ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels คนบ้าระห่ำ แหกกฎสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #13 : Nightmare in Sitarena I

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ย. 61


      

    12

    Nightmare in Sitarena I

     

    ( Bellatrix 's Part )

     

    " เฮ้ย!!! " ทุกคนต่างก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าผู้ที่ถูกเลือกให้ทำภารกิจที่สามนั้นคือฉัน ซึ่งมันก็มีเหตุผลที่พวกเขาจะตกใจ ก็ในเมื่อ ฉันก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรเลย แล้วฉันจะสามารถใช้วิธีการธรรมดาเหล่านั้นในการทำภารกิจในครั้งนี้ให้สำเร็จได้อย่างไร

     

    " เบลลาทริกซ์ ฉันต้องไม่ปล่อยให้เธอทำภารกิจนั้นแน่ๆ เพราะว่ามันอันตรายเกินไปสำหรับเธอ " ดรากเนสร้องขึ้น " รู้มั้ยว่าดินแดนไซเทร์น่าอะไรนั่นมันเป็นเมืองผีสิงนะจะบอกให้ "

     

    " มันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ เธอคิดมากเกินไปแล้วนะดรากเนส " ฉันว่าพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขา และหวังว่ารอยยิ้มของฉันคงจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติที่เลวร้ายของเขาที่มีต่อดินแดนไซเทร์น่านั้นได้สำเร็จ แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น

     

    " ฉันไม่ได้คิดไปเองจริงๆ นะ ก็ตอนที่ฉันอยู่บนเครื่องบิน ฉันก็ได้ยินผู้โดยสารที่นั่งอยู่แถวๆ นั้นพูดกันว่าไซเทร์น่าเป็นเมืองผีสิง เบลลาทริกซ์...เธออย่าทำภารกิจนี้เลยนะ ฉันขอร้องล่ะ เพราะฉันไม่อยากจะเสียเธอไป " แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ดรากเนสก็ยังคงยืนยันคำเดิมก็คือฉันต้องไม่ทำภารกิจนี้เด็ดขาด แล้วถ้าฉันไม่ทำภารกิจนี้จริงๆ ล่ะ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

     

    " โซเฟจ ฉันขอทำภารกิจแทนเบลลาทริกซ์ได้มั้ย? " ดูเหมือนว่าดรากเนสจะยังไม่เลิกที่จะไม่ให้ฉันทำภารกิจนี้ และตอนนี้เขาก็ไปขอร้องกับโซเฟจแล้ว แล้วทีนี้โซเฟจจะพูดว่ายังไงล่ะ

     

    " ผมเองก็เห็นใจในความรักอันยิ่งใหญ่ของพวกคุณทั้งคู่ แต่ผมเสียใจที่ต้องบอกคุณว่า ผมไม่สามารถที่จะทำตามที่คุณขอร้องมาได้ เพราะการที่เบลลาทริกซ์ได้กลายเป็นผู้ถูกเลือกในการทำภารกิจในครั้งนี้เป็นไปตามพระประสงค์ของเจ้าแห่งเบื้องบน ซึ่งเราก็ฝ่าฝืนพระประสงค์ของพระองค์ไม่ได้ ถ้าใครฝ่าฝืนจะตายในอีกห้านาทีนี้ "    

     

    " ตายในอีกห้านาทีนี้? อย่ามาโกหกน่า! " ดรากเนสว่าพลางพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อโซเฟจทันที ทำให้โซเฟจถึงกับหน้าซีดทันที " รู้มั้ยว่าตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาในมิติปริศนานี้ เราก็ได้ยินแต่เรื่องตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย! รู้มั้ยว่าเราเจอข้อความเตือนว่าถ้าใครฝ่าฝืน คนนั้นก็จะตายมากี่ครั้งแล้ว แล้วเราก็รอดมาได้ทุกครั้ง ทางที่ดี ฉันขอเตือนแกไว้ก่อนว่าอย่าเอาเรื่องตายมาขู่พวกเราอีก ไม่งั้นฉันจะไม่ไว้ชีวิตแกแน่! " 

     

    " โซเฟจไม่ได้โกหกนายหรอกนะ เพราะพวกเราชาวทูตศักดิ์สิทธิ์นั้นรู้ดีว่าถ้าใครโกหก คนนั้นจะมีโทษถึงตาย " ยูลิคเอ่ยขึ้น

     

    " อ๊ากกกก~ " ดรากเนสร้องพลางปล่อยมือจากคอเสื้อของโซเฟจทันทีก่อนที่จะเอามือปิดตาไว้ เมื่อล็อกเกตของยูลิคเรืองแสงขึ้น

     

    " ในเมื่อโซเฟจไม่ได้โกหก ฉันคิดว่าเบลลาทริกซ์ควรจะรับภารกิจนี้ซะ แล้วพวกเราค่อยช่วยเธอทำภารกิจนั้นอีกที ไหนๆ ก็ผ่านมาตั้งสี่วันแล้ว " มอนสเตลล่าพูดขึ้น และฉันก็ตัดสินใจที่จะเชื่อมอนสเตลล่ามากกกว่าดรากเนส

     

    " ตกลง ฉันยินดีที่จะรับภารกิจนี้ " พอฉันพูดจบ ทุกคนต่างก็อ้าปากค้างกับการตัดสินใจของฉัน แล้วฉันก็หันไปถามโซเฟจโดยที่ปล่อยให้พวกเขาทั้งหมดยืนอึ้งไป " โซเฟจ ฉันต้องทำอะไรบ้าง? "

     

    " ไซเทร์น่า ดินแดนแห่งความวิปริตเป็นเมืองของผู้หลงผิดที่เหมือนกับดินแดนวิชเชล่านั่นแหละ แต่จะต่างกันตรงที่ว่า ผู้อยู่อาศัยทั้งหมดไม่ใช่คนก็เท่านั้นเอง ทุกคนที่นั่นต่างก็เป็นผีดิบหรือไม่ก็สัตว์ดุร้ายที่มักจะออกล่าเหยื่ออย่างหิวโหยตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ทุกวินาทีของการอาศัยอยู่ในไซเทร์น่าต่างก็มีการตายเกิดขึ้น โดยปกติแล้วผู้อาศัยในไซเทร์น่าก็จะฆ่ากันตายเสียเอง แต่พอมีผู้มาเยือนที่นั่น พวกมันก็จะฆ่าผู้มาเยือนก่อน แล้วค่อยจัดการฆ่ากันเองภายหลัง เพราะฉะนั้น...หน้าที่ของคุณก็คือ คุณจะต้องหยุดการล่าเหยื่ออย่างบ้าคลั่งของพวกมัน และทำให้พวกมันไม่ฆ่าเหยื่อให้ได้ " แค่ฉันได้ฟังสิ่งที่ฉันจะต้องทำจากโซเฟจแล้ว ฉันก็ถึงกับหน้าซีดขึ้นมาทันที เพราะภารกิจนี้มันเลวร้ายเกินไปสำหรับฉัน และฉันควรหยุดยุ่งเกี่ยวกับผู้อยู่อาศัยในไซร์เทร์น่าผู้หิวโหยเหล่านั้นเดี๋ยวนี้ แต่ฉันก็ทำแบบนั้นไม่ได้ในเมื่อตอนนี้ฉันได้กลายเป็นผู้ถูกเลือกแล้ว

     

    " แล้วภารกิจนี้...ต้องใช้เวลาเท่าไรล่ะ " ฉันถามในขณะที่ปากสั่น

     

    เนื่องจากเวลาของถูกกำหนดให้จากเบื้องบนนั้นมีจำกัด ประกอบกับว่าไซเทร์น่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในจักรวาลนี้ ดังนั้น...คุณจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอย่างมากที่สุดเป็นเวลาสองวัน " พอโซเฟจพูดจบ ฉันก็กำลังตัวสั่น และเหงื่อออกด้วยความกลัว แต่ฉันกลับคิดว่าตราบใดที่ฉันยังมีเพื่อนเหล่านี้คอยช่วยเหลืออยู่ ฉันจะต้องรอดกลับมาแน่ๆ

     

    " ไม่เป็นไรหรอกเบลลาทริกซ์ พวกเราช่วยเธอเอง " มอนสเตลล่าพูดขึ้น และคำพูดประโยคนั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมามากเลยทีเดียว

     

    " ผมเสียใจที่ต้องบอกพวกคุณว่า พวกคุณสามารถช่วยเบลลาทริกซ์ได้ทุกอย่าง แต่เรื่องภารกิจที่ถูกกำหนดมาจากเบื้องบนนั้น เบลลาทริกซ์จะต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด เอาล่ะ...ตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว ให้เราไปกันเถอะ " โซเฟจตัดบทพลางฝ่ายมือออก แล้วช่องสีขาวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเรา พวกเราทั้งหมดจึงเดินเข้าไปในช่องนั้นทันที


    ไม่นาน...พวกเราทั้งหมดก็มาถึงไซเทร์น่า ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงตรง ไซเทร์น่าเป็นป่าชื้นที่มีไม้รกๆ ขึ้นตามแนวเต็มไปหมด และเมื่อมองไปที่พื้นที่ทำจากหินสีมืดนั้นก็จะมองเห็นรอยเท้าขนาดใหญ่ของสัตว์บางชนิดที่มีขนหนา และมีเล็บแหลมคมเรียงอยู่บนพื้นเป็นแนวยาว ความชื้นภายในป่าทำให้ฉันหายใจไม่ออก และปวดหัวเป็นอย่างมาก

     

    หลังจากนั้น...พวกเราทั้งหมดจึงเดินเข้าไปทางทิศใต้ของป่า ทำให้เราพบกับปราสาทสีเหล็กหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางลานหิมะ และที่นั่นก็มีสัตว์ร่างยักษ์ซึ่งมีขนยาวสีดำ มีตาเรียวคมสีเหลืองทอง และมีขาหน้าที่แข็งแกร่ง พวกมันต่างนอนเฝ้าอยู่รอบปราสาทหลังนั้น และร้องขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเราที่กำลังจะก้าวเข้าไปใกล้ปราสาทนั้น

     

    " แว๊...แว๊...แว๊!!! " พวกมันต่างก็ร้องคำรามขึ้น และเสียงของพวกมันก็มีพลังพอที่จะทำให้ปราสาททั้งหลังนั้นสั่นไหวได้ ซึ่งถ้าฟังดีๆ ฉันคิดว่าเสียงของพวกมันคล้ายกับเสียงฟ้าร้องมากนะ

     

    " นี่! ไม่มีใครคิดจะทำอะไรบ้างเลยหรอ? ไม่เห็นหรอว่าสัตว์พวกนี้มันจะฆ่าเราให้ตายอยู่แล้วนะ น่ะ...นั่น! มันกำลังจะเดินมาทางนี้แล้ว! " ดอลล่าร์ร้องขึ้น

     

    " ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง " มอนสเตลล่าว่าพลางก้าวไปข้างหน้าเพื่อจัดการสยบอาการคลั่งของสัตว์เหล่านี้ เธอโบกมือกลางอากาศก่อนที่จะว่าคาถา จากนั้นก็มีแสงสีฟ้าอ่อนพุ่งออกจากมือของเธอ และหลังจากนั้น...

     

    " แว๊...แว๊...แว๊!!! " ดูเหมือนว่าคาถาของมอนสเตลล่าจะทำอะไรพวกมันไม่ได้เลย สัตว์เหล่านี้ยังคงร้องคำรามต่อไป และพวกมันก็ได้เดินเข้ามาใกล้ที่ที่เรายืนอยู่เรื่อยๆ ก่อนที่จะอ้าปากเผยให้เห็นฟันแหลมๆ ของพวกมัน

     

    " เฮ้ย! หยุดคลั่งได้แล้วถ้าพวกแกไม่อยากตาย! " ดรากเนสตะคอกขึ้นพลางก้าวออกไปยืนตรงหน้าสัตว์เหล่านั้น คำพูดที่ฟังดูป่าเถือนของเขาทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี และการกระทำของห่ามๆ ของเขาทำให้ฉันรู้สึกป่วยขึ้นมาในทันที

     

    และแล้ว...ดรากเนสก็ได้ตัดสินใจในการที่จะใช้ความเป็นเจ้าแห่งคาร์ริสของเขาในการจัดการสัตว์เหล่านั้น เมื่อเขาได้ใช้พลังมืดของเขาบดบังแสงแดดให้หายไป และท้องฟ้าก็ได้เปิดลงเมื่อความมืดปกคลุมไปทั่วเมือง และ...


    " แว๊...แว๊...แว๊!!! " ดูเหมือนว่าพลังมืดของดรากเนสก็ไม่สามารถที่จะจัดการสัตว์เหล่านั้นได้ เมื่อพวกมันกลับร้องคำรามขึ้นมาเหมือนเดิม และดูเหมือนว่าความบ้าคลั่งของพวกมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งมันได้ จนกระทั่งยูลิคได้ตัดสินใจที่จะก้าวออกไปข้างหน้า เขาร้องบอกพวกมันว่า

     

    " เฮ้! เงียบสิ " สิ้นคำยูลิค ล็อกเกตของเขาก็เรืองแสงขึ้น และแสงสีฟ้าจากล็อกเกตของเขาก็ส่องไปที่สัตว์เหล่านั้นทำให้พวกมันหมอบลง และเงียบไปในที่สุด

     

    แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างนั้น เมื่อแสงจากล็อกเกตของยูลิคได้ดับลง พวกมันก็ได้ลุกขึ้นมาพร้อมกับร้องคำรามเสียงดังก่อนที่จะวิ่งมาทางเรา และฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะทำสิ่งหนึ่งขึ้น

     

    " หยุดนะ! " ฉันตะโกนออกไปพลางหลับตาปี๋ แต่พอฉันลืมตาขึ้นมา สัตว์เหล่านั้นก็ครางขึ้นก่อนที่จะหยุดและเดินกลับไปหมอบลงที่หน้าปราสาทในที่สุด

     

    " เบลลาทริกซ์...เธอทำได้! " พวกเขาทั้งหมดร้องประสานขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อครู่นี้ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อกี้ฉันสามารถสั่งพวกมันได้จริงๆ หรอ?

     

    " เบลลาทริกซ์ของฉันเก่งที่สุดในโลกเลย เธอเป็นคนเดียวที่สามารถสั่งสัตว์พวกนั้นได้ " ดรากเนสร้องพลางเดินเข้ามากอดฉัน

     

    " เมื่อกี้ฉันทำได้จริงๆ น่ะหรอ? " ฉันเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ หรือว่า...มันจะเป็นอย่างที่ฉันคิดตั้งแต่แรกว่าฉันไม่ใช่คน?

     

    " ถูกแล้วที่เธอคิดแบบนั้น เพราะเธอก็ไม่ใช่คนจริงๆ "  อดอล์ฟร้องขึ้น ซึ่งความสามารถในการฟังเสียงในใจของเขาทำให้ฉันตกใจเป็นอย่างมาก

     

    " เบล...เธอจำไม่ได้หรอที่พ่อกับแม่ของเราบอกว่าพวกท่านไม่ใช่คนน่ะ พ่อเป็นผู้ใช้พลังจิต ส่วนแม่เป็นผู้ใช้พลังบริสุทธิ์ งั้นพลังของเธอเมื่อกี้ก็เป็น--- " ก่อนที่แบล์คลีซาจะพูดจบ เรอัสก็พูดขึ้นมาว่า

     

    " พลังจิต " พอเรอัสพูดจบ ทุกคนก็ประสานเสียงขึ้นมาว่า

     

    " ว่าไงนะ! เบลลาทริกซ์เป็นผู้ใช้พลังจิตงั้นหรอ? "

     

    " ใช่ มันเป็นอย่างนั้นแหละ " เรอัสว่า " ทุกคนเห็นเมื่อกี้มั้ย ตอนที่สัตว์ดุร้ายพวกนั้นวิ่งเข้ามาทางเราน่ะ และตอนที่เบลลาทริกซ์ร้องสั่งมัน มันก็หยุดเดินทันที แล้วกลับไปนอนหมอบลงที่เดิมอย่างง่ายดาย แล้วทุกคนได้ทันสังเกตมั้ยว่า หลังจากที่เบลลาทริกซ์ร้องสั่งสัตว์ดุร้ายพวกนั้นแล้ว ตาของมันก็เรืองแสงขึ้นมาด้วย ซึ่งแสงที่เปล่งออกมาจากตาของมันนั้นทำให้มองแล้วยังรู้สึกสบายตาอีกด้วย เพราะฉะนั้นที่ฉันคิดว่าเบลลาทริกซ์เป็นผู้ใช้พลังจิตนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่สุด "

     

    พอเรอัสพูดจบ ฉันก็หยุดทำความเข้าใจกับการลักษณะการพูดที่เหมือนนักวิชาการของเรอัส และฉันก็คิดว่า บางที...มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ ไม่ใช่มีเพียงแค่ของคำพูดของเรอัสเท่านั้นที่ทำให้ฉันเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้ใช้พลังจิต แต่พอฉันลองย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์บนเครื่องบินเมื่อสี่วันที่แล้ว เมื่อตอนที่ผู้วิเศษอัจฉริยะที่นั่งข้างฉันบอกฉันว่า ในบริเวณสนามบินของเมืองหลวงมีกล้องตรวจจับมนุษย์อยู่ทุกที่ และพวกมนุษย์จะถูกฆ่าตั้งแต่วินาทีแรกที่พวกเขามาเยือนที่นี่ และตอนนี้...ฉันก็รู้แล้วว่าฉันไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นผู้ใช้พลังจิต และแบล์คลีซา น้องสาวฝาแฝดของฉันก็ต้องไม่ใช่มนุษย์ด้วยเช่นกัน เธออาจจะเป็นผู้ใช้พลังจิตเหมือนพ่อ หรือผู้ใช้พลังบริสุทธิ์เหมือนแม่ก็ได้ทั้งนั้น แต่ถึงแม้ว่า...ฉันจะรู้แน่แล้วว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ แต่ยังมีบางอย่างที่ฉันยังค้างคาใจอยู่ และแล้ว...ฉันก็ตัดสินใจที่จะถามเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันอยากรู้ออกไป

     

    แต่ทำไมความสามารถด้านการใช้พลังจิตของฉันถึงเพิ่งเริ่มปรากฏขึ้นในตอนนี้ล่ะ? "

     

    " ก็เพราะว่า โดยตามปกติแล้ว ความสามารถพิเศษในด้านนั้นๆ ของแต่ละคนจะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด และสามารถนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่เวลาที่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นน่ะสิ " เรอัสว่า " อย่างเช่นเมื่อกี้เธอตกใจ เธอจึงร้องสั่งสัตว์ดุร้ายเหล่านั้น แล้วมันก็ยอมทำตามที่เธอสั่งแต่โดยดี และในเวลาแบบนี้แหละที่พลังวิเศษของเธอจะใช้การได้ดี "

     

    " แต่ผมคิดว่ามันเป็นพระประสงค์ของเจ้าแห่งเบื้องบนมากกว่าที่ต้องการให้ผู้ที่ถูกเลือกสามารถที่จะใช้พลังวิเศษของตัวเองที่มีอยู่ในการที่จะทำภารกิจถวายพระเกียรติแด่พระองค์ " โซเฟจว่า ซึ่งคำพูดพวกเขาทั้งสองคนก็น่าเชื่อพอๆ กัน แล้วตกลงฉันจะเชื่อใครดีล่ะ

     

    " เอาล่ะ...ตอนนี้ก็จะเที่ยงแล้วนะ ฉันว่าเราเข้าไปหาอะไรกินในปราสาทนั่นก่อนดีกว่า " ดรากเนสว่าก่อนที่จะเดินนำพวกเขาเข้าไปในปราสาทนั้น เขานี่สมกับเป็นผู้นำในการทำเรื่องห่ามๆ จริงๆ


    แต่ดูเหมือนว่า...มันจะไม่มีปัญหาอะไรในการที่เราจะเข้าไปอยู่ในปราสาทนั่น เพราะสัตว์เหล่านั้นก็ต่างเงียบลงแล้ว และไม่มีท่าทีว่าพวกมันจะคลั่งขึ้นมาอีก แล้วอีกอย่างหนึ่ง ภายในปราสาทหลังใหญ่นั้นก็ไม่มีใครอยู่เลยด้วย

     

         พอเดินเข้ามาในปราสาท เราก็จะพบห้องโถงที่ซึ่งมีโต๊ะยาวทอดยาวจากประตูเข้าไปข้างในตัวปราสาทอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกเราจึงนั่งลงที่โต๊ะยาวนั้น แล้วรินน้ำชาจากเหยือกที่วางอยู่บนโต๊ะลงในแก้วไวน์ที่ถูกจัดเตรียมไว้นั้น และเป็นที่น่าตกใจเมื่อน้ำชาจากเหยือกนั้นยังร้อนอยู่เลยราวกับว่าเพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ เลยก็ว่าได้ หรือว่า...

     

         " ฉันคิดว่าเจ้าของปราสาทนี่รวมทั้งผู้อยู่อาศัยทั้งหมดคงเพิ่งจะถูกสัตว์ดุร้ายเหล่านั้น หรือไม่ก็ผีดิบฆ่าตายในไม่กี่นาทีที่แล้วนี่เอง " มอนสเตลล่าเอ่ยขึ้น

     

         " ดูจากสีชานี่แล้ว " เรอัสว่าพลางหยิบน้ำชาที่ถูกรินอยู่ในแก้วของเขาขึ้นมาดูอย่างพิจารณา " ฉันคิดว่าคนที่ชงชานี่จะต้องถูกฆ่าตอนที่กำลังชงชาอยู่แน่ๆ เพราะในน้ำชานี้ก็มีสีแดงจางๆ ของคราบเลือดปนอยู่ด้วย "

     

         " ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าวิญญาณของคนที่ถูกฆ่ายังคงวนเวียนอยู่แถวๆ นี้ และจากสัญชาตญาณของฉัน ฉันก็พบว่า...มันอยู่นั่นไง!!! " อดอล์ฟว่าพลางชี้ไปที่รูปภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยเครื่องยศสูงส่งที่ถูกแขวนไว้ตรงหัวมุมบันไดวน ซึ่งฉันคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะต้องเป็นคนชั้นสูงแน่ๆ

     

         " กรี๊ดดดดดด/เฮ้ยยยยยยย!!! " ทุกคนต่างก็ร้องด้วยความตกใจ รวมทั้งฉันด้วย เมื่อรูปภาพของผู้หญิงคนนั้นกำลังแกว่งไปมา และ...

     

         เพล้ง!

     

         รูปภาพนั้นก็ได้ตกลงมาในที่สุด พร้อมทั้งกระจกที่เคลือบรูปภาพนั้นไว้ก็ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ และเศษก็กระจกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ นั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด และมันก็กลายเป็นคราบเลือดจริงๆ

     

         คราบเลือดเหล่านั้นได้ไหลออกเป็นทางยาว และค่อยๆ ซึมสู่พื้น จนทำให้พื้นห้องโถงนี้ได้กลายเป็นสีแดงจางๆ ทั้งหมด

     

         ต่อมา...เหตุการณ์นั้นก็ได้เงียบสงบลง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว พวกเราจึงจิบชา(ที่เปื้อนคราบเลือด)ไปด้วยคุยกันไปด้วย

     

         " เมื่อกี้โคตรมันส์ว่ะ " ดรากเนสร้องขึ้น " มันรู้สึกดีจริงๆ นะ คืนนี้เราออกไปล่าผีดิบกันมั้ย? " ในที่สุด...เขาก็เริ่มคิดที่จะทำเรื่องห่ามๆ ขึ้นมาอีกครั้ง

     

         " ฉันว่าไม่ต้องออกไปล่าก็ได้ เดี๋ยวมันก็จะมาหาเราเองแหละ " เรอัสว่า " ทุกคนดูหน้าต่างบานนั้นสิ " เรอัสว่าพลางชี้ไปที่หน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่หลังปราสาท ซึ่งกระจกของหน้าต่างบานนั้นก็ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และผนังที่อยู่รอบๆ หน้าต่างบานนั้นก็เกิดรอยร้าวขึ้นเป็นจำนวนมาก " ดูจากสภาพของมันแล้ว ฉันคิดว่ามันคงเกิดจากการที่ผีดิบกระโจนเข้ามาในปราสาทนี้ทางหน้าต่างบานนั้นอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่า...พวกมันคงจะมีพละกำลังมหาศาลมากเสียด้วย "

     

         " ดูจากรอยเท้านั่นสิ " มอนสเตลล่าร้องขึ้นพลางชี้ไปที่รอยเท้าขนาดมหึมาซึ่งทอดเป็นแนวยาวจากหน้าต่างบานนั้นมาจนถึงครึ่งห้องโถง มันเป็นรอยเท้าเรียวแหลมซึ่งแตกต่างจากรอยเท้าที่ฉันเห็นเมื่อมาที่นี่ในครั้งแรก " ฉันคิดว่าผีดิบที่บุกมาที่นี่จะต้องมีจำนวนมากกว่าร้อยตัวเป็นแน่ มองไปรอบๆ สิ แล้วจะเห็นว่า ภายในปราสาทแห่งนี้มีรอยเท้าแบบนั้นอยู่ทุกที่ "

     

         " นี่มันรอยนิ้วมือนี่ " ยูลิคว่าพลางหยิบเหยือกใส่น้ำชาขึ้นมาดูรอยนิ้วมือที่ปรากฏอยู่ข้างเหยือกอย่างพิจารณาก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า " คนที่ชงชานี่ต้องไม่ใช่คนแน่ๆ "

     

         " ว่าไงนะ? คนชงชานี่ไม่ใช่คนงั้นหรอ? " พวกเราต่างทวนคำขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจ และฉันก็เริ่มที่จะแน่ใจว่าคนที่ชงชานี่ต้องไม่ใช่คนแน่ๆ เมื่อ...

     

         " กรี๊ดดดดดดดดดด! มีขนอยู่ในชาของฉัน! " ดอลล่าร์กรีดร้องขึ้นพลางหยิบขนสีดำๆ หนาๆ ปลายแหลมๆ นั้นออกมาในขณะที่มือของเธอยังคงสั่นอยู่ " ระวังให้ดีนะ บางที...ไอ้ผีดิบพวกนั้นอาจบุกมาฆ่าเราตอนหัวค่ำวันนี้ก็ได้ " พอฉันได้ยินคำเตือนจากดอลล่าร์ ฉันก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที

     

         " เอาล่ะ...ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว ขอให้พวกเราอย่าออกไปไหน แต่ให้อยู่รวมกันไว้ เพราะถ้าพวกผีดิบจะบุกมาฆ่าพวกเราจริงๆ ละก็ พวกเราจะได้ตายไปพร้อมๆ กันตามคำสาบานของพวกเรายังไงล่ะ " ดรากเนสว่า จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็พยักหน้ารับ แต่ฉันก็ยังคงแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าพวกเราทั้งหมดคงจะต้องมีชีวิตรอดกลับไปอย่างแน่นอน

     

         " เบลลาทริกซ์ " ดรากเนสเอ่ยขึ้น

     

         " มีอะไรหรอ? " ฉันขานตอบพลางเงยหน้าขึ้นไปมองเขา

     

         " เราขึ้นไปสำรวจข้างบนกันเถอะ "

     

         " เรา? ฉันกับเธองั้นหรอ? " พอฉันพูดจบ ดรากเนสก็พยักหน้ารับ " แล้วคนอื่นล่ะ? "

     

         " ส่วนคนอื่นก็ให้พวกมันรออยู่ข้างล่างนี้ไปสิ ฉันอยากไปกับเธอแค่สองคน " พอดรากเนสพูดจบ คนที่เหลือก็ต่างมองมาที่เราสองคนเป็นนัยน์ว่า 'คู่นี้...ขนาดจะตายอยู่แล้ว ก็ยังหวานกันได้อยู่อีก'

     

         " ป่ะ...อย่าไปสนใจคนพวกนี้เลย พวกมันคงอิจฉาเราอยู่แหละ รีบไปกันเถอะ " สิ้นคำดรากเนส เขาก็จับมือฉันแล้วเดินขึ้นบันไดขึ้นไปที่ชั้นสองของปราสาท

     

         ตลอดทางที่เราเดินขึ้นมา ฉันได้ยินเสียง'แกร๊บๆราวกับว่ากำลังเหยียบลงบนกระดูกมาตลอดทาง แต่ฉันก็ยังคิดไปว่ามันคงจะเป็นเสียงของพื้นปราสาทเก่าๆ ที่ถูกสร้างมานานแล้วมากกว่า

     

         พอเราเดินมาถึงชั้นสอง ฉันก็ต้องพบกับความมืดสนิทจนแทบไม่สามารถจะมีแสงเล็ดรอดผ่านเข้ามาได้ และตอนนี้หัวใจของฉันก็เต้นด้วยจังหวะเร็วระรัวเมื่อฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังเดินขึ้นมา

     

         ตึก...ตึก...ตึก!!!

     

         เสียงฝีเท้านั้นก็ได้ดังขึ้นเรื่อยๆ จากด้านหลังของฉัน และในตอนนั้นฉันก็กลัวมาก กลัวจนบีบมือดรากเนสไว้เสียแน่น

     

         " เบลลาทริกซ์ ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะเดินนำทางเธอเอง เชื่อใจฉันนะ " ดรากเนสว่า แต่คำพูดของเขาก็ไม่ได้ทำให้ฉันหายกลัวเลยแม้แต่น้อย

     

         " แต่...ดรากเนส ส่ะ...เสียงนั่น " ฉันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเมื่อฉันได้ยินเสียงฝีเท้านั่นดังขึ้นเรื่อยๆ และฉันก็คิดว่า...เจ้าของฝีเท้าที่กำลังเดินขึ้นมานั้นจะต้องมีจำนวนมากกว่าสิบแน่ๆ

     

         " ไม่ต้องห่วงน่า ถ้าเธอมากับฉันแล้ว จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าทำอะไรเธอทั้งนั้น " ดรากเนสว่า

     

         " ได้ ฉันเชื่อใจเธอ " พอฉันพูดจบ ดรากเนสก็จูงมือฉันแล้วเดินไปข้างหน้า

     

         ดรากเนสพาฉันเดินฝ่าความมืดไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนกระทั่ง...เขาได้พาฉันมาหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง จากนั้น...

     

         พรึ่บ!!!

     

         แสงสว่างจากที่ไหนสักแห่งก็ได้ส่องเข้ามาเผยให้เห็นประตูหินแกะสลักบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า และเราก็รีบเปิดประตูเข้าไปทันทีที่มาถึง เมื่อมีแสงสว่างส่องเข้ามา ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้น เพราะฉันไม่ได้ยินเสียงฝีเท้านั่นอีกแล้ว

     

         ภายในห้องนั้น มีหนังสือที่ถูกจัดวางอยู่บนชั้นเรียงกันไว้หลายๆ แถว พอมองไปนานๆ มันก็อาจจะให้รู้สึกเวียนหัวได้ และดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นสถานที่รวบรวมเก็บหนังสือไว้จำนวนมากมานานหลายสมัยแล้ว

     

         " เบลลาทริกซ์ ฉันต้องการหนังสือเกี่ยวกับดินแดนไซเทร์น่า ให้เราแยกย้ายกันไปหานะ พอได้ข้อมูลมาแล้วเราจะได้ช่วยกันวางแผนในการช่วยเธอทำภารกิจ " สิ้นคำดรากเนส ฉันก็พยักหน้ารับทันทีก่อนที่จะเดินแยกไปหาหนังสือซึ่งอยู่ทางด้านขวาของห้อง ส่วนดรากเนสก็ไปหาจากหนังสือที่อยู่ทางด้านซ้ายของห้อง และในระหว่างที่ฉันกำลังหาหนังสืออยู่นั้น...

     

         ตึก...ตึก...ตึก!

     

         เสียงฝีเท้านั่นอีกแล้ว คราวนี้เหมือนกับว่าเสียงฝีเท้านั่นจะดังมาจากรอบๆ ตัวฉัน ถ้าฉันฟังไม่ผิด ฉันก็คิดว่า เจ้าของเสียงฝีเท้าเหล่านั้นกำลังเดินวนอยู่รอบๆ ตัวฉัน

     

         " แค่กๆๆ " ฉันจามออกมาสองสามทีเมื่อมีกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์ลอยเข้าจมูก มันเหมือนขนของอะไรบางอย่างที่ฉันไม่คุ้นเคย และกลิ่นเหม็นเน่าของอะไรบางอย่างก็ลอยเข้าจมูกฉัน จนทำให้ฉันหายใจไม่ออก และ...

     

         กึก!!!

     

         ชั้นหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้าได้สั่นขึ้น และมันกำลังจะเคลื่อนมาทับฉันในไม่ช้านี้ และทันใดนั้น...ผนังห้องก็สั่นขึ้น พร้อมทั้งมีหนังสือบางเล่มได้ตกลงมา ก่อนที่จะชั้นวางหนังสือจะตกลงมาทับฉัน ฉันจึงตัดสินใจก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว และ...

     

         โครม!!!

     

         ร่างของฉันกระแทรกกับพื้นอย่างแรง และฉันรู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังเคลื่อนอยู่ข้างล่างพื้นนั้น

     

         " กรี๊ดดดดดดดดด!!! " ฉันกรีดร้องสุดเสียง และพยายามดิ้นสุดแรงเมื่อพื้นห้องได้แหวกออกเป็นช่องใหญ่ และร่างของฉันก็ได้ตกลงไปในช่องใหญ่นั้น มันพาฉันดิ่งลงลึกลงไปเรื่อยๆ จนฉันรู้สึกว่าหัวของฉันได้ไปกระแทรกกับของแข็งบางอย่างจนทำให้ฉันสลบไป

     

         ตึก...ตึก...ตึก!!!

     

         เสียงฝีเท้าของฉันที่กำลังเดินผ่านป่ารกๆ ในคืนที่เงียบสงบคืนหนึ่งดังขึ้น ฉันรู้สึกถึงความกลัวจับใจเมื่อพบว่าฉันกำลังเดินอยู่ในป่าแต่เพียงลำพัง

     

         " ฮึ่ม...ฮึ่ม!!! " เสียงร้องคำรามของสิ่งมีชีวิตบางอย่างทำให้ฉันตัวสั่น และฉันก็พยายามเดินเลี่ยงออกไปเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงนั้น

     

         จนกระทั่ง...ฉันได้เดินมาในป่าลึกเข้ามาเรื่อยๆ เงาของสิ่งมีชีวิตโทรมๆ เนื้อตัวสกปรก ไว้ผมยาวรุงรังปรากฏขึ้นตรงหน้าฉัน พวกมันกำลังส่งเสียงหัวเราะที่ฟังดูหลอนๆ และได้ก้าวเข้ามาทางฉันในเวลาต่อมา

     

         " เบลลาทริกซ์...เบลลาทริกซ์ ฮี่ๆๆๆๆ!!! " เสียงแหบห้าวของสิ่งมีชีวิตตรงหน้าดังขึ้นเรื่อยๆ พวกมันกำลังเดินตรงเข้ามาหาฉันด้วยท่าทางที่บ่งบอกถึงความหิวกระหายได้อย่างชัดเจน

     

         " กรี๊ดดดดดดดดด!!! " ฉันกรีดร้องสุดเสียงเมื่อมองเห็นใบหน้าขาวซีดเปื้อนเลือดของพวกมัน และกลิ่นกายของพวกมันทำให้ฉันรู้สึกคลื่นไส้

     

         และในตอนนั้น...ฉันจึงตัดสินใจที่จะวิ่งไปทางอื่น แต่เสียงหัวเราะหลอนประสาทนั่นยังคงวนอยู่ในหัวของฉันอยู่ตลอดเวลา

     

         " ฮี่ๆๆๆๆๆ!!! "

     

         " ไม่!!! " ฉันกรีดร้องในขณะที่วิ่งไปด้วย ฉันพยายามที่จะไม่นึกถึงมัน แต่เสียงหัวเราะหลอนประสาทนั่นยังคงไม่ออกไปจากหัวของฉัน

     

         ฉันตัดสินใจวิ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าฉันจะหลุดพ้นจากเสียงหัวเราะหลอนประสาทนั่น เพราะตราบใดที่ฉันยังคงได้ยินเสียงหัวเราะนั่น ฉันคิดว่าตัวฉันเองต้องเสียสติในอีกไม่ช้านี้เป็นแน่

     

         ต่อมา...ขาที่แทบจะไม่มีแรงของฉันก็นำฉันมายังที่ที่หนึ่ง ที่ซึ่งหนาวเหน็บ และเต็มไปด้วยไม้รกๆ และที่นั่นฉันก็ได้กลิ่นคาวเลือดมาจากที่ใดที่หนี่ง เหมือนกับว่า...ฉันจะเสียสติไปแล้วเมื่อฉันตัดสินใจที่จะเดินตามกลิ่นคาวเลือดนั้นไป และฉันก็เดินไปจนไปพบกับสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันตกใจเป็นอย่างมาก

     

         มันเป็นร่างของเด็กสาวร่างสูง เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ และนัยน์ตาสีเขียวผู้ซึ่งสวมชุดเดรสเรียบๆ สีขาวกำลังนอนจมกองเลือดอย่างไม่ได้สติ เธอคนนั้นหน้าซีด ตาเหลือกโพลงด้วยความกลัว และมีเลือดคลั่งในตาด้วย และถ้าฉันจำไม่ผิด เด็กสาวที่นอนตายอยู่ตรงหน้านี้ก็คือ'ฉัน'เอง 

     

         นี่ฉันตายแล้วหรอ? ป่ะ...เป็นไปไม่ได้!!!

     

         " เธอตายแล้ว...เธอตายแล้ว ฮี่ๆๆๆๆ!!! " เสียงหัวเราะหลอนประสาทนั่นดังขึ้นรอบๆ ตัวฉัน เมื่อฉันมองไปทางต้นเสียง ฉันก็รู้ตัวว่าพวกมันกำลังเดินเข้ามาหาฉัน และใช้มือเละๆ ของพวกมันสัมผัสร่างฉัน แล้วพยายามลากฉันให้เข้าไปหาพวกมัน

     

         " เบลลาทริกซ์...เบลลาทริกซ์ มาอยู่กับพวกเราเถอะ ฮี่ๆๆๆๆ!!! "

     

         " ไม่!!! " 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×