ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels คนบ้าระห่ำ แหกกฎสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #9 : Another sunlight of La Prezzo

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 61


     8

    Another sunlight of La Prezzo

     

    ( Ulic's Part )

     

         " ไม่!!! " ผมร้องสุดเสียงเมื่อเห็นร่างของพวกเขาทั้งเจ็ดคนล้มลงไปต่อหน้าต่อตา และร่างของพวกเขาทุกคนก็ต่างถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยสภาพร่างกายที่แน่นิ่งไม่ไหวติง ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่า...พวกเขาทั้งหมดได้จากไปแล้ว!!!

     

         เวลานี้ เหตุการณ์ที่เศร้าจนน่าใจหายนี้ทำให้ผมแทบเป็นบ้า นี่ผมปล่อยให้เพื่อนที่แสนดีทั้งเจ็ดคนตายไปต่อหน้าต่อตาได้ยังไง ทำไมผมถึงไม่ตายตามพวกเขาไป เป็นเพราะล็อกเกตนี่แท้ๆ ที่ทำให้ผมไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย นี่ผมเห็นแก่ตัวเกินไปแล้วใช่มั้ย!?!

     

         ผมทรุดตัวลงกับพื้นราวกับคนไม่มีแรง ร่างของผมสั่นเทาไปหมดทั้งร่าง และชาไปหมดทั้งตัว ผมมองไปที่ร่างที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งของพวกเขาทั้งเจ็ดคน ดูแล้วรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน ผมเครียดมากจนหัวแทบจะระเบิดออกมา และในตอนนั้นเอง...ก็มีภาพเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งปรากฏขึ้นในหัวของผม



     

         " วันนี้แม่จะออกไปทำธุระนะ ลูกอยู่บ้านคนเดียวต้องระวังตัวให้ดีนะ " น้ำเสียงอันอ่อนโยนของหญิงวัยกลางคนพูดกับเด็กชายวัยแปดขวบผู้ซึ่งมีผมสีเทา และนัยน์ตาสีฟ้า และตัวสูงกว่าเด็กวัยเดียวกัน  เธอคนนั้นเป็นผู้หญิงร่างบาง มีผิวขาวซีด มีเรือนผมสีเทา และนัยน์ตาสีฟ้าสดใส

     

         " ครับแม่ " เด็กชายคนนั้นรับคำแต่โดยดี ก่อนที่จะส่งยิ้มที่ดูไร้เดียงสาแบบเด็กๆ ให้แม่ของเขา ก่อนที่แม่ของเขาจะเดินออกไปจากบ้าน

     

         และหลังจากที่แม่ของเด็กชายคนนั้นออกจากบ้านไปไม่ถึงหนึ่งนาที ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

     

         โครม!!!

     

         เสียงอึกทึกครึกโครมได้ดังขึ้นที่หน้าบ้านหลังนั้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กชายคนนั้นจึงค่อยๆ เดินออกไปดู เขาพบร่างของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งตั้งแต่หัวจรดเท้า และร่างของผู้หญิงคนนั้นก็ได้ล้มลงกับพื้น และในวินาทีนั้นเอง...เด็กชายจึงรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่ของเขาเอง

     

         " แม่ครับ!!! " เด็กชายร้องขึ้นสุดเสียงพลางวิ่งไปหาร่างที่ไร้สติของแม่ " แม่ครับ แม่ตื่นสิครับ แม่อย่าทิ้งผมไปนะ ถ้าแม่ทิ้งผมไปอีกคนแล้วผมจะอยู่กับใคร พ่อก็ทิ้งผมไปแล้ว และผมก็ไม่มีญาติที่ไหนเลยด้วย แม่ครับ ได้โปรด...ได้โปรดลืมตาขึ้นสิครับ ได้โปรดตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว!!! ฮึก..ฮึก...แม่ครับ...ฮึก...ฮึก! "

     

         เมื่อเห็นว่าแม่ของเขาไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นจากห้วงมรณะเลย เด็กชายคนนั้นจึงเข้าสวมกอดร่างที่ไร้วิญญาณของแม่ แล้วร้องไห้อย่างไม่อายใคร ในตอนนั้น...หัวใจอันบริสุทธิ์ของเด็กชายถูกทำให้แตกเป็นเสี่ยงๆ นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าขมขื่นที่สุดเท่าที่เขาเคยมีมา

     



         ผมจำได้แล้ว! เด็กชายคนนั้นก็คือผมในสิบปีที่แล้ว การสูญเสียแม่ไปในตอนนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผม เพราะตอนนั้นผมก็อยู่กับแม่แค่สองคน ส่วนพ่อก็หายตัวไปตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมต้องระหกระเหินอยู่คนเดียว เพราะผมไม่มีญาติที่ไหนเลย หรือผมอาจจะมีก็ได้ แต่ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาเลย

     

         พอแม่ตาย ผมก็ถูกชายชราท่าทางใจดีคนหนึ่ง ผู้ซึ่งทุกคนขนานนามท่านว่าเจ้าแห่งเบื้องบนอุปการะเลี้ยงดูผมตั้งแต่ตอนที่ผมเสียแม่ไป ท่านส่งผมเข้าเรียนในสถาบันมีชื่อแห่งหนึ่งในนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ และระดับผลการเรียนของผมก็อยู่ในเกณฑ์ดีเกินคาด ดีจนใครหลายๆ คนต้องอิจฉา  และพวกเขาเหล่านี้ได้คิดจะฆ่าผม แต่ผมรู้ทันเสียก่อน จึงสามารถรอดมาได้หลายครั้ง

     

         จนกระทั่ง...ผมอายุสิบห้าปี ตอนนั้นผมเรียนจบแล้ว และกำลังจะสมัครเข้าทำงานในองค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบน(S.O.G.) และในการทำงานในองค์การลับของเหล่าทูตจากเบื้องบนนั้น จะต้องมีการทดสอบก่อนเข้าทำงาน ถ้าหากใครสามารถผ่านการทดสอบนี้ไปได้ ก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นทูตระดับสอง และมีสิทธิ์ที่จะเข้าทำงานได้ แต่บังเอิญว่าผมสามารถผ่านการทดสอบในครั้งนั้นได้ในระดับดีเกินคาด ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ทำการทดสอบนั้นบอกผมว่าผมสามารถเลื่อนขั้นไปเป็นทูตระดับสามได้เลย และไม่ต้องทำงานในองค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบนแล้ว แต่ให้ไปทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดโชคชะตาของเหล่าทูตร่วมกับเจ้าแห่งเบื้องบน

     

    องค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบน (S.O.G.) = องค์กรที่มีหน้าที่ช่วยเจ้าแห่งเบื้องบนปกครองนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ ปกติคนในองค์กรนี้จะไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็น ยกเว้นตอนที่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น

     

    *  ในนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์จะแบ่งทูตออกเป็นสี่ระดับ ดังนี้

    ทูตระดับหนึ่ง(ทูตสวรรค์ทั่วไป) เหล่าทูตจะได้เป็นทูตระดับหนึ่งก็ต่อเมื่อพวกเขาเรียนจบการศึกษาหลักสูตรเจ็ดปี

    ทูตระดับสอง(ทูตศักดิ์สิทธิ์) เหล่าทูตจะได้เป็นทูตระดับสองเมื่อเขาเริ่มเข้าทำงานในหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

    ทูตระดับสาม(เทพ) ทูตระดับนี้จะให้มีสมัยละคนเท่านั้น และจะต้องเป็นทูตที่เก่งที่สุดในนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจรองมาจากเจ้าแห่งเบื้องบนแค่องค์เดียว

    ทูตระดับสี่(พระเจ้า) ใช้เรียกผู้ก่อตั้งนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ในที่นี้หมายถึงเจ้าแห่งเบื้องบน ผู้มีสิทธิ์ในการกำหนดโชคชะตาของเหล่าทูตเพียงองค์เดียว *  

     

         ถึงแม้ว่าจะมีคนเสนอสิ่งดีๆ มาให้ แทนที่จะไขว่คว้ามันไว้ แต่ผมกลับเลือกที่จะปฏิเสธมัน และยืนยันที่จะทำงานในองค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบนต่อไป เพราะผมไม่อยากที่จะทำตัวให้เหนือกว่าคนอื่น

     

         ในช่วงปีแรกที่ผมทำงานอยู่ที่นั่น ผมทำงานอย่างหนัก และผลลัพธ์ที่ได้ก็มักจะออกมาดีเสมอ ผมได้รับคำชมจากคนที่ยกย่องสรรเสริญผม และในขณะเดียวกัน...ผมก็ได้รับคำนินทาจากคนที่มั่นไส้ผม

     

         สามปีต่อมา...ผมถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานขององค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบน ผมทำงานหนักมากในช่วงสามเดือนแรก และในเวลาต่อมา...ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับผม

     

    ประธานองค์กรลับของเหล่าทูตจากเบื้องบน = ทูตศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจในการปกครองสูงสุด เปรียบเสมือนนายกรัฐมนตรี หรือประธานธิบดีในโลกของเรา

     

         กลางดึกคืนหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังวุ่นอยู่กับการทำงานอยู่นั้น ทันใดนั้น...มือเรียวขาวซีดของใครบางคนก็ยื่นมาแตะที่ไหล่ของผม และผลักผมให้ตกลงไปในหลุมสีขาวซึ่งอยู่กลางห้องทำงานเพื่อนำผมไปยังโลกที่ผมไม่รู้จักโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว เจ้าของมือนั้นคือ'โรเชส' คู่แข่งตลอดกาลของผม

     

         " เฮ้ย!!! " ผมร้องสุดเสียงเมื่อเห็นมือที่เหมือนกับมือในภาพความทรงจำนั้นยื่นมาแตะที่ไหล่ผม ผมจึงหันไปมองเจ้าของมือนั้น แล้วพบว่า เด็กหนุ่มร่างสูง ผิวสีขาวซีด ผู้ซึ่งมีสีผม และสีตาเหมือนกันกับผมกำลังส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้ผม ไม่มีทางที่โรเชสจะเป็นมิตรกับผมเป็นแน่ เพราะฉะนั้นคนที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่โรเชส แต่เป็น'โซเฟจ' น้องชายฝาแฝดของโรเชส ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผมมานาน

     

         " ในที่สุดฉันก็เจอนายสักทีนะ " โซเฟจเอ่ยขึ้น คำทักทายของเขาทำให้ผมรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ผมไม่เข้าใจว่าเขากำลังจะทำอะไรอยู่กันแน่

     

         " นายมาที่นี่ได้ยังไง? " ผมเอ่ยถามขึ้น

     

         " ก็มาทางเดียวกันกับนายเมื่อเดือนที่แล้วนั่นแหละ " โซเฟจว่า " ฉันแอบมองดูนายมานาน แล้วพบว่า นายได้ใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์อย่างยากลำบากมาก เพราะฉันสงสารนาย ฉันจึงลงมาตามหานาย เนื่องจากนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ของเรา เป็นสถานที่ที่เข้ายาก ออกง่าย และถ้าออกมาเกินสิบวันจะต้องมีอันเป็นไปทันที เพราะฉะนั้น ฉันจะต้องพานายกลับไปยังนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์ในอีกสิบวันข้างหน้าให้ได้ แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะตอนนี้เรากำลังเจอกับปัญหาใหญ่เสียแล้ว ฉันเสียใจที่ต้องบอกนายว่า เรายังออกจากดินแดนแห่งความหนาวเหน็บนี่ไปไม่ได้ "

     

          " ทำไม? "

     

          " คำตอบอยู่ตรงนั้น " โซเฟจพูดพลางชี้ไปที่ร่างของพวกเขาทั้งเจ็ดคนที่กำลังนอนแน่นิ่งแข็งตายอยู่บนลานสีขาวโพลนตรงหน้า " นายลองมองไปที่เพื่อนอีกเจ็ดคนของนายสิ พวกเขามีสภาพที่ไม่ต่างไปจากแม่ของนายเมื่อสิบปีที่แล้ว มันน่าสงสารใช่มั้ยล่ะ? "

     

         " พวกเขาตายแล้ว ทั้งหมดนี่เป็นฝีมือนายใช่มั้ย? "

     

         " ทูตระดับสองอย่างฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะกำหนดโชคชะตาของใครได้หรอก ทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของเจ้าแห่งเบื้องบน " โซเฟจว่า " ยินดีด้วยนะ เพราะว่าพวกเขาทั้งหมดยังไม่ตาย เพียงแค่หลับไปเฉยๆ เท่านั้นเอง และภาพที่นายเห็นอยู่ในตอนนี้ก็เป็นภาพของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเขาทั้งหมดคงจะต้องตายจริงแน่ และเดี๋ยวอีกหน่อย เราคงจะต้องตายตามพวกเขาไป ถ้าหากนายทำไม่สำเร็จ "

     

         " นายจะให้ฉันทำอะไร? "

     

         " นายจะต้องทำภารกิจอย่างหนึ่ง ซึ่งเจ้าแห่งเบื้องบนทรงดลบันดาลให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเพื่อเป็นการพิสูจน์ความสามารถของตัวนายเอง และฉันเชื่อว่า เพื่อนอีกเจ็ดคนของนายก็จะต้องทำภารกิจเหล่านี้เหมือนกันในอีกไม่ช้านี้ " โซเฟจว่า " สิ่งที่นายต้องทำก็คือ นายต้องตามหาแสงแดดที่หายไปเพื่อทำให้ดินแดนเลเพรซโซแห่งนี้กลับมาอบอุ่นอีกครั้งภายในเวลาที่กำหนดให้ โชคร้ายที่นายมาช้าเกินไป ทำให้ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึงห้าชั่วโมงก่อนที่จะหมดวัน "

     

         " แล้วแสงแดดที่ว่านั่นอยู่ที่ไหนล่ะ? "

     

         " ฉันเสียใจ ที่ฉันต้องบอกนายว่า เพราะฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่า...ให้นายใช้สัญชาตญาณของตัวนายเองก็แล้วกันนะ ขอให้โชคดีล่ะ " โซเฟจตัดบทก่อนที่จะเดินออกไปทางอื่น แล้วทิ้งให้ผมอยู่กับความสิ้นหวังตามลำพัง " ช่างเป็นเพื่อนที่ดีอะไรเช่นนี้ " ผมคิดก่อนที่จะเดินออกไป โดยเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย

     

         เลเพรซโซเป็นดินแดนที่มีอาณาเขตุกว้างขวางที่มีหิมะปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้เมื่อมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่สีขาวโพลนเต็มไปหมด เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็จะพบร่างของผู้คนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตั้งแต่หัวจรดเท้ายืนเรียงกันในอิริยาบถต่างๆ อยู่ข้างทางสองฝั่งฟากของทางเดิน  บางคนก็มีสีหน้าชื่นชมยินดี และบางคนก็มีสีหน้าที่ดูโศกเศร้าอย่างเห็นได้ชัด ผมคิดว่า ผมเขาคงไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นหรอกนะ และสิ่งก่อสร้างอื่นๆก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะเช่นกัน จนทำให้มองไม่เห็นความงามของสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์เหล่านี้ได้ 'ช่างเป็นดินแดนที่น่าสงสารอะไรเช่นนี้' ผมคิดพลางเดินไปเรื่อยๆ และสายตาก็จับจ้องไปที่ทิวทัศน์ข้างทาง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าผมจะตามหาแสงแดดของดินแดนเลเพรซโซแห่งนี้ได้จากที่ไหน

     

         จนกระทั่ง...ผมได้เดินมาจนครบสามชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะตามหาแสงแดดที่หายไปได้จากที่ไหนในดินแดนเลเพรซโซแห่งนี้ นี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผม เพราะผมกำลังทำสิ่งที่ผมก็รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้

     

         ครึ่งชั่วโมงต่อมา...ผมรู้สึกท้อเป็นอย่างมาก นี่ผมวนรอบเมืองมาหนึ่งรอบแล้วนะก็ยังไม่เจอสิ่งที่ผมต้องการตามหาอีก 'แสงแดดที่หายไปน่ะหรอ? ดินแดนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปทั่วแบบนี้จะมีแสงแดดซ่อนอยู่ที่ไหนกันล่ะ?'  ผมคิดอย่างหัวเสียก่อนที่จะหยิบเอานาฬิกาขึ้นมาดูแก้เซ็ง แต่ผมก็ต้องเซ็งมากกว่าเดิมเมื่อพบว่าตอนนี้เหลือเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้นก่อนที่จะหมดวัน 'ไม่! ผมต้องไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้เด็ดขาด เมื่อสิบปีที่แล้ว ผมปล่อยให้แม่ตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ทำให้ผมเกลียดการสูญเสียที่สุด  และตอนนี้ก็เหมือนกัน ผมต้องไม่ปล่อยให้พวกเขาอีกเจ็ดคนต้องตายไปอีก แค่เสียแม่ไปคนเดียวมันก็เกินพอแล้ว' ผมคิดก่อนที่จะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นด้วยความอ่อนแรง

     

         และผมก็กลับมามีความหวังอีกครั้งเมื่อหัวใจของผมเต้นแรงขึ้น เมื่อมีอะไรมาดลใจให้ล็อกเกตของผมเรืองแสงขึ้น ซึ่งแสงของมันได้ทำการตกกระทบกับพื้นทำให้เกิดเป็นแนวยาว ผมจึงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามแสงสีน้ำเงินนั้นไป

     

         สิบห้านาทีต่อมา...แสงจากล็อกเกตนั้นก็ได้นำผมมาหยุดอยู่หน้าซากปรักหักพังของสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นเศษหินที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ผมจึงหยุดคิดว่าผมควรจะเดินไปทางไหนต่อดี แต่ยังไม่ทันที่จะมองหาหนทาง ลำแสงสีน้ำเงินจากล็อกเกตก็ส่องเข้าไปในช่องแคบๆ ที่อยู่ใต้ซากปรักหักพังเหล่านี้ ด้วยความที่ไม่มีทางเลือก ผมจึงต้องพยายามที่จะเบียดตัวเพื่อที่จะสามารถเข้าไปในช่องแคบๆ นี้ให้ได้

     

         ภายในช่องแคบๆ นั้น มันมืด และชื้นเป็นอย่างมาก เสียงฝีเท้าของผมที่ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ดังขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อมันสะท้อนกับแนวผนังโล่งๆ ผมเดินตามทางที่ถูกลาดด้วยหินอ่อนคลาสสิกไปเรื่อยๆ จนในที่สุด...มันก็พาผมมาหยุดอยู่หน้าปากอุโมงค์แห่งหนึ่ง ซึ่งมีหินก้อนยักษ์ปิดปากอุโมงค์นั้นไว้อย่างสนิท  ผมพยายามที่จะเคลื่อนหินก้อนนั้นออกไป แต่มันก็ยังไม่ยอมหลุดออกปากอุโมงค์ง่ายๆ จนกระทั่ง...

     

         ครืด...ครืด...ครืด...ซ่า!

     

         ทันใดนั้น...ก็มีน้ำค้างสีทองตกลงมาหยดลงบนขอบหินก้อนยักษ์นั่น จากนั้น...หินก้อนนั้นก็ได้เคลื่อนออกจากปากอุโมงค์ในที่สุด ปากอุโมงค์ได้เปิดออกพร้อมกับมีแสงสีเงินส่องออกมาจากภายในอุโมงค์นั้น แสงสีเงินนี้น่าดึงดูดใจนัก มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น และมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนกับว่ากำลังได้อยู่กับคนที่เรารักที่สุด

     

         เมื่อเห็นว่าเหลือเวลาเพียงแค่สี่สิบห้านาที ผมจึงตัดสินเดินเข้าไปข้างในอุโมงค์นั้นทันที ภายในอุโมงค์นั้นมืดมาก แต่ด้วยแสงจากล็อกเกตที่คอยส่องนำทางให้ผมได้เดินไปในทางที่ถูกต้อง ทำให้ผมแน่ใจมากขึ้นว่าความสำเร็จนั้นอยู่ไม่ไกลจนเกินไป

     

         ในที่สุด...แสงสีน้ำเงินจากล็อกเกตก็นำผมมาหยุดอยู่ในห้องเล็กๆ ที่อยู่ลึกที่สุด ในห้องนั้นมีหีบเก่าๆ ใบหนึ่งวางอยู่กลางห้อง ผมจึงตัดสินใจเปิดมันออกทันที แต่เนื่องจากว่าพื้นผิวของหีบใบนี้ฝืดมาก ผมจึงต้องออกแรงมากเป็นพิเศษ และใช้ระยะเวลาในการเปิดหีบใบนี้อยู่นาน

     

         กึก!!!

     

         ในที่สุด...ฝาหีบใบนี้ก็ถูกเปิดออก แสงสีทองที่ชวนแสบตาก็ได้ส่องออกมาจากหีบใบนี้ และแล้ว...ก็มีกระดาษสีซีดสองสามแผ่นลอยออกมาจากหีบใบนั้น และมีข้อความที่เขียนด้วยหมึกสีเงินจางๆ ปรากฏขึ้นบนหน้ากระดาษนั้น

        

         ดินแดนเลเพรซโซเมื่อปี 3000 ก่อนค.ศ. เป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในทุกๆ ด้าน มีเอกลักษณ์เฉพาะในด้านสถาปัตยกรรม และเป็นดินแดนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่ง เพราะในหนึ่งปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่ดินแดนเลเพรซโซแห่งนี้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันล้านคน เหล่านักท่องเที่ยวต่างต้องการที่จะเดินทางมาสัมผัสกับอารยธรรมที่น่าหลงใหล และมาเยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆ ซึ่งมีประวัติมายาวนาน และมีมนต์ขลังที่น่าอัศจรรย์ ประชาชนที่นี่ต่างก็เป็นมิตร พวกเขามีวิถีชีวิตที่น่าสนใจ และควรค่าแก่การศึกษาอย่างยิ่ง งานรื่นเริงก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดินแดนเลเพรซโซมีชีวิตชีวา เพราะว่าไม่เคยมีคืนไหนเลย ที่ผู้มาเยือนจะไม่ได้ยินเสียงดนตรีของเหล่านักดนตรี และเสียงฝีเท้าของที่เคาะเป็นจังหวะของเหล่านักเต้นรำ เลเพรซโซจึงถือได้ว่าเป็นดินแดนที่น่าหลงใหลที่สุดในยุคนั้น

     

         แต่เมื่อหนึ่งพันปีต่อมา ดินแดนเลเพรซโซก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อหิมะซึ่งไม่เคยตกลงมาในดินแดนเลเพรซโซมาก่อนก็ได้ตกลงมาปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดน จนมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่สีขาวโพลนของหิมะเต็มไปหมด และหิมะเหล่านี้ก็ทำให้เกิดเรื่องที่เลวร้ายที่สุด เมื่อมันได้พัดพาลมมรสุมที่หนาวเหน็บที่สุดมาที่นี่ ประชาชนหลายคนที่ทนความหนาวเหน็บนั้นไม่ไหวก็ได้ล้มตายไปทีละคนสองคน จนกระทั้งได้ตายจนครบทุกคน ซึ่งสภาพศพของชาวเลเพรซเซียนนั้นก็มีหิมะปกคลุมไปทั่วร่าง ตั้งแต่หัวจรดเท้า  มันเป็นภาพที่ไม่น่าภิรมย์อย่างยิ่ง

     

    เมื่อข้าพเจ้าและคณะได้เดินทางมาสำรวจที่ดินแดนเลเพรซโซแห่งนี้ แล้วมองเห็นสภาพของประชาชน และสิ่งก่อสร้างที่มีหิมะปกคลุมไปทั่ว ข้าพเจ้าคิดว่า...ดินแดนเลเพรซโซแห่งนี้ต้องถูกคำสาปอย่างแน่นอน มันเป็นคำสาปแห่งความหนาวเหน็บที่ทำให้แสงแดดของดินแดนนี้หายไป

     

    ข้าพเจ้ามองดูสภาพศพของประชาชนที่น่าอนาถา พวกเขาต่างยืนเรียงกันอยู่ที่สองฟากฝั่งข้างทาง บางคนกำลังเต้นรำ บางคนกำลังเล่นดนตรี บางคนกำลังกินเลี้ยงดื่มฉลอง บางคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน และบางคนก็มีท่าทีที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังกลัว ข้าพเจ้าจึงคิดว่า ประชาชนทั้งหมดคงไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอย่างแน่นอน

     

     ข้าพเจ้าและคณะยังคงอาศัยอยู่ที่นี่ประมาณเกือบเดือน คนที่ทนความหนาวเหน็บไม่ไหวก็เริ่มล้มตายไปทีละคนสองคน จนในที่สุด...ก็เหลือแต่ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว

     

    ข้าพเจ้าจึงค้นหาสาเหตุของการเกิดคำสาปปริศนานี้แต่เพียงลำพัง ข้าพเจ้าเริ่มที่จะสำรวจรอบเมือง ก่อนที่จะพบกับแผนที่ประหลาดใบหนึ่งที่วางอยู่ใต้ซากปรักหักพังของพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ของดินแดนเลเพรซโซแห่งนี้ มันเป็นแผนที่ที่นำให้ไปพบกับเครื่องรางแห่งคำสาปที่ถูกเก็บไว้ในสถานที่ที่ลึกที่สุดของดินแดนแห่งนี้

     

    พอผมอ่านข้อความในกระดาษสีซีดนั่นจบสองหน้าแล้ว ด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับที่มาของคำสาปนั่น ผมจึงรีบพลิกไปหน้าถัดไปทันที แต่ก็น่าเสียดาย แทนที่จะมีข้อความปรากฏขึ้นในหน้าถัดไป แต่กลับมีแผนที่ปรากฏขึ้นมาแทน

     

         มันเป็นแผนที่ที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ประหลาดที่ผมดูไม่เข้าใจ และผมก็คิดว่านักสำรวจที่ค้นพบแผนที่อันนี้คงจะยังไม่ได้เข้าไปยังจุดหมายที่อยู่ในแผนที่นี้อย่างแน่นอน ด้วยความไม่แน่ใจในเรื่องเวลา ผมจึงเอานาฬิกาขึ้นมา พบว่าตอนนี้เหลือเวลาเพียงแค่สิบห้านาทีเท่านั้น 'นี่ผมใช้เวลาในการเข้าใจบทความนี้ถึงครึ่งชั่วโมงเลยหรอเนี่ย?' ผมคิดแล้วรีบมองหาหนทางที่จะไปต่อ ทันใดนั้น...แสงสีน้ำเงินจากล็อกเกตก็ส่องไปที่สัญลักษณ์ที่อยู่ตรงกลางของแผนที่ 'มันคงเป็นจุดที่ผมยืนอยู่สินะ' ผมคิดพลางกวาดตามองไปทั่วแผนที่อันนั้น ต่อมา...แสงสีน้ำเงินก็ปรากกฎขึ้นบนแผนที่อีกครั้ง คราวนี้มันลากยาวขึ้นไปทางทิศตะวันออก ผมจึงมองไปทางทิศตะวันออกกับที่ผมยืนอยู่  ก่อนที่จะรีบวิ่งไปทางนั้นทันที และแสงน้ำเงินก็ส่องไปที่ยังผนที่อีกครั้ง จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก จากทิศเหนือไปทิศใต้ แล้วไปหยุดอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผมจึงไม่รอช้า แล้วรีบวิ่งไปตามทิศทางเหล่านั้นให้เร็วที่สุดทันที

     

          ครู่ต่อมา...ผมพบว่าตัวเองกำลังยืนหอบอยู่ที่หน้าอุโมงค์แห่งหนึ่ง มันเป็นอุโมงค์รกๆ และถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น ผมจึงก้าวเท้าอย่างระมัดระวังที่สุดเพื่อที่จะเข้าไปในอุโมงค์แห่งนั้น และที่นั่นก็มีซากศพของบรรดานักสำรวจเรียงเป็นแนวยาวอยู่บนพื้น

     

         ทันใดนั้น...ก็มีแสงสีเงินของวัตถุบางอย่างส่องกระทบเข้าตาผม ผมจึงมองตามแสงนั้นไป พบว่ามันมาจากวัตถุสีเงินรูปร่างประหลาดที่อยู่ในมือของนักสำรวจคนหนึ่ง ผมจึงก้าวเท้าอย่างนุ่มนวลเพื่อที่จะไปหยิบสิ่งนั้น และทันทีที่ผมยื่นมือไปแตะสิ่งนั้น นักสำรวจคนนั้นก็ขยับร่างกายที่ผอมแห้งมีแต่กระดูกของตัวเองก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งราวกับไม่มีแรงว่า

     

         " เผาเครื่องรางนี่ทิ้งซะ " ด้วยความตกใจผมจึงค้างอยู่สักพัก แต่เมื่อได้สติกลับคืนมาแล้ว ผมจึงจ้องมองเครื่องรางนี้อย่างพิจารณา มันมีตัวหนังสือสีขาวสลักไว้ว่า 'Dear La Prezzo'

     

         " เครื่องรางนี้ถูกส่งมาจากดินแดนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งผู้ปกครองเมืองนั้นรู้สึกอิจฉาในความเจริญรุ่งเรืองของดินแดนเลเพรซโซมาก เขาต้องการที่จะทำลายดินแดนแห่งนี้ด้วยคำสาปแห่งความหนาวเหน็บ และต้องการทำให้แสงแดดของดินแดนนี้หายไป เผาเครื่องรางนี้ซะ มันจะช่วยให้ดินแดนนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิม " นักสำรวจคนนั้นว่า ผมจึงพยักหน้ารับก่อนที่จะหยิบเครื่องรางนั้นขึ้นมาก่อนที่จะนำมาเสียดสีกับปลายล็อกเกตของผม เพราะเครื่องรางนี่มีความชื่นมากเกินไป จนทำให้แสงสีน้ำเงินไม่ปรากฏออกมาจากล็อกเกต ผมจึงนำเครื่องรางมาเสียดสีกับปลายล็อกเกตครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นเหมือนเดิม

     

         ด้วยความกังวลใจ ผมจึงเอานาฬิกาขึ้นมาดูอีกครั้ง พบว่าตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึงสองนาทีแล้ว ผมจึงรีบเสียดสีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามอย่างหนักจนข้อมือของผมแทบหลุด มันจะไม่ทันอยู่แล้วนะ!!!

     

         อีกหนึ่งนาทีสุดท้าย ผมคิดว่าผมคงไม่ทันแล้วแน่ๆ แต่จิตใจของผมก็ยิ่งห่อเหี่ยวลงเมื่อนักสำรวจคนนั้นตะโกนกลับมาว่า

     

         " พยายามไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ขนาดข้าใช้เวลาทั้งวันเพื่อที่จะพยายามเผาเครื่องรางอันนี้  ข้าก็ยังไม่สามารถที่จะเผามันได้สำเร็จเลย รออีกพันปีข้างหน้าเถอะ "

     

         " ไม่! ผมรอไม่ได้ ผมต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้ " ผมตะโกนตอบกลับไปแล้วมองไปที่เครื่องรางที่ไม่มีท่าทีว่าจะไหม้เลยแม้แต่น้อย นี่ผมกับคนอื่นๆ คงต้องตายจริงๆ แล้วใช่มั้ยเนี่ย?

     

         เวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดดำเนินต่อไปอย่างไร้ความหวัง สิ่งที่ผมรับรู้ได้ว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นกับผมอย่างแน่นอนก็คือความตาย  และสิ่งที่ผมต้องทำก็คือผมควรนั่งรอความตายอย่างสงบ แต่ผมกลับพยายามที่จะเผาเครื่องรางนี้ต่อไป และหวังว่าผมคงจะรอดตาย

     

         สิบ...เก้า...แปด...เจ็ด...หก...ห้า....สี่...สาม...สอง...หนึ่ง...

     

         นี่ผมคงตายแล้วใช่มั้ย?

     

         แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อ...

     

         พรึ่บ!!!

     

         เครื่องรางที่ไม่มีท่าทีว่าจะติดไฟเลย กลับติดไฟขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ และบัดนี้...มันกำลังถูกทำให้ไหม้ด้วยไฟสีน้ำเงิน และสันธานไปในที่สุด...

     

         " เจ้าทำได้! " นักสำรวจคนนั้นร้องขึ้นมาด้วยความตกตะลึง เขาลุกขึ้นมาเต้นรำอย่างมีชีวิตชีวา แล้วพูดไม่หยุดว่า " สรรเสริญวีรบุรุษผู้กล้าหาญแห่งเลเพรซโซ! " จากนั้น...นักสำรวจคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ พวกเขาหาวก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " นี่ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย? ทำไม...มันช่างอบอุ่นอะไรเช่นนี้ "

     

         " เลเพรซโซรอดพ้นจากคำสาปเมื่อไหร่กันน่ะ? "

     

         " แล้วไอ้หนุ่มนี่เป็นใครกัน? เจ้ามาที่นี่ทำไม? "

     

         " ท่านผู้นี้คือวีรบุรุษของเรา เขาเป็นผู้ทำลายเครื่องรางแห่งคำสาปนั่น เขาเป็นผู้ทำให้เลเพรซโซคืนสู่สภาพเดิม " นักสำรวจคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นนักสำรวจคนอื่นๆ ก็พากันร้องขึ้นว่า

     

         " สรรเสริญวีรบุรุษผู้กล้าหาญแห่งเลเพรซโซ! " พอเสียงนั้นเงียบลง ผมก็ได้ยินเสียงเพลงจากด้านนอก มันเป็นเพลงเต้นรำที่ให้ความรู้สึกสนุกสนาน ตอนนี้เลเพรซโซได้กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้วสินะ

     

         " นี่ข้าอยู่ในสภาพนี้นานเท่าไหร่แล้วล่ะเนี่ย? "

     

         " ข้าคิดถึงเจ้าจัง "

     

         " ฮ้าว! เช้าแล้วหรอเนี่ย? "

     

         " ยังหรอก แค่เช้ามืดอยู่ แต่เป็นเช้ามืดที่สดใสที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา "

     

         " นานเท่าไหร่แล้วที่ข้าไม่ได้เล่นดนตรีน่ะ? เพราะฉะนั้นวันนี้ข้าจะเล่นดนตรีตลอดวันเลย "

     

         " ฮู่เร่! ในที่สุดแสงแดดแห่งเลเพรซโซก็กลับคืนมาแล้ว!!! ช่วงเวลาแห่งคำสาปนั่นช่างนานจริงๆ มันผ่านไปกี่ปีแล้วเนี่ย? "

     

         " ผ่านไปกี่ปีแล้วข้าไม่รู้ รู้แค่ว่า...ตอนนี้ขึ้นวันใหม่ได้ห้านาทีแล้ว "

     

         " มันเป็นห้านาทีที่มีความสุขที่สุดในชีวิตเลยล่ะ! "


         'ขึ้นวันใหม่ได้ห้านาทีแล้วหรอ? ไม่...มันไม่ทันแล้ว! ผมต้องรีบกลับไปเดี๋ยวนี้' ผมคิดพลางก้าวเท้าเพื่อออกไปจากช่องแคบๆ นี้ให้เร็วที่สุด

     

         " นี่! ท่านวีรบุรุษ ท่านไม่คิดจะดื่มฉลองกับพวกเราหน่อยหรอ? " นักสำรวจคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น ดื่มฉลองงั้นหรอ? ใช่...ตามตำนานวีรบุรุษที่ผมเคยอ่านมา เมื่อวีรบุรุษทำภารกิจสำเร็จแล้ว ก็มักจะมีงานเลี้ยงฉลองเกิดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติของวีรบุรุษคนนั้นเสมอ แต่สำหรับผมในตอนนี้ที่กลายเป็นวีรบุรุษสำหรับพวกเขา ผมกลับเลือกที่จะเป็นวีรบุรุษที่ช่วยเหลือดินแดนเลเพรซโซแห่งนี้อย่างลับๆ โดยไม่ต้องการการจัดงานเลี้ยงใหญ่โตเพื่อสรรเสริญผม เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมจึงส่ายหน้าให้พวกเขาก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปทันที

     

         ครู่ต่อมา...ผมก็ได้มาถึงลานกว้างๆ ซึ่งเป็นสถานที่เริ่มต้นของภารกิจทั้งหมด เป็นที่น่าชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เมื่อลานที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนที่ผมเห็นก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นลานทุ่งหญ้านุ่มๆ ให้ความอบอุ่นไปแล้ว

     

         ผมมองดูโซเฟจที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างต้นไม้ต้นหนึ่งที่บัดนี้มันได้แตกกิ่ง ออกใบสวยงาม และไม่มีหิมะปกคลุมอีกต่อไปแล้ว แล้วหันกลับไปมองบรรดาเพื่อนที่แสนดีทั้งเจ็ดคนที่บัดนี้ยังคงไม่ตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา

     

         " โซเฟจ " ผมเอ่ยขึ้น แล้วโซเฟจก็เงยหน้าขึ้น เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

     

         " ฉันดีใจที่นายทำสำเร็จ ขอบคุณที่เจ้าแห่งเบื้องบนที่ประทานความสามารถทั้งหมดให้กับนาย และให้นายกลับมาได้อย่างปลอดภัย "

     

         " โซเฟจ...เมื่อกี้นายหลับหรอ? " พอผมพูดจบ โซเฟจมีท่าทางที่สะดุ้งเล็กน้อย เขาส่ายหน้าก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " เปล่าหรอก เมื่อกี้ฉันอธิษฐานเผื่อนายตลอดเวลาเลยนะ แล้วฉันก็รู้แล้วว่าเจ้าแห่งเบื้องบนต้องเข้าข้างคนอย่างนาย " โซเฟจว่า " ตอนนี้ยังมืดอยู่เลยนะ เราน่าจะงีบสักหน่อยนะ แล้วค่อยออกเดินทางต่อ " 

         'เราน่าจะงีบสักหน่อยนะ แล้วค่อยออกเดินทางต่อ? งั้นก็หมายความว่า...ยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกงั้นหรอ?' ผมคิดก่อนที่จะพยักหน้าให้โซเฟจ

     

         พวกเรางีบหลับกันสักพักก่อนที่จะตื่นขึ้นอีกทีตอนเจ็ดโมง ที่จริงผมสามารถนอนต่อได้อีกนะ แต่ก็ต้องนอนไม่หลับเพราะว่าพวกเขาทั้งเจ็ดคนได้ตื่นขึ้นมาก่อกวนผมเสียแล้ว

     

         " เฮ้! ขอถามหน่อยสิ ขอถามว่า...ตอนนี้เราตายกันหรือยัง? "

     

         " คำตอบก็มีให้เห็นตรงหน้า คือเรายังไม่ตายยังไงล่ะ "

     

         " เรายังไม่ตาย! เรายังไม่ตาย! เรามีชัยชนะเหนือความตาย! พระเจ้าย่อมเข้าข้างคนอย่างเราเสมอ! "

     

         " The rebels จงเจริญ! "

     

         " ออกจากฝันร้ายสีขาวแล้วกลับสู่โลกที่สดใสได้แล้ว! "

     

         " ฮ๊า...เลลูยา ฮ๊า...เลลูยา ฮาเลลูยา ฮาเลลูยา ฮา...เล...ลู...ยา...ฮ๊า!!! "

     

         " อรุณสวัสดิ์! "

     

         " สายัณห์สวัสดิ์! "

     

         " ราตรีสวัสดิ์! "

     

         " Happy Birthday to you~ "

     

         " Happy new year! "

     

         " Happy new life! "

     

         " การมีชีวิตเหนือความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เราไม่กลัวตายอีกแล้ว! " เฮ้อ~ แค่พวกเขารู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย พวกเขาก็สามารถเป็นบ้าไปถึงขนาดนี้เชียวหรอ? การรอดตายนี่มันสุดยอดจริงๆ!

     

         " ฮ้าว! ตื่นกันหมดแล้วหรอ? " โซเฟจหาวพลางบิดขี้เกียจ แล้วลืมตาเพื่อที่จะพบกับความวุ่นวายในเช้าวันนี้ และความวุ่นวายนั่นก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาแล้ว...

     

         " นั่นใครน่ะ? " พวกเขาทั้งเจ็ดต่างก็ร้องเป็นเสียงเดียวกันพลางชี้นิ้วไปที่โซเฟจแล้วขมวดคิ้วขึ้นทำหน้าสงสัย 

     

         " ผู้ชายคนนั้น " ดีซีดอเรต้าเอ่ยขึ้น " คนที่ฉันเห็นในฝันนี่ แบล์คลีซา...ใช่คนนี้หรือเปล่าที่สลับกระเป๋ากับเธอน่ะ? " พอดีซีดอเรต้าพูดจบ แบล์คลีซาก็พยักหน้าขึ้นช้าๆ เมื่อผมเห็นดังนั้น ด้วยความที่กลัวว่าพวกเขาทั้งหมดจะรุมทำร้ายโซเฟจ เพราะคิดว่าโซเฟจเป็นผู้ก่อการร้าย ผมจึงรีบพูดขึ้นมาก่อนว่า

     

         " นี่คือโซเฟจ เพื่อนของฉันเอง เราทำงานที่เดียวกัน แล้วเรียนจบมาจากที่เดียวกัน เอ่อ...โซเฟจ นายคืนกระเป๋าให้แบล์คลีซาหรือยัง? "

     

         " คืนให้ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว " พอโซเฟจพูดจบ แบล์คลีซาก็รีบหยิบกระเป๋าที่วางอยู่ข้างๆ เธอ แล้วเปิดกระเป๋าออกเพื่อเช็คดูของข้างใน แล้วเธอก็ยิ้มเมื่อเห็นว่าของข้างในยังอยู่ครบ

     

         " เอ๊ะ! มันยังไม่จบนี่ ในฝันของฉันบอกว่า พอผู้ชายคนนั้นคืนกระเป๋าให้แบล์คลีซาแล้ว เขาจะต้องพูดอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาด้วย " พอดีซีดอเรต้าพูดจบ ทุกคนก็หันไปมองโซเฟจ เขาจึงยิ้มก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " ผมมีเรื่องจะขอร้องให้พวกคุณช่วยน่ะ คือว่า...ผมได้แอบหนีมาจากนครบริสุทธิ์ของเหล่าทูตศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว นครบริสุทธิ์ของเราเป็นสถานที่ที่เข้ายาก และออกง่าย ถ้าใครออกไปจากที่นั่นเกินกว่าสิบวันโดยภารการแล้วจะต้องมีอันเป็นไปในอีกสิบวันข้างหน้า นับตั้งแต่วันที่ออกมาจากที่นั่น และตอนนี้ผมก็ออกมาจากที่นั่นหนึ่งวันแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เหลือเวลาอยู่อีกแค่เก้าวันเท่านั้นที่จะต้องกลับไปยังนครบริสุทธิ์ให้ได้ แต่การที่จะสามารถกลับเข้าไปในนครบริสุทธิ์นั้นได้ เราจำเป็นต้องเดินทางผ่านเมืองต่างๆ และแต่ละเมืองนั้นก็จะมีภารกิจรออยู่ และผู้ที่ถูกเลือกก็จะต้องทำภารกิจนั้นให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าคนนั้นทำไม่สำเร็จ ทั้งคนนั้น และเพื่อนผู้ร่วมการเดินทางทั้งหมดก็จะตาย "

     

         " ตาย! ตายอีกแล้วหรอ? อย่าเอาเรื่องความตายมาล้อเล่นกันนะ " พวกเขาทั้งเจ็ดคนประสานเสียงกันขึ้น

     

         " ผมไม่ได้ล้อเล่นพวกคุณเล่น แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ และทั้งหมดนี้ก็เป็นพระประสงค์ของเจ้าแห่งเบื้องบน " พอโซเฟจพูดจบ ทุกคนก็เงียบ จากนั้นมอนสเตลล่าก็พูดมาว่า

     

         " คุณโซเฟจ เมื่อกี้คุณบอกว่าคนที่ออกมาจากนครบริสุทธิ์มากกว่าสิบวันจะต้องตายใช่มั้ย? แล้วทำไมยูลิคถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ? "

     

         " ก็เพราะว่า กรณีของยูลิคเป็นกรณียกเว้น เขาออกมาจากนครบริสุทธิ์ด้วยความไม่ได้ตั้งใจ "

     

         " กรุณาช่วยบอกรายละเอียดด้วยได้มั้ย? " มอนสเตลล่าว่า

     

         " ตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว เอาเป็นว่าให้ยูลิคเล่าให้ฟังทีหลังก็แล้วกัน เพราะตอนนี้เขาก็จำเรื่องทั้งหมดได้แล้ว " พอโซเฟจพูดจบ ทุกคนก็ยิ้มออกมา พวกเขาคงดีใจที่ผมจำความได้แล้ว " เอาล่ะ...สำหรับภารกิจต่อไปจะเกิดขึ้นที่... " โซเฟจหยุดพูดสักพัก เขาหยิบวัตถุสีขาวทรงปริชึมออกมา มันคือเครื่องมือรับคำสั่งนั่นเอง โซเฟจเปิดฝาเครื่องมือรับคำสั่งออกมาดูก่อนที่จะทำหน้าตกใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า " วิชเชล่า ดินแดนแห่งความเสื่อม! " พอโซเฟจพูดจบ ทุกคนก็ทำหน้าเครียด แค่ฟังชื่อเมืองก็หดหู่เกินทนแล้ว คนที่ถูกเลือกให้ทำภารกิจที่เมืองนั้นคงซวยน่าดู

     

         " และผู้ถูกเลือกคือ--- "

     

    ( End Ulic's Part ) 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×