน้ำกำลังแล่นมาทางนี้ เมื่อเรือโดยสารลำนั้นมจอดเทียบชายฝั่ง พวกเราทั้งหมดจึงพร้อมใจกันก้าวเท้าพร้อมกันเพื่อขึ้นเรือลำนั้นทันที แต่ดูเหมือนว่า...โชคชะตากำลังเล่นตลกกับพวกเราอีกครั้ง เมื่อมีชายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อสูทกับหมวกติดขนนกสีดำก้าวลงมาจากเรือ เขาคนนั้นมองหน้าพวกเราสักพักก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " จะขึ้นเรือหรือครับ? " พอชายคนนั้นพูดจบ เราทั้งหมดก็พร้อมใจกันพยักหน้าพร้อมกัน จากนั้นชายคนนั้นก็พูดต่อว่า " ถ้าจะขึ้นเรือก็กรุณาจ่ายเงินด้วยครับ ค่าโดยสาร ค่าห้องพัก ค่าอาหาร รวมถึงค่าบริการอื่นๆ รวมเป็นเงินคนละสองล้านเหรียญลาลาโมเซ่ครับ " พอได้ยินค่าใช้จ่ายที่แพงสุดๆ ของเรือโดยสารสุดหรูลำนี้มันก็ทำให้พวกเราลังเลว่าจะจ่ายเงินดีหรือไม่?

     

         " เอาไงดี ยังยอมจ่ายเงินหรือว่าจะยอมลงจากเรือ มีใครเสนออะไรมั้ย? " ดรากเนสเอ่ยถามขึ้น

     

         " ฉันคิดว่าเราไม่ควรยอมลงจากเรือนี้ไปนะ เพราะนี่เป็นวิธีเดียวที่จะพาเราให้ไปถึงลาลาโมเซ่ได้ แต่ถ้าเราจ่ายเงินเราก็จะเหลือเงินแค่คนละแปดแสนเหรียญลาลาโมเซ่เท่านั้น ซึ่งฉันคิดว่าเราจะมีเงินใช้ไม่เพียงพอสำหรับหนึ่งวัน " มอนสเตลล่าว่า

     

         " ถ้าขึ้นเรือไปโดยที่ไม่จ่ายเงินมันจะเป็นยังไงล่ะ? " ดีซีดอเรต้าว่า 

     

         " อย่างน้อย...พวกเราก็จะมีชีวิตอยู่บนเรือนี้อย่างยากลำบาก ไม่มีห้องพักไว้พักผ่อน ไม่มีอาหารไว้กิน ไม่ได้รับบริการเหมือนผู้โดยสารคนอื่นๆ " เรอัสว่า

     

         " ลาลาโมเซ่ก็อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือนี้มากนัก ผมคิดว่าพรุ่งนี้เช้าเราทั้งหมดก็จะไปถึงที่นั่นแล้ว " โซเฟจว่า

     

         " พรุ่งนี้เช้าก็ถึงแล้วใช่มั้ย? " ดรากเนสทวนคำ " งั้น...พวกเราทุกคนจะยอมทนมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากในระยะเวลาสั้นๆ ได้ใช่มั้ย? "

     

         " ไม่...ไม่...ไม่...ไม่มีทาง! เพราะเราลำบากกันมามากพอแล้ว และเราจะไม่ยอมลำบากอีก " พวกเราทั้งหมดประสานเสียงกันขึ้น

     

          " กรุณาจ่ายเงินด้วยครับคุณลูกค้า " ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง นั่นทำให้ฉันคิดว่าถ้าพวกเราไม่จ่ายเงินเดี๋ยวนี้ ชายคนนั้นอาจคลั่งพอที่จะฆ่าเราได้

     

         " เฮ้ย! นายให้เราจ่ายเท่าไหร่นะ? " อดอล์ฟเอ่ยถามขึ้น

     

         " สองล้านเหรียญลาลาโมเซ่ครับคุณลูกค้า " พอชายคนนั้นพูดจบ อดอล์ฟก็ยิ้มบางๆ ที่มุมปากจากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า

     

         " งั้นเราขอจ่ายนายหนึ่งล้านห้าแสนเหรียญลาลาโมเซ่ได้มั้ย ส่วนเรื่องเงินที่ขาดไปนายก็ไปงมหาเองจากใต้ทะเลนี่ก็ได้ เชื่อสิว่าต้องมีพวกหน้าโง่ที่ยอมทิ้งเงินจำนวนมากลงทะเลน่ะ "

     

         " กรุณาจ่ายเต็มราคาเถอะครับคุณลูกค้า สงสารผมเถอะ ผมต้องทำงานเพื่อหาเงินเป็นค่ารักษาแม่ที่ป่วยเป็นโรคประหลาด ส่วนพ่อก็นอนไม่ได้สติอยู่ในห้องฉุกเฉิน จะผ่าตัดก็ผ่าตัดไม่ได้ เพราะไม่มีเงินพอ ส่วนผมกับญาติคนอื่นๆ ก็ไม่เรียนไม่จบ ต้องออกมาเป็นกะลาสีเรือเหมือนทุกวันนี้ไงครับ "

     

          " ฉันสงสารนายว่ะเพื่อน งั้นเอาไปหนึ่งล้านแปดแสนเหรียญลาฃาโมเซ่ละกันนะ " อดอล์ฟว่าก่อนที่จะส่งเงินให้กับชายคนนั้น จากนั้น...เราทั้งหมดก็ส่งเงินให้กับชายคนนั้นก่อนที่จะเข้าไปในเรือโดยสารโดยปล่อยให้ชายคนนั้นอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

     

         เสียงร้องเพลงที่ฟังดูเปี่ยมสุขก็ดังขี้นจากบนเรือทันทีที่พวกเราก้าวเข้าไปในเรือโดยสารลำนั้น มีชายห้าคนที่แต่งตัวเป็นโจ๊กเกอร์มายืนต้อนรับเราอยู่ที่หน้าประตู

     

         " ยินดีต้อนรับครับคุณลูกค้า " ทั้งหมดร้องขึ้นพร้อมกันด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร พวกเขาก้มหัวให้เราด้วยท่าทางที่ดูน่าขัน และเต้นไปรอบๆ พวกเราจากนั้นโจ๊กเกอร์คนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะต้อนรับพวกคุณ นี่คุณกุญแจห้องของคุณครับ " โจ๊กเกอร์คนนั้นว่าพลางส่งกุญแจห้องหมายเลขหนึ่งหนึ่งหนึ่งหนึ่งมาให้เรา " เลขสวยดีนะครับ ฮ่าฮ่า "

     

          ครู่ต่อมา...พวกเราทั้งหมดก็มาถึงห้องพัก มันเป็นห้องกว้างที่ผนังห้องทำมาจากแก้วคริสตัลสีเงิน มีเตียงนอนมหึมาขนาดสำหรับคนสิบคนวางอยู่ตรงกลางห้อง บรรยากาศในห้องอบอุ่นมาก และผนังห้องข้างบนที่ถูกแหวกออกจนเผยให้เห็นท้องฟ้ายามราตรีกาลนี้ทำให้ดูโรแมนติกมาก

     

         พวกเราทั้งหมดจึงวางสัมภาระลงข้างเตียง และเอาของใช้ที่จำเป็นออกมา จากนั้น...พวกเราก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงมหึมานั้น แต่พวกเราก็ต้องนอนไม่หลับ เพราะว่า...


          " หิวข้าว!!! " เราทั้งหมดประสานเสียงกันขึ้น

     

          " อ้าว...พวกเธอยังไม่ได้กินอะไรมาหรอ? " ดีซีดอเรต้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ

     

          " ที่จริงแล้วพวกเรากินข้าวครั้งล่าสุดตอนเที่ยงครึ่งของวันนี้ หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย เพราะช่วงสุดท้ายของภารกิจ และความตายกำลังจะมาถึง มันทำให้เรากินอะไรไม่ลงเลย " เรอัสว่า

     

         " ตอนนี้ยังมีอาหารเหลือให้เรากินบ้างมั้ย? " ยูลิคเอ่ยถามขึ้น

     

         " ฉันคิดว่าคงไม่แล้วล่ะ เพราะตอนนี้มันก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว กำหนดการของเรือโดยสารลำนี้บอกไว้ว่า อาหารมื้อสุดท้ายจะถูกเสิร์ฟตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง เราพลาดไปแล้วล่ะ " มอนสเตลล่าว่า

     

         " ตกลงเราต้องรอกินอาหารของพรุ่งนี้เช้าใช่มั้ย? " ฉันเอ่ยถามขึ้น แล้วมอนสเตลล่าก็พยักหน้าแทนคำตอบ ทันใดนั้น...ก็มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังก้าวผ่านห้องพักของเรา และฉันก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า

     

         " ตกลงท่านจะให้ดิฉันนำอาหารนี่ไปเสิร์ฟให้ที่ไหนคะ - - - ที่ภัตคารแกรนด์ ลาร์โก้ชั้นสามนะคะ - - - ได้ค่ะ ดิฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ " พอเสียงนั้นเงียบหายไป เสียงเข็นอาหารก็ดังขึ้นมาแทนที่

     

         " ไปที่ภัตคารแกรนด์ ลาร์โก้ชั้นสามกันเถอะ " ดรากเนสเอ่ยขึ้น เราจึงพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินออกไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังภัตคารแกรนด์ลาโก้ซึ่งอยู่ชั้นสามของเรือโดยสาร

     

         ทันทีที่เราไปถึงภัตคารแกรนด์ ลาร์โก้ แสงไฟจากโคมระย้าก็ถูกเปิดขึ้นเผยให้เห็นความสวยงาม และความหรูหราของภัตคารแห่งนี้ ภายในภัตคาร ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และผนังห้องถูกประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับโทนสีแดง-ทอง มีโต๊ะเพียงตัวเดียว และเก้าอี้สองตัววางอยู่ตรงกลางภัตคาร ด้านหน้าเป็นลานกว้างสำหรับจัดงานเลี้ยง และมีเครื่องดนตรีวางอยู่ข้างๆ กับโต๊ะนั้น ต่อมา...แม่ครัวก็นำอาหารวางไว้บนโต๊ะนั้น เมื่อแม่ครัวเดินออกไปแล้ว พวกเราที่แอบอยู่หลังประตูนั้นจึงพร้อมใจกันเข้าไปด้านในทันที

     

         " ขอให้ทุกคนกินอย่างไม่เกรงใจใคร ถือซะว่านี่เป็นอาหารของเรา " ดรากเนสว่าพลางดึงจานสเต็กพร้อมทั้งขวดไวน์ลงมาด้านล่าง จากนั้น...พวกเราจึงเริ่มที่จัดการกับอาหารตรงหน้าให้หมดไปในระยะเวลาสั้นๆ ฉันเพิ่งรู้สึกได้ว่าการแอบกินอาหารของคนอื่นนั้นทำให้รู้สึกดี และอร่อยกว่าการกินอาหารของตัวเอง และมีความสุขกว่าเป็นไหนๆ

     

         " ดูนี่สิ! มีแหวนซ่อนอยู่ในเนื้อสเต็กนี่ด้วย " ดีซีดอเรต้าร้องพลางดึงแหวนเพชรสีเงินวงใหญ่ออกมาจากเนื้อสเต็ก

     

         " เหมือนว่านี่จะเป็นการขอแต่งงานเลยว่ามั้ย? " เบลลาทริกซ์ว่า

     

         " งั้นเจ้าของแหวนนี่--- " ก่อนที่มอนสเตลล่าจะพูดจบ ก็มีเสียงฝีเท้าของคนสองคนดังมาทางนี้ พวกเราจึงรีบไปหลบอยู่ด้านหลังภัตคารทันที

     

         แอด!!!

     

         ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงกับหญิงสาวร่างบางก็เดินเข้ามาให้ภัตคารทันที และเมื่อพวกเขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ เสียงไวโอลีนก็ดังขึ้นจากข้างนอก และในวินาทีนั้นเอง...หัวใจของฉันก็เต้นเป็นจังหวะเร็วระรัวด้วยความหวาดกลัว

     

         " คุณโซโลน่า วันนี้ผมได้เตรียมเพลงโปรดของคุณให้คุณฟังขณะที่คุณรับประทานสเต็กคอมเซสซี่ ของโปรดของคุณ คุณชอบมันมั้ยครับ? " ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางส่งยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้า

     

         " แน่นอนคะ อะไรก็ตามที่คุณตั้งใจจะทำให้ฉัน ฉันจะต้องชอบมันอย่างแน่นอน " หญิงสาวตอบพลางยิ้มกลับไปให้ชายหนุ่ม

     

         " ผมรอวันนี้มาแปดปีเต็มแล้ว คุณจะแต่งงานกับผมมั้ยครับ? " ชายหนุ่มว่าพลางเลื่อนจานที่วางทับจานสเต็กนั้นออก และวินาทีนั้น...ความซวยก็ได้ถาโถมเข้าหาพวกเราเต็มๆ เมื่อหญิงสาวคนนั้นได้แสดงสีหน้าไม่พอใจพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า

     

         " ไม่ค่ะ! ใครก็ตามที่ขอฉันแต่งงานด้วยวิธีการทุเรศแบบนี้ ฉันจะไม่แต่งงานกับคนคนนั้นเด็ดขาด นี่คุณกำลังเล่นตลกกับฉันเพราะเห็นว่าฉันเป็นแค่ของเล่นของคุณเท่านั้นหรอคะ? "

     

         " หมายความว่ายังไงครับ? "

     

         " ดูนี่สิคะ สเต็กที่เหลือแต่หนังกับแหวนที่เปื้อนน้ำลายนี่มันอะไรกัน พอกันที! ฉันจะกลับแล้ว และฉันจะไม่มีวันยุ่งกับคุณอีก " หญิงสาวตัดบทพร้อมกับเดินออกไป ชายหนุ่มจึงได้แต่นั่งทำหน้าเครียดอยู่ตรงหน้า จากนั้น...พวกเราก็เดินออกไปทางประตูหลังทันที ฉันรู้สึกสงสารชายหนุ่มคนนั้นจับใจ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อพวกเราทุกคนต่างก็หิว แล้วก็กินสเต็กเนื้อนุ่มชิ้นนั้นเข้าไปแล้ว

     

          ขณะนี้เป็นเวลาแปดโมงครึ่ง มันเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการตื่นนอนในเช้าวันนี้ซึ่งเป็นวันที่เก้าสำหรับการเดินทาง

     

         " อรุณสวัสดิ์ครับท่านผู้โดยสารทุกท่าน! วันนี้เป็นเช้าที่อากาศดี ขณะนี้อาหารเช้าได้มาเสิร์ฟที่ห้องอาหารที่อยู่ชั้นใต้ดินของเรือโดยสารแล้ว ขอให้ทุกท่านลงมารับประทานอาหารกันได้แล้วครับ หวังว่าทุกท่านคงจะมีความสุขกับบริการของเรา เรายินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสุขเล็กๆ ของท่าน ขอบคุณครับ " พอเสียงประกาศนั้นเงียบหายไป พวกเราทั้งหมดจึงพากันเดินลงไปที่ห้องอาหารที่อยู่ชั้นใต้ดินทันที

     

         ภายในห้องอาหารนั้น ทุกอย่างถูกประดับตกแต่งด้วยสีขาวทำให้ดูเรียบง่าย และสบายตา มีโต๊ะยาวสีขาวพาดอยู่กลางห้อง และมีเก้าอี้ไม้สีขาววางอยู่รอบๆ โต๊ะนั้น บนโต๊ะต่างก็มีอาหารเสิร์ฟไว้ตามจุด พวกเราต่างก็ก้าวเท้าเข้าไปในห้องอาหารนั้นในเวลาต่อมา เสียงคลื่นกระทบฝั่งในเวลานี้ดูน่าฟังมาก หน้าต่างที่ถูกเปิดกว้างเผยให้เห็นทะเลสาบสีรุ้ง และหมู่เกาะที่สวยงามเป็นจำนวนมาก และแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทำให้ดูอบอุ่นเป็นอย่างมาก

     

         'นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรับประทานอาหารเช้า มันเป็นการเริ่มต้นที่ดีจริงๆ' ฉันคิดพลางตักอาหารคำแรกเข้าปาก มันเป็นเนื้อย่างอบซอสรสชาติกลมกล่อม มันทำให้ฉันรู้สึกติดใจกับความนุ่มของเนื้อ และความเหนียวหนึบของซอสตั้งแต่คำแรกที่กินมัน เครื่องดื่มเย็นสีใสที่ถูกบรรจุไว้ในแก้วทรงเตี้ยนั้นทำให้ฉันรู้สึกสดชื่น และผ่อนคลายเป็นอย่างมาก นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดตลอดเวลาที่ฉันมาถึงมิติปริศนาที่สอง-หนึ่ง-สาม-แปดนี้เลยก็ว่าได้

     

    ตึก...ตึก...ตึก!

     

    เสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังก้าวเข้ามาทางนี้ มันเป็นเสียงฝีเท้าของเด็กสาวสองคน คนหนึ่งหัวขาด อีกคนหนึ่งปกติสมบรูณ์ดี เด็กสาวทั้งสองคนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างๆ ฉัน เด็กสาวหัวขาดพยายามอย่างหนักที่จะบังคับหัวที่หลุดจากบ่าของตัวเองให้ลอยเข้ามาหาตัว

     

    " มานี่สิ! มานี่เดี๋ยวนี้ เจ้าหัวบ้า ฉันเป็นเจ้านายแกนะ ทำไมแกจึงไม่ยอมฟังฉันบ้าง " เด็กสาวหัวขาดร้องสั่งอย่างบ้าคลั่งพลางพยายามเอื้อมมือไปจับหัวที่ลอยขึ้นสูงให้ลงมาติดกับตัวก่อนที่จะควานหาช้อนแล้วตักอาหารเข้าปาก นี่เป็นภาพที่น่าสยดสยองที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยก็ว่าได้ ฉันจึงเลิกสนใจเด็กสาวหัวขาดคนนั้น แล้วหันมาสนใจเด็กสาวอีกคนที่กำลังเขมือบอาหารอย่างตะกละ เมื่อรับประทานอาหารหมดแล้ว เด็กสาวคนนั้นจึงมองคราบอาหารในจานอยู่เป็นเวลานาน เธอสั่นหัวไปมาก่อนที่จะเอานิ้วแตะลงบนคราบอาหารในจานแล้วพูดว่า

     

    " คราบอาหารนี่...สวยดีจัง รูปร่างของมันเหมือนเป็นปราสาท แล้วมีเหล่าทูตสวรรค์เต้นรำอยู่รอบๆ มันเลย เด็กสาวคนนั้นพูดถึงสิ่งที่ตัวเองจินตนาการบนคราบอาหารนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข โอ้! สวรรค์...สวรรค์ อีกไม่นานฉันก็จะได้ไปสวรรค์แล้ว " เด็กสาวคนนั้นฮัมเพลงพร้อมกับระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ถ้าเด็กสาวคนนั้นยังคงหัวเราะอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันคิดว่าอีกไม่นาน...ฉันคงต้องเป็นบ้าตามเธอแน่ๆ และแล้ว...เสียงสวรรค์ที่ทำให้ฉันเป็นอิสระจากโลกแห่งความบ้าคลั่งนี้ก็ดังขึ้น

     

    " เรียนผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้เวลาเก้านาฬิกาสามสิบนาที เรือโดยสารของเราได้มาเทียบท่าที่ท่าเรือลาลาโมเซ่แล้ว ขอให้ทุกท่านลงจากเรือภายในอีกห้านาทีนี้ เรามีความยินดีที่ได้บริการท่าน ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการเดินทางในระยะสั้นๆ นี้ ขอบคุณครับ " ขอเสียงประกาศจบลง เราทั้งหมดจึงทิ้งอาหารเช้าแล้วรีบวิ่งขึ้นไปจัดการกับสัมภาระแล้วลงจากเรือทันที

     

    ขณะนี้เป็นเวลาสิบโมงตรง พวกเราทั้งหมด รวมทั้งผู้โดยสารคนอื่นๆ กำลังยืนอยู่ที่ท่าเรือลาลาโมเซ่เพื่อทำการตรวจบัตรเข้าเมือง

     

    " ผ่าน! " เจ้าหน้าที่คนหนึ่งร้องขึ้นพร้อมกับส่งบัตรเข้าเมืองคืนให้ฉัน มันเป็นโชคดีของพวกเราที่บัตรเข้าเมืองปลอมนี่สามารถทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นเชื่อว่ามันเป็นของจริงได้ แต่โชคดีของเราก็มักจะถูกติดตามมาด้วยโชคร้ายเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน

     

    " หยุดนะ! " เสียงหนึ่งตะโกนบอกเรา ขณะที่พวกเรากำลังก้าวเท้าเข้าประตูเมืองไป พอพวกเราหันไปมองทางต้นเสียง พวกเราก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือชายหนุ่มผู้โชคร้ายคนเมื่อคืน ที่พวกเราไปทำลายแผนการขอแต่งงานของเขาจนล้มไม่เป็นท่าโดยการไปแอบกินสเต็กจนหมด คราวนี้ชายหนุ่มมาพร้อมกับการ์ดร่างยักษ์สามคน พวกเขากำลังมองเราด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร พอพวกเราหยุดเดิน ชายหนุ่มคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า " เมื่อคืน นักสืบส่วนตัวของฉันมาตรวจสอบลายนิ้วมือที่อยู่ในจานสเต็กนั่น พบว่า...นั่นเป็นลายนิ้วมือของพวกเธอ พวกเธอจะต้องรับผิดชอบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เพราะฉะนั้น...จ่ายฉันมาห้าล้านเหรียญลาลาโมเซ่เดี๋ยวนี้!!! " ชายหนุ่มประกาศลั่นพลางสั่งให้การ์ดของเขาเดินเข้ามาล้อมพวกเราไว้

     

    " ทำยังไงดี เราไม่มีเงินถึงห้าล้านเหรียญลาลาโมเซ่เสียด้วยสิ " เบลลาทริกซ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกังวล

     

    " วิ่ง!!! " ดรากเนสร้องสั่ง สิ้นคำดรากเนส พวกเราทุกคนต่างก็รีบวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตเพื่อเข้าไปในเมือง พวกเราต่างก็วิ่งไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย จนกระทั่งมาหยุดอยู่ณ.สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงละครประจำของคณะนักแสดงละครบอร์ดเวย์โฮเมิร์กเชส มันเป็นอาคารหลังเล็กๆ สีขาวที่ดูน่ารัก และดูอบอุ่นในเวลาเดียวกัน เมื่อเห็นว่าด้านหลังมีประตูบานเล็กๆ เปิดอยู่ พวกเราจึงรีบวิ่งเข้าไปด้านในทันที และแอบอยู่ที่ประตูทางเข้านั้น

     

    ภายในห้องกว้างที่ทอดเป็นแนวยาวที่อยู่ด้านหลังของโรงละครแห่งนั้น เหล่านักแสดงต่างก็วุ่นอยู่กับการเตรียมการแสดงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสักครู่นี้ พวกเขาล้วนแต่มีสีหน้าแตกตื่น และพากันวิ่งวุ่นด้วยท่าทางที่รีบร้อน

     

    " ผู้กำกับคะ ฉันมีข่าวร้ายจะมาแจ้งค่ะ " นักแสดงหญิงคนหนึ่งที่ใส่ชุดเดรสสีชมพูยาวลาดพื้นพูดพลางวิ่งเข้ามาหาชายร่างสูงที่สวมชุดสูทสีน้ำเงินผู้ซึ่งเป็นผู้กำกับ " คือว่า...นักแสดงนำหญิงมีอาการทางจิตจนต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาลประสาทกะทันหันเนื่องจากหัวเราะสลับกับร้องไห้บ่อยเกินไป ส่วนตัวประกอบอีกเจ็ดคนก็ซ้อมหนักเกินไปจนป่วยหนัก และพิธีกรก็ใช้เสียงมากเกินไปจนไม่มีเสียงพูดแล้วค่ะ ทำยังไงดีคะ? ทีมงานเราหายไปตั้งเก้าคนแน่ะ "

     

    " การแสดงของเราจะเริ่มในอีกครึ่งชั่วโมงนี้ ถ้าเราโทรเรียกพวกตัวสำรองมาที่นี่ก็คงจะไม่ทัน และถ้าเรายกเลิกการแสดงรอบนี้ไปซะก็คงจะไม่ทันเหมือนกัน เพราะผู้ชมเริ่มทยอยเข้ามาที่นี่กันแล้ว " ผู้กำกับว่าพลางทำหน้าเครียด " ถ้าจะตัดบทพวกนั้นออกไปก็ไม่ได้ เพราะทั้งหมดเป็นตัวดำเนินเรื่องสำคัญทั้งนั้น ถ้าตัดออกไป เนื้อเรื่องก็จะไม่สมบรูณ์ "

     

    " ฉันคิดว่าเราควรจะไปช่วยพวกเขากันนะ " มอนสเตลล่าว่า

     

    " ก็ดีเหมือนกัน เราจะใช้โอกาสวันหยุดนี้ให้คุ้มค่าไปเลย ให้เราไปกันเถอะ " สิ้นคำดรากเนส พวกเราทั้งหมดต่างพร้อมใจกันเดินออกไปจากที่ซ่อนแล้วไปหยุดอยู่กลางห้อง และในตอนนี้...เหล่านักแสดงก็ต่างจับจ้องมาที่เราด้วยความประหลาดใจ พวกเขาจึงถามเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเราเป็นใคร

     

         " เราเป็นตัวสำรองที่คุณเลือกไว้เมื่อกลางปีไงคะ คงจะจำกันได้นะคะ? " ดีซีดอเรต้าเอ่ยขึ้น ซึ่งคำพูดของเธอทำให้พวกเราทั้งหมดต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังไปตามๆ กัน เพราะมันมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกจับได้ว่าพวกเขาถูกพวกเราหลอก

     

           " ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะช่วงนี้ฉันทำงานหนักมากจนเริ่มเลอะเลือน เริ่มจำไม่ได้ว่าใครเป็นใครแล้ว " ผู้กำกับว่า คำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น " พวกเธอมาก็ดีแล้ว ฉันจะมอบหมายงานให้พวกเธอนะ ตัวสำรองอย่างพวกเธอสามารถใช้เวลาซ้อมก่อนขึ้นแสดงเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงได้หรือเปล่าล่ะ? " พอผู้กำกับพูดจบ พวกเราก็พยักหน้ารับ จากนั้นผู้กำกับก็อธิบายเกี่ยวกับละครที่เราต้องร่วมกันแสดง และทำให้งานเขาเละไม่เป็นท่าตามลำดับ

     

         ละครบอร์ดเวย์ที่พวกเราต้องร่วมกันแสดงนั้นเป็นละครแนวโรมานซ์ สาเหตุที่เป็นละครแนวโรมานซ์นั้นก็เพราะว่าการแสดงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแต่งงานของคู่แต่งงานใหม่ของลาลาโมเซ่ ซึ่งรอบหนึ่งจะเปิดให้คู่แต่งงานใหม่หนึ่งร้อยคู่เข้าชม ชื่อของละครก็คือคอนเดลเซียร์ มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อคอนเดลเซียร์ เธอปรารถนาที่จะมีคู่ครองเหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ จนวันหนึ่ง...เธอก็ได้มาพบกับหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงชราคนนั้นบอกให้คอนเดลเซียร์ไปอธิษฐานที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ แล้วความปรารถนาของเธอจะเป็นจริง พอเธออธิษฐานเสร็จ เธอก็ได้พบกับนักเปียโนประจำพระวิหาร นักเปียโคนนั้นบอกให้คอนเดลเซียร์เล่นเพลงRomance Impromptu และถ้าเล่นจบ เธอจะได้พบคู่ครอง คอนเดลเซียร์จึงทำอย่างนั้น และเธอก็ได้พบกับชายหนุ่มผู้สง่างามที่ชื่อเฟลคัสโซ พวกเขาต่างมีความสุขด้วยกัน แล้ววันหนึ่ง ขณะที่ทั้งคู่กำลังเต้นรำด้วยกันอยู่นั้น เฟลคัสโซก็ได้หายไป คอนเดลเซีบร์จึงเสียใจเป็นอย่างมาก จากนั้น...หญิงชราก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เธอบอกกับคอนเดลเซียร์ว่าเฟลคัสโซนั้นถูกเจ้าแห่งศาสตร์มืดผู้ชั่วร้ายสาปให้เป็นฝุ่นธุลี และถูกนำไปยังมิติธุลีม่านหมอก คอนเดลเซียร์จึงรีบไปที่จุดเชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินกับมิติธุลีม่านหมอกทันที ที่นั่น...เธอได้พบกับคนเฝ้าประตู เธอขอให้คนเฝ้าประตูเปิดประตูให้เพราะเธอต้องการตามหาคู่ครองที่อยู่ในนั้น และต้องนำเขานำกลับมาให้ได้ พอประตูเปิดออก เธอก็เดินหาเฟลคัสโซท่ามกลางฝุ่นธุลีเหล่านั้น พอเธอยื่นมือไปสัมผัสกับฝุ่นธุลีก้อนหนึ่ง มันก็กลายร่างเป็นเฟลกัสโซ และทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

     

         โดยดีซีดอเรต้าจะรับบทคอนเดลเซียร์ เบลลาทริกซ์รับบทนักเปียโนประจำพระวิหาร ดรากเนสรับบทเป็นชายหนุ่มผู้หลงไหลในเสียงเปียโนของนักเปียโนประจำพระวิหาร อดอล์ฟรับบทเป็นคนเฝ้าประตู เรอัสกับมอนสเตลล่ารับบทเป็นคู่รักวิปริต โซเฟจจะทำหน้าที่เป็นพิธีกร ส่วนฉันกับยูลิคน่ะหรอ ซวยสุดๆ ได้เป็นนักเต้นรำ ซึ่งฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหลังจากงานเลี้ยงเต้นรำรุ่นแล้วฉันจะได้เต้นรำอีก และในตอนนี้ฉันก็ลืมไปหมดแล้วว่าฉันต้องเต้นยังไง แต่ฉันก็อุ่นใจมากขึ้นที่มีคู่เต้นรำเป็นทูตเท้าไฟอย่างยูลิค หวังว่า...มันคงจะไปได้สวยนะ

     

         นักแสดงคนอื่นๆ แยกย้ายกันไปซ้อมบทของตัวเองตามมุมห้องที่ถูกล้อมรอบด้วยกระจกเงากันหมดแล้ว ฉันกับยูลิคก็เริ่มที่จะเดินไปซ้อมเต้นกับนักเต้นรำคนอื่นๆ

     

         ขณะที่เรากำลังเดินผ่านเหล่านักแสดงที่กำลังซ้อมบทของตัวเองด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูเคร่งเครียดจริงจัง ฉันจึงรู้ได้ทันทีว่านักแสดงทุกคนที่นี่ต่างก็เป็นคนที่เต็มที่กับงาน และมาตรฐานสูงกันทั้งนั้น ฉันจึงรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก ฉันจึงตัดสินใจละสายตาจากนักแสดงเหล่านั้น ก่อนที่จะเดินต่อไปทันที

     

         ไม่นาน...ฉันกับยูลิคก็เดินมาถึงด้านในสุดของห้องซึ่งเหล่านักเต้นรำกำลังซ้อมเต้นกันอยู่ ตอนแรก...เราไม่รู้ว่าต้องเต้นยังไง เราจึงยืนดูอยู่ประมาณสามรอบ จากนั้น...ยูลิคก็ดึงมือฉันไปซ้อมรวมกับพวกนักเต้นรำ และมันก็ออกมาดี เป็นเพราะความอัจฉริยะของยูลิคแท้ๆ ที่ทำให้มันออกมาสมบรูณ์แบบไม่เกี่ยวกับความสามารถของฉันเลยสักนิด เพราะฉันไม่เข้าใจการเต้นเลยสักนิดแม้ว่าจะยืนดูอยู่สามรอบก็ตาม พอซ้อมไปได้สักแปดรอบ ผู้กำกับก็เรียกรวมนักแสดงทุกคนเพื่อซ้อมจริงก่อนขึ้นเวทีหนึ่งรอบ และแล้ว...เวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง...

     

         ขณะนี้เวลาสิบโมงสี่สิบห้า พวกเราทุกคนต่างก็มาอยู่รวมกันที่หลังเวทีเพื่อดูความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์บนเวทีผ่านทางจอแสดงภาพที่ติดอยู่บนผนัง โซเฟจผู้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกหูกระต่าย และสวมเสื้อคลุมสีดำได้ก้าวเท้า และไปหยุดอยู่ตรงกลางเวที ในเวลานั้น แสงไฟได้ส่องไปที่ร่างของโซเฟจ เขาจึงยิ้มแล้วโค้งคำนับให้ผู้ชมก่อนที่จะพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

     

          " เรียนสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรีทั้งหลายผู้ซึ่งเป็นคู่แต่งงานใหม่ทั้งหนึ่งร้อยคู่ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่หอประชุมโฮเมิร์กเชส อารีน่า ที่ซึ่งเป็นสถานที่ประจำของพวกเราชาวคณะละครบอร์ดเวย์โฮเมิร์กเชส ขณะนี้เวลาสิบนาฬิกาสี่สิบห้านาทีถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดีสำหรับการเปิดการแสดงรอบแรกของพวกเราในวันนี้ เพราะเราต้องการที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นชีวิตแต่งงานที่เปี่ยมสุขของท่าน เราจึงจัดการแสดงละครบอร์ดเวย์สุดโรแมนติกเรื่องเยี่ยมที่ครองใจผู้ชมมาทุกยุคทุกสมัย ขอเชิญทุกท่านพบกับ...คอนเดลเซียร์!!! " พอโซเฟจพูดจบ แสงไฟก็ดับลงโซเฟจก็เดินเข้าไปในหลังเวที จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็ยืนขึ้นจากเก้าอี้ ด้วยรองเท้าส้นเข็มที่สูงแปดนิ้วทำให้การทรงตัวของเธอไม่ค่อยดีนัก ดีซีดอเรต้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะกระซิบบอกผู้กำกับว่า

     

         " ผู้กำกับคะ...คือว่ารองเท้านี่มันสูงเกินไป ฉันขอถอดมันออกได้มั้ยคะ? " ผู้กำกับจึงส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนที่จะโบกมือไล่ดีซีดอเรต้าให้ขึ้นเวทีไป

     

         เมื่อดีซีดอเรต้าก้าวขึ้นไปบนเวที แสงไฟก็สาดส่องไปที่ร่างของเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอไปถึง ดีซีดอเรต้านั้นก้าวเท้าอย่างสง่างาม และยิ้มอย่างมั่นใจ ทันทีที่เธอเดินไปถึงกลางเวทีเธอก็เขย่งปลายเท้าไปพร้อมๆ กับผายมือออกอย่างนุ่มนวลก่อนที่ทจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มที่ชวนน่าฟังว่า

     

        

         " ฉัน...คอนเดลเซียร์ หญิงสาววัยยี่สิบแปดปีผู้ซึ่งมีวิถีชีวิตที่ธรรมดาที่สุดในจักรวาลนี้เลยก็ว่าได้ " พระเจ้า! ทุกอย่างมันช่างลงตัว ทุกอย่างล้วนสมบรูณ์แบบ ทั้งสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียงที่แสดงออกถึงอารมณ์ของตัวละคร นี่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี " ทุกอย่างของฉันนั้นธรรมดาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ฐานะความเป็นอยู่ หน้าที่การงาน หรือแม้กระทั่งลักษณะนิสัย แต่ความคิดของฉันกลับไม่เหมือนกับความคิดของคนทั่วไป " พอดีซีดอเรต้าพูดจบเธอก็ก้าวไปทางซ้าย

     

         " เด็กคนนี้...เธอต้องการจะทำอะไรกันแน่นะ " ผู้กำกับว่า จากนั้น...ทุกคนก็พากันมองหน้ากันราวกับพยายามจะหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น " เฮ้! ใครก็ได้ช่วยส่งสริงมานี่ที " สิ้นคำผู้กำกับ ทีมงานคนหนึ่งก็มัดร่างของผู้กำกับติดกับสริงก่อนที่จะชักคันสริงแล้วส่งผู้กำกับขึ้นไปบนเวที

     

         " คัท! คอนเดลเซียร์ คุณต้องเดินไปทางขวาไม่ใช่ทางซ้าย ใครบอกให้คุณเดินไปทางซ้าย " ผู้กำกับร้องอย่างเกี้ยวกราดในขณะที่กำลังโหนสริงอยู่

     

         " บทบอกค่ะ " ดีซีดอเรต้าร้องตอบเสียงเรียบ เธอต้องกำลังคิดอยู่แน่ๆ ว่าเป็นนางเอกต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่เถียงผู้ใหญ่

     

         " บทบอกก็ช่างบทมันเถอะ คนพิมพ์บทมันพิมพ์ผิด เฮ้อ! ไม่ได้เรื่องเลย เริ่มใหม่!!! " สิ้นคำผู้กำกับ เขาก็ถูกชักลงมาที่หลังเวทีแล้วปล่อยให้เวทีนี้เป็นของดีซีดอเรต้าแต่เพียงผู้เดียว

     

         ดีซีดอเรต้าก้าวเท้าไปทางด้านขวาของเวที เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเก็บคาง คราวนี้เธอมีสีหน้าเศร้าสลดที่ชวนหดหูกับแววตาแสนเศร้า เธอจึงดูด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าเล็กน้อยว่า

     

         " แน่นอนว่าหญิงสาวผู้แสนธรรมดาคนนี้จะไม่มีคู่ครองเหมือนที่คนอื่นเขามี และไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนั้นได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม...ฉันก็ยังไม่หยุดที่จะคิดเรื่องการมีคู่ครองได้ " ดีซีดอเรต้าว่าพลางเคลื่อนไหวมืออย่างพลิ้วไหวราวกับว่าเธอกำลังจะบินขึ้นสู่ฟ้า แล้วเธอก็เริ่มที่จะอ้าปากร้องเพลง

     

    ทะเยอทะยาน...ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    พยายาม...เอื้อมมือให้สูงที่สุดเพื่อให้แตะขึ้นขอบฟ้า

    ล้มลง...ต่อให้ถึงล้านครั้ง ฉันก็ยังสู้ไหว

    ตราบใดที่ยังหายใจ

    แม้จนถึงวินาทีสุดท้าย...ฉันต้องทำฝันให้เป็นจริงให้ได้

     

          การร้องเพลงของเธอเป็นข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวงสำหรับการแสดงนี้ ฉันได้ยินข้อผิดพลาดของเธอชัดเต็มสองหู ตอนคีย์ต่ำเธอก็ร้องเบา พอคีย์สูงเสียงเธอก็แกว่ง และเธอกำลังเขย่งปลายเท้าเพื่อเต้นระบำอย่างสง่างามเพื่อลบข้อผิดพลาดของตัวเอง แต่ข้อผิดพลาดของเธอก็เพิ่มมากขึ้นเมื่อเธอลืมไปว่าตัวเองกำลังใส่รองเท้าส้นเข็มที่สูงแปดนิ้วอยู่ และ...

     

         โครม!!!

     

         ร่างของดีซีดอเรต้าได้ล้มลงไปกับพื้น ด้วยสปิริตของนักแสดง เธอจึงพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับกำลังสะอื้นไห้ว่า " มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ เพราะว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันพยายามจะทำมันให้สำเร็จ ก็มักจะมีบางอย่างฉุดฉันให้ล้มลงทุกครั้ง ฉันไม่กล้าที่จะลุกขึ้นอีกต่อไปแล้ว เป็นเพราะว่า...ฉันไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายอีกต่อไปแล้ว " พอดีซีดอเรต้าพูดจบ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลทองคู่สวย เธอช่างแก้สถานการณ์ได้ดีจริงๆ

     

         " พวกนักเต้นรำรีบขึ้นไปเต้นรำบนเวที แล้วประคองคอนเดลเซียร์ให้ลุกขึ้นเร็วเข้า! " ผู้กำกับร้องสั่ง ฉัน ยูลิค และนักเต้นรำคนอื่นมองหน้ากันสักพักก่อนที่จะทำตามคำสั่งกะทันหันของผู้กำกับ

     

         พอพวกเราขึ้นไปบนเวที แสงไฟก็สาดส่องมาที่เราพร้อมกับกลุ่มควันได้ลอยขึ้นมา เมื่อเสียงเพลงดังขึ้น พวกเราจึงเริ่มที่จะก้าวเท้าทันที พวกเราก้าวเท้าล้อมร่างของดีซีดอเรต้าที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น แต่เราก็ทำผิดมหัน เพราะพวกเราก้าวเท้าไม่พร้อมกันเลยแม้แต่น้อย แถมตอนที่พวกเรายื่นมือไปประคองร่างดีซีดอเรต้าให้ลุกขึ้น พวกเราก็เบียดกันจนทำให้หลายคนเซจนเสียศูนย์ และบทสรุปของเรื่องนี้ก็คือพวกเราถูกคนดูโห่ไล่ให้เข้าไปที่หลังเวที แล้วปล่อยให้ดีซีดอเรต้าครองเวทีดังเดิม  

     

         " ความจริงอันโหดร้ายก็คือ...ทุกคนพากันดูถูกฉัน ทั้งเพื่อน... " จากนั้นนักแสดงที่รับบทเป็นเพื่อนของคอนเดลเซียร์ก็เดินขึ้นมาบนเวที เธอเดินกระแทรกเท้าอย่างคนอารมณ์ร้าย เธอจิกตาใส่ดีซีดอเรต้าก่อนที่จะสะบัดหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหลมสูงว่า

     

         " คนอย่างเธอคงหาคู่ครองกับเขาไม่ได้หรอก แค่เธอเดินผ่าน คนเขาคนเขาไม่รุมเอาหินขว้างหัวเธอให้ตายก็ดีแค่ไหนแล้ว " แล้วนักแสดงคนนั้นก็ส่งสายตาเหยียดหยามให้ดีซีดอเรต้าก่อนที่จะเดินลงจากเวทีไป

     

         " หรือแม้กระทั่ง...แม่ของฉัน " ดีซีดอเรต้าว่าพลางผายมือออกไปทางขวาของเวที จากนั้นนักแสดงที่รับบทเป็นแม่ของคอนเดลเซียร์ก็เดินขึ้นมาทางขวาของเวที นักแสดงคนนั้นพูดด้วยท่าทางที่หยิ่งพยองว่า

     

         " แกหยุดคิดเรื่องหาคู่ครองได้แล้วนะ คนอย่างแกคนไม่มีใครอยากได้เป็นคู่ครองหรอก เพราะเขากลัวว่าแกจะเป็นตัวกาลกิณ๊ให้กับวงค์ตระกูลของเขา อย่าทำตัวให้เหมือนอีตัวให้มากนัก มันน่าอัปสู! " นักแสดงคนนั้นทำเสียงจิ๊จ๊ะในคอก่อนที่จะเดินออกไป ดีซีดอเรต้าจึงเดินกลับมาที่กลางเวทีอีกครั้งก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " ในเมื่อมันเป็นแบบนั้นแล้ว ฉันจึงเลือกที่จะจบความฝันของตัวเองด้วยการนอนหลับ " สิ้นคำดีซีดอเรต้า ม่านก็ถูกชักปิดลง และทีมงานทั้งหมดก็วุ่นวายกับการเปลี่ยนฉาก และการยกเตียงขึ้นไปบนเวทีกันยกใหญ่ จากนั้น...ม่านก็ถูกชักขึ้นอีกครั้งเผยให้เห็นร่างของดีซีดอเรต้าที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

     

         " นี่! เธอมานี่สิ " ผู้กำกับร้องพลางกวักมือเรียกโซเฟจ " นั่งลงที่นี่แล้วพูดบรรยายประกอบฉากซะ ฉันกลัวว่าผู้ชมจะดูไม่รู้เรื่อง " สิ้นคำผู้กำกับ โซเฟจก็พยักหน้ารับทันที เขาเอาหูฟังที่ติดกับไมค์ลอยมาสวมหัวแล้วเริ่มพูดทันที

     

         " อะแฮ่ม! ทุกท่านครับ เพื่อจะให้ท่านมีอรรถรสในการรับชมมากขึ้น ต่อไปนี้...ผมจะเป็นผู้บรรยายนะครับ " โซเฟจเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่พูดขึ้นด้วยความรู้สึก และมีการเน้นเสียงหนักเบาทำให้ฟังแล้วมีอารมณ์คล้อยตาม ฉันรู้สึกว่าโซเฟจนั้นเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่ไม่มีสคริปให้ดู แต่เขาก็สามารถที่จะพูดสดได้ " ตอนนี้เป็นเวลารุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง คอนเดลเซียร์กำลังนอนฝันดีอยู่บนเตียง เธอยกมือขึ้นแล้วหัวเราะเหมือนคนบ้า " พอโซเฟจพูดจบ ดีซีดอเรต้าก็ยกมือขึ้นแล้วหัวเราะอย่างคนบ้า

     

         " ฮ่าๆๆ มีความสุขจังเลย เข้ามาใกล้ๆ ฉันสิ " เธอพูดในขณะที่ยังคงหลับตาอยู่ เธอหัวเราะพลางพลิกตัวไปมาพลางชูมมือขึ้นสูง จากนั้น...นักแสดงที่รับบทหญิงชราก็โหนสริงขึ้นไปแตะมือของดีซีดอเรต้า แล้วโซเฟจจึงพูดขึ้นว่า

     

         " แต่เธอก็ต้องสะดุ้งตื่นทันทีที่รู้ว่าเธอกำลังสัมผัสกับผิวกายหยาบกร้านของหญิงชราคนหนึ่งอยู่ " ดีซีดอเรต้าจึงเบิกตาขึ้นกว้าง เธออ้าปากค้างแล้วขมวดคิ้วก่อนที่จะกระเด้งขึ้นจากเตียง เธอเอานิ้วชี้หน้าหญิงชราก่อนที่จะเบ้ปากแล้วพูดว่า

     

         " กรี๊ดดดดดดดด! ท่านเป็นใครน่ะ? " หญิงชราจึงลงมาเหยียบบนพื้นดินแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวว่า

     

         " ข้าคือผู้วิเศษจากดินแดนอันไกลโพ้น ตลอดเวลาที่ข้าเฝ้ามองชีวิตเจ้า ข้าเห็นถึงความยากลำบากในการทำสิ่งที่ต้องการของเจ้า และข้าได้มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือเจ้า ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือเจ้า ถ้าเจ้าทำตามที่ข้าบอก เจ้าจะได้สิ่งที่เจ้าปรารถนา " จากนั้นดีซีดอเรต้าก็เปลี่ยนจากสีหน้าตกตะลึงเป็นสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวังก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " ท่านจะให้ข้าทำอะไร? " จากนั้น...หญิงชราก็เดินเข้ามาหาดีซีดอเรต้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า

     

         " จงไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์กลางเขาเพื่อไปขอพรที่นั่น แล้วเจ้าจะได้สิ่งที่เจ้าปรารถนา " จากนั้น..ดีซีดอเรต้าก็ฉีกยิ้มกว้าง เธอพยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " ตกลง ข้าจะทำตามที่ท่านบอก " จากนั้น...ม่านก็ถูกชักปิดลงอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนฉาก พอม่านถูกชักเปิดขึ้น  แสงไฟที่สาดเข้ามาเผยให้เห็นฉากหลังของเมืองใหญ่ จากนั้น..ดีซีดอเรต้าก็เริ่มเดินจากซ้ายไปขวา แล้วโซเฟจก็พูดขึ้นว่า

     

         " คอนเดลเซียร์เริ่มออกเดินทางเพื่อไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์หลังเขาด้วยความมุ่งมั่น " จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็หยุดเดิน พร้อมกับเรอัส และมอนสเตลล่าที่แต่งชุดผ้าขี้ริ้วโทรมๆ ได้เดินขึ้นไปนั่งคุ้ยถังขยะอยู่กลางเวที แล้วโซเฟจก็พูดต่อว่า " แต่ระหว่างทาง...เธอก็ได้พบกับชายหญิงคู่หนึ่งที่สวมผ้าขี้ริ้วเก่าๆ ขาดๆ พวกเขากำลังคุ้ยเศษอาหารจากถังขยะอยู่กลางถนน ด้วยความประหลาดใจ เธอจึงหยุดดูทันที "  จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็อ้าปากค้างพร้อมกับเบิกตากว้าง เธอเอานิ้วชี้ไปที่เรอัส และมอนสเตลล่ากำลังทำหน้าตายคุ้ยขยะกันอยู่ก่อนที่จะถามขึ้นด้วยเสียงสูงแสบแก้วหูว่า

     

       " พวกคุณเป็นใครกันน่ะ? " แล้วมอนสเตลล่าก็ตอบพลางทำหน้าตายว่า

     

       " เราเป็นคู่แต่งงานใหม่น่ะ ไม่เห็นหรอว่าเรากำลังฮันนีมูนกันอยู่น่ะ " แล้วเรอัสก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ไร้ความรู้สึกอันเป็นเอกลักษณ์ว่า

     

         " ใช่ๆ มันเป็นวิธีการฮันนีมูนที่โรแมนติกที่สุด และเศษอาหารจากถังขยะนี่ก็เป็นอาหารที่ล้ำค่าที่สุด " เรอัสว่าพลางหยิบเศษอาหารจากถังขยะขึ้นมาด้วยท่าทางที่แข็งเหมือนหุ่นยนต์ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงง่วงๆ ที่ฟังดูเหมือนร้องโน๊ตตัวเดียวว่า " ดูสิว่ามันน่ากินแค่ไหน มันมีคุณสมบัติมากมายเลยนะ ทั้งโปรตีน วิตามิน และธาตุเหล็ก แถมมันยังอร่อยเหมือนขึ้นสวรรค์อีกด้วย " จากนั้น...มอนสเตลล่าก็ทำหน้าตายแล้วเอื้อมมือไปแตะดีซีดอเรต้าช้าๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า

     

         " เธอก็มากินกับพวกเราด้วยสิ เผื่อจะได้ขึ้นสวรรค์เหมือนพวกเราไง " จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็ทำหน้าอึ้งแล้วพูดว่า

     

         " ไม่ล่ะ...ขอบคุณ " จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็สะบัดมือมอนสเตลล่าออกก่อนที่จะเดินหนีไป แล้วมอนสเตลล่าก็สะกิดดีซีดอเรต้าให้หันมามองพร้อมกับพูดขึ้นว่า

     

         " เธอๆ ดูนี่สิ ชุดแต่งงานของฉันสวยมั้ย? " มอนสเตลล่าว่าพลางลุกขึ้นหมุนตัวด้วยท่าทางที่ดูเกร็งๆ " มันราคาตั้งห้าพันล้านเหรียญลาลาโมเซ่เชียวนะ " พอมอนสเตลล่าพูดจบ ดีซีดอเรต้าก็ทำหน้าเอือมแล้วเดินออกไป จากนั้น...ม่านก็ชักปิดลง แล้วเรอัสกับมอนสเตลล่าก็เดินลงจากเวทีไป โซเฟจจึงพูดขึ้นมาว่า

     

         " ในการเดินทางไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์กลางเขานั้น คอนเดลเซียร์ต้องพบเจอกับความยากลำบาก เธอต้องเดินข้ามภูเขาหลายลูก เดินข้ามแม่น้ำหลายสาย หลายครั้งที่เธอต้องพบเจอกับบททดสอบ และอุปสรรคที่ยากที่จะฝ่าฟัน แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ จนในที่สุด...เธอก็ได้มาถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์กลางเขาแล้ว " สิ้นคำโซเฟจ ม่านถูกชักเปิดออกเผยให้เห็นฉากที่เป็นวิหารหลังใหญ่ที่ดูหรูหรา และน่าเคารพเป็นอย่างยิ่ง ดีซีดอเรต้าที่ยืนอยู่กลางเวทีก็หมุนตัวพร้อมกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เธอจึงยิ้มกว้างก่อนที่จะก้าวเท้าอย่างมั่นใจไปหยุดอยู่ที่หน้าแท่นบูชา และในจังหวะนั้นเอง...เบลลาทริกซ์ก็เดินขึ้นไปนั่งเล่นเปียโนสีขาวสะอาดซึ่งอยู่ทางซ้ายของเวที แล้วดีซีดอเรต้าก็เอามือทาบอกแล้วหลับตาลงก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า

     

         " ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ได้พบคู่ครองเร็วๆ นี้ด้วยเถิด อาเมน " พอพูดจบ ดีซีดอเรต้าก็ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ในตอนนั้นเอง...เบลลาทริกซ์ก็หยุดเล่นเปียโนแล้วพูดขึ้นมาว่า

     

         " เธอปรารถนาจะได้คู่ครองใช่มั้ย? งั้นเธอลองเล่นเพลงRomance Impromptuดูสิ แล้วเธอจะได้สิ่งที่เธอปรารถนา " พอเบลลาทริกซ์พูดจบ ดีซีดอเรต้าก็ทำหน้างงก็ที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " แล้วเพลงRomance Impromptuอะไรนั่นมันเป็นยังไงล่ะ? " จากนั้น...เบลลาทริกซ์ก็ยิ้มกว้างพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า

     

         " อย่างนี้ไง ดูให้ดีนะ " จากนั้นเบลลาทริกซ์ก็เล่นเพลงเพลงหนึ่งขึ้นมา ฉันจำได้ว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่เบลลาทริกซ์แต่งให้ดรากเนสเนื่องในวันเกิดของเขา มันเป็นเพลงที่ทั้งเพราะทั้งเล่นยากเป็นอย่างยิ่ง พอเบลลาทริกซ์เล่นเปียโนเสร็จ ดรากเนสก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างหลังเบลลาทริกซ์ เขายิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกันก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " ผมเดินตามเสียงเปียโนที่เพราะจับใจของคุณมาที่นี่ แล้วผมก็พบว่าเจ้าของเสียงเปียโนนั้นก็มีใบหน้าที่สง่างามที่ชวนน่าหลงไหลเช่นกันกับเสียงเปียโนของคุณ มากับผมสิ ผมมีบางอย่างจะให้คุณดู " จากนั้น...ดรากเนสก็ดึงมือเบลลาทริกซ์ขึ้นมาก่อนที่จะก้าวไปทางมุมซ้าย แล้วเบลลาทริกซ์ก็ก้าวตามไปอย่างสง่างาม จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็ร้องขึ้นว่า

     

         " เดี๋ยวก่อน! ฉันต้องเล่นเหมือนที่เธอเล่นใช่มั้ย? " แล้วเบลลาทริกซ์ก็ปล่อยมือดรากเนสก่อนที่จะเดินกลับมาหาดีซีดอเรต้าแล้วพูดขึ้นว่า

     

         " ไม่ต้อง! " เบลลาทริกซ์พยายามพูดให้ดูเหมือนตะคอกที่สุด แต่เสียงของเธอก็เพราะเกินไปจนทำให้ไม่มีใครฟังออกว่าเธอกำลังตะคอกใส่ดีซีดอเรต้า จากนั้น...เบลลาทริกซ์ก็ปรับเสียงให้ดูนุ่มนวล และกางมืออย่างพลิ้วไหวก่อนที่จะพูดต่อว่า " จากพจนานุกรมดนตรีศาสตร์กล่าวไว้ว่าRomanceหมายถึงเพลงในยุคโรมานซ์(1820-1900) ในที่นี้หมายถึงเพลงรักที่เพราะจับใจ ฟังเข้าถึงอารมณ์เพลงได้ง่าย และชวนน่าหลงใหล ส่วนImpromptuหมายถึงการด้นสด โดยรวมๆ แล้ว Romance Impromptuจะหมายถึงเพลงรักที่ต้องเล่นอย่างกะทันหันโดยที่ไม่มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้ามาก่อน เธอเคยเรียนดนตรีมามั้ยเนี่ย? " แล้วดีซีดอเรต้าจึงพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         "  เคยสิ แต่ฉันเรียนไม่รู้เรื่องเลยสักนิด เพราะฉันชอบโดดเรียนวิชาดนตรีเป็นประจำน่ะสิ " พอดีซีดอเรต้าพูดจบ ผู้กำกับก็ร้องลั่นขึ้นมาว่า

     

         " มันจบแล้ว!!! เด็กนั่นบังอาจเปลี่ยนบทของฉัน!!! นั่นไม่ใช่คอนเดลเซียร์ที่แท้จริง คอนเดลเซียร์ที่แท้จริงจะต้องมีใจรักในเสียงดนตรีสิ มันจบแล้ว!!! " เมื่อฉันเห็นท่าทีที่เกรี้ยวกราดของผู้กำกับ ฉันก็รู้ได้ทันทีว่า พอแสดงเสร็จ ดีซีดอเรต้าต้องโดนด่าเละแน่ๆ แต่การแสดงยังไม่จบนะ ตอนนี้เบลลาทริกซ์กำลังพยายามทำเสียงดัดจริตอยู่ ซึ่งมันก็ยากพอสมควรสำหรับคนเรียบร้อย และอ่อนหวานอย่างเธอ ดูเหมือนว่า...ดีซีดอเรต้ากับเบลลาทริกซ์กำลังสลับร่างกันยังไงอย่างงั้น

     

         " พระเจ้า! ในโลกนี้ยังมีคนแบบนี้อยู่อีกหรอเนี่ย? ให้ตายสิ! " เบลลาทริกซ์กรีดร้องสุดเสียง แล้วเสียงกรีดร้องนั่นก็ยังเบาไปอยู่ดี จากนั้น...ดรากเนสก็เข้ามาจับแขนเบลลาทริกซ์พร้อมกับพูดขึ้นว่า

     

         " เราจะไปกันได้หรือยังครับ? " แล้วเบลลาทริกซ์ก็หันมายิ้มหวานให้ดรากเนสพร้อมกับพูดกับดรากเนสว่า

     

         " แน่นอนค่ะ " แล้วเบลลาทริกซ์ก็หันหน้าไปพูดกับดีซีดอเรต้าว่า " เฮ้! เธอจัดการที่เหลือต่อเองละกันนะ ฉันไปก่อนล่ะ! " เบลลาทริกซ์โบกมือให้ดีซีดอเรต้าก่อนที่จะเดินลงจากเวทีไปพร้อมกับดรากเนส จากนั้นดีซีดอเรต้าก็ก้าวไปที่เปียโนด้วยความมั่นใจ เธอกางมือออกก่อนที่จะเอามือขึ้นมาประสานที่อกแล้วพูดว่า

     

         " จะเป็นไปได้มั้ยถ้าพระเจ้าจะประทานพรสวรรค์ในการเล่นเปียโนให้กับฉัน " พอพูดจบ ดีซีดอเรต้าก็เดินไปนั่งที่เปียโนก่อนที่จะเริ่มเล่นเปียโนด้วยเพลงรักที่เธอดัดแปลงมาจากเพลงLyphard Melodyท่อนBของRichard Claydemanนักเปียโนคนโปรดของเธอ จากนั้น...นักแสดงที่รับบทเฟลคัสโซก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของดีซีดอเรต้า แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า

     

         " โอ้! ช่างเป็นบทเพลงที่หวานซึ้งอะไรเช่นนี้ ข้ามีความสุขอย่างยิ่งเมื่อได้ยินบทเพลงของเจ้า โอ้! นักเปียโนที่รัก ดนตรีของเจ้าช่างน่าเกรงขาม แม้ว่าเจ้าจะบรรเลงบทเพลงอันหวานซึ้งนั้นจบลงแล้ว แต่บทเพลงนั้นก็ยังคงตราตรึงในใจข้า ข้าสนใจบทเพลงของเจ้า และอย่างยิ่ง...ข้าสนใจเจ้าผู้บรรเลงบทเพลงอันหงานซึ้งนั้น ข้าชื่อเฟลคัสโซเป็นรัชทายาทแห่งดินแดนอันไกลโพ้น แต่เป็นเพราะว่าข้าไม่ชอบเรื่องการเมืองการปกครองเท่าไหร่นัก ข้าเลยตัดสินใจลงจากบัลลังก์เพื่อที่จะพลิกผันตัวเองเป็นกวีผู้รักการท่องเที่ยว และข้าก็มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบกับหญิงสาวผู้เลอโฉมเฉกเช่นเจ้า จงเอ่ยนามของเจ้า " จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็ทำหน้าเคลิ้มก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " คอนเดลเซียร์...ชื่อของข้าคือคอนเดลเซียร์ " จากนั้น...เฟลคัสโซก็พยักหน้ารับด้วยความยินดีแล้วพูดว่า

     

         " คอนเดลเซียร์งั้นหรือ? ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะอะไรเช่นนี้ ข้าชอบชื่อของเจ้านะ " แล้วดีซีดอเรต้าก็บิดตัวด้วยความเขินอายก่อนที่จะพูดพลางยิ้มอย่างจริงใจว่า

     

          " ข้าก็ชอบชื่อของท่านเช่นกัน " จากนั้น...ม่านก็ถูกชักปิดลง โซเฟจจึงพูดขึ้นมาว่า

     

         " และแล้ว...ปาฏิหาริย์แห่งรักแรกพบก็ได้บังเกิดขึ้นแล้ว เพราะหลังจากที่คอนเดลเซียร์ และเฟลคัสโซได้ทำความรู้จักกัน ทั้งคู่ก็รู้สึกคุ้นเคย และถูกชะตากับฝ่ายตรงข้ามราวกับว่าเคยเจอกันมาก่อน ตลอดเวลาที่ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ได้ทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ทั้งคู่ก็รู้สึกมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตร่วมกันนั้น และหลังจากนั้น...พวกเขาก็ตกหลุมรักกัน แน่นอนว่า...ความสุขนั้นย่อมเกิดขึ้น และมักจะจากไปเร็วเสมอ และในเรื่องนี้ก็เช่นกัน มันเกิดขึ้นที่...ลานเต้นรำ " จากนั้น...ม่านก็ถูกชักขึ้น แสงไฟที่สาดส่องเข้ามาเผยให้เห็นฉากงานเลี้ยงเต้นรำ เฟลคัสโซกำลังคุกเข่าต่อหน้าดีซีดอเรต้า แล้วเขาก็ยิ้มอย่างจริงใจพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า

     

         " เต้นรำกับข้านะ " สิ้นคำเฟลคัสโซ ดีซีดอเรต้าก็พยักหน้ารับด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข จากนั้น...เฟลคัสโซก็ดึงมือดีซีดอเรต้าไปยังกลางเวที จากนั้น...ฉัน ยูลิค และนักเต้นรำคนอื่นๆ ที่เตรียมตัวอยู่ข้างเวทีก็พากันเดินออกมา

     

         ทันทีที่เพลงถูกเปิดขึ้น พวกเราจึงเริ่มที่จะเต้นรำ ตอนแรกฉันก็ไม่กล้าที่จะก้าวเท้าด้วยความมั่นใจเท่าไรนัก เพราะกลัวผิดจังหวะ แต่แล้ว...คำพูดให้กำลังใจจากยูลิคก็ทำให้ฉันกลับมามีความมั่นใจได้อีกครั้ง เมื่อฉันตัดสินใจก้าวเท้าพร้อมๆ กับเขา และฉันก็ทำสำเร็จ พอเต้นไปได้สักครึ่งเพลง พวกเราก็ต้องเดินลงจากเวทีไป แล้วทิ้งเวทีนี้ไว้ให้กับดีซีดอเรต้า และเฟลคัสโซต่อ และจู่ๆ เฟลคัสโซก็หายไป

     

         " ไม่นะ! " ดีซีดอเรต้าร้องขึ้นด้วยความตกใจพลางใช้มือควานหาเฟลคัสโซที่หายไป แต่เธอก็กลับไม่พบมัน แล้วดีซีดอเรต้าก็ทรุดตัวลงกลางเวทีแล้วเริ่มร้องไห้ และพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า " เฟลคัสโซ ท่านอยู่ที่ไหน? เหตุใดท่านจึงทิ้งข้าให้อยู่แต่ลำพังเช่นนี้ ท่านเคยบอกข้าว่า...ท่านจะอยู่กับข้า...ตลอดไปไม่ใช่หรือ? " จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็ร้องไห้อย่างขมขื่น พร้อมกับทำหน้าตาขมขื่น และดื้นทุรนทุราย แล้วหญิงชราก็เดินเข้ามาหาดีซีดอเรต้าพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบห้าวว่า

     

         " โอ้! คอนเดลเซียร์ผู้น่าสงสาร เหตุใดเจ้าถึงมีสภาพแบบนี้? " ดีซีดอเรต้าจึงรีบเช็คน้ำตาแล้วเงยหน้ามองหญิงชราแล้วพูดขึ้นว่า

     

         " เฟลคัสโซหายไปแล้ว หากท่านรู้ว่าเฟลคัสโซอยู่ที่ไหน โปรดบอกข้าด้วยเพื่อให้ข้าจะได้ไปตามหาเขา " ดีซีดอเรต้าพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอีกครั้ง

     

         " แม้ว่าถ้าเจ้าตามหาเขาพบแล้วเจ้าต้องตาย เจ้าก็ยอมงั้นหรือ? " ดีซีดอเรต้าพยักหน้ารับช้าๆ แล้วเช็ดน้ำตาก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของข้า ข้าก็ยอม " จากนั้น...หญิงชราก็พูดต่อว่า

     

         " แม้ว่าเจ้าจะต้องไปในที่ที่ไม่มีอยู่จริง และไม่มีใครเคยพบมาก่อน เจ้าก็ยอมงั้นหรือ? " ดีซีดอเรต้าพลางหน้าอย่างหนักแน่นแล้วเม้มปากก่อนที่จะพูดด้วยเสียงก้องว่า

     

         " แม้ว่าข้าจะต้องไปยังสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริง และไม่มีใครเคยพบมาก่อน ข้าก็ยอม " จากนั้น...หญิงชราก็เดินเข้ามาหาดีซีดอเรต้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า

     

         " ฟังนะ บัดนี้...เฟลคัสโซของเจ้าได้ถูกเจ้าแห่งศาสตร์มืดผู้ชั่วร้ายนั้นสาปให้กลายเป็นฝุ่นธุลี  และถูกนำไปยังมิติธุลีม่านหมอกซึ่งถูกบังไว้หลังเมฆก้อนที่หกสิบหก ถ้าเจ้าปรารถนาที่จะไปที่นั่นก็จงเดินไปตามทางที่ข้าบอก " แล้วดีซีดอเรต้าก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูร้อนรนว่า

     

         " ทำอย่างไรถึงข้าจึงจะสามารถเข้าไปที่นั่นได้? " จากนั้น...ม่านก็ถูกชักปิดลงเพื่อเปลี่ยนฉากอีกครั้ง แล้วโซเฟจจึงเริ่มบรรยายทันที

     

         " คอนเดลเซียร์เดินไปตามทางที่หญิงชราคนนั้นบอกเรื่อยๆ โดยไม่หยุดพัก และการเดินทางนี้ก็ใช้เวลานานเป็นเดือน จากหนึ่งเดือนกลายเป็นสองเดือน จากสองเดือนกลายเป็นสามเดือน จากสามเดือนกลายเป็นสี่เดือน และจนกระทั่ง...เวลาได้ล่วงเลยมาถึงเจ็ดเดือน ในที่สุด...คอนเดลเซียร์ผู้เหนื่อยล้า และอ่อนเพลียจากการเดินทางครั้งนี้ก็ได้มาถึงจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับมิติธุลีม่านหมอก " จากนั้น...ม่านก็ชักเปิดขึ้นอีกครั้ง แสงไฟที่สาดส่องเข้ามาเผยให้เห็นฉากสีขาว ดีซีดอเรต้าได้หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู จากนั้น...อดอล์ฟที่รับบทเป็นคนเฝ้าประตูเดินออกมา เขาเอ่ยขึ้นว่า

     

         " ข้าเห็นเจ้ายืนอยู่หน้าประตูบานนี้อยู่นาน บอกข้าสิว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่? " จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็เงยหน้าขึ้นมองอดอล์ฟพร้อมกับพูดขึ้นว่า

     

         " ข้าต้องการที่จะเข้าไปในมิติธุลีม่านหมอกโดยผ่านทางประตูนี้ ท่านช่วยเปิดประตูให้ข้าที " จากนั้น...อดอล์ฟก็ทำหน้าอึ้งเหมือนไม่เชื่อแล้วพูดขึ้นว่า

     

         " เจ้าต้องการเข้าไปในมิติธุลีม่านหมอกโดยผ่านทางประตูนั้นงั้นหรือ? เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ข้าจะไม่เปิดประตูให้แก่คนสติไม่ดีเช่นเจ้าหรอก " จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็ยืนนิ่งโดยที่ไม่พูดอะไรอยู่นาน และพวกเราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่ง...ผู้กำกับร้องอย่างเกรี้ยวกราดขึ้นว่า

     

         " นี่มันไม่มีในบทนี่!!! " และเสียงของผู้กำกับก็ทำให้ดีซีดอเรต้าที่กำลังยืนนิ่งอยู่สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้สติ เธอจึงพูดขึ้นมาว่า

     

         " เปล่าหรอก ข้าไม่ได้สติไม่ดี แต่ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะตามหาเฟลคัสโซ ชายหนุ่มผู้ซึ่งข้ารัก ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน และได้ทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน พวกเราต่างก็มีความสุขเป็นอย่างมากในเวลานั้น และแล้ว...ความสุขของข้าก็ได้หายไปพร้อมกับความขมขื่นได้เข้ามาแทนที่เมื่อเฟลคัสโซได้ถูกเจ้าแห่งศาสตร์มืดผู้ชั่วร้ายจับตัวไปที่มิติธุลีม่านหมอกพร้อมทั้งสาปให้เขากลายเป็นฝุ่นธุลีไปด้วย และข้าก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับมาเจ็ดเดือนแล้ว เป็นเพราะว่า...ข้ามีชีวิตอยู่โดยไม่มีเขาไม่ได้ " จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็ร้องไห้ แล้วอดล์ฟก็มองหน้าดีซีดอเรต้า เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตามดีซีดอเรต้าแล้วพูดว่า

     

          " ข้าสงสารเจ้าอย่างสัตย์จริง แต่ในเวลานี้...ข้าก็ไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้ เพราะว่าประตูบานนี้ไม่ได้ใช่มาเป็นพันพันปีแล้ว และบัดนี้...มันก็ฝืดเต็มที เจ้าพอจะมีเงินให้ข้ายืมสักห้าล้านเหรียญลาลาเซ่มั้ย เพื่อที่ข้าจะได้นำเงินนั้นไปเป็นข้าซ่อมประตูแล้วสามารถที่จะเปิดประตูให้แก่เจ้าได้ " แล้วดีซีดอเรต้าก็ควานหาเศษเหรียญในกระเป๋าก่อนที่จะส่งให้อดอล์ฟ อดอล์ฟก็รับมาก่อนที่จะโยนเหรียญนั้นออกไป จากนั้น...เขาก็เปิดประตูออกพร้อมกับพูดว่า " ในมิติธุลีม่านหมอกนี้ เจ้าอาจจะพบกับบททดสอบหลายๆ อย่าง ขอให้เจ้าระวังตัวด้วย " จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็พยักหน้ารับก่อนที่จะเดินเข้าไปในประตูบานนั้น แล้วม่านก็ถูกชักปิดลง เมื่ออดอล์ฟเดินลงจากเวทีแล้ว โซเฟจก็พูดขึ้นว่า

     

         " คอนเดลเซียร์ตัดสินใจที่จะเข้าไปในมิติธุลีม่านหมอกนั้นด้วยใจมุ่งมั่น หลายครั้งที่เธอพบกับบททดสอบ แต่เธอก็สามารถที่จะฝ่าฝันมาได้ จนกระทั่ง...เธอได้เผชิญหน้ากับเจ้าแห่งศาสตร์มืดผู้ช่วยร้าย " จากนั้น...ม่านก็ถูกชักขึ้น บนเวที ดีซีดอเรต้าปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับนักแสดงที่รับบทเป็นเจ้าแห่งศาสตร์มืด เจ้าแห่งศาสตร์มืดจึงมองดีซีดอเรต้าอย่างไม่เชื่อสายตาพร้อมกับพูดขึ้นว่า

     

         " หญิงเอ๋ย เจ้ากล้ามานะที่มาถึงที่นี่น่ะ ข้าจะบอกให้นะว่าคู่ครองของเจ้าถูกสาปให้กลายเป็นฝุ่นธุลีอยู่ท่ามกลางหมอกกลุ่มใหญ่ หาเขาให้พบสิ ถ้าเจ้ายังหาเขาไม่พบภายในห้านาทีนี้ล่ะก็...เจ้ากับเขาจะต้องตายพร้อมกับแน่ " พอพูดจบ เจ้าแห่งศาสตร์มืดก็หัวเราะดังก้องพร้อมกับเดินลงจากเวทีไป จากนั้น...โซเฟจก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " ห้านาทีนี้เหมือนจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่น่าขมขื่นที่สุด เมื่อคอนเดลเซียร์ได้เริ่มออกตามหาเฟลคัสโซ ชายหนุ่มผู้เป็นที่รักยิ่ง เธอเดินผ่านกลุ่มหมอกกลายกลุ่ม และได้ยืนมือออกไปคลำหมอกเหล่านั้นดู แต่เธอก็ยังไม่พบเฟลคัสโซ จนกระทั่ง...เวลาได้ล่วงเลยมาจนเกือบครบห้านาทีแล้ว และเธอก็เริ่มท้อ " พอโซเฟจพูดจบ ดีซีดอเรต้าก็ทรุดตัวลงกับพื้นแล้วเอามือปาดเหงื่อ เธอหอบหายใจถี่ๆ ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาบิดขี้เกียจแล้วหาวอย่างคนที่ไม่ได้นอนมานาน แล้วโซเฟจก็พูดขึ้นมาว่า " และแล้ว...ปาฏิหาริย์ก็ได้เกิดขึ้น เพื่อคอนเดลเซียร์ได้เอื้อมมือไปแตะหมอกกลุ่มหนึ่ง แล้วมันก็กลายเป็นเฟลคัสโซ " พอโซเฟจพูดจบ เฟลคัสโซก็ปรากฏตัวขึ้น จากนั้น...ดีซีดอเรต้าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับยิ้มกว้างแล้วเอ่ยขึ้นว่า

     

         " ข้าดีใจจริงๆ ที่ได้พบท่านอีกครั้ง ท่านไปอยู่ไหนมา ข้าตามหาท่านตั้งนาน " แล้วเฟลคัสโซก็จับมือดีซีดอเรต้าพร้อมกับยิ้มอย่างจริงใจแล้วพูดว่า

     

         " ตลอดเวลาที่ข้าหายไป ข้าเฝ้ามองเจ้าอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา ข้าเห็นถึงว่าจริงใจของเจ้าต่อความรักของข้า และข้าก็รู้ว่าเจ้าเป็นผู้ที่รักข้าอย่างแท้จริง " จากนั้น...ดีซีดอเรต้ากับเฟลคัสโซก็โผลกอดกันด้ววความปลื้มปิติยินดี จากนั้น...ม่านก็ถูกชักปิดลง มันเป็นการชักม่านปิดลงครั้งสุดท้าย และการแสดงของพวกเราก็ได้จบลงแล้ว และตอนนั้น...ฉันก็ได้ยินคำวิจารณ์จากผู้ชมที่นั่งอยู่ในหอประชุม

     

         " นี่เป็นคอนเดลเซียร์ที่ห่วยที่สุดเท่าที่ฉันเคยดูมา และฉันจะไม่มาดูละครของคณะนี้อีกแล้ว "


         " นี่เป็นการเริ่มต้นชีวิตแต่งงานที่ห่วยแตกที่สุด ฉันจะบอกให้คู่แต่งงานคู่อื่นที่รออยู่ข้างนอกให้ไม่ต้องมาดูการแสดงห่วยแตกนี่แล้ว "


         " นักแสดงก็แสดงห่วยกันมาก ดูแล้วไม่ได้อารมณ์เลย ยิ่งดูยิ่งเครียด " 

     

         แล้วฉันก็เลิกที่จะเพ่งความสนใจไปที่คำวิจารณ์ด้านลบของผู้ชมเหล่านั้นก่อนที่จะตัดสินใจเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัว พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เสียงร้องเกี้ยวกราดของผู้กำกับก็ดังเข้ามาในหูของฉัน

     

          " พวกตัวสำรองทุกคน...ออกมารวมกันที่ห้องซ้อมเดี๋ยวนี้!!! " สิ้นเสียงนั้น ฉันก็ยูลิคก็มองหน้ากันสักพักก่อนที่จะตัดสินใจเดินออกไป เมื่อมาถึงผู้กำกับก็เริ่มที่จะด่าต่อข้อผิดพลาดของเรา

     

         " เธอ! " ผู้กำกับร้องพลางชี้หน้าดีซีดอเรต้า " เธอเป็นนักแสดงหลักนะ ทำไมถึงทำข้อผิดพลาดได้มากมายขนาดนี้ ตั้งแต่ตอนที่ฉาก ตอนที่เธอล้ม ตอนที่เธอนอกบทในฉากพระวิหาร แล้วก็...ตอนที่เธอยืนนิ่งอยู่ตอนก่อนที่จะเข้าประตู เธอไม่รู้หรือยังว่าการเป็นนักแสดงหลักน่ะมันต้องเป๊ะ เธอ! " ผู้กำกับว่าพลางชี้หน้าฉัน " ตอนเต้นรำเธอต้องมีความมั่นใจมากกว่านี้ ฉันเห็นว่าเธอเต้นผิดจังหวะได้อย่างชัดเจน เธอ! " ผู้กำกับว่าพลางชี้หน้าเรอัสกับมอนสเตลล่า " พวกเธอสองคนเป็นสีสันของเรื่องนะ พวกเธอทำหน้าเคร่งขรึมกันทำไม แทนที่คนดูจะหัวเราะ แต่พวกเขากลับเครียด เธอ! " ผู้กำกับว่าพลางชี้หน้าอดอล์ฟ " เธอไม่ได้ท่องบทเลยใช่มั้ย เห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่ได้พูดตามบทน่ะ ทำไมพวกเธอถึงทำแบบนี้ มันจบแล้วนะรู้มั้ย? คณะละครโฮเมิร์กเชสของฉันกำลังจะพินาศเพราะพวกเธอ!!! มันห่วยมากๆ ห่วยจริงๆ " ผู้กำกับว่าพลางหยิบเหล้าท้องถิ่นขวดแก้วสีม่วงขึ้นมา " เรามาดื่มฉลองให้กับความล้มเหลวกันเถอะ " จากนั้น...ผู้กำกับก็รินเหล้าท้องถิ่นให้เรา แล้วเราก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม

     

         พอดื่มไปได้แค่หยดเดียว ฉันเริ่มเวียนหัวแล้วราวกับว่าโลกกำลังหมุนรอบตัวฉัน และภาพที่พร่ามัวตรงหน้าทำให้ฉันอยากจะอาเจียน และที่สำคัญ...ฉันก็เห็นคนรอบข้างเป็นอสุรกายที่น่าเกลียด ฉันเมาแล้ว!

     

    + + + + + + + + + + +

     

        (  ประกาศเข้าสู่สภาวะฉุกเฉิน เนื่องจากตอนนี้ตัวละครเมาเหล้าท้องถิ่นจนไม่ได้สติ ต่อไปนี้...ไรเตอร์จะเป็นคนบรรยายเองนะคะ )

     

        ทั้งเก้าเดินเซไปเซมาไปตามทางเท้า พร้อมกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งให้ร้องขึ้นพร้อมกันว่า

     

         " แม่จ๋า...หนูอยากกลับบ้าน " จากนั้น..พวกเขาก็ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ จากนั้น...มอนสเตลล่าก็เดินนำทั้งหมด เธอชี้นิ้วไปที่บ้านเก่าๆ หลังหนึ่งซึ่งตัวบ้านนั้นทำจากหินอ่อนสีเทาที่ดูโทรม และบริเวณบ้านนั้นมีไม้รกๆ ขึ้นอยู่เต็มไปหมด ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " บ้าน...บ้าน...บ้าน...นั่นไง! บ้านของเรา เข้าไปกันเถอะ " จากนั้น...ทั้งหมดก็เดินเข้าไปข้างในโดยผ่านกำแพงลายอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัว

     

         " ฮื่อๆ พี่ขา หนูกลัวอสูรกาย " แบล์คลีซาพูดพลางสะอื้นแล้วกอดเบลลาทริกซ์

     

         " อสุรกาย! ว๊าฮ่าฮ่า ฉันอยากกินอสุรกายย่างอบซอส!!! " จากนั้น...เบลลาทริกซ์ก็เดินนำทั้งหมดเข้าไปด้านในที่มีผู้คนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้สีแดงเต็มไปหมด

     

         " มีคนบุกรุกบ้านของเรา! " อดอล์ฟว่าพลางชี้นิ้วไปที่คนเหล่านั้น

     

         " ฆ่ามัน...ฆ่ามัน...ฆ่ามัน...ฆ่ามัน!!! " ดรากเนสว่าพลางยกมือขึ้นทำท่าเหมือนกำลังประท้วงอะไรบางอย่าง แล้วโซเฟจก็เดินเหมือนนักเลงไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าพร้อมกับกระชากคอเสื้อคนนั้นแล้วพูดว่า

     

         " เฮ้ย! ลุกดิ จะนั่ง " แล้วคนที่นั่งอยู่บริเวณนั้นก็พากันมองหน้าโซเฟจงงๆ ก่อนที่จะเดินออกไป แล้วทั้งเก้าก็ย่อนตัวนั่งลงตรงนั้น

     

         จริงๆ แล้วที่นี่ก็คือโรงละครที่เก่าแก่ที่สุดของลาลาโมเซ่ และตอนนี้ก็มีการแสดงอันน่าทึ่งของสิ่งมีชีวิตน่าอัศจรรย์แห่งลาลาโมเซ่กำลังแสดงกันอยู่ และคู่รักหินพันล้านปีเท้าไฟก็ได้ออกมาเต้นรำกันบนเวที

     

         " ดูนี่สิ เจ้าหินโสโครกพวกนั้นกำลังเต้นรำกันอยู่บนเวที เป็นไปได้ยังไงที่หินจะเต้นรำได้ คนที่มาดูต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ พวกเขาโง่จริงๆ ที่เชื่อเรื่องพวกนี้ " เรอัสร้องลั่นแล้วหัวเราะเหมือนคนบ้า " ไอ้โง่เอ๊ย! ฮ่าฮ่าฮ่า...ฮ่าฮ่าฮ่า! ฮ่าฮ่าฮ่า!!! แม่จ๋า...หนูหยุดหัวเราะไม่ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า!!! "

     

          แล้วหลังจากนั้น...นกฟินิกส์สะกดจิตมรณะก็ออกมาบินรอบโรงละคร มันบินพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องที่ชวนแสบแก้วหูไปด้วย ยูลิคจึงมองนกฟินิกส์ตัวนั้นตาขวางพร้อมกับพูดขึ้นว่า

     

         " เฮ้ย! หยุดร้องสักที หนวกหู!!! " แล้วเบลลาทริกซ์ก็เอื้อมมือไปตีนกฟินิกส์ตัวนั้นพร้อมกับตะคอกใส่นกฟินิกส์ตัวนั้นว่า

     

         " หยุดบินแล้วกลับไปอยู่ที่ของแกได้แล้ว น่ารำคาญ! " จากนั้น...ตาของนกฟินิกส์ตัวนั้นก็เรืองแสงพร้อมกับมันได้บินกลับไปยังที่ของมัน

     

         จากนั้น...อสุรกายตัวใหญ่ยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที มันขู่ร้องคำรามพร้อมกับวางท่าให้ดูน่าเกรงขาม

     

         " อสุรกาย! " แบล์คลีซากรีดร้องพลางชี้นิ้วไปที่อสุรกายร่างยักษ์

     

         " ฆ่ามัน...ฆ่ามัน...ฆ่ามัน...ฆ่ามัน!!! " ดรากเนสร้องพลางวิ่งขึ้นไปบนเวทีแล้วโค่นร่างของอสูรกายยักษ์ตัวนั้นให้ล้มลง และในตอนนั้น...มันก็ร้องคำรามด้วยความตกใจ

     

         " กรั๊วววววววววววว!!! "

     

         " ฉันชนะแล้ว! " ดรากเนสว่าพลางยกมือขวาขึ้นแล้วยิ้มอย่างผู้ชนะ

     

         " ฮูเร่! " ทั้งแปดประสานเสียงกันขึ้นพร้อมกับปรบมือแสดงความยินดีให้ดรากเนส ดรากเนสจึงก้าวลงจากเวทีอย่างผู้ชนะ จากนั้น...ชายหนุ่มผู้มีผิวกายเป็นยางเหนียวหนึบก็ได้ก้าวขึ้นมาบนเวที และทุกก้าวของเขาทำให้ทุกคนสามารถที่จะได้ยินเสียง'แกร๊บ...แกร๊บ'ของฝีเท้าได้อย่างชัดเจน

     

         " ดูสิ! เจ้ามนุษย์หนึบหนับนั่นต้องอร่อยแน่ๆ เลย พวกเราไปกินกันเถอะ " เบลลาทริกซ์ร้องขึ้น และทั้งหมดก็พากันขึ้นไปบนเวทีแล้วดึงผิวกายที่ทำจากยาวเหนียวหนึบของชายคนนั้นก่อนที่จะอ้าปากกินมัน

     

         แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้สิ้มรสของเจ้ามนุษย์หนึบหนับที่แสนอร่อย(ตามความคิดของพวกเขา) พวกเขาทั้งหมดก็ถูกเจ้ามนุษย์หนึบหนับเหวี่ยงให้ไปตกอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล และ...

     

         ตุ้บ!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×