ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels คนบ้าระห่ำ แหกกฎสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #15 : Future of the universe I

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ย. 61


     14

    Future of the universe I

     

    ( D.C.Dollreta 's Part )

     

         ทุกท่านค่ะ เมื่อครู่นี้ที่ฉันได้พูดไว้ว่าผู้ที่ถูกเลือกให้ทำภารกิจต่อไปต้องไม่ใช่ฉันแน่ๆ ฉันขอยืนยันว่านี่เป็นเรื่องจริง ไม่มีการจงใจสร้างสถานการณ์ขึ้นมาแต่อย่างใด เพราะเมื่อสองวันก่อนฉันเคยฝันว่าผู้ถูกเลือกให้ทำภารกิจต่อจากเบลลาทริกซ์คือมอนสเตลล่า แล้วค่อยเป็นฉันอีกที แต่ทำไมฉันถึงกลายเป็นผู้ถูกเลือกให้ทำภารกิจต่อจากเบลลาทริกซ์ล่ะ ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ฉันไม่เชื่อ!!!

     

         " คุณโซเฟจคะ ไม่ทราบว่าอุปกรณ์อันนั้นของคุณมีปัญหาหรือเปล่าคะ? " ฉันเอ่ยถามขึ้น

     

         " ไม่แน่นอนครับ เป็นไปไม่ได้ที่มันจะมีปัญหา เพราะนี่เป็นเครื่องมือรับคำสั่งที่ถูกส่งมาจากเจ้าแห่งเบื้องบน เพราะฉะนั้นการทำงานของเครื่องมือนี้จะเป็นไปด้วยความเที่ยงแท้แน่นอนเสมอครับ " พอโซเฟจพูดจบ ฉันถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ใช่! ฉันคิดว่านี่ต้องไม่ใช่การตัดสินใจที่เที่ยงแท้อย่างแน่นอน

     

         " แต่เมื่อสองคืนก่อนฉันเคยฝันว่าคนที่รับภารกิจต่อจากเบลลาทริกซ์ไม่ใช่ฉันค่ะ แต่เป็นมอนสเตลล่า "

     

         " ผมเสียใจที่ต้องบอกคุณว่า ในการทำภารกิจในครั้งนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่คาดเดาไม่ได้ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ความฝันของคุณจะไม่เป็นความจริง เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นผลดีต่อตัวคุณเอง และผู้อื่น ผมขอให้คุณรับภารกิจเดี๋ยวนี้ " พอโซเฟจพูดจบ ทุกคนต่างก็จ้องมองมาที่ฉัน สายตากดดันของพวกเขาบังคับให้ฉันรับภารกิจนี้ให้ได้ เอาล่ะ...ฉันได้ตัดสินใจแล้ว

     

          " ตกลงค่ะ ฉันยินดีรับภารกิจนี้ " ฉันพูดพลางพยายามฝืนฉีกยิ้มให้กว้างที่สุดเพื่อทุกคนจะได้รู้สึกว่าฉันมีความยินดีจริงๆ และมันก็เป็นอย่างนั้น ทักษะการแสดงของฉันไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังเลยจริงๆ " แล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง? "

     

         " ผมเสียใจที่ต้องบอกคุณว่า ผมยังบอกคุณไม่ได้ เพราะเจ้าแห่งเบื้องบนยังไม่ส่งคำสั่งในการทำภารกิจนี้มาที่นี่ แต่เรามีความจำเป็นที่จะต้องออกจากไซเทร์น่าเดี๋ยวนี้ " พอโซเฟจพูดจบ เขาก็ผายมือออก จากนั้น...ช่องสีขาวก็ได้มาปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกเราทั้งหมดจึงก้าวเท้าเข้าไปในช่องว่างนั้นทันที

     

         ครู่ต่อมา...พวกเราทั้งหมดได้มาถึงดินแดนดิเครซซิโม ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่ม ทั้งเมืองต่างก็เงียบสงบ มีเพียงแสงไฟจากโคมระย้าข้างทางที่คอยส่องแสงนำทางเราในคืนนี้

     

         ดินแดนดิเครซซิโมเป็นเมืองหรู ที่มีอาณาเขตุกว้างใหญ่ ทางเดินของทั้งเมืองถูกปูด้วยหินอ่อนสีนิลซึ่งเมื่อแสงจากโคมระย้าส่องกระทบไปบนพื้นหินอ่อนนี้จะได้ภาพที่โรแมนติกมาก ตลอดสองข้างทาง เราจะเห็นสิ่งก่อสร้างสีทองที่ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่มีระดับ และถูกประดับด้วยอัญมณีหลายชนิด พอเดินไปเรื่อยๆ เราก็จะได้ยินเสียงเพลงซิมโฟนีในยุคคลาสสิกที่ถูกบรรเลงขึ้นด้วยวงออเครสตร้าชั้นนำของเมือง พอเดินไปถึงจุดศูนย์กลางของเมือง เราก็จะเห็นชาวดิเครซซิมิสที่แต่งกายด้วยชุดสุภาพสีดำเดินพลุกพล่านไปมาด้วยท่าทางที่ดูสง่างาม และอ่อนโยน มันเป็นภาพที่คลาสสิกเป็นอย่างมาก กรี๊ดดดดด! คลาสสิก ฉันชอบคลาสสิก!!! ฉันชอบเมืองนี้ รักเมืองนี้ อยากอยู่ที่เมืองนี้ อยากซื้อเมืองนี้ แต่...เงินไม่พอ เฮ้อ~

     

         ฉันมีความสุขไปกับการชมทิวทัศน์อันแสนคลาสสิกของเมืองนี้  ฉันรู้สึกว่าทิวทัศน์อันแสนคลาสสิกเหล่านี้ดูกี่ทีก็ไม่เบื่อ นี่ถ้าไม่ติดว่าฉันจะต้องทำภารกิจละก็ ฉันจะขอเดินรอบเมืองอย่างนี้ทุกวันเลย

     

         ในที่สุด...พวกเราก็มาถึงหน้าอาคารรูปครึ่งวงกลมสีทองอร่ามสูงตระหง่าน ที่สำคัญ...อาคารนี้ถูกสร้างด้วยแก้วมณีโชติด้วย  คลาสสิกมาก!!! จากนั้น...พวกเราทั้งหมดก็ได้ตัดสินใจที่จะใช้เก้าอี้ยาวสีดำที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายอันคลาสสิกนี้เป็นที่พักผ่อนของพวกเราในค่ำคืนนี้ ฉันจึงล้มตัวลงนอนบนเบาะกำมะยี่สีดำของเก้าอี้ยาวนี้ ก่อนที่จะเปิดเปลือกตาลงแล้วเข้าสู่โลกแห่งความฝันในที่สุด...

     

          ฉันกำลังล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศอันบางเบาในสถานที่แห่งหนึ่งที่ซึ่งมองเห็นเพียงแค่สีดำของความมืดเท่านั้น ฉันล่องลอยไปตามทิศทางของลมเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย สักพัก...เสียงของโซเฟจก็ลอยเข้ามาในหูฉัน

     

         " ผมเสียใจที่ต้องบอกคุณว่า นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณจะเหลือเวลาในการทำภารกิจนี้เพียงแค่สองวันเท่านั้น และหน้าที่ของคุณคือคุณจะต้องหยุดการทำลายล้างเพื่อให้จักรวาลอยู่รอด "

     

         พอเสียงของโซเฟจเงียบหายไป ภาพของชายวัยกลางคนสองคนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉัน คนหนึ่งเป็นชายร่างท้วมที่ดูแก่กว่าชายอีกคนหนึ่ง ชายคนที่แก่กว่านั้นมีผมสีดำ และตาสีฟ้าอ่อน เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงที่ถูกประดับด้วยทองคำบริสุทธิ์ที่ส่องประกายระยิบระยับไปทั่วตัว และนั่งอยู่บนบังลังก์ภายในสถานที่รโหฐานที่ดูหรูหรา และคลาสสิกแห่งหนึ่งอย่างสง่างาม ส่วนชายคนที่ดูหนุ่มกว่านั้นมีผมสีทอง ตาสีน้ำตาลอ่อน และไว้เครายาวสีทอง ชายคนที่ดูหนุ่มกว่าสวมชุดสูทที่ทำมาจากผ้ากำมะยี่สีดำ เขาคนนั้นกำลังนั่งอยู่เบื้องล่างบังลังก์นั้น

     

         " งานเลี้ยงจะเริ่มเวลาหกโมงเย็นของพรุ่งนี้ ขอให้เจ้าส่งยาพิษชั้นดีมาให้ข้าในตอนรุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ด้วย " ชายคนที่แก่กว่าเอ่ยขึ้น เมื่อพูดจบ ชายคนที่ดูหนุ่มกว่าจึงพยักหน้ารับ " เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ขอให้เจ้าหยดน้ำยาแอสพิราล่าเมนเทเพื่อการทำลายล้างดาวดวงอื่นในจักรวาลนี้เวลาสองทุ่ม เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าก็จะได้เป็นใหญ่ที่สุดในจักรวาลแห่งนี้!!! "

     

         พอชายคนนั้นพูดจบ ภาพของชายสองคนที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่นี้ก็ได้หายไป และภาพของสถานที่กว้างขวางแห่งหนึ่งซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้ารูปร่างประหลาด มีตัวหนังสือสีทองสลักไว้บนยอดอาคารที่สูงที่สุดว่า'สถาบันดิเครซซิโม' จากนั้น...ภาพของอาคารที่อยู่ลึกที่สุดก็ได้ปรากฏขึ้น และที่ชั้นสามของอาคารหลังนั้นก็ได้มีเด็กสาวสองคนยืนอยู่บนระเบียง เด็กสาวคนแรกมีเรือนผมสีขาว และนัยน์ตาสีฟ้าอ่อน ส่วนเด็กสาวคนที่สองนั้นมีเรือนผมสีเปลือกไม้ และนัยน์ตาสีเขียว พวกเธอกำลังพูดคุยกันด้วยท่าทางที่เป็นมิตร และมีสนิทกันเป็นอย่างมาก

     

         จากนั้น...ภาพของห้องห้องหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้น มันเป็นห้องกว้างๆ ที่ถูกทาผนังเป็นสีขาว ในห้องนั้นมีเพียงโต๊ะยาวตัวเดียวที่ตั้งอยู่ตรงกลาง บนโต๊ะยาวนั้นมีขวดโลหะวางอยู่เป็นจำนวนมาก  ฉันจึงเดินไปหยิบขวดโลหะใบที่ยี่สิบสามที่นับจากทางซ้ายขึ้นมา ก่อนที่จะเปิดฝาขวดโลหะใบนั้นเผยให้เห็นน้ำยาสีพีชที่ลอยไปมาอยู่ภายในขวดโลหะใบนั้น ต่อมา...ฉันจึงตัดสินใจที่จะดื่มน้ำยาในขวดโลหะนั้น ทันใดนั้น...ภาพของเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ และนัยน์ตาสีเขียวก็ปรากฏขึ้นแทนที่ฉัน

     

    + + + +  +  + +  + +  +   +

     

         ฉันสะดุ้งตื่นตอนตีสี่ห้าสิบเจ็ดในขณะที่คนอื่นยังคงอยู่ในโลกแห่งความฝันต่อไป ฉันลุกขึ้นนั่งแล้วพยายามเรียงลำดับเหตุการณ์ในฝันเมื่อครู่นี้ที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ประติดประต่อกันเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าในฝันนั้นจะพยายามบอกฉันถึงเรื่องภารกิจทั้งหมด

     

         ตอนแรกโซเฟจบอกฉันว่าฉันมีเวาทำภารกิจเพียงแค่สองวันคือวันนี้กับวันพรุ่งนี้ หน้าที่ของฉันคือฉันจะต้องหยุดการทำลายล้างเพื่อให้จักรวาลหยุดรอด แล้วต่อมาก็มีภาพชายสองคนปรากฏขึ้น ชายคนที่นั่งบนบังลังก์เป็นกษัตริย์ ส่วนชายที่นั่งด้านล่างเป็นคนสามัญธรรมดาที่มีอาชีพเป็น...เอ่อ...นักปรุงยาล่ะมั้ง ชายคนที่กษัตริย์มีจุดประสงค์ที่จะทำลายล้างดาวดวงอื่นในจักรวาลนี้ เพราะเขาต้องการเป็นใหญ่จึงขอร้องให้ชายที่เป็นนักปรุงยาช่วยหยดน้ำยา...เอ่อ...ชื่ออะไรไม่รู้ ช่างมันเถอะ แต่ฉันรู้แค่ว่าฉันจะต้องหยุดการทำลายล้าง ฉันจะต้องไปขัดขวางพวกเขา เอ่อ...แล้วทำอะไรต่อดีนะ เดี๋ยวค่อยคิดต่อละกัน

     

         ภาพต่อจากนั้น...มันเป็นภาพของของสถานที่กว้างๆ ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยอาคารคลาสสิก มันถูกเรียกว่าสถาบันดิเครซซิโม สถาบันงั้นหรอ? ใช่! มันต้องเป็นโรงเรียนแน่ๆ กรี๊ดดดด! โรงเรียน โรงเรียนคลาสสิก ฉันอยากเรียนที่นี่จังเลย!!!

     

         ต่อไป...ภาพก็ซูมไปที่อาคารที่อยู่ลึกที่สุด ที่ระเบียงชั้นสองมีเด็กสาวคลาสสิกสองคนยืนอยู่ที่นั่น  เด็กสาวคนแรกมีเรือนผมสีขาว และนัยน์ตาสีฟ้าอ่อน ส่วนเด็กสาวคนที่สองนั้นมีเรือนผมสีเปลือกไม้ และนัยน์ตาสีเขียว พวกเธอคงจะเป็นเพื่อนสนิทกันละมั้ง

     

         ถัดมา...ก็จะเป็นภาพของห้องกว้างๆ ห้องหนึ่งที่มีผนังสีขาว มีโต๊ะยาวตั้งอยู่ตรงกลาง และบนโต๊ะยาวนั้นมีขวดโลหะวางอยู่เต็มไปหมด ซึ่งในฝันฉันก็ได้หยิบขวดโลหะใบที่ยี่สิบสามของทางซ้ายมือ แล้วเปิดขวดโลหะยกดื่มน้ำยาสีพีชที่อยู่ข้างใน ต่อมา...ฉันก็กลายเป็นเด็กสาวคลาสสิกคนที่สองนั้น น้ำยานั่นต้องเป็นน้ำยาสลับวิญญาณแน่ๆ ฉันเข้าใจแล้ว!!! 'ฉันต้องจัดการเรื่องทั้งหมดเดี๋ยวนี้' ฉันคิดพลางหยิบกระดาษสีซีดกับปากกาขนนกหมึกดำออกมาจากกระเป๋า แล้วเริ่มที่จะเขียนจดหมายเพื่อบอกลา(ในระยะเวลาสั้นๆ )กับเพื่อนผู้ร่วมเดินทางทั้งหมดด้วยลายมือคลาสสิกของฉัน

     

        

     

         แด่...เพื่อนผู้ร่วมเดินทางทั้งแปด

     

         เมื่อทุกคนได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว ขอให้รู้ไว้ว่าฉันจะไม่ได้อยู่กับทุกคนเป็นเวลาสองวันเนื่องจากจะต้องไปทำภารกิจ ซึ่งฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะทำภารกิจด้วยตัวของฉันเอง และไม่มีจุดประสงค์จะให้ใครคนใดคนหนึ่งเดือดร้อนทั้งสิ้น

         การที่ฉันต้องจากไปโดยกะทันหันนั้น เป็นเพราะว่าเมื่อคืนฉันได้ฝันเกี่ยวกับภารกิจที่ฉันต้องทำ และภารกิจที่ฉันต้องทำมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก เพราะว่าถ้าหากฉันทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ มันจะมีผลกระทบต่อดาวดวงอื่นๆ ในจักรวาล รวมทั้งบ้านเกิดของพวกเราทุกคนด้วย ดังนั้น...ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม ฉันต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จให้ได้ เมื่อภารกิจสิ้นสุดลง ฉันจะกลับมาหาทุกคนที่นี่ ขอให้ทุกคนรอฉันที่นี่ตอนสองทุ่มของพรุ่งนี้ด้วย 

     

    ด้วยความจริงใจ

    Dozen Citizen Dollreta Franztelderaschere

    สาวคลาสสิกแห่งศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด

     

         เมื่อฉันเขียนจดหมายเสร็จ ฉันก็เก็บปากกาขนนกไว้ในกล่องปากกาก่อนที่จะวางจดหมายฉบับนั้นไว้บนเก้าอี้ยาวที่ฉันนั่งแล้วนำกล่องปากกามาวางทับอีกที จากนั้น...ฉันก็ตัดสินใจที่จะเดินจากไปแต่เพียงลำพังโดยที่ไม่เอาอะไรไปเลย

     

         ตอนนี้...ฉันกำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกของดินแดนดิเครซซิโมเพื่อไปยังโรงเรียนคลาสสิกในฝัน อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉันก็ได้มาหยุดอยู่หน้ารั้วทรงแหลมสูงสีทองอร่ามของโรงเรียนคลาสสิกแห่งนี้ โชคดีที่รั้วนี้ไม่ได้ถูกล็อค ดังนั้น...ฉันจึงค่อยๆ เลื่อนรั้วออกอย่างเบามือ แล้วพยายามก้าวเท้าให้เบาที่สุดเพื่อเข้าไปข้างใน

     

         ตอนนี้เป็นเวลาตีห้าครึ่ง ฉันกำลังง่วนอยู่กับการเดินชมบรรยากาศสุดแสนคลาสสิกของสถานบันดิเครซซิโมแห่งนี้ อาคารทุกหลังในสถาบันแห่งนี้ล้วนถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมที่ดูสวยเฉียบไร้ที่ติ มันถูกสร้างมาจากหินชั้นดี และถูกประดับตกแต่งด้วยอัญมณีล้ำค่าระดับจักรวาล มันถูกทาเป็นสีทองตัดกับสีดำทำให้ดูสง่างามเป็นอย่างมาก

     

         ฉันเดินชมความคลาสสิกของสถาบันแห่งนี้ไปเรื่อยๆ จนฉันลืมไปเลยว่าฉันมาที่นี่เพื่ออะไร แต่พอฉันรู้ตัวอีกที ฉันก็ต้องสะดุ้ง เพราะตอนนี้เป็นเวลาหกโมงสิบห้าแล้ว

     

         ฉันหยุดทบทวนภาพในฝันสักพักก่อนที่จะตัดสินใจเดินขึ้นไปยังอาคารคลาสสิกทรงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่อยู่ทางขวาสุดของสถาบัน

     

         ตอนนี้...ฉันกำลังอยู่บนชั้นห้าของอาคารคลาสสิกทรงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว และกำลังจะก้าวไปยังห้องที่เจ็ดโดยนับจากทางขวา หน้าประตูทางเข้าของห้องนั้นมีหน้าปัดแก้วจอใหญ่ติดตั้งเอาไว้ ด้านล่างของหน้าปัดนั้นก็มีปุ่มกดตัวเลขดิเครซซิมิสตั้งแต่เลขศูนย์ถึงเลขเก้าเรียงกันเป็นแนวยาว ฉันจึงกดตัวเลขห้า-ศูนย์-เจ็ด จากนั้น...ประกายแสงสีทองก็ได้เรืองแสงขึ้นจากหน้าปัดนั้น สักพัก...ประตูทางเข้าก็แยกออกจากกัน ฉันจึงรีบเดินเข้าไปในห้องนั้นทันที

     

         มันเป็นห้องกว้างที่มีผนังสีขาว และตรงกลางห้องก็มีโต๊ะยาวซึ่งมีขวดโลหะนับร้อยขวดวางอยู่บนโต๊ะนั้น ฉันจึงเดินเข้าไปที่โต๊ะยาวนั้นก่อนที่จะนับขวดโลหะจากทางซ้าย 'ยี่สิบเอ็ด...ยี่สิบสอง...ยี่สิบสาม ใช่! ขวดนี้แหละ' ฉันคิดพลางหยิบขวดโลหะขวดนั้นขึ้นมาเปิด เนื่องจากฝาขวดนี้ฝืดมาก ฉันจึงต้องออกแรงมากเป็นพิเศษ และต้องใช้เวลาอยู่นานจนมือทั้งสองข้างของฉันได้แดงไปหมด และขอบขวดโลหะนั้นก็ได้กรีดลงบนอุ้มมือของฉันจนเป็นรอย ดูเหมือนว่า...มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะเปิดขวดโลหะขวดนี้ได้

     

         " อึ้บ!!! " ฉันร้องพลางพยายามเปิดขวดสุดแรง แต่ทำยังไงก็ไม่สามารถที่จะเปิดฝาขวดใบนี้ออกได้ จนในที่สุด...ฉันก็ทนไม่ไหว ฉันจึงเขย่าขวดก่อนที่จะออกแรงเปิดฝาขวดอีกครั้ง และ...

     

         " กรี๊ดดดดดดด!!! " ฉันกรีดร้องสุดเสียงเมื่อของเหลวสีพีชในขวดโลหะใบนี้เกิดเป็นฟองแล้วพุ่งขึ้นใส่หน้าฉัน ฉันจึงวางขวดโลหะนั้นลงบนโต๊ะ ก่อนที่จะจัดการเลียฟองน้ำยาสีพีชที่ติดอยู่บนหน้าฉันให้หมดไป 'แหวะ...รสชาติเห่ยเป็นบ้า!' ฉันคิดพลางก้มลงไปเก็บฝาขวดโลหะที่กระเด็นตกอย่บนพื้น แต่ยังไม่ทันที่จะหยิบขึ้นมา ฉันก็ถูกทำให้สไลด์ไปกับพื้นเสียก่อน

     

         " กรี๊ดดดดดดดด!!! " ฉันกรีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังถูกทำให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงทะลุกำแพงไปยังห้องข้างๆ นั่น...นั่น! ฉันกำลังจะทะลุออกนอกตึกไปแล้ว จากตึกหนึ่งไปตึกสอง จากตึกสองไปตึกสาม นี่แหละ! มันส์ยิ่งกว่าการเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวในสวนสนุกเสียอีก ฮู้ว~

     

         ตุ้บ!

     

         ในที่สุด...ร่างของฉันก็ถูกนำมาวางไว้บนเบาะนุ่มๆ และตอนนี้หัวใจของฉันก็เต้นด้วยจังหวะปกติแล้วหลังจากที่ปล่อยให้หัวใจเต้นแรงด้วยความน่าหวาดเสียวอยู่นาน ฉันหรี่ตาขึ้นมามองเล็กน้อย แล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงที่ทำมาจากทองคำเปลวบริสุทธิ์ และผ้าปูที่นอนก็ทำมาจากผ้าป่านเนื้อดีสีฟ้าอ่อน และถ้ามองไปรอบๆ ก็จะเห็นเด็กสาวที่แต่งกายด้วยชุดเดรสคลาสสิกหลากสีกำลังนอนหลับอย่างสงบนิ่งอยู่บนเตียงของตัวเอง ที่นี่ก็คือหอนอนรวมนั่นเอง

     

         " อรุณสวัสดิ์...เยาวชนดิเครซซิมิสทั้งหลาย! " เสียงทุ้มก้องของชายคนหนึ่งดังขึ้น พอเสียงนั้นเงียบลง เหล่าเด็กสาวคลาสสิกก็พากันลุกขึ้นจากเตียงของตัวเองด้วยความงัวเงีย จากนั้น...พวกเธอก็บิดขี้เกียจแล้วหาวพร้อมกันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย จากนั้น...พวกเธอก็พากันบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงแหลมเล็กชวนแสบแก้วหู

     

         " เช้าแล้วหรอเนี่ย ฉันยังรู้สึกว่าฉันยังนอนไม่พอเลย "

     

         " ใช่ๆ เมื่อคืนฉันฝันดีมากๆ เลยล่ะ น่าเสียดายจัง ฉันยังไม่อยากตื่นเลย "

     

         " ถ้าฉันนอนน้อย ผิวของฉันก็ยังไม่เปล่งปลั่งเหมือนเดิมแล้วล่ะสิ "

     

         " ใช่ๆ ถ้าพวกเราไม่สวยสง่ามีออร่าจับ พวกเราก็จะหาคู่ครองในอนาคตไม่ได้ แล้วพวกเราก็จะขึ้นเป็นผู้ปกครองเมืองไม่ได้ด้วย "

     

         พอพวกเธอพูดจบ พวกเธอก็พากันเดินอย่างสง่างามออกไปจากหอนอนรวมทันที และทันใดนั้น...น้ำเสียงหวานใสของเด็กสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้น

     

         " อรุณสวัสดิ์จ้า ฟิโรซ่า " พอเสียงนั้นเงียบหายไป ฉันจึงหันไปมองทางต้นเสียง แล้วพบว่าเจ้าของเสียงนั้นก็คือเด็กสาวคลาสสิกคนที่หนึ่งในฝันของฉัน เธอกำลังยิ้มให้ฉัน ฉันจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงก่อนที่จะยิ้มให้เธอแล้วตอบเธอไปว่า

     

         " อรุณสวัสดิ์จ้า กรี๊ดดดดดดดด!!! " ฉันกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นภาพของตัวเอง(?)ในกระจกที่อยู่หน้าเตียงนอน ตอนนี้ฉันได้กลายเป็นเด็กสาวคลาสสิกคนที่สองไปแล้ว!

     

        

         " ฟิโรซ่า...เธอเป็นอะไรไปหรือเปล่าจ๊ะ? " เด็กสาวคลาสสิกคนที่หนึ่งเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางที่แปลกประหลาดของฉัน

     

         " ไม่เป็นไรจ๊ะ " ฉันร้องตอบเสียงใสพลางยิ้มกว้างให้เด็กสาวคลาสสิกคนที่หนึ่ง เธอยิ้มให้ฉันก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " เราลงไปข้างล่างกันเถอะจ๊ะ "

     

         ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงเช้า ฉัน และเด็กสาวคลาสสิกคนที่หนึ่งกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่พร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆ เพื่อที่จะรับประทานอาหารเช้า ทุกคนต่างแต่งกายด้วยเครื่องแบบที่ดูสง่างาม และคลาสสิกเป็นที่สุด มันเป็นชุดเดรสแขนตุ๊กตากับกระโปรงสุ่มไก่สีดำ หมวกประดับขนนกกับรองเท้าบู๊ททรงแก้วไวน์สีดำเงาวับ นักเรียนทุกคนของที่นี่ต่างก็เป็นเด็กสาวร่างบาง หน้าตาคลาสสิก และมีบุคลิกที่สง่างามทั้งสิ้น แต่ก็ไม่มีใครสวยสู้ฉันได้สักคน ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งสวยกว่าฉันขึ้นมาล่ะก็...ฉันจะเดินไปตบคนนั้นถึงที่เลยล่ะ

     

         ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับดินแดนดิเครซซิโมแห่งนี้ที่จะมองไม่เห็นเด็กผู้ชายสักคนในสถาบันสุดแสนจะคลาสสิกแห่งนี้ เพราะก่อนหน้านี้ ฉันได้ค้นคว้าข้อมูลในหนังสือประวัติศาสตร์ดิเครซซิมิสของเด็กสาวคลาสสิกคนที่สองมากแล้ว และฉันก็รู้แล้วว่า ในดินแดนดิเครซซิโมแห่งนี้ เขามีกฎหมายให้เด็กผู้หญิงเรียนหนังสือ ส่วนเด็กผู้ชายให้ไปรับราชการช่วยชาติ ช่างแตกต่างกันอะไรเช่นนี้!

     

         นอกจากนั้น ฉันยังได้แอบอ่านไดอารี่ของเด็กสาวคลาสสิกคนที่สองอีกด้วย ฉันรู้แล้วว่าเด็กสาวคลาสสิกคนที่สองนั้นชื่อฟิโรซ่า เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของขุนนางชั้นสูงท่านหนึ่งซึ่งกำลังทำพันธกิจรับใช้ชาติอยู่ในที่ไกลๆ ของดิเครซซิโม ดังนั้น...ทุกวันหยุดช่วงเทศกาลสำคัญในดิเครซซิโม เธอก็มักจะไปอาศัยอยู่ที่บ้านของคอนเอียนม่า(เด็กสาวคลาสสิกคนที่หนึ่ง) ลูกสาวคนเดียวของกษัตริย์คอนอัสโซ ผู้ปกครองคนปัจจุบันแห่งดิเครซซิโมแทนที่จะได้กลับบ้านของตัวเอง เนื่องจากว่าเธอไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวมากพอ ทำให้เธอกลายเป็นคนเงียบๆ ดูซึมๆ ในที่สุด

     

         เอาล่ะค่ะทุกท่าน ดูเหมือนว่า...ฉันจะพาทุกท่านออกนอกเรื่องมากเกินไปแล้ว เอาเป็นว่า...เรามาเข้าสู่เหตุการณ์ปัจจุบันกันต่อเลย

     

         ตอนนี้...ฉันกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะยาวที่ทำมาจากไม้เนื้อดีเพื่อรับประทานอาหารเช้า ทันทีที่แม่ครัวยกสำรับอาหารมาเสิร์ฟ ฉันจึงเริ่มที่จะทานอาหารเช้าแสนคลาสสิกที่วางอยู่ตรงหน้านี้ด้วยท่าทางนุ่มนวล

     

         อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา...นักเรียนทุกคนต่างก็ถูกคณะคณาจารย์ต้อนให้เข้าไปนั่งในห้องประชุมที่อยู่ตรงกลางของชั้นสอง ภายในห้องประชุมนั้นมีเก้าอี้ทรงสูงสีม่วงวางเรียงกันเป็นแถว และถูกประดับด้วยเครื่องประดับสีม่วง ผนังของห้องประชุมนี้ทำมาจากแก้วคริสตัลทั้งหมด ด้านหน้าห้องประชุมนั้น มีเวทีที่มีแท่นประกาศอยู่ซ้ายมือตั้งอยู่ และแสงไฟสีขาวที่ส่องเข้ามาให้ความรู้สึกอบอุ่น และนุ่มนวลเป็นอย่างมาก

     

         " อรุณสวัสดิ์...เยาวชนดิเครซซิโมทุกท่าน! " เสียงของศาสตราจารย์อาวุสโสดังขึ้นจากแท่นประกาศ จากนั้น...เหล่านักเรียนก็ขานรับเป็นเสียงเดียวกันว่า

     

         " อรุณสวัสดิ์ค่ะ ศาสตราจารย์!@#$%^&*()_+ " หา? ศาสตราจารย์คนนี้ชื่ออะไรนะ?

     

         " เอาล่ะ...เยาวชนดิเครซซิโมทุกท่าน ฉันมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบพวกคุณอีกครั้งในเช้าวันอันสดใสแบบนี้ ฉันมายืนที่นี่เพื่อที่จะทำหน้าที่ของฉัน และหน้าที่ของฉันก็คือการปลูกฝังให้พวกคุณสืบทอดเจตนารมณ์ของเหล่าบรรพบุรุษผู้กล้าหาญแห่งดิเครซซิโม ไหน...พวกคุณลองตอบพร้อมกันสิว่าในปีD.C.943 ท่านลอร์ดเพรฟโยเต้กล่าวไว้ว่าอย่างไร? "  พอศาสตราจารย์ชื่อฟังยากนี่พูดจบ นักเรียนทุกคนก็ตอบขึ้นพร้อมกันว่า

     

         " การทำลายล้างเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ และความยิ่งใหญ่ทั้งหมด!!! " อะไรกันเนี่ย? ที่ดินแดนนี้เขามีการปลูกฝังเยาวชนแบบนี้น่ะหรือ? ไม่น่าล่ะ...ดินแดนแห่งนี้ถึงถูกขนานนามว่าดินแดนแห่งการทำลายล้างน่ะ

     

         " ดีมากทุกคน ฉันมองเห็นอนาคตของพวกคุณทุกคนว่าพวกคุณจะต้องเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ที่ดีอย่างแน่นอน " ศาสตราจารย์ชื่อฟังยากว่า " ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดินแดนดิเครซซิโมของเราถูกยกย่องว่าเป็นดินแดนที่มีประชาชนผู้อยู่อาศัยที่วางแผนเก่งที่สุดในจักรวาล โดยปกติแล้ว ชาวดิเครซซิมิสจะวางแผนเรื่องอะไรน่ะหรือ แน่นอนว่า เหล่าบรรพบุรุษชาวดิเครซซิมิสผู้กล้าหาญของเราจะต้องวางแผนเกี่ยวกับการทำลายล้างอยู่แล้ว และบรรพบุรุษของพวกเราวางแผนที่จะทำลายล้างทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะว่า...ถ้าเราไม่ทำลายล้างดาวดวงอื่นในจักรวาลนี้ ดาวดวงอื่นก็จะทำลายล้างดินแดนของเราภายหลัง เนื่องจากว่าที่ดินแดนดิเครซซิโมเป็นที่หมายปองของผู้อยู่อาศัยในดาวดวงอื่นๆ ในจักรวาลนี้ พวกมันหมายจะยึดครองดินแดนดิเครซซิโมของเรา แต่สุดท้าย...พวกมันก็กลับทำอะไรเราไม่ได้ พวกมันจึงพยายามที่จะทำลายล้างดินแดนดิเครซซิโมของเรา แต่ทว่า...เหล่าบรรพบุรุษผู้กล้าหาญของเราหากลวิธีที่จะทำลายล้างดางดวงนั้นๆ เสียก่อน ดินแดนดิเครซซิโมจึงอยู่ได้มาถึงทุกวันนี้ และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดินแดนดิเครซซิโมของเราได้มีการทำลายดวงดาวอื่นไปทั้งหมด... "

     

         การบรรยายเพื่อปลูกฝังเยาวชนดิเครซซิโมให้เป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ที่ดีของเหล่าบรรพบุรุษชาวดิเครซซิมิสได้ดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...มันก็ได้สิ้นสุดลงเมื่อเวลาเที่ยงครึ่ง

     

         " เอาล่ะ...หน้าที่ของฉันในวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ขอให้พวกคุณโชคดี และมีความสุขกับวันชาติดิเครซซมิสในวันพรุ่งนี้ด้วย แล้วเจอกัน " พอศาสตราจารย์ชื่อฟังยากพูดจบ เธอก็เดินลงไปจากแท่นประกาศ และเดินออกจากห้องประชุมนี้ไปทันที พรุ่งนี้เป็นวันชาติดิเครซซิมิสงั้นหรอ? งั้นฉันก็...

     

         " ฟิโรซ่า ไปเก็บของได้แล้ว คืนนี้เธอต้องไปนอนบ้านฉันนะ " พอคอนเอียนม่าพูดจบ ฉันก็พยักหน้ารับทันที นี่ฉันกำลังสวมบทฟิโรซ่าได้อย่างแน่บเนียนใช่มั้ย?

     

         ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ฉันกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้แกะสลักเคลือบทองคำบริสุทธิ์อยู่ในห้องรับประทานอาหารภายในพระราชวังอันโอ่อ่า หรูหรา และคลาสสิกของท่านผู้ปกครองคนล่าสุดแห่งดิเครซซิโมซึ่งเป็นพ่อของคอนเอียนมา ตอนนี้...ฉันกำลังนั่งเพื่อรอให้อาหารเย็นมาเสิร์ฟ คอนเอียนม่าก็ถามฉันเกี่ยวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ส่วนมากจะเป็นเรื่องครอบครัวของฟิโรซ่า และฉันก็ตอบได้ทุกคำถามอย่างแนบเนียน ต้องขอบคุณไดอารี่เล่มนั้นนะ ถ้าฉันไม่ได้อ่านมัน ฉันคงตอบไม่ได้เป็นแน่

     

         สักพัก...อาหารเย็นก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เนื้อสัตว์ชั้นดีราดน้ำซอสสีม่วงเข้มถูกบรรจุอยู่บนภาชนะทองคำที่ดูหรูหรา  และเครื่องดื่มรสชาติหวานนุ่มลิ้มสีน้ำตาลอ่อนอยู่บรรจุไว้ในแก้วไวน์ทรงสูงที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายดูที่วิจิตรอย่างยิ่ง ฉันจึงตักเนื้อสัตว์ชั้นดีนั่นเข้าปากทันที

     

         เพียงแค่ได้ลิ้มรสชาติของเนื้อสัตว์ชั้นดีเนื้อนุ่มนั้น ฉันก็รู้สึกคุ้นเคยกับรสชาติของมันตั้งแต่คำแรกที่ตักเข้าปาก มันทำให้ฉันคิดถึงอาหารที่บ้านเป็นที่สุด

     

         " ฟิโรซ่า เป็นอะไรไปหรือเปล่าจ๊ะ? " คอนเอียนม่าเอ่ยถามเมื่อเห็นน้ำตาของฉันที่ไหลออกมาจากดวงตาสีเขียวคู่สวย

     

         " เปล่าจ๊ะ "  ฉันเอ่ยตอบพลางเช็ดน้ำตาออก " คือว่า...อาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดเท่าที่ฉันเคยมีมาเลยล่ะจ๊ะ " ถึงแม้ว่า...ฉันจะพูดออกแบบนั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงของฉันเลยแม้แต่น้อย ที่ฉันร้องไห้ก็เพราะว่าฉันกำลังคิดถึงบ้าน...คิดถึงแม่ของฉัน

     

         ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวใหญ่ที่ไม่ค่อยจะอบอุ่นมากนัก ปู่ทวด ย่าทวด ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา พ่อ แม่ ฉัน และญาติคนอื่นๆ ของฉันอยู่ต่างก็อยู่ร่วมกันภายในคฤาหาสน์หลังใหญ่มีระดับ ถึงแม้ว่า...ทุกคนจะอยู่พร้อมหน้ากัน แต่ก็ไม่มีใครมีความสุขเลย เพราะว่าภายในครอบครัวมีแต่ปัญหาขัดแย้งกัน สมาชิกในครอบครัวหาเรื่องต่อว่ากันเกือบแทบทุกวันโดยที่บางวันก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ว่าเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่ง...ครอบครัวของฉันถูกแบ่งเป็นออกครอบครัวย่อย มีครอบครัวของลุง ครอบครัวของอาผู้หญิง ครอบครัวของฉัน และครอบครัวของญาติคนอื่นๆ ซึ่งแต่ละครอบครัวจะใช้ชีวิตของใครของมันโดยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกันเลย

     

         เหมือนจะเป็นโชคดีที่ฉันเกิดมาในวงค์ตระกูลอันทรงเกียรติ มีหน้ามีตาในสังคม และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนกองเงินกองทองไปวันๆ แต่ก็โชคไม่ดีนักที่ครอบครัวของฉันไม่ค่อยได้มีโอกาสอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา เพราะว่าพ่อของฉันซึ่งเป็นประธานบริษัทแฟชั่น และมีอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกจึงต้องบินไปดูงานที่ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ ทำให้ฉันมีโอกาสได้เจอหน้าพ่อเพียงแค่สามครั้งต่อปีเท่านั้น ฉันจึงต้องอยู่กับแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้บงการชีวิตฉันให้ฉันเดินไปตามทางที่ท่านต้องการ

     

         ตอนเด็กๆ แม่ส่งฉันไปเรียนทุกอย่าง เพราะท่านอยากให้ฉันทำอะไรได้ทุกอย่าง และเก่งกว่าเด็กผู้หญิงทุกคนในโลก เป็นเพราะว่าระดับสติปัญญากับรอยหยักในสมองของฉันมีน้อยเกินไป ทำให้ฉันเรียนรู้ได้แค่บางอย่างเท่านั้น และในเวลาว่างจากการเรียนเหล่านั้น แทนที่ฉันจะได้พักผ่อน หรือทำกิจกรรมคลายเครียดเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่ฉันกลับต้องมาเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นสุภาพสตรีผู้เพียบพร้อมในอนาคต ทำให้ฉันมีเวลากินเวลานอนน้อยกว่าเด็กปกติมาก

     

         ตอนเด็กๆ ฉันเป็นคนไม่เรียบร้อย และมารยาททรามเป็นอย่างมาก แต่...ฉันก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อได้รับการฝึกจากครูพี่เลี้ยง และมีแม่คอยควบคุมอยู่ข้างๆ

     

         พอฉันเดินหลังค่อม แม่ก็มักจะเตือนฉันว่า

     

         " ดอลล่าร์...อย่าเดินหลังค่อมสิลูก มันดูไม่สง่า "

     

         พอฉันเดินกระแทรกเท้า แม่ก็มักจะเตือนฉันว่า

     

         " ดอลล่าร์...อย่าเดินกระแทรกเท้าสิลูก มันดูไม่สำรวม "

     

         " ดอลล่าร์...อย่าทำแบบนั้น อย่าทำแบบนี้ ลูกต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของเด็กผู้หญิงทั่วโลกนะ " ฉันได้ยินแม่กรอกหูฉันด้วยประโยคนี้ตั้งแต่ตอนที่ฉันอายุสามขวบครึ่งแล้ว และฉันก็เบื่อที่จะฟังมันแล้วด้วย

     

         ฉันรู้ตัวดีตั้งแต่แรกแล้วว่าฉันไม่เหมาะที่จะเป็นสุภาพสตรีผู้เพียบพร้อม และฉันก็ทำไม่ได้ด้วย แต่ฉันก็ปฏิเสธภาระอันหนักอึ้งนี้ไม่ได้ เมื่อฉันมีแม่คอยบงการชีวิตฉันให้เป็นอย่างที่ท่านต้องการ จะเถียงก็เถียงไม่ได้ เพราะพอฉันอ้าปากจะพูด แม่ก็มักจะเตือนฉันว่า

     

         " ดอลล่าร์...อย่าเถียงผู้ใหญ่สิลูก มันไม่สุภาพ "

     

         พอฉันรู้ว่าตัวเองเถียงไม่ได้ ฉันก็มักจะชักสีหน้าไม่พอใจออกมา จนแม่ต้องเตือนฉันว่า

     

         " ดอลล่าร์...อย่าชักสีหน้าออกมาแบบนั้นสิลูก มันดูไม่ดี "

     

         " ค่ะแม่ หนูจะไม่เถียง จะไม่ชักสีหน้าไม่พอใจออกมาอีก " ฉันกัดฟันพูด ถึงฉันจะพูดออกมาแบบนั้นได้ แต่ฉันก็ทนอยู่ในกฎระเบียบของแม่ไม่ได้ สิ่งที่ฉันแสดงออกมามันไม่ใช่ตัวตนของฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันคิดอยู่เสมอว่าทำไมแม่ถึงต้องยุ่งกับชีวิตของฉันมากมายขนาดนี้ ฉันต้องการจะมีอิสระ ต้องการจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่ฉันก็ไม่ได้รับในสิ่งที่ตัวเองต้องการเลยแม้แต่น้อย เพราะอะไรน่ะหรอ? ก็เพราะว่าฉันเป็นทายาทรุ่นที่หกสิบหกคนเดียวของตระกูลฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์ที่ยังมีชีวิตอยู่น่ะสิ

     

         ค่ะ  ฉันเป็นทายาทรุ่นที่หกสิบหกคนเดียวของตระกูลฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์ที่ยังมีชีวิต คุณอ่านไม่ผิดหรอก เพราะว่าป้าสะใภ้ก็ไม่มีลูก อาผู้หญิงก็ยังไม่แต่งงาน ส่วนลูกของญาติคนอื่นๆ ก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน จากนั้นก็ตายกันหมด มันเป็นคำสาปประจำตระกูลของฉันที่ว่าตระกูลฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์จะมีถึงรุ่นที่หกสิบห้าเท่านั้น ถ้ามีรุ่นที่หกสิบหก ทายาทรุ่นที่หกสิบหกทุกคนก็จะมีชีวิตอยู่ได้เกินสามเดือนจากนั้นก็จะตาย แล้วฉันรอดมาได้ยังไง? ทำไมฉันถึงไม่ตายเหมือนทายาทคนอื่นๆ ล่ะ? ฉันกำลังจะบอกทุกท่านว่าการที่ฉันรอดพ้นคำสาปนั้นมาได้มันไม่ใช่ปาฏิหาริย์ แต่เป็นเพราะว่าฉันเป็นผู้ไม่ตายจริงๆ เพราะตอนเด็กๆ ฉันเคยลองฆ่าตัวตายมาหลายครั้ง แต่ฉันก็รอดมาได้ทุกครั้ง แถมฉันยังไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักครั้ง

     

         ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แต่ฉันก็คิดว่าการที่ต้องตายตั้งแต่สามเดือนกับการที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างขมขื่นมันก็มีค่าเท่ากัน เพราะฉันไม่เคยมีความสุขกับชีวิตของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เพราะฉันต้องสวมบทบาทเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันต้องสร้างภาพหลอกคนอื่นว่าฉันเป็นสุภาพสตรีผู้เพียบพร้อมซึ่งจริงๆ แล้วฉันก็เป็นเหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่ต้องการที่จะเป็นตัวของตัวเอง แต่ฉันก็ทำไม่ได้เพราะต้องรักษาชื่อเสียงของวงค์ตระกูล เพราะคนจากทั่วมุมโลกกำลังจ้องมองฉันอยู่  จริงๆ แล้วฉันเป็นเด็กมีปัญหาที่ข้างในนั้นบอบช้ำมาก และบาดแผลในใจของฉันก็ลึกลงเรื่อยๆ เป็นเพราะว่าฉันไม่มีโอกาสที่จะได้ระบายความรู้สึกที่อยู่ข้างในนั้นออกมา

     

          เพราะความที่เป็นทายาทรุ่นที่หกสิบหกคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของตระกูลฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์ ทำให้ฉันถูกบังคับให้ใช้คำนำหน้าว่าเลดี้โดยปริยาย ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ ยังใช้คำนำหน้าธรรมดา และคำว่าเลดี้ของฉันทำให้ฉันต้องใช้ชีวิตในโรงเรียนอยู่อย่างไม่เป็นสุข เพราะในแต่ละวันฉันก็มักจะได้ยินคำพูดเสียดสีที่เหล่านักเรียนพากันจับกลุ่มเพื่อวิจารณ์ครอบครัวของฉัน พวกเขาไม่ใช่คนในครอบครัวของฉัน พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ พวกเราก็อยู่ของพวกเราดีๆ โดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แล้วพวกเขามาว่าพวกเราทำไม ใช่! พวกเขาอาจจะทำไปเพราะความคึกคะนอง หรือความสนุกปากเท่านั้น แต่เมื่อมีคนผ่านมาได้ยินยิ่งถ้าคนคนนั้นเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือคนในครอบครัวนั้นด้วยมันไม่สนุกเลยแม้แต่น้อย พวกเขาอาจทำไปเพื่อยั่วโมโหฉัน เพราะพวกเขาอยากเห็นฉันโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแล้วเดินไปตบพวกเขา จริงๆ แล้วฉันก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะฉันต้องไม่ทำให้วงค์ตระกูลเสียชื่อเสียง และต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ดังนั้น...ฉันก็เลือกที่จะทนต่อไป โดยเก็บเรื่องนั้นไว้คนเดียวโดยที่ไม่เอาไปเล่าให้ทั้งแม่ทั้งญาติคนอื่นๆ ฟัง เพราะฉันไม่อยากจะทำให้พวกท่านไม่สบายใจ

     

          ตอนฉันอายุสิบสาม ฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนเดอะดรีมมิ่นวิงโซ ไม่มีใครมองฉันในแง่ดีเลยสักคน พอฉันทำอะไรถูกก็กลายเป็นผิดเสมอในสายตาของคนอื่นๆ เพราะตอนที่ฉันชนะการแข่งขันตอบปัญหาวิชาการ นักเรียนคนอื่นๆ ก็พากันคิดว่าฉันใช้เงินซื้อรางวัลนั้นมาในขณะที่ฉันใช้ความสามารถของตัวเองทั้งหมด ตอนที่เรียนอยู่ในห้องเรียนก็เหมือนกัน ฉันก็มักจะตอบคำถามของคุณครูในทุกรายวิชา และคำตอบของฉันก็ถูกต้องทั้งหมด แต่นักเรียนคนอื่นๆ ก็พากันต่อว่าฉันว่าฉันนั้นอวดฉลาด และพยายามทำตัวให้เหนือกว่าคนอื่นอยู่เสมอ พวกเขาเป็นอะไรไปกันหมดน่ะ? ในโลกใบนี้ช่างไม่มีความยุติธรรมเลยจริงๆ

     

         ฉันใช้ชีวิตภายในโรงเรียนอย่างโดดเดี่ยว ฉันไม่มีใครคบเพราะนักเรียนคนอื่นๆ ก็พากันคิดไปว่าฉันนั้นหยิ่ง และถือตัว แต่จริงๆ แล้วฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย และฉันไม่เคยคิดแม้แต่จะแบ่งชนชั้นกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมพวกเขาถึงคิดแบบนั้นล่ะ?

     

         เพราะฉันถูกสังคมประณาม และถูกแม่บีบบังคับให้อยู่ในกฏระเบียบของการเป็นสุภาพสตรีผู้เพียบพร้อม ทำให้ฉันกลายเป็นคนเปราะบางในที่สุด เมื่อฉันถูกต่อว่าตำหนิ หรือเมื่อฉันได้ยินคำพูดเสียดสีเหล่านั้น น้ำตาของฉันก็มักจะไหลออกมาโดยที่ฉันไม่รู้ตัว ไม่มีใครรู้ว่าฉันกำลังร้องไห้ เพราะว่าการที่ฉันยิ้มทั้งน้ำตาทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นน้ำตาของฉัน ต้องขอบคุณแม่ที่ส่งฉันไปเรียนการแสดงตั้งแต่ห้าขวบ เพราะมันทำให้ฉันเล่นละครตบตาผู้คนได้อย่างแนบเนียน มันทำให้ผู้คนเห็นฉันเป็นสุภาพสตรีผู้เพียบพร้อม ในขณะที่ฉันได้กลายเป็นเด็กมีปัญหาไปแล้ว และมันทำให้ผู้คนเชื่อว่าฉันกำลังมีความสุข ในขณะที่ฉันกำลังร้องไห้ด้วยความขมขื่น และวิธีที่ดีที่สุดในการที่จะลืมเรื่องขมขื่นเหล่านั้นก็คือการเข้าไปในโลกแห่งความฝัน เพราะช่วงเวลาแห่งความขมขื่นนั้น การหลับตาลงแล้วฝันถึงเรื่องต่างๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน เพราะมันจะทำให้ฉันสามารถที่จะลืมเรื่องขมขื่นเหล่านั้นได้เพียงชั่วขณะ 

     

         ฉันเป็นคนที่ชอบยึดติดอยู่กับโลกแห่งความฝันเป็นอย่างมาก ฉันมักจะฝันเป็นเรื่องเป็นราว และความฝันของฉันมันก็คล้ายกับความจริงมาก จนกระทั่ง...วันหนึ่ง ฉันพบว่าสิ่งที่ฉันฝันนั้นได้กลายเป็นเรื่องจริง ความฝันเหล่านั้นมักจะเตือนฉันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้เสมอ เช่นตอนที่ฉันอายุสิบห้าปี ฉันถูกบังคับให้แต่งงานกับขุนนางชั้นสูงคนหนึ่งซึ่งมีอายุมากกว่าฉันถึงยี่สิบปี และตอนที่ฉันฝัน ความฝันของฉันก็เตือนฉันว่าฉันไม่ควรที่จะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ เพราะเขาเป็นคนไม่ดี และความฝันนี้เองก็เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตฉันให้กล้าทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

     

         ฉันตัดสินใจที่จะหนีออกจากคฤาหาสน์ฟรานซ์สเตลเดอราสแชร์ในวันรุ่งขึ้นที่ตื่นจากความฝัน ฉันวิ่งไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายเพื่อที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทันใดนั้น...ฉันก็เหลือบไปเห็นว่าแม่กำลังวิ่งตามฉันมา ท่านพยายามตะโกนเรียกฉันให้ฉันหยุด แต่ฉันไม่ยอมหยุด ฉันจึงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมีรถไฟขบวนหนึ่งเคลื่อนที่มาด้วยความเร็วสูง มันพุ่งเข้ามาชนร่างแม่ของฉันให้กระเด็นไปตกข้างทาง ร่างของแม่นอนนิ่งอยู่ข้างทาง และมีเลือดไหลไม่หยุด แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวของฉันเอง ทำให้มีบางอย่างมาดลใจให้ฉันวิ่งต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่เดินกลับไปหาร่างที่หมดสติของแม่ และตอนนี้...ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ฉันก็ไม่อาจรู้ได้

     

         เอาล่ะ...ฉากดราม่าได้จบลงแล้ว เมื่อฉันต้องเข้านอนแล้วในตอนนี้ ราตรีสวัสดิ์ค่ะทุกท่าน

     

         ปล. ดราม่าก่อนนอนทำให้นอนไม่หลับ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×