ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels คนบ้าระห่ำ แหกกฎสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #14 : Nightmare in Sitarena II

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ย. 61


     13

    Nightmare in Sitarena II

     

         " ไม่!!! " ฉันกรีดร้องสุดเสียง เมื่อพวกผีดิบกำลังลากฉันไปยังสถานที่ที่น่าสยดสยอง และน่าหดหู่แห่งหนึ่ง ตอนนี้ฉันรู้สึกกลัวมาก ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ ใครก็ได้ช่วยทำให้ฉันตื่นจากฝันร้ายนี่ที!!!

     

         " เบลลาทริกซ์ ตื่นสิ! " เสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูฉัน และเสียงนั้นก็เรียกให้ฉันตื่นจากฝันร้าย และกลับมาเผชิญหน้ากับโลกแห่งความจริงอีกครั้ง

     

         เมื่อได้สติ ฉันจึงเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ฉันพบว่า ฉันกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของดรากเนส และเพื่อนอีกเจ็ดคนต่างก็นั่งอยู่รอบๆ ฉัน เมื่อฉันค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ ฉันก็พบว่า พวกเรากำลังอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นป่าที่เหมือนกับในฝันร้ายของฉัน

     

         " เกิดอะไรขึ้นน่ะ? " ฉันเอ่ยถามขึ้นพลางหอบหายใจถี่ๆ

     

         " ก็ตอนที่เราแยกกันไปหาหนังสือเกี่ยวกับไซเทร์น่าน่ะ พอหาได้สักพัก อยู่ดีๆ เธอก็สลบไป ตอนนั้นฉันตกใจมาก ก็เลยทำอะไรไม่ถูก พอได้สติก็รีบอุ้มเธอลงไปข้างล่าง แล้วประมาณสามทุ่ม พวกผีดิบก็ได้บุกเข้ามาในปราสาทนั้น เพราะกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัย ฉันจึงอุ้มเธอไม่เก็บไว้ในห้องใต้ดินของปราสาทก่อนที่พวกเราทั้งหมดจะออกไปสู้กับพวกผีดิบ ด้วยความที่ฉันกังวลเรื่องเธอมาก ทำให้ฉันไม่มีสมาธิเลยในตอนนั้น ดังนั้น...มันก็ทำให้ฉันทำอะไรพวกผีดิบพวกนั้นไม่ได้ คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน พอเห็นว่าเราทำอะไรพวกมันไม่ได้ ฉันก็รีบอุ้มเธอมาด้วย แล้วรีบหนีเข้าป่าให้เร็วที่สุด เพราะในหนังสือบอกไว้ว่า พวกผีดิบจะเข้าไปในเมืองเพื่อล่าเหยื่อในตอนกลางคืน และจะกลับมาที่นี่ในตอนรุ่งเช้า " ดรากเนสว่า เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้ดรากเนสบอกว่าฉันแค่สลบไประหว่างตอนที่กำลังหาหนังสือ แต่ไม่ได้ตกลงมาจากพื้นที่แยกออกแล้วเข้ามาในป่านี้งั้นหรอ 

     

         " ฉันคิดว่าฉันต้องไม่ใช่แค่สลบไปแน่ๆ " ฉันว่า " ตอนที่เดินขึ้นไปข้างบน ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา แล้วตอนหาหนังสือก็เหมือนกัน ฉันได้กลิ่นเหม็นเน่าของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง และรู้สึกว่าพวกมันกำลังเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ ฉันอยู่ตลอดเวลา จากนั้น...ห้องนั้นก็สั่นไปทั้งห้อง แล้วชั้นหนังสือก็กำลังจะเคลื่อนที่มาทับฉัน ตอนนี้ฉันกลัวมาก ฉันจึงก้าวถอยหลังแล้วล้มลงกับพื้น และพื้นห้องนั้นก็แยกออก ฉันจึงตกลงไปข้างล่าง จากนั้นมันก็พาฉันมาที่ป่านี้ เหตุการณ์เหล่านั้นมันดูเหมือนกับว่า มันเกิดขึ้นจริงๆ มันทำให้ฉันสับสนเป็นอย่างมากว่าเหตุการณ์เหล่านี้มันได้เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า? "

     

         " ฉันคิดว่าฉันต้องเกิดอาการจิตหลอนอย่างแน่นอน " เรอัสว่า " ซึ่งอาการจิตหลอนนี้มันเป็นผลข้างเคียงของการใช้พลังจิตน่ะ ซึ่งผู้ใช้พลังจิตทุกคนจะมีอาการแบบนี้ กฎของมันมีอยู่ว่า เธอใช้พลังจิตไปกี่ครั้ง ก็จะเกิดอาการจิตหลอนตามมาเท่ากับจำนวนที่เธอใช้พลังจิตไป  และอาการจิตหลอนก็จะมีผลภายในวันที่เธอใช้พลังจิตไปนั้น เพราะฉะนั้น...เธอไม่ควรใช้พลังจิตมากกว่าสามครั้งต่อวัน เพราะมันอาจทำให้เธอจิตเสื่อมได้ "    

     

         " ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับข้อมูล และคำแนะนำที่ดีนะ " ฉันร้องบอกเรอัส ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดก็ตาม แต่ฉันก็จะพยายามทำความเข้าใจกับมันดู

     

          " ทุกคน! พวกผีดิบจะกลับมาที่นี่ตอนตีห้า " ดีซีดอเรต้าร้องบอก ทุกคนต่างก็มีท่าทีที่ตกใจเล็กน้อย ดรากเนสจึงหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูพร้อมกับพูดว่า

     

         " ตอนนี้ก็ใกล้เวลาแล้ว เพราะฉะนั้น...พวกเราทุกคนต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ให้ดี " ดรากเนสว่า แล้วทุกคนก็พยักหน้ารับ

     

         " ฉันว่าตอนนี้ เราทำใจกันก่อนดีมั้ยเพื่อน " อดอล์ฟว่า "  เพราะด้วยสัญชาตญาณแห่งความเป็นยมทูตชนชั้นสูงของฉันบอกว่า พวกผีดิบกำลังเดินเข้ามาในป่านี้แล้ว และพวกมันกำลังจะเดินผ่านตรงจุดที่เราอยู่นี้ในอีกไม่ช้า "

     

         ตึก...ตึก...ตึก!!!

     

         เสียงฝีเท้าของเหล่าผีดิบจำนวนเกือบร้อยคนดังขึ้น และเสียงฝีเท้านั้นก็ได้ดังขึ้นเรื่อยๆ

     

         " มึงจะพูดทำไมวะ? เวลามึงพูดเรื่องอะไร มันก็จะเป็นจริงทุกที " ดรากเนสว่าพลางตบหัวอดอล์ฟ แต่อดอล์ฟก็ยังคงไม่สำนึก เขาจึงพูดขึ้นมาว่า

     

         " กูแค่เตือนให้พวกมึงรู้ตัวเฉยๆ กูกลัวว่าถ้าพวกผีดิบพวกนั้นบุกเข้ามา พวกมึงจะกลายเป็นศพที่มีสภาพเน่าแฟะ มีเลือดกับน้ำหนองไหลออกมาไม่หยุด เนื้อเยื่ออวัยวะฉีกขาด หน้าถูกบดจนเละ หนังถูกถลกออกจนหมด มึงลองนึกภาพดูสิ มึงอยากเป็นอย่างนั้นหรอ? "

     

         " ไม่เว๊ย กูจะต้องไม่เป็นแบบนั้น คนอื่นก็เหมือนกัน มึงหยุดพูดได้แล้ว ภาพศพเละๆ นั่นกำลังติดตากูอยู่ แมร่งสยองจะตายห่าอยู่แล้ว ไอ้โรคจิตเอ๊ย! " ดรากเนสสบถ จากนั้นทุกคนก็เงียบลง ฉันก็ต้องสะดุ้ง เมื่อกลิ่นเหม็นเน่าเหล่านั้นกำลังลอยเข้ามาแตะจมูกฉัน และเสียงฝีเท้านั้นก็ได้ดังขึ้นเรื่อยๆ

     

          " ]jkgspnjv " ผีดิบตัวหนึ่งบ่นพึมพำขึ้นเป็นภาษาที่ฉันไม่เข้าใจ น้ำเสียงเย็นที่สะท้อนกับแนวป่าโล่งๆ ทำให้ฉันตัวสั่นด้วยความกลัว และใจเต้นด้วยจังหวะเร็วระรัวตามลำดับ ตอนนี้ร่างของฉันเย็นจีด หน้าของฉันได้ชาไปหมดทั้งหน้า จนทำให้ตอนนี้ฉันไม่สามารถรับความรู้สึกอะไรได้เลยทั้งนั้น

     

         " ใครฟังออกบ้างว่ามันพูดอะไร? " มอนสเตลล่าเอ่ยถามขึ้น แม้แต่ผู้วิเศษเกียรติยศตระกูลเดอ มาเรียไนล์อย่างมอนสเตลล่ายังฟังไม่ออก คงไม่มีใครฟังออกแล้ว

     

         " ฉันฟังออก ฉันเคยคุยกับพวกผีดิบครั้งหนึ่ง ตอนนั้นพวกมันมาถามทางฉัน " อดอล์ฟว่า " เมื่อกี้ผีดิบตัวนั้นบอกว่าอาหารที่เพิ่งกินมาไม่อร่อยเลย หนังก็เหนียว กระดูกก็แข็ง เขี้ยวก็ยาก แถมตัวเหม็นเน่าอีกต่างหาก สงสัยคนนั้นมันจะซกมกไม่ชอบอาบน้ำ "

     

         " มึงมั่วรึเปล่าวะ? มันพูดสั้นนิดเดียว แล้วทำไมมึงแปลยาวจังวะ " ดรากเนสว่า

     

         " ก็ภาษาของพวกผีดิบมีความซับซ้อนสูง ตามปกติแล้วพวกผีดิบเป็นเผ่าพันธุ์ที่ขี้เกียจที่สุดในจักรวาล ดังนั้น...แต่ละคำที่มันพูดออกมาก็ถูกย่อมาจากคำพูดยาวๆ ทั้งนั้น "

     

         " อื่มม์...อย่างนั้นหรอ? ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยล่ะ คือว่านี่จะเป็นความรู้ใหม่ " เรอัสว่า ตกลงอดอล์ฟมั่วหรือเปล่าเนี่ย

     

         " ฉันไม่ได้มั่วนะ ฉันรู้ภาษาผีดิบจริงๆ ฟังออกทุกคำด้วย " พระเจ้า! เขาได้ยินฉันพูดในใจอีกแล้ว คราวหน้า ฉันสบานได้เลยว่าฉันจะไม่พูดในใจอีกแล้ว

     

         จากนั้น...พวกผีดิบพวกนั้นก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง พวกมันถอนหายใจออกมาแรงๆ จากนั้นก็มีผีดิบตัวหนึ่งพูดขึ้นมาว่า

     

         " vjikofrp "

     

         " ผีดิบตัวหนึ่งสั่งผีดิบทุกตัวว่าให้เดินวนรอบป่าเผื่อจะพบซากศพ และสามารถนำมาทำอาหารได้ " พออดอล์ฟพูดจบ ทุกคนก็เงียบ ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกผีดิบชัดเจนขึ้น พวกมันอยู่ใกล้กับที่พวกเราอยู่มาก ฉันหวังว่าพวกเราคงจะไม่ถูกพวกมันจับไปทำอาหารนะ

     

         "  J "

     

         " มันบอกให้ผีดิบทุกตัวเลี้ยวขวา "

     

         " ดีแล้ว มันจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับเรา เมื่อคืนฉันเหนื่อยแทบแย่ " ดอลล่าร์ว่า

     

         " เฮ้ย! " ดรากเนสร้องขึ้น ด้วยความตกใจฉันจึงหันหน้าขึ้นไปมองข้างหน้า แล้วพบว่าเงาของพวกผีดิบเหล่านั้นได้เคลื่อนที่มาทางเราเรื่อยๆ " มึงบอกว่าพวกมันจะไปทางขวา แล้วทำไมมันเดินมาทางนี้วะ "

     

         " โทษทีว่ะเพื่อน คือว่า...คำว่าซ้ายกับขวาในภาษาผีดูดเลือดมันออกเสียงคล้ายกัน กูก็เลยฟังผิดว่ะ "

     

         " เหี้ย! มึงฟังผิดนิดเดียวก็ทำให้เราตายได้นะเว๊ย " ดรากเนสว่า ตอนนี้เขามีสีหน้าที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขากำลังกังวล พวกเราทุกคนก็เหมือนกัน

     

         " ฮึ่ม...ฮึ่ม!!! " ทันใดนั้นเสียงคำรามอันน่าสยดสยองก็ดังขึ้น มันทำให้ฉันใจเต้นเร็วระรัวด้วยความกลัว ฉันไม่กล้าที่จะขยับตัวไปไหน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

     

         " ทุกคน นิ่งไว้นะ " ดรากเนสกระซิบบอกพวกเรา 

     

         จากนั้น...เสียงคำรามนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เงาของพวกผีดิบกำลังจะเคลื่อนที่มาใกล้เรามากขึ้นเรื่อยๆ ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อฉันรู้สึกว่าพวกมันกำลังเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังฉัน 

     

         บัดนี้...น้ำตาแห่งความรู้สึกหดหู่ได้ไหลอาบแก้มฉัน ฉันกำมือที่ไร้ความรู้สึกของตัวเองไว้แน่น แน่นซะจนเล็บได้จิกเข้าไปหนัง ทำให้เกิดแผลเป็นแนวยาว และมีเลือดไหลไม่หยุด

     

         พวกผีดิบกำลังเดินฝ่าแนวไม้มาที่นี่ พวกมันกำลังดมกลิ่นบางอย่างอยู่บนพื้น จากนั้น...พวกมันจึงกระโจนข้ามแนวไม้สูงๆ ที่เรียงกันเป็นแถวก่อนที่จะย่างกรายเข้ามาที่นี่

     

         " ฮึ่ม...ฮึ่ม!!! " เสียงคำรามนั้นดังก้องไปทั่วป่า พวกมันกำลังเดินเข้ามาหาฉัน และฉันก็หวังว่าฉันคงจะมีความกล้ามากพอจนสามารถที่จะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกเราทั้งหมดไม่ต้องจบชีวิตลง และฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะทำมันแล้ว

     

         " ฮึ่ม...ฮึ่ม!!! " เสียงคำรามของผีดิบตัวหนึ่งดังขึ้นข้างหูฉัน และเสียงนั่นทำให้ฉันขนลุก ฉันจึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วพบว่าตอนนี้พวกผีดิบทั้งหมดได้ล้อมรอบพวกเราไว้แล้ว พวกมันกำลังเดินเข้ามาทางเรา สีหน้าของพวกมันบ่งบอกถึงความหิวกระหายได้อย่างชัดเจน พวกมันกำลังย่างกรายเข้ามาทางเรา และกำลังยื่นมือขาวซีดที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกนั้นเข้ามาดึงร่างของพวกเราทั้งหมดไป หวังว่าครั้งนี้ การตัดสินใจของฉันคงจะได้ผล

     

         " หยุดนะ!!! " ฉันตะโกนสั่งทั้งน้ำตา พอฉันพูดจบ พวกผีดิบพวกนั้นก็หยุดเดินแล้วมองหน้าฉันงงๆ พวกมันหยุดแล้วใช่มั้ย?

     

         " วิ่ง! " ดรากเนสก็ตะโกนสั่งพลางลากแขนพวกเราให้วิ่งออกไปป่า โดยที่พวกผีดิบยังคงมองเราอย่างงงๆ 

     

         ด้วยความเร็วของดรากเนส ทำให้เราสามารถออกจากป่าได้ภายในสามวินาทีเท่านั้น พวกเราทั้งหมดกำลังยืนอยู่บนทางเข้าป่าที่ตรงข้ามกับหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง และตอนนี้...ดวงอาทิตย์ก็กำลังขึ้นสู่ขอบฟ้า ช่างเป็นรุ่งเช้าที่งดงามอะไรเช่นนี้!

     

         " เบล...เธอทำได้!!! " แบล์คลีซาว่าพลางโผลกอดฉัน " ถ้าพ่อรู้คงภูมิใจมากแน่ๆ เธอเป็นผู้สืบทอดพลังที่ดีจริงๆ "

     

         " มันเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก ทุกคนว่ามั้ย? " มอนสเตลล่าเอ่ยขึ้น จากนั้นทุกคนก็พยักหน้ารับ " พลังจิตของเธอช่างน่าเกรงขามอะไรเช่นนี้! "

     

         " ขอบคุณมากนะเบลลาทริกซ์ " ยูลิคเอ่ยขึ้น " ด้วยความสามารถของเธอ ฉันเชื่อว่าเธอต้องทำภารกิจนี้สำเร็จแน่ๆ "

     

         " ไม่ขนาดนั้นหรอก พวกเธอชมฉันเกินไปแล้ว " ฉันว่า

     

         " วันนี้เธอใช้พลังจิตไว้หนึ่งครั้งแล้ว เพราะฉะนั้น...เธอห้ามใช้พลังจิตเกินสามครั้งเด็ดขาด " เรอัสว่า

     

         " อื่มม์...ขอบใจนะที่เตือน " ฉันว่า " เหลืออีกแค่สองครั้งเท่านั้นสำหรับวันนี้ ฉันจะพยายามใช้แต่ในสถานการณ์ที่จำเป็นเท่านั้น "

     

         " ตอนนี้หกโมงครึ่งแล้ว ให้เราเข้าไปในหมู่บ้านกันเถอะ " ดรากเนสตัดบท จากนั้น...พวกเราทั้งหมดจึงเดินเข้าไปในหมู่บ้าน

     

         มันเป็นหมู่บ้านร้างกลางเขาที่เงียบสงบ มองไปสองข้างทางก็เจอบ้านที่ไม่มีใครอยู่ บ้านบางหลังก็เปิดประตูทิ้งไว้ บ้านบางหลังก็ถูกปิดตาย ซึ่งสภาพของบ้านก็ดูเก่าคร่ำครึเต็มทน ทุกบ้านมีฝุ่นจับ และมีวัชพืชรกๆ ขึ้นปกคลุมบ้านไปหมด

     

         พอเดินเข้าไปอีกหน่อย เราก็พบกับซากศพที่มีสภาพไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งนอนเกลื่อนกลาดอยู่ข้างทาง พวกมันต่างก็นอนแผ่หลาเพื่อแผ่รัศมีความน่าสะพรึงกลัว ศพทุกศพต่างก็มีสภาพที่ดูไม่ได้ และมีสีหน้าหดหู่ทั้งสิ้น และยิ่งไปกว่านั้น ซากศพเหล่านั้นต่างก็อยู่ในสภาพที่มีอวัยวะไม่ครบส่วน  ร่างเละราวกับถูกบางอย่างที่มีฟันแหลมแทะตั้งแต่หัวจรดเท้า

     

         พวกเราหยุดมองภาพที่น่าสยดสยองเหล่านั้นก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าหมู่บ้านไป และฉันหวังว่าเราคงจะไม่เจอกับเรื่องเลวร้ายภายในหมู่บ้านนี้

     

         พวกเราเดินมาเกือบหนึ่งชั่วโมง ในที่สุด...พวกเราก็มองหยุดอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง มันเป็นห้องเล็กๆ ที่ถูกล้อมรอบด้วยกระจกใสๆ และบัดนี้ กระจกทุกบานก็ได้มีรอยร้าวเกิดขึ้น กระจกบางบานถึงกับหลุดออก แล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่บนพื้น ด้วยความที่ไม่มีทางเลือก พวกเราจึงเดินเข้าไปในร้าน ที่หน้าประตูมีผู้ชายร่างท้วมคนหนึ่งกำลังจ้องมองที่เรา ดวงตาของเขาได้ถูกขวักออกไปเผยให้เห็นดวงตากลวงโบ๋ทั้งสองข้าง เลือดสีเข้มได้ไหลออกมาจากปากตลอดเวลา และที่คอของเขาได้มีรอยกัดยาวที่ทำให้คอของเขาเกือบขาด ซึ่งผู้ชายคนนั้นก็เป็นศพเหมือนกับทุกคนในหมู่บ้านนี้พวกเราจึงเลิกสนใจศพของผู้ชายคนนั้นที่ยืนเฝ้าหน้าร้านอยู่แล้วรีบเดินเข้ามาในร้านทันที

     

         ภายในร้าน มีโต๊ะที่ถูกทำให้แตกหักวางอยู่เป็นจำนวนมาก เบาะของเก้าอี้ถูกทำให้ฉีกขาด ในที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีสภาพดีที่สุดในร้าน และเริ่มที่จะมองหาอาหาร ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมของดรากเนสทำให้เขาเหลือบไปเห็นอาหารจานใหญ่ที่ถูกวางที่ไว้ในเตาอบ เขาจึงไปหยิบอาหารนั้นมา และเราทั้งหมดจึงเริ่มที่จะกินอาหารนั้น

     

         มันเป็นอาหารรสชาติฝืดๆ และมีกลิ่นคาวเนื่องจากถูกวางทิ้งไว้นาน ด้วยอาหารที่มีรูปร่าง และสีสันที่ไม่คุ้นเคย ฉันคิดว่ามันคงจะเป็นอาหารท้องถิ่นของที่นี่แน่ๆ

     

         " รสชาติเหมือนหนังสัตว์เลย " มอนสเตลล่าเอ่ยขึ้นทำให้ฉันที่เพิ่งจะกินอาหารนี่ได้แค่สามคำเท่านั้นก็ต้องหยุดกินทันที

     

         " คาดว่าสัตว์ที่ใช้ทำอาหารนี่คงยังตายไม่สนิท เพราะเนื้อมันยังนิ่มอยู่เลย " เรอัสว่า

     

         " มีรูปร่างมันสิ พวกเธอคิดว่ามันเหมือนอะไรถ้าไม่ใช่สัตว์ที่เฝ้าหน้าปราสาทนั่น " ดอลล่าร์ร้องขึ้น " ดูอุ้มเท้ามันสิ มันเป็นอุ้มเท้าของสัตว์พวกนั้นจริงๆ ด้วย "

     

         " ฉันคิดว่ามันต้องเป็นเนื้อคนอย่างแน่นอน " ดรากเนสว่า " ถ้าเป็นเนื้อสัตว์คงไม่เนื้อนุ่มขนาดนี้หรอก "

     

         " เนื้อคนจริงๆ ด้วย ฉันเจอกะโหลกคนในถ้วยซุปนี้ด้วย " อดอล์ฟว่าพลางใช้ช้อนตักหัวกะโหลกนั้นขึ้นมา ด้วยสภาพของกะโหลกที่สึกหรอ และรูปร่างที่ผ่านการกัดมาแล้วทำให้ฉันรู้สึกคลื่นไส้ทันที

     

          จากนั้น...ยูลิคก็หยิบกะโหลกอันนั้นขึ้นมา แล้วเคาะเป็นเป็นจังหวะvirgio แล้วพูดขึ้นมาว่า

     

    * virgio = จังหวะเร็วระรัว ( เป็นศัพท์ทางดนตรี)

     

         " ฉันว่าศพของคนที่ถูกนำมาทำอาหารนี่ต้องถูกฆ่าเมื่อไม่นานมานี้แน่ๆ เพราะเนื้อกะโหลกยังมีความหนาแน่นน้อย เคาะแล้วยังเกิดความกังวานอยู่เลย " ยูลิคว่าพลางส่งกะโหลกอันนี้ไปในโซเฟจ แล้วโซเฟจก็โยนกะโหลกนี่ลงพื้น จากนั้น...กระโหลกนี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ จนกลายเป็นเขม่าควันสีดำแล้วระเหยขึ้นไปในที่สุด

     

         " ฉันว่าคนที่ถูกฆ่านี่ต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน เพราะเนื้อกะโหลกอันนี้เปราะบางมาก " สิ้นคำโซเฟจ ฉันก็แทบจะสำลักอ้วกออกมา นี่ฉันกำลังนั่งกินข้าวอยู่กับพวกโรคจิตหรอเนี่ย? แต่ทำไมคนอื่นยังกินข้าวลงอยู่ล่ะ?

     

    " ก็เพราะว่า เมื่อคืนนี้เราได้ผ่านเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองกว่านี้หลายเท่า ทำให้เหตุการณ์แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างมากสำหรับพวกเรา " อดอล์ฟเอ่ยขึ้น

     

    " ดีแล้วเบลที่เธอไม่ได้เผชิญกรรมอยู่กับเราเมื่อคืน เพราะฉันคิดว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนั่นอาจทำให้เธอเสียสติได้ " แบล์คลีซาเอ่ยขึ้น

     

    " ขอบใจมากนะแบล์ เธอเป็นน้องสาวที่ดีมาก " ฉันเอ่ยขึ้น จากนั้น...ฉันจึงพยายามที่จะฝืนกินอาหาร(?)นี้เข้าไปเพื่อทำให้ตัวเองอยู่รอด เพราะฉันรู้ว่า ภายในวันนี้ ฉันจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่าสยอดสยองเหล่านั้นแน่นอนไม่เร็วก็ช้า และมันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

     

    " กรี๊ดดดดดดด!!! " ทันใดนั้น...ฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากทางด้านหลังของร้านอาหารแห่งนี้ ฉันจึงรีบวางมือจากอาหารอันน่าสยดสยองนั่นแล้วรีบวิ่งออกไปตามเสียงกรีดร้องนั้นทันที

     

    ไม่นาน...ฉันก็มาหยุดอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง มันเป็นบังกะโลเล็กๆ สองชั้น ที่มีหญ้ารกๆ ขึ้นเต็มไปหมด และเสียงกรีดร้องที่ได้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ได้หายไปแล้ว ฉันจึงมองไปรอบๆ พบว่ามีเงาของบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ชั้นสอง และเสียงร้องแหบพร่าก็ได้ดังขึ้นข้างๆ หูฉัน มันเป็นเสียงร้องที่เหมือนกับในฝัน

     

    " เบลลาทริกซ์...เบลลาทริกซ์ ฮี่ๆๆๆๆ!!! " ด้วยความกลัวฉันจึงรีบวิ่งเข้าไปในบังโลนั่น และรีบปีนบันไดขึ้นไปที่ระเบียงชั้นสอง ฉันใช้มือสั่นๆ ของตัวเองกระชากประตูออกเผยให้เห็นภาพของหญิงสาวที่กำลังดิ้นอย่างทุรนทุรายเพื่อที่จะพยายามทำให้ตัวเองไม่ตกเป็นอาหารของเหล่าผีดิบที่ล้อมรอบตัวเธอไว้ ตอนนี้สภาพของหญิงสาวคนนั้นมีสภาพที่เละยิ่งกว่าศพเสียอีก ขาของเธอถูกกัดให้ขาดไปทั้งดุ่นข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งมีเลือดไหลอาบไปทั่ว แขนทั้งสองข้างห้อยต่องแต่งไปมา ช่วงหัวถึงคอถูกบดละเอียดจนเละ และมีเลือดไหลไม่หยุด และด้วยความบ้าระห่ำของฉันในตอนนั้นที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนก็ทำให้ฉันตะโกนร้องสั่งผีดิบที่มีอาการบ้าคลั่งพวกนั้นว่า

     

     " หยุดนะ!!! " สิ้นคำฉัน พวกผีดิบจึงได้หยุดการกระทำของพวกมัน พวกมันหยุดนิ่งแล้วมองหน้าฉันงงๆ ก่อนที่จะรีบกระโจนลงไปข้างล่างในที่สุด ถ้าฉันจำไม่ผิด นี่เป็นการใช้พลังจิตครั้งที่สองของฉันในวันนี้ และฉันจะสามารถใช้ได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

     

    " ข่ะ...ขอบใจนะ " หญิงสาวพูดเบาราวกับกระซิบพลางพยายามใช้ร่างกายที่แทบจะไม่มีแรงของเธอคลานมาหาฉัน สภาพที่เละยิ่งกว่าศพของเธอทำให้ฉันกลัว ดังนั้น...ฉันจึงรีบขยับหนีก่อนที่จะกรีดร้องออกมาแล้วรีบลงไปข้างล่างให้เร็วที่สุด

     

    ฉันจึงใช้แรงที่ฉันมีอยู่ทั้งหมดในการวิ่งกลับไปยังร้านอาหารนั้นให้เร็วที่สุด และมันก็เป็นโชคดีของฉันที่เพื่อนของฉันทั้งแปดคนยังคงไม่เป็นอะไร พวกเขาทั้งหมดที่กำลังนั่งอยู่ภายในร้านก็ยิ้มอย่างดีใจขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าฉันกลับมาอย่างปลอดภัย ฉันจึงเข้าไปนั่งกับพวกเขาในร้าน  

     

    " ฉันรู้ว่าเธอทำได้ " ดรากเนสเอ่ยขึ้น

     

    " ขอบคุณนะดรากเนส แต่ฉันคิดว่าเมื่อกี้มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับฉันอีกแล้วล่ะ " ฉันว่า " เมื่อกี้ ตอนที่ฉันวิ่งไปหยุดอยู่หน้าบังกะโลแห่งหนึ่ง ฉันก็ได้ยินเสียงหัวเราะแห้งๆ ดังขึ้นข้างๆ หูฉัน ตอนนี้ฉันก็กลัวมากเลยใช้ความบ้าระห่ำที่มาจากไหนก็ไม่รู้รีบปืนขึ้นไปที่ชั้นสอง แล้วไปช่วยหยุดผีดิบที่จะฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งได้สำเร็จ เสียงหัวเราะนั่นมาตามมาหลอกหลอนฉันอีกแล้ว "

     

    " นี่ก็เป็นอาการจิตหลอนอีกเหมือนกัน " เรอัสว่า " มันคงเป็นผลข้างเคียงมาจากการใช้พลังจิตในตอนเช้าน่ะ " พอเรอัสพูดจบ ฉันก็พยักหน้ารับทันที และฉันก็คิดว่าพลังจิตที่ฉันเพิ่งใช้ไปเมื่อกี้นี้ก็คงจะเกิดผลข้างเคียงตามมาในอีกไม่นานนี้แน่นอน

     

    จากนั้น...พวกเราจึงนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าสยดสยองภายในร้านอาหารนั้น จนกระทั่ง...เวลาประมาณบ่ายสามโมงเศษพวกเราจึงออกจากร้านอาหารนั้น แล้วเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย

     

    เป็นโชคดีของฉัน ที่เส้นทางที่พวกเราเดินกลับไม่มีเหตุการณ์เหตุการณ์สยดสยองเกิดขึ้นเลยตลอดเส้นทางนั้น จนกระทั่งเราเดินกันมาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ฉันก็กลับไม่พบอะไรเลยนอกจากทางโล่งๆ ที่ทอดยาวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

     

    " ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเรากำลังเดินวนอยู่ที่เดิม เพราะเส้นทางที่เราเดินมาต่างก็เป็นเหมือนกันหมด พอฉันลองใช้เวทย์มนต์นำทางตรวจดู มันก็บอกฉันว่าพวกเรากำลังเดินอยู่ในเขตุตะวันออกของไซเทร์น่า มันเป็นเส้นทางที่ทอดยาวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด บางที...มันอาจจะพาเราให้เข้าไปในอวกาศก็เป็นได้ " มอนสเตลล่าเอ่ยขึ้น

     

    "  เดินต่อไป " ดรากเนสร้องสั่ง พอดรากเนสพูดจบ พวกเราก็มองหน้าเขาอย่างงงๆ แล้วร้องถามขึ้นมาพร้อมกันว่า

     

    " ทำไมล่ะ? "

     

    " ฉันคิดว่า เส้นทางนี้ต้องมีจุดหมายแน่ๆ แต่ถ้ามันนำให้เราไปพบกับความตาย เราก็จะสู้กับความตายนั้นให้ถึงที่สุด " สิ้นคำดรากเนส พวกเราจึงพยักหน้าแล้วกัดฟันให้เดินต่อ

     

         ด้วยเส้นทางที่เป็นทางลาดชันทีทอดยาวขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้ฉันรู้สึกปวดขาเป็นอย่างมาก เท้าของฉันที่ถูกใช้ในการเดินมานานนับชั่วโมงนั้นก็ได้หนังถลอก และมีเลือดไหลเป็นทางไม่หยุด และลมหนาวที่พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ฉันก้าวเท้าไม่ออก มันเจ็บมากจริงๆ

     

         โครม!!!

     

         ในที่สุด...ร่างกายที่อ่อนล้าเกินทนของฉันก็ได้ล้มลงบนทางหินขรุขระนั้น ฉันพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ฉันก็พบว่าร่างกายของฉันในตอนนี้ขยับไม่ได้อีกแล้ว ฉันจึงนอนแน่นิ่งอยู่นาน จนกระทั่ง...

     

         พรึ่บ!!!

     

         กระดาษสีซีดๆ แผ่นหนึ่งก็ได้ตกลงมาตรงหน้าฉัน ฉันจึงพยายามเอื้อมมือที่ไม่มีแรงของฉันไปหยิบมันขึ้นมา และปาฏิหาริย์ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อฉันเอื้อมมือไปหยิบกระดาษแผ่นนั้น ร่างกายของฉันก็ขยับได้ตามปกติแล้ว ฉันจึงพยุงตัวให้ลุกขึ้นท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเพื่อนผู้ร่วมเดินทางอีกทั้งแปดคน

     

         " ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะ " ฉันเอ่ยขึ้นพลางก้มหัวให้พวกเขา แต่พวกเขากลับยิ้มให้ฉันก่อนที่จะพูดขึ้นพร้อมกันว่า

     

         " ไม่ต้องขอโทษพวกเราหรอก พวกเรารู้ว่านั่นไม่ใช่ความผิดของเธอ " เสียงประสานพวกนี้ช่างฟังดูน่าขันอะไรเช่นนี้ ฉันจำได้ว่าพวกเขาเริ่มที่จะประสานเสียงกันตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาถึงเมืองหลวงแล้วนี่ แล้วก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนบางที...ฉันก็คิดว่าไปตัวเองกำลังแสดงละครอุปาการเรื่องหนึ่ง

     

         " เอ๊ะ! กระดาษนั่น " ยูลิคว่าพลางหยิบกระดาษแผ่นนั้นไปดูก่อนที่จะร้องขึ้นมาว่า " โอ้! ฉันอ่านลายมือในกระดาษแผ่นนี้ไม่ออก " พอยูลิคพูดจบ เรอัสก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นไปดู

     

         " กระดาษแผ่นนี้ถูกเขียนด้วยภาษาโบราณของไซเทร์น่า และถ้าดูจากสภาพกระดาษ และสีหมึกนี่แล้ว ฉันคิดว่ากระดาษแผ่นนี้คงถูกเขียนขึ้นนานแล้วล่ะ " พอเรอัสพูดจบ มอนสเตลล่าก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นไปดู เธอจ้องข้อความในกระดาษแผ่นนั้นอย่างพิจารณาอยู่นานก่อนที่จะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมาว่า

     

         " เอาล่ะ...ฉันจะลองใช้ความรู้ภาษาไซเทร์เนียนดั้งเดิมที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยแปลข้อความในกระดาษนี้ดูนะ " สิ้นคำมอนสเตลล่า เธอก็กวาดสายตามองไปทั่วกระดาษแผ่นนั้นก่อนที่จะพูดขึ้นว่า " แด่สหายผู้กล้าหาญแห่งไซเทร์น่า เมื่อท่านพบกระดาษแผ่นนี้ ขอให้ท่านจงรู้ไว้ว่าอนาคตของดินแดนไซเทร์น่าทั้งหมดได้อยู่ในมือของท่านแล้ว ท่านมีสิทธิ์ที่จะให้ดินแดนไซเทร์น่านั้นดียิ่งขึ้น หรือตกต่ำลง มันขึ้นอยู่กับความประสงค์ของท่าน ข้าเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งของไซเทร์น่าที่ยังมีความหวังอยู่เสมอ ข้าหวังว่าไซเทร์น่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของเหล่าอสูรกายที่น่าสยดสยอง ข้าหวังว่าไซเทร์น่าจะเป็นสถานที่ที่ซึ่งปราศจากความตาย ข้าหวังว่าไซเทร์น่าจะเป็นสถานที่ที่ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอันบริสุทธิ์ และข้าหวังว่าโลหิตของสหายผู้กล้าหาญแห่งไซเทร์น่าที่ไหลออกมาจะสามารถทำให้ไซเทร์น่าเป็นไทจากเหล่าอสุรกายที่น่าสยดสยองนั้นได้ ข้าเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นเพื่อขอร้องให้ท่านสหายทำตามปรารถนาของข้าที่แทบไม่มีทางเป็นไปได้ให้เป็นจริง บัดนี้อนาคตของไซเทร์น่าได้อยู่ในมือของท่านแล้ว ขอให้ท่านเดินไปข้างหน้าจนพบกับหอคอยสีนิล ที่นั่นเป็นสถานที่ที่จะสามารถเปลี่ยนอนาคตของไซเทร์น่าได้ และสิ่งที่ท่านต้องทำจะรอท่านอยู่บนหอคอยนั้น ขอให้โชคดี " พอมอนสเตลล่าแปลข้อความในกระดาษนั้นจบลง ฉันก็รู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก ฉันเกรงว่าสิ่งที่ฉันต้องทำในอีกสักครู่นี้จะนำฉัน และพวกเราทุกคนไปสู่ความพินาตได้ และฉันก็คิดว่ามันคงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อโซเฟจพูดขึ้นมาว่า

     

         " เนื่องจากว่าเราเหลือเวลาน้อยมาก ถ้าไม่นับวันนี้ เราจะเหลือเวลาเพียงแค่สี่วันเท่านั้น เกรงว่ามันจะไม่ทันที่ผมกับยูลิคจะไปถึงนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ภายในสิบวัน ถ้าเป็นไปได้ ผมขอให้คุณเริ่มทำตามสิ่งที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นนั้นเดี๋ยวนี้ "

     

         " ตกลง " ฉันพูดพลางพยักหน้ารับท่ามกลางสีหน้าตกใจของใครหลายคน พวกเขามีสีหน้าที่ดูกังวลเป็นอย่างมากซึ่งฉันคิดว่าพวกเขาคงจะเป็นห่วงฉัน เมื่อเห็นดังนั้น ฉันจึงร้องบอกพวกเขาไปว่า " ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกนะ ฉันจะพยายามทำภารกิจครั้งนี้ให้เต็มที่ ในวันนี้จะต้องไม่มีใครตายอย่างแน่นอน ฉันสัญญา " พอฉันพูดจบ ทุกคนก็เงียบไปสักพัก แล้วดรากเนสก็พูดขึ้นมาว่า

     

         " ไม่เป็นไร ฉันเชื่อใจเธอ " พอดรากเนสพูดจบ พวกเราทุกคนก็เริ่มที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายทันที

     

         หนึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเราทั้งหมดได้มาหยุดอยู่หน้าหอคอยสีม่วงเข้มสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง มันเป็นหอคอยรูปร่างประหลาดที่เอนไปเอนมาที่ทำให้แต่ละด้านของหอคอยแห่งนี้มีระดับความสูงไม่เท่ากัน ยอดของหอคอยถูกสร้างขึ้นเป็นมุมแทยง และหอคอยแห่งนี้มีเพียงลวดเหล็กเส้นบางๆ เพียงเส้นเดียวเท่านั้นที่ทอดตัวยาวตั้งแต่จุดต่ำสุดไปจนถึงจุดสุงสุดของหอคอย ฉันต้องขึ้นไปบนหอคอยโดยปีนลวดเหล็กนี้ขึ้นไปจริงๆ น่ะหรอ แต่ดูเหมือนว่า...ฉันจะต้องขึ้นไปบนหอคอยนี่เดี๋ยวนี้ เมื่อ...

     

         โครม!!!

     

         เสียงวัตถุกระแทรกกับพื้นอย่างแรงดังขึ้นพร้อมกับร่างของพวกเขาทั้งเจ็ดคนได้ล้มลงไปนอนจมกองเลือด ทุกคนต่างก็มีสภาพที่ไม่ต่างจากศพเลย ร่างของพวกเขาทั้งหมดต่างก็มีสภาพที่เละ และอวัยวะภายในได้ทะลุออกมาราวกับถูกฉีกออกเป็นชิ้น และถูกบดละเอียดแล้ว และทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัวทั้งสิ้น  

     

         " กรี๊ดดดดดดดด! ไม่จริง! ทุกคนยังไม่ตายใช่มั้ย!?! "    ฉันกรีดร้องสุดเสียง ตอนนี้ฉันตัวสั่นด้วยความกลัวไปทั้งร่าง พยายามกัดฟัน และห้ามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา

     

         " พวกเขายังไม่ตายหรอก แต่นี่เป็นภาพในอีกสามชั่วโมงข้างหน้าเท่านั้น " โซเฟจเอ่ยขึ้น ฉันจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกทันทีเมื่อโซเฟจพูดจบ

     

         " ทำไมต้องเป็นอีกสามชั่วโมงข้างหน้านี้ด้วยล่ะ ให้เวลานานกว่านี้ไม่ได้หรอ " ฉันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ฉันพูดออกไปมันไม่ใช่คำพูดของฉัน เป็นเพราะว่าฉันจะกลายเป็นอีกคนหนึ่งทันทีเวลาที่เสียใจมากๆ เท่านั้น

     

         " ก็เพราะว่าเจ้าแห่งเบื้องบนทรงกำหนดไว้ว่าระยะเวลาสามชั่วโมงจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายในการทำภารกิจของคุณ แต่ถ้าคุณทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ พวกเขาทุกคนจะต้องตายในสภาพอย่างที่คุณเห็น " โซเฟจว่า " ผมเสียใจที่ต้องบอกคุณว่า ช่วงเวลาสุดท้ายของการทำภารกิจของคุณได้มาถึงแล้ว อีกสามชั่วโมงข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น คุณกำหนดได้ด้วยตัวเอง ขอให้โชคดี " สิ้นคำโซเฟจ เขาก็สันธานไปโดยทิ้งให้ฉันอยู่ในโลกที่ไร้ความหวังแต่เพียงลำพัง

     

         ตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว งั้น...อีกสามชั่วโมงข้างหน้าก็คือเวลาสามทุ่ม เอาล่ะ! ฉันต้องไม่ปล่อยให้ใครต้องตายอย่างแน่นอน " ฉันคิดพลางพยายามวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อไปยังหอคอย โดยลืมอาการบาดเจ็บที่เท้าของตัวเองไปเสียสนิท

     

         ตอนนี้ฉันกำลังก้าวเท้าที่ทั้งสั่นทั้งชาขึ้นไปเหยียบบนลวดเหล็กเส้นบางๆ นั่นแล้วมองขึ้นไปข้างบน ฉันพบว่าหอคอยนี้สูงมาก และฉันก็คิดว่าฉันต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงในการปีนขึ้นไปถึงยอดหอคอย

     

         ด้วยความกลัว ทำให้ฉันก้าวเท้าไม่ออก ฉันหยุดนิ่งอยู่ณ.ที่ตรงนั้นอยู่นาน ไม่ทันไรลวดเหล็กร้อนๆ นั่นก็ได้แทงเข้าไปในเนื้อเท้าของฉันเสียแล้ว ฉันจึงรีบใช้มือที่เต็มไปด้วยเหงื่อของตัวเองดึงเหล็กนั้นออกก่อนที่จะกัดฟันเดินไปตามแนวลวดเหล็กนั้นต่อไป

     

         ครึ่งชั่วโมงต่อมา...ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้สึกกลัวการเดินขึ้นหอคอยโดยการเดินบนลวดเหล็กนี่แล้ว ถึงแม้ว่า...ยิ่งเดินขึ้นสูงเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดก็ตาม ความสำเร็จกำลังรอฉันอยู่ตรงหน้า เหลืออีกเพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น

     

         จิตใจของฉันในตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ฉันรู้สึกชื่นชมยินดีราวกับกำลังร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจากข้างใน ด้วยความกล้าหาญทั้งหมดนี้ทำให้ฉันก้าวเท้าขึ้นไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ แต่...กลับมีสิ่งหนึ่งทำให้ฉันสะดุด มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสยดสยองที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา  พวกมันกำลังไต่กำแพงหอคอย และกำลังไต่มาหาฉัน

     

         " กรี๊ดดดดดดด!!! " ฉันกรีดร้องสุดเสียงพลางหลับตาปี๋เมื่อสัมผัสผิวกายที่หยาบกร้าน และกลิ่นกายเหม็นเน่าของพวกมัน มันเป็นโชคดีของฉันที่เมื่อฉันลืมตาขึ้น ฉันยังไม่ตกลงไปข้างล่าง

     

         ฉันพยายามที่จะเดินตรงไปข้างหน้าโดยพยายามที่จะไม่สนใจพวกมัน แต่ดูเหมือนว่าใบหน้าที่น่าสยดสยองของพวกมันจะตามมาหลอกหลอนฉันอยู่ตลอดเวลา

     

         " ฮึ่ม...ฮึ่ม!!! " พวกมันขู่คำรามพลางตีวงล้อมเข้ามาหาฉัน ด้วยความกลัวฉันจึงก้าวถอยหลังไป และนั่นก็ทำให้ฉันเกือบเสียศูนย์

     

         " ออกไปนะ! " ฉันกรีดร้องพลางหลับตาปี๋ แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะยังไม่ไปเมื่อฉันยังได้ยินเสียงของพวกมันขู่คำรามอยู่รอบๆ ฉัน

     

         " ฮึ่ม...ฮึ่ม!!! " พวกมันขู่คำรามพลางล้อมฉันไว้ แล้วพยายามลากฉันไป ซึ่งนั่นทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ และในตอนนี้...ความบ้าระห่ำของฉันก็ได้กลับมาอีกครั้ง

     

         " ไปซะ!!! " ฉันกรีดร้องสุดเสียง จากนั้น...เสียงขู่คำรามที่น่าสยดสยองนั่นก็เงียบลง ฉันจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วพบว่าสิ่งมีชีวิตอันน่าสยดสยองเหล่านั้นได้สันธานไปแล้ว นี่เป็นการใช้พลังจิตครั้งที่สามของฉัน หวังว่า...คงจะไม่มีเหตุการณ์ที่ฉันต้องใช้มันอีกนะ

     

         หนึ่งชั่วโมงต่อมา ฉันก็ได้ยืนหอบอยู่บนดาดฟ้าของหอคอย ฉันรู้สึกอ่อนแรงเป็นอย่างมากจนแทบขยับตัวไม่ได้ แสงแดดที่ส่องเข้ามาเผยให้เห็นเปียโนคริสตัลสีน้ำเงินอ่อนที่ตั้งอยู่กลางดาดฟ้านั้น ฉันจึงใช้ขาที่ชาไปทั่ว และมีเลือดไหลอาบอยู่ตลอดเวลาก้าวไปที่เปียโนหลังนั้น และ...


         โครม!!!

     

         เป็นเพราะว่าฉันฝืนตัวเองมากเกินไป จนทำให้ฉันต้องสะดุดล้มลงก่อนที่จะเดินไปถึงเปียโนหลังนั้น หลังจากนั้น...ก็มีน้ำเสียงที่ทั้งนุ่มนวล และแผ่วเบาของชายคนหนึ่งดังขึ้น

     

         " ในที่สุดท่านก็มา ข้ารอท่านอยู่ที่นี่เกือบพันปี " พอเสียงนั้นเงียบลง ฉันก็รีบมองหาต้นเสียง แต่ก็ไม่พบใครเลย ต่อมา...เสียงนั้นก็พูดขึ้นมาอีกว่า

     

         " อย่าพยายามหาข้าเลย เพราะตราบใดที่ไซเทร์น่ายังมีสภาพแบบนี้ ข้าก็ยังต้องอยู่ในเงามืดต่อไป " ดูเหมือนว่าเจ้าของเสียงนี้กำลังจ้องฉันอยู่ ฉันจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

     

         " คุณเป็นใครคะ? " และต่อจากนั้น...ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า

     

         " ข้าเป็นเพียงนักเปียโนเงาที่คอยบรรเลงบทเพลงอยู่ในเงามืดของไซเทร์น่าเท่านั้น ไม่มีใครเห็นตัวข้า และไม่มีใครได้ยินบทเพลงที่ข้าบรรเลงนั้น เว้นแต่ท่านผู้ซึ่งเป็นผู้ถูกเลือกเท่านั้น ข้าได้บรรเลงบทเพลงแห่งความหวังมาเกือบพันปี เพราะข้าหวังว่าบทเพลงของข้าจะทำให้ไซเทร์น่ากลับคืนสู่สภาพเดิมได้ แต่ความหวังของข้าก็ศูนย์เปล่า เป็นเพราะไซเทร์น่าไม่ได้เข้าถึงบทเพลงของข้าเลยแม้แต่น้อย มันไม่ยอมแม้แต่จะฟังบทเพลงจากนักเปียโนเงาที่ไร้ความหวังคนนี้ และข้าก็หวังว่าท่านจะช่วยข้าได้ จงฟังบทเพลงแห่งความหวังของข้า และจงจดจำท่วงทำนองของมันตราตรึงไว้ในหัวใจของท่าน ข้าหวังว่าท่านจะเป็นผู้ถ่ายทอดบทเพลงนี้แทนข้าได้ " เมื่อเสียงนั้นเงียบหายไป เสียงเปียโนก็ดังขึ้นมาแทน ฉันจึงมองไปที่เปียโนแล้วพบว่า คีย์เปียโนได้สั่นขึ้นเป็นจังหวะเร็วระรัวราวกับว่านักเปียโนระดับตำนานได้เป็นผู้บรรเลงมัน

     

         มันเป็นเพลงบัลลาตสองท่อน ท่อนแรกถูกเล่นขึ้นด้วยคีย์Ab ถูกไล่คีย์จากสูงไปต่ำด้วยโครมาติก ยิ่งต่ำมากยิ่งเล่นดังขึ้นเรื่อยๆ มือซ้ายเล่นดังกว่ามือขวา มือซ้ายถูกเล่นด้วยอเพจจิโอ มือขวาถูกเล่นด้วยโน้ตเขบ็ดสามชั้นในจังวะเพรซโต้(เร็วมาก) สลับกับการเล่นเกรซโน้ตทำให้ฟังดูไพเราะยิ่งขึ้น มีการเปลี่ยนช่วงคีย์ไปมาทำให้ฟังดูน่าตื่นเต้น และน่าหดหู่ในเวลาเดียวกัน ครู่ต่อมาทีการไล่สเกลปรับคีย์เพื่อเข้าสู่ท่อนที่สอง โดยท่อนที่สองนี้ถูกเล่นขึ้นด้วยคีย์F# ให้ความรู้สึกสนุกสนาน ผ่อนคลาย มีการเล่นเป็นคอร์ด สลับกับการเล่นเมโลดี้รัวขึ้นลง และมีการรูดเปียโนในบางครั้ง ซึ่งท่อนที่สองนี้ถูกเล่นด้วยโน๊ตเขบ็ดสองชั้นจังหวะโมเดอเรโต้ แคนทาไบล์(ช้าปานกลางแบบมีชีวิตชีวา) และมีการกดคอร์ดแบบสตั๊กกาโต้อย่างหนักแน่นในตอนท้าย

     

         " บัดนี้...บทเพลงแห่งความหวังที่ข้าบรรเลงได้จบลงแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง อนาคตของไซเทร์น่าได้ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว ลุกขึ้นเถิดสหาย ท่านจงลุกขึ้นมานั่งที่เปียโนอันสง่างามหลังนี้ แล้วบรรเลงบทเพลงแห่งความหวังของข้า ท่านมีโอกาสบรรเลงบทเพลงแห่งความหวังได้เพียงแค่สามครั้งเท่านั้น นอกจากนั้น...ท่านจะไม่มีโอกาสบรรเลงมันอีก สหาย...โปรดฟังให้ดี ถ้าท่านเล่นโน้ตผิดเพียงแค่ตัวเดียว ท่านก็จะบรรเลงบทเพลงนี้ต่อไปไม่ได้อีกเลย " สิ้นคำนักเปียโนเงาคนนั้น ฉันจึงเดินไปนั่งเปียโน แล้ววางมือบนคีย์เปียโนก่อนที่จะเริ่มเล่นตามทำนองที่ตัวเองได้ยินทันที

     

         ในตอนเริ่มท่อนแรก ฉันพยายามที่จะใช้น้ำหนักกดลงบนคีย์เปียโนให้เบาที่สุด แล้วเหยียบแพดเดิลเพื่อเพิ่มความกังวานของเสียง พอฉันเล่นท่อนแรกไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ฉันก็รู้สึกได้ว่าหอคอยนี้กำลังสั่นสะท้านไปทั้งหลังในขณะที่ฉันกำลังติดอยู่ในโลกมืดของบทเพลงโดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะออกมาได้เลย และ...

     

         เคร้ง!!!

     

         เสียงเปียโนได้หยุดลงทันทีที่ฉันเล่นโน๊ตมือขวาผิดตรงจังหวะอดาจิโอ้ในท่อนแรก ที่จริงฉันต้องเล่นโน้ตA แต่นิ้วที่อ่อนล้าของฉันดันพลาดไปกดโดนโน้ตGจนได้

     

         ฉันยอมรับว่าตอนนี้หัวใจของฉันเต้นแรงมาก ฉันรู้สึกเครียดมากจนแทบจะกระอักเลือดออกมา และฉันรู้สึกใจหายเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง 'ไม่เป็นไร ลองใหม่อีกครั้ง' ฉันคิดพลางเอานิ้วไปวางบนคีย์เปียโนแล้วจึงเริ่มที่จะบรรเลงบทเพลงนั้นใหม่

     

         ขณะที่ฉันเล่นเปียโน ฉันก็กำลังติดอยู่ในโลกของดนตรี คิดไปว่าตัวเองได้เข้าไปในโลกอีกโลกหนึ่งโดยผ่านทางดนตรี และฉันก็มีความรู้สึกตามท่วงทำนองเพลงนั้นด้วย นิ้วของฉันไล่ไปตามคีย์เพลงโดยที่ฉันไม่รู้ตัว ฉันคิดว่า...ฉันกำลังตกหลุมรักบทเพลงนี้เสียแล้ว แต่เมื่อฉันกำลังจะเล่นจบท่อนแรกนั้น เสียงกระซิบโหยหวนที่ชวนขนลุกนั่นก็ดังขึ้นในหูฉัน

     

         " เบลลาทริกซ์...เบลลาทริกซ์ ฮี่ๆๆๆๆ!!! "

     

         " กรี๊ดดดดดดดด!!! " ฉันกรีดร้องสุดเสียงในขณะที่นิ้วของฉันยังคงไล่อยู่บนคีย์เปียโนต่อเนื่องกันโดยไม่ยอมหยุด ฉันคิดว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพหลอนเท่านั้น

     

         " มานี่สิ...มานี่สิ เบลลาทริกซ์ ฮี่ๆๆๆๆ!!! "

     

         " ไม่!!! " ฉันกรีดร้องสุดเสียง ตอนนี้ฉันกลัวมากจนหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอก ฉันพยายามที่จะบังคับนิ้วของตัวเองให้เล่นเปียโนต่อ แต่...ฉันกลับบังคับมันไม่ได้ เพราะในตอนนี้นิ้วของฉันขยับไม่ได้อีกแล้ว

     

         " กรี๊ดดดดดดดด!!! " ฉันกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเมื่อพบว่านิ้วของฉันได้ถูกกรีดเป็นแนวยาวทั้งสิบนิ้ว รอยแผลบนนิ้วมือของฉันลึกจนเห็นกระดูก และบัดนี้...เลือดของฉันได้ไหลอาบไปทั่วคีย์เปียโนแล้ว ทำให้ตอนนี้คีย์เปียโนสีขาวสะอาดตาได้กลายเป็นสีแดงเลือดแล้ว ไม่ใช่แค่ที่มือเท่านั้น เท้าข้างที่ฉันเหยียบแพดเดิลก็มีเลือดไหลอาบด้วย

     

         'นี่ฉันสามารถบรรเลงบทเพลงแห่งความหวังได้อีกแค่รอบเดียวจริงๆ หรอเนี่ย?'ฉันคิดในใจอย่างเสียดายโอกาสพลางเหลือบไปมองนาฬิกา มันทำให้ฉันรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าตอนนี้เหลือเวลาเพียงแค่ยี่สิบห้านาทีเท่านั้น 'ไม่! ฉันต้องไม่ยอมแพ้ นั่นเป็นเพียงแค่ภาพหลอนเท่านั้น' ฉันคิดพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วสะบัดข้อมือเล็กน้อยก่อนที่จะวางมือลงบนคีย์เปียโนที่เปื้อนเลือดไปหมดแล้วเริ่มที่จะเล่นบทเพลงแห่งความหวังเป็นรอบสุดท้าย

     

         เพราะฉันอยากจะให้มันจบเร็วๆ ฉันจึงเร่งจังหวะของเพลงให้เร็วขึ้นเป็นสองเท่าของจังหวะปกติ ด้วยความที่ฉันบรรเลงบทเพลงนี้มาถึงสองรอบแล้ว(เล่นได้ถึงท่อนแรกเท่านั้น)ทำให้ฉันสามารถบรรเลงบทเพลงนี้ได้คล่องขึ้น แต่พอเล่นได้เกือบจบท่อนแรกแล้ว ฉันก็กลับรู้สึกไม่ดีขึ้นมา

     

         ฉันรู้สึกชาไปหมดทั้งตัวราวกับว่าฉันกำลังอยู่ในสถานที่ที่หนาวเหน็บ ฉันรู้สึกระแวง และกดดันเป็นอย่างมากราวกับว่ากำลังมีใครบางคนกำลังจ้องฉันอยู่ และมันก็เป็นอย่างที่ฉันคิดเมื่อฉันหันไปมองที่ฝาเปียโน ใบหน้าขาวซีดเปื้อนเลือดของผีดิบตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่บนฝาเปียโนนั้น รอยยิ้มที่น่าสยดสยองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผีดิบตัวนั้น มันทำให้ฉันแทบเป็นบ้า ฉันพยายามที่จะไม่สนใจมันแล้วพยายามที่จะบังคับนิ้วมือของตัวเองให้เล่นเปียโนต่อไป แต่ดูเหมือนว่ายิ่งฉันฝืนตัวเองให้เล่นเปียโนต่อไปมากเท่าไร มันก็ยิ่งทำให้ฉันเข้าสู่ความตายมากเท่านั้น เมื่อผีดิบตัวนั้นกำลังเคลื่อนที่มาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อยๆ และมันก็ได้ใช้นิ้วมือสีขาวซีดที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกแตะไหล่ฉัน กลิ่นกายของมันทำให้ฉันหายใจไม่ออก และฉันคงต้านทานกลิ่นนั้นไม่ไหวถ้าฉันไม่กลั้นหายใจเอาไว้

     

         ตอนนี้ฉันพยายามรวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดที่มีอยู่เพียงน้อยเพื่อที่จะไม่สนใจในความน่าสยดสยองของผีดิบตัวนั้น ฉันพยายามที่จะเล่นเปียโนต่อไป และเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นด้วย แต่นั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกเวียนหัวจนแทบอ้วกออกมา เมื่อฉันรู้สึกว่ามีสิ่งหนึ่งจุกอยู่ที่คอฉัน 'นี่ฉันจะตายแล้วหรอ?' ฉันคิดพลางพยายามเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นโดยที่ไม่กลัวว่านิ้วจะหักอีกต่อไป อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้น...

     

    " แค่กๆ! " ฉันไออย่างแรง แล้วบ้วนสิ่งนั้นออกมาเพื่อจะทำให้ตัวเองรู้สึกสบายขึ้น แต่ฉันก็กลับรู้สึกแย่กว่าเดิมเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ฉันบ้วนออกมานั้นคือก้อนเลือดเหนียวๆ สีเข้ม ฉันจึงหลับตาลงแล้วไล่คีย์เปียโนไปตามความรู้สึก ฉันบรรเลงบทเพลงนั้นไปเรื่อยๆ โดยที่ฉันไม่รู้ตัวว่าฉันกำลังเล่นถึงตรงไหนแล้ว พอฉันรู้ตัวอีกที ความรู้สึกหดหู่นั้นก็หายไปแล้ว

     

    " บัดนี้...ไซเทร์น่าได้กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว ทักษะการเล่นเปียโนของท่านช่างน่าเกรงขามจริงๆ ข้ายอมรับว่าท่านเป็นผู้ช่วยเหลือที่ดีที่สุดในรอบพันปีนี้ ในที่สุดไซเทร์น่าก็หลุดพ้นจากเงื้อมมือของอสูรกายอันน่าสยดสยองเหล่านั้นแล้ว " นักเปียโนเงาคนนั้นพูดขึ้น ถึงแม้ว่าไซเทร์น่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว แต่เขาก็ยังคงอยู่ในเงามืดเหมือนเดิม " บัดนี้...หน้าที่ของท่านได้สิ้นสุดลงแล้ว และด้วยความสำเร็จนี้ทำให้ชาวไซเทร์เนียนบางส่วนที่ได้อพยพไปอยู่ที่อื่นจะเดินทางกลับมาอาศัยอยู่ที่นี่ในรุ่งเช้าที่จะถึงนี้  ข้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน แต่ถ้าท่านมีความประสงค์ที่จะอยู่ที่นี่ข้าคงมีความยินดียิ่งขึ้นไปอีก "

     

    " ขอโทษด้วยนะคะ เนื่องจากเวลาที่มีจำกัด ทำให้ฉันจำเป็นที่ต้องออกไปจากไซเทร์น่าเดี๋ยวนี้ "

     

    " ถ้าท่านประสงค์อย่างนั้น ข้าก็ยินดีที่จะทำเช่นนั้นด้วย " พอนักเปียโนเงาคนนั้นพูดจบ บันไดวนสีม่วงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉัน " จงเดินไปตามเส้นทางของบันไดวนนี้ แล้วมันจะนำท่านออกไปจากปราสาท ขอให้โชคดี " พอนักเปียโนเงาคนนั้นพูดจบ ฉันจึงก้าวเท้าขึ้นไปวางบนบันไดวนสีม่วงนั้นแล้วเดินลงไปข้างล่าง มันเป็นโชคดีของฉันที่ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไปแล้ว

     

    ห้านาทีต่อมา ฉันเดินไปถึงที่ที่เพื่อนผู้ร่วมเดินทางของฉันรออยู่ และฉันก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าพวกเขายังสบายดี 

     

    " ยินดีด้วย บัดนี้...ภารกิจของคุณได้เสร็จสิ้นลงแล้ว " โซเฟจเอ่ยขึ้น " ผมเสียใจที่ต้องบอกพวกคุณว่า ถ้าไม่นับวันนี้เราจะเหลือเวลาเพียงแค่สี่วันเท่านั้น เพื่อความรวดเร็วในการทำภารกิจให้เสร็จทันเวลา ผมจึงขอร้องให้พวกคุณออกจากไซเทร์น่าเดี๋ยวนี้ แล้วเริ่มที่จะทำภารกิจที่สี่เลยทันที " โซเฟจหยุดพูดสักพัก เขาเปิดฝาวัตถุสีขาวทรงปริซึมนั้นออกก่อนที่จะพูดต่อว่า " สำหรับภารกิจที่สี่จะเกิดขึ้นที่ดิเครซซิโม ดินแดนแห่งการทำลายล้าง และผู้ที่ถูกเลือกคือ--- " พอโซเฟจพูดจบ แสงสีฟ้านั่นก็ส่องไปที่ดอลล่าร์ สีหน้าของดอลลาร์เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เธออ้าปากค้างแล้วนิ่งไปสักพักก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

    " เดี๋ยวก่อน! ผู้ถูกเลือกให้ทำภารกิจต่อไปต้องไม่ใช่ฉันแน่ๆ " พอดอลล่าร์พูดจบ ทุกคนก็ทำหน้างงทันที นี่มันอะไรกันเนี่ย!?!

     

    ( End Bellatrix 's Part ) 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×