คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Future of the universe II
Future of the universe II
ทุกท่านคะ ที่ฉันเคยบอกไว้ว่าดราม่าก่อนนอนทำให้นอนไม่หลับนั้น
ฉันขอยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะตอนนี้ฉันก็นอนไม่หลับแล้ว
ฉันเข้านอนตั้งแต่สามทุ่มครึ่ง แล้วตอนนี้ก็ตีสามครึ่งแล้ว ฉันก็ยังนอนไม่หลับเลย แล้วฉันควรทำยังไงน่ะหรอ?
เอ่อ...ฉันคิดว่าถ้านอนไม่หลับก็ไม่ต้องนอนแล้ว
ออกไปเดินเล่นข้างนอกเสียยังดีกว่า
แล้วฉันก็ตัดสินใจที่จะออกมาเดินเล่นแทนการนอนหลับจริงๆ
ฉันก้าวเท้าด้วยความนุ่มนวล และสง่างามราวกับเต้นบัลเล่ต์ไปตามมาแนวพื้นที่ทำจากแก้วมณีโชติสีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกล้อมไปทะเลสาบสีนิล
สีขาวของพื้นที่ตัดกับสีนิลของทะเลสาบนั้นทำให้ได้บรรยากาศที่แสนจะคลาสสิกมากๆ
ลมหนาที่พัดมาทำให้น้ำในทะเลาบกระเพื่อมขึ้นเผยให้เห็นคลื่นที่ดูมีชีวิตชีวา ดวงดาวที่แลดูเหมือนใบหน้าคนคลาสสิกที่คอยส่องแสงให้ฉันในคืนนี้นั้นเป็นดาวที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา
ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าฉันกำลังได้ยินใครบางคนกำลังเล่นเปียโนคอนแชร์โต้หมายเลขหนึ่งของโชแปง
ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าที่ฉันกำลังเห็นพ่อกับแม่กำลังยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าฉัน
ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าที่ฉันเห็นว่าตัวเองกำลังถูกล้อมรอบไปด้วยแสงสีขาวของอะไรบางอย่างที่ดูเจิดจ้าแสบตาเป็นอย่างมาก
ใช่! ภาพทั้งหมดนี้ ฉันแค่คิดไปเองเท่านั้น มันไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อย
ความจริงก็คือฉันไม่ได้เดินอยู่บนทางเดินแก้วมณีโชติสีขาวที่ถูกรายล้อมไปด้วยทะเลสาบสีนิล
แต่ฉันกำลังเดินอยู่บนทางเดินสีทองอร่ามที่แสนจะสับซ้อนที่อยู่ในตัวปราสาทเท่านั้นเอง
ความจริงก็คือที่นี่ไม่มีลมหนาวพัดเข้ามา แต่ฉันกำลังร้อนจนเหงื่อออกไปทั่วตัว
ความจริงก็คือฉันไม่ได้มองเห็นดวงดาวที่ดูเหมือนใบหน้าคนคลาสสิกนั้นเลย
แต่ฉันกลับมองไม่เห็นดวงดาวบนฟากฟ้าเลย
เพราะว่าคืนนี้ท้องฟ้านั้นมืดเกินไปจนทำให้ไม่มีแสงของดวงดาวเล็ดรอดออกมาน่ะสิ
ลืมไปได้เลยว่าภาพเมื่อครู่นี้มันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
ฉันกำลังเดินทอดน่องไปตามทางเดินที่แสนจะซับซ้อนภายในปราสาทที่ทอดยาวอย่างไม่มีวันจบสิ้น
ความน่าสับสนของทางเดินนี้ทำให้ฉันกำลังคิดว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในเขาวงกต
ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไรก็ยิ่งสับสน ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไรก็ยิ่งน่ากลัว
และฉันก็ไม่รู้ว่า ถ้าฉันเดินไปถึงสุดปลายทางแล้ว ฉันจะหาทางออกเจอหรือไม่
ตึก...ตึก...ตึก!!!
ฉันก้าวเท้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง…ฉันก็ได้ตัดสินใจมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูสีม่วงอ่อนบานใหญ่บานหนึ่ง
ฉันมาหยุดอยู่ที่นี่ไม่ใช่มาเพื่อชื่นชมความงามของประตูบานยักษ์ที่ถูกประดับด้วยเพทาย
และบุษราคัมน้ำอ่อน แต่ฉันมาหยุดอยู่ที่นี่เพื่อฟังเสียงสนทนาของคนที่อยู่ด้านในนั้น
“ งานเลี้ยงจะเริ่มเวลาหกโมงเย็นของพรุ่งนี้
ขอให้เจ้าส่งยาพิษชั้นดีมาให้ข้าในตอนรุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ด้วย ” เอ๊ะ? คำพูดนี้นี่มัน...ฉันเคยได้ยินมาจากในฝันนี่
ถ้าฉันจำไม่ผิดต่อจากนี้หลังจากที่กษัตริย์พูดจบ นักปรุงยาก็จะพยักหน้า
แล้วกษัตริย์ก็จะพูดต่อว่า เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
ขอให้เจ้าหยดน้ำยาแอสพิราล่าเมนเทเพื่อการทำลายล้างดาวดวงอื่นในจักรวาลนี้เวลาสองทุ่ม
เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าก็จะได้เป็นใหญ่ที่สุดในจักรวาลแห่งนี้
“ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ขอให้เจ้าหยดน้ำยาแอสพิราล่าเมนเทเพื่อการทำลายล้างดาวดวงอื่นในจักรวาลนี้เวลาสองทุ่ม
เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าก็จะได้เป็นใหญ่ที่สุดในจักรวาลแห่งนี้!!! ” ใช่! แบบนั้นแหละ เป๊ะมาก...มันเป๊ะมากจริงๆ
แล้วหลังจากนั้นพวกเขาจะพูดอะไรกันต่อล่ะ เพราะหลังจากนั้น...ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงหายใจ
มันเงียบเกินไปแล้วนะ
“ ทรานซ์คิลโล่...เจ้าจงเก็บเรื่องแผนการนี้ไว้เป็นความลับ
เพราะจะต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากเราสองคน ” กษัตริย์ว่า
“ พะย่ะค่ะ ท่านคอนอัสโซ ” นักปรุงยาที่ชื่อว่าทรานซ์คิลโล่รับคำ “ แต่ข้าคิดว่าท่านควรจะรอบคอบกว่านี้
ท่านไม่ควรคุยเรื่องแผนการที่สำคัญเช่นนี้ในสถานที่ของท่าน
ถ้าหากมีใครผ่านมาได้ยินมันจะเกิดเรื่องได้นะพะย่ะค่ะ ”
“ มันคงไม่เป็นแบบนั้นหรอก
เพราะว่าข้านัดเจ้ามาวางแผนเรื่องนี้ตั้งแต่เที่ยงคืนกว่า และตอนนี้ก็ตีสามกว่าแล้ว
ในช่วงเวลานี้คงไม่มีใครตื่นมาเดินเพ่นพ่านหรอก เจ้าคงคิดไปเองแล้วล่ะ
แต่ข้าขอชมเจ้านะว่าความรอบคอบเป็นสิ่งที่ดี ” กษัตริย์ว่า “ ตอนนี้ข้าคิดว่ายังไม่มีใครที่รู้เรื่องนี้ แม้แต่คนในครอบครัว
หรือข้าราชการคนสนิทของข้าก็ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ทั้งสิ้น ข้าคิดไปแล้วตั้งแต่แรกว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณะชน
เพราะว่า...มันอาจทำให้ประชาชนแตกตื่นได้
ข้าเกรงว่า...ประชาชนเหล่านั้นจะทำตัวเป็นกบฏไม่ยอมทำตามแผนนี่
พวกเขาจะไม่ยอมแม้แต่จะดื่มยาพิษในงานเลี้ยงแล้วหลับใหลไปชั่วขณะ
เพื่อว่าเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาในรุ่งขึ้นแล้ว
พวกเขาจะพบว่าตัวเองได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มเดียวที่เหลืออยู่บนจักรวาลนี้
เป็นเพราะว่าดาวดวงอื่นในจักรวาลแห่งนี้ได้ถูกทำลายจนสูญสิ้นไปหมดแล้ว
จงกลับไปยังสถานที่ของเจ้าแล้วเตรียมตัวสำหรับแผนการของวันพรุ่งนี้
แล้วเราจะยิ่งใหญ่ด้วยกัน ” จากนั้น...ทุกอย่างก็เงียบลง
ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของนักปรุงยาที่กำลังก้าวตรงมาที่ประตูสีม่วงอ่อนบานใหญ่
แกร๊ก!
นักปรุงยาได้หมุนลูกบิดประตู และได้เปิดประตูบานนั้นออกในเวลาต่อมา เมื่อเห็นประตูที่ถูกแย้มออกมาเพียงเล็กน้อย ฉันที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นก็ต้องรีบก้าวเท้าในเบาที่สุดเพื่อที่จะไปหลบหลังรูปปั้นหญิงสาวผู้สวมมงกฏรูปดวงดาว
และมีปีกเพียงข้างเดียวที่วางอยู่ข้างๆ ประตูบานนั้น
ตึก...ตึก...ตึก!!!
นักปรุงยากำลังจะก้าวเท้าผ่านจุดนั้นไปด้วยความรวดเร็ว
เขาเดินออกไปนอกตัวปราสาทแล้วเดินไปยังม้าสีนิลที่กำลังยืนพิงเสาสีทองของปราสาทอยู่
ก่อนที่จะขี่ม้าสีนิลสง่างามตัวนั้นออกไป
ตอนนี้...ฉันคิดว่าฉันควรจะรีบออกไปจากที่นี่ซะก่อนที่จะกษัตริย์จะเดินออกมาจากห้องนั้น
ถ้ากษัตริย์มาเห็นฉันเข้า มันก็จะเกิดเรื่องได้ ดูเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังฟังความคิดของฉันอยู่
เพราะสิ่งที่ฉันคิดนั้นมันได้กลายเป็นจริงแล้ว เพราะตอนที่ฉันกำลังจะก้าวออกไป
กษัตริย์คอนอัสโซก็ได้เปิดประตูออกมา และ...
“ ฟิโรซ่า...เจ้ามาทำอะไรที่นี่? ” แอร๊ยยยยย!!! ซวยแล้ว
“ ท่านลุงคอนอัสโซ
คือว่าข้า...ข้าแค่อยากออกมาเดินเล่นน่ะเพคะ ” กรี๊ดดดดดดด! ฉันอยากจะกรีดร้องแล้วตบหน้าตัวเองแรงๆ
ทำไมฉันถึงตัดสินใจพูดออกมาแบบนั้นได้นะ
นี่มันเป็นคำพูดที่สิ้นคิดที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
“ เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าแค่มาเดินเล่นเท่านั้น
เจ้าไม่ได้มาทำอะไรมากกว่านี้ใช่มั้ย? ” ทำสิเพคะ ข้ามาแอบฟังท่านลุงคุยเรื่องแผนการกับนักปรุงยาคนนั้นเพคะ
กรี๊ดดดดดดด! ดอลล่าร์...แกห้ามตอบออกไปแบบนี้เด็ดขาดนะ
“ เพคะ
ข้านอนไม่หลับเพราะข้าคิดถึงพ่อ ข้าก็เลยออกมาเดินเล่น
อีกอย่าง...ข้าก็เพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อครู่นี้เอง ข้าก็เลยไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเดินเล่น ” พอฉันพูดจบ
กษัตริย์คอนอัสโซก็มองหน้าฉันแล้วขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า
“ เจ้าคงไม่เห็นชายผมทอง ผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน
และไว้เครายาวสีทองสวมชุดสูทที่ทำมาจากผ้ากำมะยี่สีดำขี่ม้าสีนิลออกไปใช่มั้ย? ” พอกษัตริย์คอนอัสโซพูดจบ ฉันก็ทำหน้างงก่อนที่จะส่ายหน้าช้าๆ
ว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น และดูเหมือนว่ากษัตริย์จะเชื่อฉันเสียสนิท
เมื่อเขาเอ่ยขึ้นว่า “ ดีแล้วที่เจ้าไม่เห็นมัน
ฟีโรซ่า...เจ้าหิวมั้ย? ” พอกษัตริย์พูดจบฉันก็พยักหน้ารับ “ เชิญเข้ามาดื่มชากับข้าตรงในห้องนี้ก่อนสิ ” พอกษัตริย์คอนอัสโซพูดจบ
ฉันก็เดินตามกษัตริย์เข้าไปในห้องส่วนตัวของเขาทันที
ภายในห้องส่วนตัวของกษัตริย์นั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นสีม่วงซึ่งเป็นสีของกษัตริย์
พื้นสีม่วงน้ำเงินเงาวับตัดกับม่านสีม่วงแดงทำให้ดูคลาสสิกเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่กษัตริย์นั่งลงบนเก้าอี้ทรงสูงสีม่วงที่ถูกประดับไปด้วยอัญมณีสีม่วงอ่อนที่ตรงหน้าของเก้าอี้นั้นเป็นโต๊ะกลมที่สีขาวที่ถูกทาสีด้วยลวดลายที่ดูแปลกตาเป็นสีม่วง
ฉันก็เริ่มที่จะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กษัตริย์คอนอัสโซทันที
จากนั้น...กษัตริย์คอนอัสโซก็เริ่มที่จะรินน้ำชาออกจากกาน้ำชาสีขาวที่มีลวดลายสง่างามสีม่วงอ่อนลงในแก้วไวน์ทรงสูงที่ถูกแกะสลักออกเป็นลวดลายอย่างวิจิตรเผยให้เห็นชาสีน้ำตาลอ่อนซึ่งเป็นเครื่องดื่มอย่างเดียวกันที่ฉันได้ดื่นเมื่อคืนนี้
เมื่อกษัตริย์คอนอัสโซรินน้ำชาเสร็จ เขาก็เริ่มยกน้ำชาในแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นมาดื่ม
ฉันจึงหยิบแก้วไวน์ที่บรรจุน้ำชาที่วางอยู่ข้างๆ แก้วใบนั้นขึ้นมาดื่มบ้าง ‘หวังว่าในนี้คงจะไม่มียาพิษนะ’ ฉันคิดพลางยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม
ครั้งแรกที่ได้ลิ้มรสชาติอันหอมหวาน และได้สัมผัสกับความนุ่มลิ้นของชา ฉันก็คิดไปว่าตัวเองกำลังนั่งดื่มชากับพระเจ้าอยู่บนสวรรค์ทันที
ฉันกำลังล่องลอยอยู่ในบรรยากาศอันบางเบาที่ถูกล้อมรอบไปด้วยสีขาว
และรอบตัวฉันก็มีเหล่าทูตสวรรค์บินไปรอบๆ
พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า
ในจำนวนทูตสวรรค์เหล่านั้นมียศตำแหน่งต่างกัน มีทั้งทูตสวรรค์ทั่วไป
เทวทูตศักดิ์สิทธิ์ เครูบ และเสราฟิม
และดูเหมือนว่าภาพของทูตสวรรค์สี่เหล่าที่ได้โบยบินอยู่รอบๆ
ตัวฉันได้หายไปแล้ว
ภาพของสวนสีขาวแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีทองบานสะพรั่งก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉันแทน
ฉันจึงก้าวเข้าไปในสวนนั้นก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้สีขาวที่วางอยู่กลางสวน
ทันทีที่ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น ปีกสีใสของเก้าอี้ก็งอกออกมา
มันกระพือปีกแล้วพาฉันบินทะยานขึ้นสู่ภาคพื้นอันกว้างใหญ่
และมีเหล่าคนธรรมกำลังเล่นดนตรี และรำมะนาอยู่รอบๆ ตัวฉัน
และแล้วความสุขของฉันก็ได้หมดสิ้นลง เมื่อภาพสวรรค์นั้นได้หายไป
และภาพของสถานที่ที่ดูยุ่งเหยิง และวุ่นวายได้ปรากฏขึ้นมาแทนที่
มันดูเหมือนสถานที่ที่เหมือนกับถูกใช้ในการถ่ายทำหนังแนวแฟนตาซี-ไซไฟ ดูเหมือนกับว่าเป็นกองบัญชาการลับอะไรบางอย่าง
ทางเข้าของสถานที่แห่งนี้เป็นประตูเหล็กสีเงินรูปแปดเหลี่ยมที่แหวกออกเผยให้เห็นเส้นทางที่ถูกซับซ้อนราวกับกำลังเดินอยู่ในเขาวงกต
ฉันเดินเข้าไปเรื่อยๆ บางครั้งก็เดินไปทางซ้าย บางครั้งก็เดินไปทางขวา
บางครั้งก็เดินตรงไปข้างหน้า และบางครั้งก็เลี้ยวโค้งกลับไปกลับมา
จนในที่สุด...ฉันก็เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูประตูเหล็กสีเงินรูปแปดเหลี่ยมอีกบานหนึ่ง
ฉันจึงเปิดเข้าไปเผยให้เห็นถือความซับซ้อนภายในสถานที่แห่งนั้น
ภายในสถานที่ที่แห่งนั้นมีกลไกที่ทันสมัยมากมายที่ทำให้รู้สึกว่ากำลังอยู่ในโลกอนาคต
ฉันจึงตัดสินใจที่จะก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น และ...
+ + + + + + + + + + +
“ ฟิโรซ่า ” เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูฉัน
ฉันจึงลืมตาขึ้นแล้วพบว่าตัวเองกำลังหลับคาโต๊ะน้ำชาของกษัตริย์คอนอัสโซ
เมื่อกี้เป็นเพียงแค่ความฝันสินะ
“ ท่านลุงเพคะ นี่ข้าหลับไปนานเท่าไรแล้วเพคะ? ” ฉันเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางมองไปรอบๆ ฉันยืนยันได้ว่านี่เป็นการแสดงออกที่แท้จริงของฉันไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างได้
“ ประมาณห้าชั่วโมงกว่าแล้ว ” พอกษัตริย์คอนอัสโซพูดจบ
ฉันก็ถึงกับสะดุ้งทันที เพราะว่าตอนนี้มันเก้าโมงกว่าแล้ว ‘ไม่!!! เก้าโมงกว่าแล้วจริงๆ หรือนี่’ ฉันคิดแล้วโค้งคำนับให้กษัตริย์คอนอัสโซก่อนที่จะรีบเดินออกไปทันที
ตอนนี้ฉันมานั่งเล่นอยู่ที่ริมทะเลสาบพลางทบทวนเรื่องความฝันเมื่อครู่นี้ซึ่งฉันไม่เข้าใจมันเลยแม้แต่น้อย
ตอนแรกมันเป็นภาพสวรรค์ และต่อมามันก็เป็นภาพของสถานที่ซับซ้อน
ความฝันนี่มันช่างไม่ประติดประต่อกันเสียเลย
มันเป็นไปไม่ได้ที่สวรรค์จะเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่ซับซ้อนนั้นได้
ถ้าให้ฉันลองคิดเล่นๆ ดูนะ ฉันก็จะคิดไปว่า ภาพสวรรค์นั่นคงหมายถึงความตาย
แล้วสถานที่ที่ซับซ้อนนั่นคงจะเป็นสถานที่ที่ฉันจบชีวิตลงล่ะมั้ง
แล้วฉันจะจบชีวิตด้วยวิธีไหนน่ะหรอ? ฉันก็ยังไม่รู้เลย
ฉันคงเดินเข้าไปข้างในนั้นแล้วถูกเครื่องมือกลไกที่อยู่ข้างในนั้นปั่นร่างฉันจนฉันคอขาดตายได้ล่ะมั้ง ‘เฮ้อ! ช่างเป็นความคิดที่สิ้นคิดอะไรเช่นนี้’ ฉันคิดพลางถอนหายใจแล้วชื่นชมความงามของทะเลสาบสีนิลนี้ไปเรื่อยๆ
จนกระทั่ง...
“ ฟิโรซ่า...เธอมานั่งทำอะไรตรงนี้? ฉันตามหาเธอตั้งนานแน่ะ ” พอเสียงนั้นเงียบลง ฉันจึงหันไปมองทางต้นเสียงทันที
ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าคอนเอียนม่าเป็นคนเรียกฉัน
ฉันจึงยิ้มให้เธอแล้วทำหน้างงก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“ มีอะไรหรอ? ” ฉันว่าพลางพยุงร่างของตัวเองให้ลุกขึ้น
คอนเอียนม่าจึงยิ้มกว้างก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า
“ มากับฉันสิ ฉันมีบางอย่างจะให้เธอดู ” พอคอนเอียนม่าพูดจบ
เธอก็ลากฉันเข้าไปในปราสาทก่อนที่จะนำฉันเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ที่ถูกประดับตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาล-แดง ในห้องนั้นมีรูปปั้นหญิงสาวคลาสสิกผู้กำลังเริงระบำอยู่ท่ามกลางรูปปั้นชายหนุ่มผู้สง่างามวางอยู่ตรงกลางห้องซึ่งเป็นลานกว้าง
โคมระย้าที่ทำมาจากแก้วมณีโชติ และถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่คลาสสิกมากๆ
ให้ความรู้สึกน่าหลงใหลได้ส่องแสงเจิดจ้าไปบนลานกว้างซึ่งฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นลานเต้นรำ ‘ใช่! วันนี้ตอนหกโมงเย็น
งานเลี้ยงวันชาติดิเครซซิมิสจะถูกจัดขึ้นที่นี่สินะ
ฉันต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะแผนการทำลายล้างทำเริ่มขึ้น’ ฉันร้องบอกตัวเองในใจพลางเริ่มที่จะคิดหาวิธีการที่จะขัดขวางแผนการทำลายล้างอันแสนมหาหฤโหดนั้น
แต่ฉันก็ต้องหยุดความคิดนั้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงเปียโน
และเสียงเชลโล่ที่ถูกบรรเลงมาจากข้างบนเวทีที่อยู่หน้าห้องโถงใหญ่แห่งนี้
ถ้าฉันจำไม่ผิด เพลงที่พวกเขากำลังเล่นก็คือเดอะ สวาน
เพลงเดอะ
สวานถูกบรรเลงขึ้นโดยสองนักดนตรีหนุ่มผู้มีรูปลักษณ์ที่น่าหลงใหล นักเปียโนเป็นชายหนุ่มร่างสูง
ผิวขาวปานกลาง ผมสีน้ำตาล และตาเรียวคมสีฟ้า นักเชลโล่เป็นชายหนุ่มร่างบาง
ผิวขาวอมชมพู ผมสีแดง และตาอันทรงเสน่ห์สีฟ้า
ถึงแม้ว่า...นักดนตรีทั้งสองจะบรรเลงเพลงเดียวกัน แต่พวกเขาก็มีเทคนิคการเล่น
และเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป เปียโนถูกบรรเลงด้วยการเล่นโน้ตที่คมชัด
เน้นเสียงหนัก-เบาเฉพาะจุดให้ความรู้สึกตื่นเต้น
นักเปียโนมีท่าทางในการเล่นที่สง่างาม
และสีหน้าของเขาแสดงออกถึงอารมณ์เพลงได้อย่างชัดเจน
ส่วนเชลโล่ถูกบรรเลงด้วยการเล่นโน้ตที่นุ่มนวล และอ่อนหวาน
โน้ตที่ถูกลากยาวครบจังหวะทำให้ฟังดูไพเราะจับใจ
ประกอบกับนักเชลโล่ที่มีท่าทางในการเล่นแบบนิ่งๆ
และสีหน้าของเขาแสดงออกถึงความเศร้าสลดตามเสียงของเชลโล่ได้อย่างชัดเจน
ทำให้ฉันรู้สึกคล้อยตามอารมณ์เพลงนั้นได้อย่างง่ายดาย
พอเพลงนั้นถูกบรรเลงจบลง ฉันก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง มันเจ๋งมากจริงๆ
เจ๋งจนฉันพูดไม่ออก กรี๊ดดดดด! ฉันชอบคนเล่นดนตรีเก่ง
“ ฟิโรซ่า...พวกเขาคือลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง ” เสียงของคอนเอียนม่าที่ดังขึ้นข้างๆ
ฉันได้ทำลายความรู้สึกคลั่งไคล้ของฉันที่มีต่อนักดนตรีทั้งสองคนให้หมดไป
“ สวัสดี...ฟิโรซ่า ” นักเปียโนกับนักเชลโล่ประสานเสียงกันขึ้นพลางโค้งคำนับให้ฉันตามมารยาทของนักดนตรีคลาสสิก
กรี๊ดดดดดดดด! ฉันชอบการทักทายแบบนี้ที่สุด
“ ฉันชื่อคอนควาซ์โซ ” นักเปียโนเอ่ยขึ้น
“ ฉันชื่อคอนเฟลอร์โซ ” นักเชลโล่เอียขึ้น
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันก็ได้แต่ส่งยิ้มให้พวกเขาไปเท่านั้น
เพราะต้องแสดงออกถึงความเป็นคนเงียบๆ ของฟิโรซ่าออกมา
ในขณะที่พวกเขากำลังแอบคลั่งไคล้พวกเขาอยู่ในใจ
แต่ในที่สุด...ฉันก็เก็บความคลั่งไคล้นั้นไม่ไหว ฉันจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า
“ พวกคุณเล่นเก่งกันจัง ไม่ทราบว่าพวกคุณเรียนจบจากที่ไหนกันหรอคะ? ”
“ พวกเราเรียนจบจากเอลเลสเพรซิโอ
สถาบันดนตรีมาตรฐานอันดับหนึ่งของจักรวาลน่ะ ” คอนควาซ์โซว่า “ เราเป็นศิษย์เอกรุ่นที่ยี่สิบสี่ของศาสตราจารย์เอลเลสเพรซิโอ
นักดนตรีอัจฉริยะระดับจักรวาลน่ะ เห็นแล้วใช่มั้ยล่ะว่าเราเป็นสองส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดในจักรวาลนี้เลยล่ะ
จริงมั้ยครับ...ที่รัก? ” คอนควาซ์โซหันไปถามคอนเฟลอร์โซ
คอนเฟลอร์โซไม่ตอบได้แต่ยิ้มอย่างอายๆ อย่าบอกนะว่าพวกเขาเป็นคู่เกย์กันน่ะ
กรี๊ดดดดด! น่ารักจังเลย
รู้มั้ยว่าฉันน่ะเป็นสาวกวายนะจะบอกให้
“ วันนี้นายน่ารักจัง ” คอนควาซ์โซว่าพลางดึงหน้าคอนเฟลอร์โซเข้ามาใกล้หน้าเขา
นั่น...นั่น! พวกเขากำลังจะจูบกันแล้ว กรี๊ดดดดดด!
ผลั่ก!
มือเรียวผลักร่างสูงออกไป ร่างบางยิ้มอย่างเขินอายก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“ เฮ้ย! ใจเย็นๆ ดิ
นายน่ะ...ใจร้อนเกินไปแล้ว ไว้ขึ้นเตียงแล้วค่อยทำ ” กรี๊ดดดดด! ขึ้นเตียง...ขึ้นเตียง...ขึ้นเตียง!!! คอนเฟลอร์โซ...นายพูดจนฉันเห็นภาพหมดแล้วนะ
“ ก็นายมันชอบยั่วอย่างนี้ ใครจะอดใจไหว ” คอนควาซ์โซว่า
แล้วคอนเฟลอร์โซก็หน้าแดง
“ หยุดเดี๋ยวนี้! ” คอนเอียนม่าร้องขึ้น ทำให้ร่างสูงกับร่างบางตรงหน้าถึงกับหยุดการกระทำเหล่านั้นทันที “ พวกนายเป็นพี่น้องกัน ทำแบบนี้ไม่ได้นะ! ”
“ ทำไมจะทำไม่ได้! ” คอนควาซ์โซว่า “ เราเป็นพี่น้องกันก็จริง แต่ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ เรามีพ่อคนเดียวกัน
แต่คนละแม่ เธอไม่รู้หรอกว่าเราสามารถรักใครก็ได้โดยไม่มีข้อแม้
ถึงเราจะสายเลือดเดียวกัน แต่เราก็รักกันได้ จริงมั้ยครับ...ที่รัก? ” พอคอนควาซ์โซพูดจบ คอนเฟลอร์โซก็พยักหน้าพลางยิ้มอย่างอายๆ
พอเห็นว่าร่างสูงจะโน้มตัวลงมาจูบร่างบางอีกครั้ง ร่างบางก็ร้องขึ้นว่า
“ อื้อ...อย่าเพิ่งสิ ตอนนี้ฤกษ์มันไม่ดีน่ะ ” เอ่อ...ฉันเพิ่งรู้ว่าเวลาคนรักกันเขาจะ...กันจะต้องดูฤกษ์กันด้วย
สุดยอดจริงๆ
“ ถ้าที่รักต้องการแบบนั้น ฉันก็ยินดีจะทำตามที่นายขอ ” คอนควาซ์โซว่าแล้วหันหน้ามาทางคอนเอียนม่าก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “ คอนเอียนม่า...พี่อยากฟังเธอเล่นเปียโนน่ะ ” พอคอนควาซ์โซพูดจบ คอนเอีอนม่าก็สั่นหัวแรงๆ ก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า
“ ไม่เอา! หนูไม่เก่งเท่าพี่หรอก ”
“ เอาน่า...เล่นเถอะ ฟิโรซ่าก็อยากฟังเธอเล่นเหมือนกัน จริงมั้ย...ฟิโรซ่า? ” ‘อ้าว...แล้วฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยตอนไหนล่ะเนี่ย’ ฉันคิดพลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุด...ฉันก็ตัดสินใจที่จะพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้
แล้วคอนเอียนม่าก็ขึ้นไปนั่งบนแกรนด์เปียโนสีดำหลังใหญ่
ก่อนที่จะเริ่มเล่นเพลงLiebestraume ของFranz
List ทักษะการเล่นเปียโนของคอนเอียนม่านั้นธรรมดามาก
แต่เสียงเปียโนของเธอกลับฟังดูไพเราะ เป็นเพราะว่า...เธอเล่นโน้ตถูดต้องตามสกอร์ทั้งหมด
พอคอนเอียนม่าเล่นเปียโนเสร็จ เธอก็ลงมาจากเวทีทันที
คอนเอียนม่าเอามือแตะไหล่ฉันก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า
“ ฟิโรซ่า...ถึงตาเธอแล้ว ” คอนเอียนม่าว่าพลางกางมือออกไปที่แกรนด์เปียโนหลังนั้น
ฉันจึงพยักหน้ารับก่อนที่จะขึ้นไปนั่งที่เปียโนอย่างช่วยไม่ได้
ไดอารี่ของฟิโรซ่าบอกฉันว่านักเปียโนคนโปรดของฟิโรซ่าก็คือโชแปง
และเพลงแต่ละเพลงของโชแปงก็ยากๆ ทั้งนั้น
ซึ่งฉันต้องใช้เวลาฝึกอย่างน้อยสองเดือนกว่าจะเล่นเพลงของโชแปงได้
ฉันคิดว่าฉันสามารถเล่นเพลงของริชาร์ด ไคล์เดอมานได้ดีกว่าเพลงของโชแปงเสียอีก
และฉันก็เล่นเพลงของโชแปงได้ห่วยมากๆ เล่นทีไรล่มทุกที
เบลลาทริกซ์อยู่ไหน...ช่วยมาเล่นแทนฉันที!!!
“ ฟิโรซ่า ” คอนเอียนม่าเอ่ยขึ้นพลางพยักหน้าให้ฉันเริ่มเล่น ‘ล่มแน่ๆ’ ฉันคิดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจเล่นเพลงWinter
windของโชแปงที่ฟาร์เวล เดอ โฮพิโอ
ที่รักของฉันสอนฉันเล่นเพลงนี้(ในฝัน)
ฉันรู้สึกว่ามันเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่ฉันได้ตัดสินใจในการเลือกที่จะเล่นเพลงนี้
เพราะเพลงนี้ใช้จังหวะในการเล่นโน้ตเป็นเขบ็ดสามชั้นทั้งมือซ้าย และมือขวา
และฉันก็ต้องรู้สึกสับสนอย่างมากกับการเล่นเพลงนี้
เพราะห้องหนึ่งมีโน้ตมือซ้ายสี่ตัว และมีโน้ตมือขวาหกตัว
ฉันจะต้องลงมือซ้ายที่โน้ตตัวแรก ระหว่างโน้ตตัวที่สองกับสาม โน้ตตัวที่สี่
และระหว่างโน๊ตตัวที่ห้ากับหกของมือขวาตามลำดับ
และตอนนี้...ฉันก็รู้สึกสับสนเป็นอย่างมากจนทำให้ฉันเกือบพลาดไปหลายครั้ง
จนกระทั่ง...ฉันเล่นมาถึงกลางเพลง ฉันจึงรู้สึกว่านิ้วมือขวามันจะเริ่มพันกัน
และฉันก็คิดว่าอีกสักครู่...มันจะต้องล่มแน่ๆ ดังนั้น...ฉันจึงเล่นให้ช้าลง
ก่อนที่จะทำการปรับคีย์แล้วเข้าสู่ท่อนB เพลงLyphard
Melody ของริชาร์ด ไคลเดอมาน ก่อนที่จะจบลงอย่างสวยงาม
แปะ...แปะ...แปะ!!!
เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างเกรียวกราวหลังจากที่ฉันเล่นเปียโนเสร็จ
มันทำให้ฉันรู้ว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ของฉันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จากนั้น…ฉันก็เดินลงมาข้างล่าง แล้วนั่งพูดคุยกับพวกเขาทั้งสามคนต่อ
จนกระทั่ง...เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงห้าโมงเย็นแล้ว
ตอนนี้...งานเลี้ยงก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
และก็ได้เริ่มมีแขกผู้มีเกียรติถยอยกันมาบ้างแล้ว
ในขณะที่คนอื่นกำลังวุ่นอยู่กับงานเลี้ยง และการต้อนรับแขกอยู่นั้น
ฉันที่สวมชุดเดรสยาวสีดำตัดกับแดงประดับขนนกกำลังชื่นชมความงามของตัวเอง(?)ผ่านทางกระจกที่อยู่ในห้องแต่งตัว
และในตอนนั้น...ฉันก็ได้ยินอะไรบางอย่างที่ทำให้ความบ้าระห่ำของฉันกลับคืนมา
“ งานเลี้ยงเริ่มเมื่อไหร่นะเธอ? ” เสียงแม่ครัวคนที่หนึ่งดังมาจากเบื้องล่างของปราสาท
“ หกโมงเย็น ” แม่ครัวคนที่สองว่า “ ฉันว่าเราน่าจะเริ่มไปทำอาหารกันได้แล้วนะ ” สิ้นคำแม่ครัวคนที่สอง แม่ครัวทั้งคู่ก็พากันวิ่งออกไปจากที่ตรงนั้นทันที
“ งานเลี้ยงจะเริ่มเวลาหกโมงเย็นของพรุ่งนี้
ขอให้เจ้าส่งยาพิษชั้นดีมาให้ข้าในตอนรุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ด้วย ”
‘ไม่นะ!!! งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วหรอ?
ฉันยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย มันต้องไม่ทันแล้วแน่ๆ ยาพิษถูกส่งมาตั้งแต่เช้าแล้ว แล้วฉันมัวทำอะไรอยู่ ใช่! หลังจากที่ฉันเข้าไปดื่มชากับกษัตริย์คอนอัสโซ ฉันก็เผลอหลับไป
แล้วตื่นขึ้นอีกตอนเก้าโมงเช้า ยาพิษนั่น...ต้องถูกส่งมาตอนที่ฉันกำลังหลับอยู่แน่ๆ
ถ้าไปเอายาพิษนั่นมาตอนนี้มันจะทันมั้ย? ป่านนี้มันคงถูกผสมลงในเครื่องดื่มแล้วแน่ๆ
ทำยังไงดี...ทำยังไงดี!?! ใช่! ฉันมัวทำอะไรอยู่ รีบไปเอายาพิษนั่นมาเร็วๆ เข้าสิ รีบไปที่ห้องครัวซะ
ยาพิษนั่นต้องถูกเก็บไว้ในห้องครัวแน่ๆ!’ ฉันร้องบอกตัวเองในใจก่อนที่จะรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุดเพื่อวิ่งไปยังห้องครัวของปราสาท
ตึก...ตึก...ตึก!!!
ฉันรีบวิ่งลงบันไดวนกว่าร้อยขั้นเพื่อลงไปข้างล่าง
เพราะรองเท้าส้นสูงหนึ่งฟุตที่ฉันกำลังใส่อยู่ทำให้ฉันวิ่งไม่สะดวก
ฉันจึงตัดสินใจขว้างมันทิ้งซะ และเพราะชายกระโปรงที่ยาวลาดพื้นกว่าสามเมตรทำให้ฉันสะดุดชายกระโปรงตัวเองล้มลงอยู่บ่อยครั้ง
ฉันจึงตัดสินใจที่จะฉีกชายกระโปรงส่วนที่เกินมานั้นออกซะ
ฉันบอกพวกคุณแล้วว่าฉันไม่ใช่คนเรียบร้อย และฉันก็เป็นอย่างที่พวกคุณเห็นนี่แหละ
ตอนนี้...ฉันวิ่งมาถึงห้องโถงใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงแล้ว
พอฉันเห็นคอนเอียนม่าที่กำลังยืนอยู่แถวนั้น ฉันก็หยุดยิ้มทักทายเธอทันที
คอนเอียนม่ามีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยกับสภาพของฉันในตอนนี้ เธอจึงส่งยิ้มแห้งๆ
มาให้ฉันก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นว่า
“ ฟิโรซ่า...เธอกำลังจะไปไหนน่ะ? ” ฉันจึงส่งยิ้มแห้งๆ
ไปให้เธอก่อนที่จะตอบด้วยคำพูดที่สิ้นคิดที่สุดว่า
“ ไปห้องน้ำน่ะ ” ฉันว่าก่อนที่จะรีบเร่งฝีเท้าเพื่อออกประตูหน้าห้องโถงไป
“ ฟิโรซ่า...ห้องน้ำอยู่ทางนี้ ” คอนเอียนม่าตะโกนตามหลังฉันพลางชี้ไปทางซ้าย
ฉันจึงพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณก่อนที่จะเดินเข้าไปในทางซ้ายแล้วเดินอ้อมไปอีกทางหนึ่งเพื่อไปยังห้องครัวทันที
ภายในห้องครัว...เหล่าแม่ครัวกำลังช่วยกันทำอาหารเพื่อให้เสร็จทันงานเลี้ยงที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้
ฉันที่แอบอยู่ข้างๆ ประตูกำลังมองเข้าไปในห้องครัว
และฉันก็ต้องสะดุดตากับกล่องลังใบใหญ่ๆ ที่ข้างๆ
กล่องลังนั้นได้มีขวดหนังมังกรสีแสดใบยักษ์ที่ภายในบรรจุของเหลวสีนิลไว้เต็มขวด
และขวดใบนั้นก็ยังไม่ได้ถูกเปิดออก
ฉลากที่ติดข้างขวดถูกเขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงเลือด และมีตราประทับที่มีลวดลายชวนปวดหัวถูกประทับตรงฝาขวดนั้น
และฝาขวดนั้นถูกเขียนด้วยลายมือคลาสสิกว่าทรานซ์คิลโล่ ‘ทรานซ์คิลโล่? นั่นมัน...ชื่อของนักปรุงยาคนนั้นนี่
ดังนั้น...ของเหลวที่บรรจุไว้ในขวดนี่จะต้องเป็นยาพิษอย่างแน่นอน’ ฉันคิดพลางเอื้อมมือไปหยิบขวดใบนั้นออกมา โชคดีที่ขวดใบนั้นถูกวางอยู่ใกล้ประตูฉันจึงสามารถหยิบออกมาได้อย่างง่ายดาย
แต่มันก็เป็นโชคร้ายของฉันที่ขวดใบนั้นทั้งหนักทั้งลื่น
และขวดใบนั้นก็มีท่าทีว่าจะกลิ้งตกลงจากฝ่ามือทั้งสองข้างของฉันหลายครั้ง
ฉันจึงตัดสินใจที่จะเทยาพิษสีนิลนั่นทิ้งลงในท่อระบายน้ำที่อยู่ใกล้ห้องครัวที่สุดก่อนที่จะถือขวดเปล่าวิ่งมาที่ทะเลสาบ
ตอนนี้หัวใจของฉัน(?)เต้นด้วยจังหวะเร็วระรัว
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจใช้มือสั่นๆ ของตัวเอง(?)ตักน้ำจากทะเลสาบมาใส่ในขวดใบยักษ์นี่
นักปรุงยาที่ชื่อทรานซ์คิลโล่คนนั้นช่างไม่รอบคอบเอาเสียเลย
ทำไมเขาถึงตัดสินใจปรุงยาที่มีสีเหมือนกับสีของทะเลสาบนี่ได้ล่ะ ‘เอาล่ะ…ชาวดิเครซซิมิสเอ๋ย
จงดื่มน้ำจากทะเลสาบนี่เถิด’ ฉันคิดพลางมองไปรอบๆ
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นฉันแล้ว ฉันจึงรีบยกขวดใบนั้นเพื่อนำกลับไปวางที่เดิมได้สำเร็จ
แปร๊ง…แปร๊ง...แปร๊ง!!!
เสียงหอนาฬิกาดังขึ้น มันกำลังบอกฉันว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็น
และงานเลี้ยงก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ฉันก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่อย่างสง่างามตามจังหวะเพลงแทงโก้
เอสปาน่าที่คอนควาซ์โซได้บรรเลงขึ้น เมื่อฉันเดินเข้ามาถึงภายในบริเวณงานเลี้ยง
ฉันก็ถูกคอนเอียนม่าเรียกให้ไปนั่งกับเธอ และญาติของเธอทันที
พวกเขาเริ่มพูดคุยเกี่ยวประวัติศาสตร์ชาติดิเครซซิมิสซึ่งฉันไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย
ฉันจึงได้แต่พยักหน้าไปตามคำพูดเหล่านั้นเพื่อให้ดูเหมือนว่าฉันฟังพวกเขาพูดรู้เรื่อง
ทุกอย่างในงานเลี้ยงผ่านพ้นไปด้วยดี เพราะไม่มีการเสิร์ฟไวน์ผสมยาพิษให้กับแขกผู้ร่วมงานแล้ว
แต่เมื่อผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง...ฉันก็เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที
เมื่อผู้คนเริ่มซุบซิบต่อๆ กันมา
ตั้งแต่คนที่อยู่หน้าประตูจนถึงคนที่นั่งอยู่บริเวณด้านในสุดของงานเลี้ยง
และพอการซุบซิบนั้นได้ลามมาถึงคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับฉัน
พวกเขาเหล่านั้นก็พากันมองหน้าฉันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
ฉันก็ไม่เข้าใจว่านี่มันหมายความว่าอะไรกันแน่
อีกห้านาทีต่อมา...ดูเหมือนว่าฉันได้ทราบสาเหตุของสายตาที่ไม่เป็นมิตรนั้นอย่างกระจ่างแล้ว
เมื่อมีชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งใส่เสื้อคลุมสีฟ้าซึ่งถูกประดับด้วยเครื่องราชอิสริยศมากมาย
ซึ่งฉันคาดว่าชายคนนี้น่าจะเป็นข้าราชการระดับสูงของที่นี่ละมั้ง
ชายคนนั้นได้เข้ามาในงานเลี้ยงพร้อมกับเด็กสาวร่างบาง ผู้มีเรือนผมสีเปลือกไม้
และนัยน์ตาสีเขียว เธอคนนั้นคือเด็กสาวคลาสสิกคนที่สองตัวจริง!!! ไม่! มันต้องไม่เป็นแบบนี้ อย่าเพิ่งมาแฉฉันสิ
ขอฉันทำภารกิจให้เสร็จก่อนได้มั้ย!!!
แต่...มันไม่ทันแล้วล่ะ เพราะว่าข้าราชการระดับสูงคนนั้นมาถึงก็สวดยับเลย
“ ท่านคอนอัสโซ เพราะเหตุใดท่านจึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
แล้วเด็กคนนี้คือผู้ใด? ” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดพลางชี้นิ้วมาที่ฉัน
“ นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะ? ข้างงไปหมดแล้ว
ตกลงลูกสาวเจ้ามีฝาแฝดหรือ? ” กษัตริย์คอนอัสโซพูดพลางทำหน้านิ่ง
“ ข้ามีลูกสาวคือฟิโรซ่าเพียงคนเดียว
ส่วนเด็กคนนี้ข้าก็ไม่ทราบว่านางมาจากไหน เมื่อสองวันก่อน ฟิโรซ่าเดินมาหาข้าที่ค่าย
นางมีท่าทีดูสะลึมสะลือราวกับกำลังโดนเล่นของ
มีคนรายงานข้าว่าฟิโรซ่ายังอยู่ที่โรงเรียน
ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ข้าก็รู้สึกแปลกใจจึงตามมาดู
และมันก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ” ข้าราชการระดับสูงคนนั้นว่าพลางมองหน้าฉันอย่างพิจารณาก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “ เจ้าเป็นใคร? ” ถึงแม้ว่าจะกลัว
แต่ฉันก็จะสู้จนถึงวินาทีสุดท้าย
“ ข้าคือฟิโรซ่าลูกสาวของท่านไงเพคะท่านพ่อ ” ดูเหมือนว่าวิธีการของฉันจะใช้ไม่ได้ผล
เมื่อข้าราชการชั้นสูงขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“ เจ้าไม่ใช่ฟิโรซ่า เพราะนี่ไม่ใช่วิธีการพูดของฟิโรซ่า ” ข้าราชการระดับสูงมองหน้าฉันด้วยสายตาเยือกเย็นก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ จัดการเด็กนี่ซะ ”
สิ้นเสียงนั้น
เจ้าหน้าที่ที่สวมชุดเกราะสีฟ้าผู้ซึ่งช่วยกันแยกปืนใหญ่สีนิลจำนวนเกือบยี่สิบคนก็พากันเดินเข้ามาแล้วล้อมรอบฉัน
พวกเขาเหล่านั้นช่วยกันชักปืนขึ้นมาแล้วเล็งกระบอกปืนมาที่ร่างของฉัน
แต่ก่อนที่พวกเขาจะกดยิง ฉันจึงก้าวถอยหลังไปติดกำแพงก่อนที่จะใช้มือสั่นๆ
ของตัวเองดึงมือของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งออกมาจากปุ่มกดยิงกระสุน
เจ้าหน้าที่คนนั้นทำหน้างงๆ ก่อนที่จะพยายามสะบัดมือฉันออกเพื่อที่จะกดปุ่มยิงกระสุน
ไม่นาน...ข้อมือที่ถูกเกร็งของฉันก็เริ่มทนแรงสะบัดของเจ้าหน้าที่คนนั้นไม่ไหวจนฉันเกือบมือหลุดหลายครั้ง
ฉันคอยบังคับตัวเองว่าห้ามมือหลุดเด็ดขาด ถ้ามือหลุดเมื่อไหร่
ฉันจะต้องตายเมื่อนั้น นี่ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ
ใครก็ได้ช่วยฉันที!!!
ดูเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังฟังฉันอยู่ เมื่อฉันรู้สึกหนักๆ
ตรงมือข้างที่ฉันดึงมือเจ้าหน้าที่คนนั้นอยู่
ฉันจึงหันไปมองร่างของเจ้าหน้าที่คนนั้นพบว่าเขาได้กลายเป็นหินไปแล้ว
ไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่คนนั้นคนเดียว เจ้าหน้าที่ทุกคน แขกทุกคน และทุกสิ่งในงานเลี้ยงก็ได้กลายเป็นหินไปแล้ว
ฉันรู้สึกดีที่ปืนยักษ์นั่นก็ได้กลายเป็นหินไปแล้วเช่นกัน
ฉันจึงรีบปล่อยมือจากมือของเจ้าหน้าที่คนนั้นทันทีเมื่อมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันแล้ว
แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อ...
เพล้ง!!!
กระจกบานใหญ่ที่อยู่ข้างเวทีนั้นได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ฉันจึงก้มมองตัวเองในเศษกระจกนั้นพบว่าฉันได้กลับคืนสู่ร่างเดิมแล้ว
จากนั้น...ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังก้าวมาทางฉันพร้อมกับน้ำเสียงที่คุ้นเคยได้ดังขึ้นใกล้ๆ
ฉัน
“ ผมเสียใจที่ต้องบอกคุณว่าคุณมีเวลาในการทำภารกิจจนถึงสองทุ่มของวันนี้
และตอนนี้ก็เป็นเวลาหกโมงสี่สิบห้าแล้ว
ผมจึงมาที่นี่เพื่อที่จะหยุดเวลาให้คุณตั้งหลักก่อนที่จะเริ่มต้นเหตุการณ์ต่อไป ” เขาคนนั้นคือโซเฟจนั่นเอง
โซเฟจมาเพื่อบอกฉันว่าฉันต้องทำภารกิจถึงเวลาสองทุ่มวันนี้
นั่นทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูก ด้วยความอยากรู้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนอีกแปดคน
ฉันจึงถามออกไปว่า
“ แล้วพวกเขาอีกแปดคนเป็นอย่างไรบ้าง? ” สิ้นคำฉัน
โซเฟจก็มีสีหน้าเศร้าสลดทันที อย่าบอกนะว่าพวกเขาตายแล้วน่ะ
“ เพื่อนอีกทั้งแปดคนของคุณตอนนี้อยู่ในสถานะที่เสี่ยงตายเป็นอย่างมาก
แล้วถ้าคุณทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จพวกเขาก็อาจมีสภาพแบบนี้ ” พอโซเฟจพูดจบ ภาพของพวกเขาทั้งแปดคนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉัน
พวกเขาทั้งหมดต่างก็นอนแน่นิ่งกับพื้น สภาพของเขาแต่ละคนเน่าเปื่อย เละเทะ
และอวัยวะบางส่วนได้หายไปราวกับโดนน้ำกรดสาด
นี่เป็นสภาพศพที่น่าสมเพชรที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
“ ไม่นะ! ผู้มีพระคุณของฉัน พวกเขาจะตายไม่ได้นะ ” ฉันร้องขึ้น ทุกท่านคะ
ที่ฉันเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่าเป็นผู้มีพระคุณของฉัน คุณได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ
เพราะพวกเขาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
หลังจากฉันหนีออกจาคฤาหาสน์ฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์มาแล้ว ฉันก็พบกับเพื่อนกลุ่มนี้
แล้วใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขาเหล่านั้นที่หอพักแห่งหนึ่ง
พวกเขาทำให้ฉันกล้าที่จะแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของฉัน
และทำให้ฉันกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น
นอกจากนั้น...พวกเราทั้งหมดยังได้ร่วมกันทำเรื่องบ้าระห่ำด้วยกันมาหลายครั้ง
และสิ่งเหล่านั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจลืมได้
แล้วฉันจะมามัวแต่พร่ำอยู่ทำไม
ทำไมฉันถึงไม่จัดการทำภารกิจนี้ให้เสร็จปเลยล่ะ!?!
“ คุณโซเฟจคะ ไม่ทราบว่าฉันควรทำอย่างไรต่อดีคะ? ”
“
เห็นกุญแจนั่นมั้ย? ” โซเฟจว่าพลางชี้ไปที่กุญแจรูปสี่เหลี่ยมสีฟ้าที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมของข้าราชการระดับสูงคนนั้น
ฉันจึงพยักหน้ารับ แล้วโซเฟจก็พูดขึ้นมาว่า “ ขอให้คุณหยิบกุญแจนั่นแล้ววิ่งออกไปที่รถรบกู้ชีพสุดไฮเทคที่จอดอยู่ด้านนอก
ผมหวังว่าคุณจะสามารถจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง อีกเรื่องหนึ่ง
ผมขอให้คุณระวังเรื่องการใช้คำพูดของคุณด้วย
เพราะบางที...การที่จะขอร้องใครสักคนให้หยุดทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจจะต้องใช้เหตุผลประกอบด้วย
ขอให้โชคดี “ สิ้นคำโซเฟจ เขาก็สันธานไป
ต่อมา...ทุกสิ่งก็คืนสู่สภาพเดิม
ฉันจึงเอื้อมมือไปหยิบกุญแจนั่นออกมา แล้วดูเหมือนว่าข้าราชการระดับสูงคนนั้นจะรู้ตัว
เขาจึงร้องสั่งเจ้าหน้าที่ทุกคนให้ไปตามจับฉัน
ฉันกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้นจึงวิ่งไล่ล่ากันออกไปข้างนอก
และมันก็จบลงตรงที่ว่าฉันขับรถของข้าราชการระดับสูงคนนั้นออกไปโดยปล่อยให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นพากันอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
และมีเจ้าหน้าที่บางส่วนที่ยังพอมีสติอยู่บ้างพากันขับรถรบของตนออกไปไล่ล่าฉันบนท้องถนนต่อ
ขณะนี้...ฉันกำลังขับรถรบกู้ชีพสุดไฮเทคของข้าราชการระดับสูงคนนั้นด้วยความเร็วสูง
และฉันก็พบว่ารถคันนี้มีแรงขับเคลื่อนที่ดีจริงๆ เพราะมันสามารถที่จะขับลุยน้ำ
ขึ้นเขา หรือลงเหวได้สบาย มีเสียงคอยบอกทิศทาง
หรือเตือนให้ระวังสิ่งกีดขวางตลอดเวลา
มันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังถ่ายหนังแนวแฟนตาซี-ไซไฟอยู่ แล้วฉากภาพยนตร์คลาสสิกนั่นหายไปไหนแล้วล่ะ?
ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด!!!
เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น พร้อมกับเลเซอร์สีแดงได้ปรากฏขึ้นที่หน้าจอบังคับทิศทาง
จากนั้นมีลูกศรสีแดงเถือกปรากฏขึ้น
มันชี้ไปที่ด้านหลังที่ห่างจากตำแหน่งรถประมาณสามร้อยเมตร
หลังจากนั้น...ฉันก็ได้ยินเสียงรถ และเสียงรัวปืนดังลั่น
ฉันจึงรู้ว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้ตามฉันมาแล้ว
ด้วยความตกใจ
ฉันจึงมองไปที่แถบเครื่องมือที่อยู่ใต้หน้าจอบังคับทิศทางเผื่อจะมีอะไรที่พอจะใช้การได้ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้
แต่มันก็น่าสมเพชรอย่างยิ่งที่ฉันเพิ่งจะมารู้ตัวว่าตัวเองอ่านภาษาดิเครซซิมิสไม่ออก
ฉันจึงตัดสินใจรัวนิ้วกดลงบนทุกปุ่มที่ปรากฏอยู่บนแถบเครื่องมือ หลังจากนั้น...
บึ้ม!!! ปั้ง!!! เคร้ง!!! ปั่ก!!!
อาวุธทั้งหมดก็ถูกส่งออกมาจากท่อปล่อยอาวุธซึ่งอยู่ท้ายรถ มีทั้งระเบิด
กระสุนปืน ดาบ ศรธนู และอาวุธประหลาดอื่นๆ อีกมากมาย
อาวุธทั้งหมดต่างพร้อมใจกันไปกระเด็นตกอยู่ที่รถรบของฝ่ายตรงข้าม จนพวกมันสามารถทำลายทั้งรถรบ
และคนขับให้สันธานไปในที่สุด
“ จุดหมายปลายทางของท่านคือที่ใด? ” สมองกลรถเอ่ยถามขึ้นเมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว
“ ที่อยู่ของทรานซ์คิลโล่ ”
พอฉันพูดจบ
เครื่องยนต์ก็ถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงโดยที่ฉันไม่ได้ออกแรงบังคับมันเลยแม้แต่น้อย
มันเคลื่อนที่ไปตามพื้นผิวขรุขระของถนนที่คดเคี้ยวไปมา และเป็นเส้นทางแคบๆ
ด้วยความน่าหวาดเสียวก่อนที่จะหมุนเป็นเกลียวแล้วดิ่งลงเหวลึกที่อยู่สุดปลายทางข้างหน้า
ว่าไงนะ...เหวงั้นหรอ? ไม่นะ!!!
“ กรี๊ดดดดดด!!!
” ฉันกรีดร้องสุดเสียงเมื่อรถรบกู้ชีพสุดไฮเทคนี่กำลังดิ่งลงไปใต้พสุธาด้วยความเร็วสูง
ฉันรู้สึกว่ารถคันนี้มันร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง...
“ คุณต้องการที่จะทำลายรถคันนี้หรือไม่? ”
เสียงร้องเตือนดังขึ้นพร้อมกับเลเซอร์สีแดงได้ปรากฏขึ้นรอบตัวรถ
ฉันจึงรวบรวมสติทั้งหมดก่อนที่จะตะโกนตอบกลับไปว่า
“ ไม่!!! ” และ...
โครม!!!
ตอนนี้ทั้งฉัน
และรถรบกู้ชีพสุดไฮเทคนั่นได้ถูกทำให้ตกลงจากที่สูงรวมเป็นระยะทางกว่าสามหมื่นล้านไมล์
และตอนนี้ฉันก็กำลังตกทุกข์ได้ยากอยู่ในเหวลึกแห้งแล้งนี่
ที่มองไปทางใดก็เห็นเพียงแค่พื้นหินขรุขระที่คล้ายกับอุกกาบาตเช่นนี้
ฟิ้ว!!!
เศษกระจกรถได้ปลิวมาปักบนหน้าของฉัน
ฉันรู้สึกเจ็บจนน้ำตาแทบจะไหลออกเป็นสายเลือด และในวินาทีนั้นเอง
ฉันก็รู้ตัวว่า...ฉันยังไม่ตาย!!!
ฉันยังไม่ตาย! มันเป็นเรื่องที่น่าสับสนเป็นอย่างมากที่ฉันตกจากที่สูงกว่าสามหมื่นล้านไมล์แล้วไม่ตาย
ฉันคิดว่าฉันควรจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ ฉันควรตั้งชื่อเรื่องว่าอะไรดี ดีซีดอเรต้า...เด็กสาวผู้ไม่มีวันตายดีมั้ย? แล้วถ้าหนังสือของฉันขายดี
ฉันก็คงจะเอาเรื่องราวเหล่านี้มาทำเป็นภาพยนตร์ส่งเข้าชิงรางวัลออสการ์ด้วยก็คงจะดีมิใช่น้อย
และถ้าฉันประสบความสำเร็จจริงๆ
ฉันก็คงจะมีเงินมากพอที่จะซื้อดินแดนดิเครซซิโมทั้งหมดได้
แต่...ตอนนี้ฉันต้องไม่ทำแบบนั้น ฉันต้องทำภารกิจให้เสร็จไปก่อนสิ
แล้วตอนนี้กี่โมงแล้วเนี่ย? หา!?! อีกสิบห้านาทีจะสองทุ่ม ไม่นะ!!!
พอฉันได้สติกลับคืนมา ฉันก็รีบมองหาประตูเหล็กสีเงินรูปแปดเหลี่ยมที่เหมือนกับในฝันของฉัน
ทันทีที่เห็นว่าประตูบานนั้นอยู่ที่ไหน
ฉันจึงรีบวิ่งเข้าประตูนั้นไปก่อนที่จะไปพบกันเส้นทางที่ดูซับซ้อนราวกับเขาวงกตที่อยู่ด้านใน
ฉันจึงหลับตาลงเพื่อทบทวนเรื่องความฝันเมื่อเช้านี้
ฉันกำลังจะหาคำตอบว่าในฝันฉันได้เดินไปทางไหนบ้าง อื่มม์...ฉันเริ่มจำได้แล้ว
ฉันเริ่มเดินไปทางซ้ายก่อน จากนั้นก็เดินไปทางขวา แล้วเดินตรงไปสลับกับเลี้ยวโค้ง ‘ใช่! ฉันต้องทำแบบนั้นล่ะ’ ฉันคิดก่อนที่จะเริ่มเดินตามเส้นทางอันซับซ้อนนั้นที่จุดหมายของมันอยู่ใกล้กว่าที่ฉันคิดไว้มาก
อีกสิบนาทีต่อมา...ฉันก็ได้มาถึงจุดหมายนั่นก็คือประตูเหล็กสีเงินรูปแปดเหลี่ยมอีกบานหนึ่ง
ฉันจึงรีบเดินผ่านประตูนั้นไปทันที
อย่างที่ฉันคิด...ด้านในห้องนั้นเต็มไปด้วยกลไกที่ทันสมัยมากมาย
ตรงกลางห้องมีโต๊ะทำงานไม้เก่าๆ ที่มีขวดน้ำยากับหนังสือซึ่งกองท้วมโต๊ะนั้นวางอยู่
ฉันคิดว่านี่ต้องเป็นโต๊ะทำงานของทรานซ์คิลโล่อย่างแน่นอน
แต่ฉันก็ไม่เห็นเงาของเขาอยู่ที่นั่นเลย ฉันจึงมองไปรอบๆ เพื่อมองหาทรานซ์คิลโล่
แน่นอนว่าฉันไม่พบร่างหรือแม้แต่เงาหัวของเขา
แต่ฉันกลับพบบันไดวนสีน้ำเงินที่ทอดยาวขึ้นไปถึงชั้นสอง ฉันจึงเดินขึ้นบันไดวนนั้นไป
ในที่สุด...ฉันก็เดินขึ้นมาถึงชั้นสองของกองบัญชาการลับ(?)นั่น
แต่ดูเหมือนว่าฉันจะหมดหนทางเสียแล้ว
เพราะข้างบนชั้นสองนั้นเป็นห้องที่ทอดตัวในแนวยาวที่ในห้องนั้นไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากกล่องลังกว่าห้าร้อยกล่องที่วางทับซ้อนกันอยู่
และไม่มีทางที่ทรานซ์คิลโล่จะอยู่ในห้องนี้ได้ ‘หวังว่าเขาคงไม่ได้กำลังนอนอยู่ในกล่องลังพวกนี้หรอกนะ’ ฉันคิดพลางมองหาบันไดวนที่ทอดยาวไปสู่ชั้นถัดไป แต่...ฉันก็หามันไม่พบ
จนในที่สุด...ฉันก็เริ่มหมดหวัง
ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะทำยังไงต่อดี
ฉันควรรอให้ถึงสองทุ่มแล้วปล่อยให้ดาวดวงอื่นในจักรวาลถูกทำลายไปพร้อมๆ
กับการตายของพวกเราดีมั้ย? ใช่! ฉันควรจะทำแบบนั้น
เพราะตอนนี้ก็เหลือเวลาเพียงแค่สามนาทีเท่านั้น
และฉันก็คิดว่าฉันคงจะทำอะไรอย่างอื่นไม่ทันแล้ว แต่...ไม่! ฉันไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น
และฉันก็คิดว่าถ้าฉันยังหาทรานซ์คิลโล่ไม่พบภายในสามนาทีนี้
ฉันต้องเป็นบ้าก่อนแน่ๆ
ตอนนี้...ความอดทนของฉันได้สิ้นสุดลงแล้ว
ฉันเดินกระแทรกเท้าตรงไปข้างหน้าก่อนที่จะปัดกล่องลังที่วางทับกันเป็นแนวสูงตระหง่านให้ล้มลง
ทุกท่านคะ พวกคุณรู้มั้ยว่าตอนนี้ฉันพบอะไร ฉันพบกับประตูบานเล็กๆ บานหนึ่ง
ฉันจึงเปิดมันออกไปอย่างไม่มีทางเลือก และ...
แอด!!!
ทันทีที่ฉันเปิดประตูออกไป
ฉันก็กลับมามีความหวังอีกครั้งเมื่อพบกับห้องกว้างๆ
ห้องหนึ่งซึ่งทั้งห้องทำมาจากเหล็ก และทรานซ์คิลโล่ก็อยู่ที่นั่น
เขากำลังนั่งอยู่หน้าจอซึ่งในจอปรากฏภาพท่อยักษ์สีม่วงซึ่งมีขนาดยาวทะลุออกนอกดาวสีแดงเลือดดวงหนึ่งไปสู่จุดศูนย์กลางของอวกาศซึ่งข้างล่างจอนั้นก็มีปุ่มบังคับอยู่มากมาย
และทรานซ์คิลโล่ก็กำลังดูนาฬิกาไปด้วยพร้อมกับถือขวดหนังมังกรสีแสดใบยักษ์ซึ่งบรรจุของเหลวสีเหลืองทองไว้ด้านใน
บนฉลากขวดเขียนไว้ว่า ‘น้ำยาแอสพิราล่าเมนเทเพื่อการทำลายล้างดาวดวงอื่นในจักรวาลนี้’ แผนการทำลายล้างกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
และตอนนี้ก็เหลือเวลาไม่ถึงสองนาทีแล้ว ฉันต้องหยุดทรานซ์คิลโล่ให้ได้
“ ผมขอให้คุณระวังเรื่องการใช้คำพูดของคุณด้วย
เพราะบางที...การที่จะขอร้องใครสักคนให้หยุดทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจจะต้องใช้เหตุผลประกอบด้วย ” ใช่แล้ว! ฉันจะต้องพูดกับทรานซ์คิลโล่ด้วยเหตุผลเพื่อให้เขาหยุดแผนการทำลายล้างนี้
เอาล่ะ...เริ่มแล้วนะ
“ คุณทรานซ์คิลโล่คะ
ฉันขอให้คุณหยุดการทำลายล้างเดี๋ยวนี้ค่ะ ” พอฉันพูดจบ
ทรานซ์คิลโล่ก็หันมามองหน้าฉันงงๆ ก่อนที่จะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมาว่า
“ ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก
เพราะข้าได้รับคำสั่งมาจากท่านคอนอัสโซ ผู้ปกครองคนปัจจุบันของดิเครซซิโม
ข้าไม่สามารถขัดคำสั่งของท่านได้หรอก ”
“ แล้วถ้าหากว่าผู้ปกครองคอนอัสโซบอกว่าคุณจะทำหรือไม่ทำก็ได้
คุณจะทำอยู่มั้ยคะ? ”
“ ถึงแม้ว่าท่านคอนอัสโซจะพูดแบบนั้น
แต่ข้าก็จะทำ เพราะบรรพบุรุษของข้าทุกคนต่างก็ทำแบบนั้น
และข้าต้องการที่จะเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ
และเป็นประชาชนดิเครซิมิสที่ดี “
“ แล้วบรรพบุรุษของคุณทำแบบนั้นทำไมล่ะคะ? ”
“ เพราะผู้อยู่อาศัยในดาวดวงอื่นจะทำลายดิเครซซิโม
บรรพบุรุษดิเครซซิมิสจึงคิดหาวิธีที่จะทำลายดาวดวงนั้นเสียก่อน ”
“ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผู้อยู่อาศัยในดาวดวงอื่นจะทำลายดิเครซซิโม
คุณมีหลักฐานอะไรคะ? ”
กรี๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!
เสียงกริ่งนั้นเป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันจะได้ยินในวินาทีสุดท้ายของชีวิตก่อนที่ฉันจะถูกเรียกให้ไปหาความตาย
มันจบลงแล้วสินะ
+ + + + + + + + + +
“ ดอลล่าร์ ” เสียงประสานที่คุ้นเคยดังขึ้นในหูฉัน ฉันจึงลืมตาขึ้นช้าๆ พลางมองไปรอบๆ
ฉันพบว่านอนราบอยู่บนพื้นหินอ่อนสีนิลหน้าอาคารรูปครึ่งวงกลมสีทองอร่ามสูงตระหง่าน
และมีเพื่อนผู้ร่วมเดินทางทั้งเก้าคนกำลังล้อมรอบฉันอยู่
พวกเขาต่างยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นฉันลืมตาขึ้น
“ ดอลล่าร์...รู้ตัวมั้ยว่าเธอหลับไปนานแค่ไหน? ”
เบลลาทริกซ์เอ่ยขึ้นพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน ฉันแค่หลับไปจริงๆ หรอเนี่ย?
“ เปล่าหรอก
เบลลาทริกซ์แค่พูดให้เธอรู้สึกตกใจน้อยลงเท่านั้น
ความจริงก็เป็นอย่างที่เธอรู้นั่นแหละ ” อดอล์ฟว่า
“ ความจริง? ใช่! ความจริงก็คือฉันกำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของการทำภารกิจ
แล้วตอนนั้นก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น ตอนนั้น--- ”
“ ตอนนั้นเป็นเวลาสองทุ่ม
และภารกิจของเธอก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว เพราะเธอทำอะไรต่อจากนั้นไม่ได้แล้ว
เธอจึงถูกส่งตัวกลับมาที่นี่ ” เรอัสว่า
“ ใช่! มันเป็นแบบนั้นแหละ แล้วภารกิจนั่น--- “
“ ภารกิจนั่นยังไม่สิ้นสุด
” โซเฟจว่า จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็ประสานเสียงกันขึ้นว่า
“ ว่าไงนะ? ภารกิจนั่นยังไม่สิ้นสุดงั้นหรอ? ” ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้รับคำตอบจากโซเฟจ
แต่ฉันก็คิดว่าฉันพอจะรู้แล้วล่ะว่ามันหมายความว่าอะไร เพราะว่า...
กรี๊งงงงงงงงงง!!!
เสียงกริ่งนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าคราวนี้มันจะดังไปทั่วทั้งเมือง
และหลังจากที่เสียงกริ่งนั้นเงียบหายไปแล้ว
ฉันก็ได้ยินเสียงสนทนาของผู้ชายสองคนได้อย่างชัดเจน
“ ทรานซ์คิลโล่! เจ้ามัวทำอะไรอยู่
เหตุใดเจ้าจึงไม่หยดน้ำยาแอสพิราล่าเมนเทเพื่อการทำลายล้างดาวดวงอื่นในจักรวาลนี้ลงในท่อที่เชื่อมต่อกับศูนย์กลางของจักรวาลนั่นสักที!
”
“ ท่านคอนอัสโซ
ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะไม่ทำเช่นนั้น
ข้ารู้ว่าชาติของเราได้วางแผนการทำลายล้างดาวดวงอื่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แต่ข้าคิดว่าเราควรจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ”
“ เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น?
เจ้ากล้าทรยศข้างั้นหรือ!?! ”
“ ไม่พะย่ะค่ะ
ข้าเพิ่งรู้มาว่าเรื่องที่ดาวดวงอื่นจะมาทำลายดินแดนดิเครซซิโมของเราก่อนนั้น
เป็นเรื่องที่บรรพบุรุษของเราคิดไปเองทั้งนั้น มันไม่ได้เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย
”
“ ก็จริงของเจ้า เพราะข้าก็เพิ่งรู้มาว่านักประวัติศาสตร์ของชาติเราก็เขียนตำราแบบไม่มีมูลความจริงเลยเช่นกัน
ต่อจากนี้ไป...ดิเครซซิโมจะไม่มีการทำลายล้างเกิดขึ้นอีก ข้าสัญญา ทรานซ์คิลโล่
ข้าคิดว่าเราควรจะเปลี่ยนสมญานามของดินแดนของเรานะ
จากดินแดนแห่งการทำลายล้างไปเป็นดินแดนแห่งสันติภาพ เจ้าว่าไงล่ะ? ”
“ ช่างเป็นสมญานามที่เหมาะสมจริงๆ
พะย่ะค่ะ...ท่านคอนอัสโซ ”
“ ต่อจากนี้ไป...ข้าจะไม่มีแผนการทำลายล้างดาวดวงอื่นในจักรวาลอีก
แต่ข้าจะมีแผนการผูกมิตรกับดวงดาวอื่นในจักรวาลแทน เจ้าว่าไงล่ะ? ”
“ เห็นด้วยอย่างยิ่งพะย่ะค่ะ
”
พอบทสนทนานั้นเงียบหายไป ฉันก็อึ้งอยู่นาน
หมายความว่าฉัน...
“ เธอทำได้!!! ” ทุกคนร้องขึ้น และในวินาทีนั้นเอง...ฉันก็ได้ลิ้มรสถึงรสชาติของความสำเร็จที่แท้จริง
กรี๊ดดดดดดด!!! ฉันทำได้!!!
“ ยินดีด้วย บัดนี้...ภารกิจของคุณได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ” โซเฟจเอ่ยขึ้น “ และการเดินทางของเราก็ได้ดำเนินมาถึงแปดวันแล้ว
เพราะฉะนั้นเราจะเหลือเวลาเพียงแค่สองวันเท่านั้น
ผมเสียใจที่ต้องบอกพวกคุณว่าเนื่องจากเราทำภารกิจเสร็จก่อนเวลาที่กำหนด
ทำให้เจ้าแห่งเบื้องบนยังไม่ได้ส่งรายละเอียดของภารกิจต่อไปมาที่นี่ และท่านทรงสั่งห้ามไม่ให้ผมใช้เครื่องมือรับคำสั่งในตอนนี้
ดังนั้น...ผมคิดว่าเราควรจะออกจากดินแดนดิเครซซิโมเพื่อไปพักผ่อนที่ลาลาโมเซ่
ดินแดนแห่งความรื่นเริงเดี๋ยวนี้ ” พอโซเฟจพูดจบ
เขาก็ผายมือออก จากนั้น...ช่องสีขาวก็ได้มาปรากฏขึ้นตรงหน้า
พวกเราทั้งหมดจึงก้าวเท้าเข้าไปในช่องว่างนั้นทันที
เอาล่ะ...แปดวันนรกกำลังจะผ่านพ้นไป
และความสุขก็กำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเราอีกครั้ง
หลังจากที่เราทั้งหมดต่างก็ตกทุกข์ได้ยากด้วยกันมานาน
หวังว่า...ระหว่างนี้คงจะไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับพวกเราอีกนะ
( End D.C. Dollreta ‘s Part
)
ความคิดเห็น