คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Unexpected stories
Unexpected stories
" เฮ้ย! " ฉันร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าบัตรเข้าเมืองหลวงได้หายไปแล้ว มันไม่ได้อยู่ในซอกที่ฉันใส่เอาไว้ และในที่อื่นๆ ในกระเป๋าก็ไม่มีด้วย และที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ...ของทุกอย่างในกระเป๋าใบนี้ก็ได้หายไปด้วย!!! ซวย...ซวยอะไรอย่างนี้!
" ทุกคน...ฉันขอโทษ คือว่า...บัตรเข้าเมืองหลวงมันหายไปแล้ว ในกระเป๋าใบนี้ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย " ฉันว่า พอฉันพูดจบทุกคนก็หันมามองฉันแล้วทำหน้าตกใจก่อนที่จะพูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า
" ว่าไงนะ? เธอทำหายงั้นหรอ? มันหายไปได้ยังไง? " เหมือนกับว่ากำลังได้ฟังบทเพลงจากนักร้องประสานเสียงระดับโลกยังไงอย่างงั้น ทุกคนต่างเริ่มพูด และพูดจบในเวลาเดียวกัน แถมเสียงของพวกเขายังสามารถประสานกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
" แบล์คลีซา...เธอลืมปิดกระเป๋าหรือเปล่า? " มอนสเตลล่าเอ่ยถามขึ้น
" ก็ไม่นะ ก่อนที่จะเอากระเป๋าใส่ไว้ในที่วางของใต้พื้นนั้น ฉันก็เช็คดูอย่างดีแล้วนะ " พอฉันพูดจบ ทุกคนก็ประสานเสียงกันขึ้นว่า
" เป็นไปได้ยังไง? มันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ได้นะ "
" นั่นแหละ ฉันก็คิดว่ามันแปลกๆ เหมือนกัน แล้วของจะหายไปได้ยังไง ในเมื่อฉันก็ปิดกระเป๋าเรียบร้อยแล้วด้วย " ฉันว่า จากนั้นทุกคนก็ปรึกษากันว่าจะทำยังไงต่อไปดี และในที่สุด...
" ถ้าไม่มีบัตรเข้าเมืองหลวง ก็หมายความว่า พวกเราจะเข้าไปในเมืองหลวงไม่ได้ " เรอัสว่า
" แล้วยังไงล่ะ? จะให้ซื้อตั๋วโดยสารบินกลับไปที่เดิม แล้วไปเอาบัตรเข้าเมืองหลวงมาใหม่งั้นหรอ? นี่มันบ้าชัดๆ น่ะ " ดีซีดอเรต้าโวยวายขึ้น แล้วทุกคนก็ถอนหายใจพร้อมกันด้วยความหนักใจ แต่...เชื่อสิว่าต้องมีใครที่มีความคิดดีๆ ที่สามารถจะแก้ปัญหานี้ได้น่ะ และแล้ว...
" ดอลล่าร์...เราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก งบประมาณมีไม่พอหรอกนะ " มอนสเตลล่าว่า
" แล้วถ้าไปเข้าเมืองหลวง แล้วเราจะไปไหนได้ล่ะ? " เบลลาทริกซ์เอ่ยถามขึ้น
" ไปนอกเมืองไง ถึงเราจะเข้าไปในเมืองไม่ได้ แต่ก็ออกนอกเมืองได้เว๊ย " อดอล์ฟว่า
" เอ่อ...ความคิดดีนี่หว่า " ดรากเนสร้องขึ้น " งั้นเราไปนอกเมืองกัน "
" เฮ้ย! กูล้อเล่นเฉยๆ มึงจะเอาจริงหรอวะ? " อดอล์ฟพูดขึ้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล " เฮ้ย! ถ้ามีใครตายขึ้นมา มึงต้องรับผิดชอบนะเว๊ย "
" เอ่อ...ก็รับผิดชอบด้วยการตายด้วยกันหมดนี่ไง ไหนมึงบอกว่ามึงไม่กลัวตายไง? " ดรากเนสตัดบทก่อนที่จะเดินนำเราเพื่อไปยังประตูที่อยู่ทางขวาสุดของสนามบินซึ่งเป็นประตูทางผ่านออกนอกเมือง
และแน่นอนว่าการหนี(?)ออกนอกเมืองของเราจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซะแล้ว เมื่อเรามองเห็นทหารสวมชุดเกราะร่างยักษ์สองคน(?)ยืนเฝ้าอยู่ที่ข้างประตูทั้งสองข้าง และมีป้ายที่แขวนไว้ที่บนประตูบานนั้น และบนป้ายนั้นมีข้อความเขียนด้วยหมึกสีแดงจางๆ ว่า " หากท่านมีความประสงค์ที่จะเดินทางออกนอกเมือง ขอให้ท่านจ่ายเงินสำหรับการเดินทางเป็นจำนวนเงิน4800 CZ ต่อคนด้วย ถ้าหากใครฝ่าฝืนจะถูกฟันคอขาดด้วยดาบแห่งตระกูลนักรบศักดิ์สิทธิ์พันปี "
" 4800 CZงั้นหรอ? " เบลลาทริกซ์ทวนคำ " ตอนนี้พวกเรามีเงินเหลือแค่คนละ3000 CZ เองนะ แล้วเราจะไปหาเงินอีก1800 CZ ที่เหลือได้จากไหนล่ะ? "
" ไม่มีก็ไม่ต้องหาสิ ไม่ต้องจ่ายแล้วด้วย " อดอล์ฟว่า
" อดอล์ฟ นายจะบ้าหรอ? ถ้าไม่จ่ายเราก็โดนฟันคอขาดตายกันหมดสิยะ อย่าทำตัวเหมือนพวกสัตว์เซลล์เดียวสิ " ดีซีดอเรต้าร้องขึ้น
" ใครกันแน่ที่ทำตัวเหมือนสัตว์เซลล์เดียว นี่เธอแยกแยะไม่ออกหรือไงว่าฉันยังพูดไม่จบน่ะ " อดอล์ฟพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ " ฉันหมายความว่า เราจะไม่จ่ายเงิน แล้วก็จะไม่โดนฟันคอขาดตายด้วย ดรากเนสจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด "
" กูพูดตอนไหนวะ? " ดรากเนสว่า " มึงมั่วนี่หว่า "
" กูไม่ได้มั่ว กูได้ยินมึงพูดจริงๆ พูดในใจไงเพื่อน ฮ่าๆๆ!!! "
" หรอ? " ดรากเนสว่าก่อนที่จะหันมามองพวกเรา แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า " เมื่อกี้ใครได้ยินฉันพูดในใจบ้าง? " แล้วพวกเราก็ส่ายหน้าพร้อมกัน ดรากเนสจึงเดินเข้าไปตบหัวอดอล์ฟแรงๆ หนึ่งที แต่อดอล์ฟก็ยังไม่สำนึกผิด เขาพูดขึ้นมาว่า
" ก็คนอื่นไม่มีอำนาจในการฟังเสียงในใจได้เหมือนกู แล้วมันจะไปได้ยินได้ยังไง? ขนาดมึงยังไม่ได้ยินเสียงในใจของตัวเองเลย ขนาดมึงพูดในใจ มึงก็ยังไม่รู้ตัวด้วยเลยว่ามึงพูดอะไร " พออดอล์ฟพูดจบ ดรากเนสก็หน้าเสียเล็กน้อย เขาถามในขณะที่ยังก้มหน้าว่า
" แล้วทำไมมึงไม่ทำเองล่ะวะ มึงเป็นยมทูตไม่ใช่หรอ? มึงกำหนดความตายได้ ทำไมไม่ทำให้ทหารสองคนนี้ตายล่ะ? "
" ก็กูโดนงดใช้อำนาจอยู่ พรุ่งนี้ถึงจะพ้นโทษ ใช้อำนาจได้ตามปกติ เพราะฉะนั้น...เรื่องจัดการทหารสองคนนั้นก็เป็นหน้าที่ของมึง นี่มึงเป็นเจ้าแห่งคาร์ริสนะเว๊ย สำแดงอำนาจของมึงให้พวกมันเห็นสิ "
" มึงนี่จริงๆ เลย หาเรื่องให้ตัวเองยังไม่พอ ยังอุตส่าห์หาเรื่องให้คนอื่นได้เดือดร้อนกันอีก กูล่ะซึ้งจริงๆ ว่ะ " ดรากเนสว่าก่อนที่จะเดินออกไป พวกเราก็ได้แต่แอบมองอยู่ไกลๆ ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้ดรากเนสทำสำเร็จ
ดรากเนสก้าวฝีเท้าไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ สายตาจ้องมองไปที่ทหารที่สวมชุดเกราะทั้งสองนายนั้นด้วยสายตาอาฆาตแค้น(?)
ต่อมา...ทหารทั้งสองนายถึงกับหน้าเหวอเมื่อเห็นว่าดรากเนสได้เดินเข้ามาใกล้ตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็ได้ชักดาบออกมาโดยสัญชาตญาณเมื่อเห็นว่าดรากเนสกำลังจะเดินออกไปนอกประตูบานนั้น
ตึก...ตึก...ตึก!!!
เสียงฝีเท้าที่มีจังหวะเร็วระรัวดังขึ้น พวกเราจึงหันไปมองทางต้นเสียงพบว่า ดรากเนสได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย และทหารสองนายนั้นก็กำลังวิ่งไล่ตามดรากเนสอย่างสุดชีวิต โดยที่ไม่กลัวตายเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขาก็วิ่งตามดรากเนสไม่ทันอยู่ดี
และทันใดนั้น...ที่ที่ทหารสองนายนั้นยืนอยู่ ก็ได้มีความมืดเข้ามาปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้น ด้วยความตกใจ ทหารสองนายนั้นจึงวิ่งชนกันเอง และ...
โครม!!!
ร่างของทหารสองนายนั้นต่างก็ล้มลงสู่พื้นก่อนที่จะแน่นิ่งไป จากนั้น...เลือดสีน้ำตาลทองของพวกเขาก็ได้ไหลออกมา พวกเราทั้งหมดจึงรู้ว่า...เขาตายแล้ว!!!
และในตอนนั้นเอง ดรากเนสที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ก็ได้เดินมาข้างหลังเรา เขาจึงพยักหน้าให้เราเป็นเชิงว่า " เรียบร้อยแล้ว ให้เราไปกันเถอะ " เมื่อเห็นดังนั้น เราทั้งหมดจึงรีบไปที่ประตูทางผ่านออกนอกเมือง แต่ก็ไม่ทันที่เราจะก้าวเท้าออกประตูนั้นไป เรอัสก็พูดขึ้นมาว่า
" ฉันว่าเราควรจะจัดการกับศพทหารสองนายนี่ก่อนนะ " เรอัสเอ่ยขึ้น แล้วมอนสเตลล่าก็พยักหน้ารับก่อนที่จะพูดว่า
" ถ้าดูจากเครื่องแต่งกายของทหารสองนายนี้แล้ว ฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นข้าราชการชั้นสูงนะ มันไม่ดีแน่ถ้าจะปล่อยให้ข้าราชการชั้นสูงสองนายนี่นอนตายอยู่ตรงนี้ เพราะพวกเขาเป็นคนสำคัญของประเทศชาติ ผู้คนจะถือว่าการตายของพวกเขาเป็นเรื่องน่าหดหู่ จากนั้น...ผู้คนก็จะหาสาเหตุเกี่ยวกับการตายของพวกเขา และตอนนั้นทุกคนก็จะรู้ว่าเป็นเราที่ทำเรื่องแบบนี้ แล้วเราก็จะเดือดร้อนในที่สุด " มอนสเตลล่าว่าก่อนที่จะค่อยๆ เดินไปหยุดอยู่ตรงจุดที่ทหารสองนายนั่นนอนตายอยู่ " เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจัดการเอง " มอนสเตลล่าว่าก่อนที่จะโบกมือขึ้นกลางอากาศ แล้วว่าคาถา จากนั้นก็มีแสงสีเทาหม่นพุ่งออกมาจากมือของเธอพร้อมกับร่างของทหารทั้งสองนายได้ลอยขึ้นสูงเสียดฟ้า ร่างของพวกเขาถูกหมุนด้วยความเร็วสูงอยู่นานก่อนที่จะถูกเวี่ยงออกนอกมิติจนสันธานไปในที่สุด
" เรียบร้อยแล้ว " มอนสเตลล่าร้องบอก จากนั้นเราทั้งหมดจึงก้าวเท้าออกจากประตูบานนั้นไป ก่อนที่จะเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย และนี่เป็นการกบฏครั้งแรกของพวกเราในมิติปริศนาที่สอง-หนึ่ง-สาม-แปดแห่งนี้ นี่เป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น และฉันก็เชื่อว่า...ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ จะต้องมีการกบฏครั้งต่อไปอย่างแน่นอน...
+ + + + + + + + + + +
ในที่สุด...เราก็เดินได้ประมาณสิบห้านาทีแล้ว ด้วยความเหนื่อย เนื่องจากสภาพอากาศที่นี่ไม่เอื้ออำนวย คือชั้นบรรยากาศมีความชื้นสะสมอยู่มาก เราทั้งหมดจึงหยุดพัก
ฉันจึงปล่อยมือจากกระเป๋าทันทีเมื่อรู้สึกว่ากระเป๋านั้นได้หนักขึ้น ฉันจึงเปิดกระเป๋าใบนั้นออกมาดู และพบว่าในกระเป๋าใบนั้นยังว่างเปล่าเหมือนเดิม เกิดอะไรขึ้นน่ะ?
" แบล์คลีซา เป็นอะไรหรือเปล่า? " เจ้าสิ่งมีชีวิตเรื่องแสงเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความประหลาดใจอย่างแท้จริงอย่างฉัน ฉันจึงเอ่ยขึ้นว่า
" กระเป๋าใบนี้มันหนักขึ้น " ฉันว่า แล้วเจ้าสิ่งมีชีวิตเรื่องแสงก็หยิบกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาดู
" อื่มม์...หนักจริงๆ ด้วย " เขาว่าพลางเอามือล้วงเข้าไปข้างใน ครู่ต่อมา...สิ่งของในกระเป๋านั้นก็ปรากฏขึ้น และของทั้งหมดในนั้นมันไม่ใช่ของของฉัน!!!
" แบล์...นั่นไม่ใช่กระเป๋าของเธอนี่ มันเป็นของใคร? " เบลลาทริกซ์เอ่ยถามขึ้น ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองเธอแล้วตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดในทุกคนฟัง
" ฉันคิดว่าฉันคงสลับกระเป๋ากับคนที่นั่งข้างๆ แล้วล่ะ กระเป๋าของเราทั้งคู่มันเหมือนกันมาก เหมือนทั้งสี ทั้งขนาด ตอนแรก...ฉันก็คิดว่าฉันคงหยิบกระเป๋ามาถูกแล้ว เพราะฉันหยิบตามตำแหน่งเดิมที่ตัวเองวางไว้ ไม่รู้ว่านี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง "
" ฉันคิดว่าช่องวางของนั้นมันไม่มีแผงกั้น เพราะฉะนั้น เวลาที่เครื่องบินร่อนขึ้น ของในช่องวางของนั้นก็คงจะเคลื่อนที่สลับกัน " มอนสเตลล่าว่า
" เจ้าของกระเป๋าใบนั้นคงเป็นคนในเผ่าพันธุ์ที่หายากสินะ เพราะเขาใช้เวทย์อำพรางสิ่งของในกระเป๋าใบนั้นไว้ ซึ่งเวทย์อำพรางนั้นก็ไม่ใช่เวทย์ที่เผ่าพันธุ์ผู้วิเศษทั่วไปเขาใช้กัน " เรอัสว่า เขาคนนั้นเป็นคนในเผ่าพันธุ์ที่หายากงั้นหรอ?
" แบล์คลีซา ลองหาบัตรเข้าเมืองหลวงในกระเป๋าใบนี้ดูสิ " ดรากเนสว่า ฉันจึงพยักหน้ารับก่อนที่จะค้นหาบัตรเข้าเมืองหลวงในทุกซอกทุกมุมของกระเป๋าใบนี้ และในที่สุด...ฉันก็พบบัตรเข้าเมืองหลวงที่ถูกเก็บไว้ที่ซอกใต้กระเป๋า
" ยังโชคดีนะที่คนนั้นก็ไม่เข้าเมืองหลวงเหมือนกัน หวังว่าเราคงจะหาเขาเจอแถวๆ นี้แหละ " มอนสเตลล่าว่า
" แบล์คลีซา คนที่นั่งข้างเธอมีลักษณะยังไง? " ดีซีดอเรต้าเอ่ยถาม
" เขาเป็นผู้ชายตัวสูงๆ ใส่สูทสีขาว ใส่แว่นกันแดดสีม่วงดำ และมีผมสีเดียวกันกับยูลิค " พอฉันพูดจบ ทุกคนก็อ้าปากค้าง พวกเขาคงแปลกใจว่าพวกเขาไม่เคยเห็นใครที่มีสีผมเดียวกันกับยูลิคมาก่อนละมั้ง ท่ามกลางความตกตะลึงเล่านั้น ดีซีดอเรต้าเป็นผู้ที่ได้ทำลายมัน เธอเอ่ยขึ้นว่า
" ฉันคิดว่า ฉันเห็นฝันเห็นผู้ชายคนนั้นนะ " เธอเอ่ยขึ้น " เมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ฉันมาอยู่ที่บ้านของเธอ ในฝันพวกเราก็ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้นี่แหละ จากนั้นเราก็ก้าวไปข้างหน้าสิบแปดก้าว " เธอว่าพลางก้าวเท้าไปข้างหน้าทั้งหมดสิบแปดก้าว " จากนั้น...เราก็จะพบรอยเท้า ซึ่งเป็นรอยเท้าของผู้ชายคนนั้นเมื่อเดินต่อไปอีกหนึ่งกิโล "
" ดอลล่าร์ พวกเราเชื่อเธอ " เบลลาทริกซ์ว่าพลางก้าวขึ้นไปข้างหน้าสิบแปดก้าว พวกเราทั้งหมดจึงรีบก้าวเท้าตามทันที ก่อนที่จะออกเดินทางต่ออีกหนึ่งกิโลเมตร
ระยะทางหนึ่งกิโลเมตรในตอนนี้เป็นระยะทางที่ทรมานที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี ยิ่งเดินก็ยิ่งหายใจไม่ออก แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อพวกเราคือ'The rebels' พวกเราพร้อมที่จะต่อสู้กับความตายอย่างถึงที่สุด จนในที่สุด...พวกเราก็เดินครบหนึ่งกิโลเมตร ทุกคนต่างมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
พวกเรามาหยุดอยู่หน้าสวนโล่งๆ แห่งนี้ ซึ่งสวนแห่งนี้คงถูกปล่อยให้ร้างมานาน เพราะดูจากสภาพรอบข้างแล้ว ต้นไม้ทุกต้นต่างก็เหี่ยวเฉาก็ไปหมด และกิ่งไม้ก็ได้เปลี่ยนเป็นสีแดง กลิ่นฝุ่นที่เข้ามาปะทะกับรูจมูกฉัน ทำให้ฉันหายใจไม่ออก เหมือนกับว่า...ฉันกำลังถูกบังคับให้ตาย และกำลังจะตายในไม่ช้า และที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นก็คือป้ายถูกแขวนไว้ตรงหน้าเราทั้งหมด มันเป็นป้ายไม้เก่าๆ มีอักษรจางๆ สีดำเขียนไว้ว่า 'เขตต้องคำสาป ห้ามเข้า ใครฝ่าฝืนจะต้องมีอันเป็นไปภายในสิบวัน'
" เดินต่อไป " ดรากเนสร้องสั่งขึ้น พวกเราทั้งหมดจึงมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ นี่เขาไม่กลัวตายใช่มั้ยเนี่ย? แล้วมอนสเตลล่าก็พยักหน้าอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ก่อนที่เราทั้งหมดจะเดินเข้าไปในเขตุต้องคำสาป
" ทุกคน ทนหน่อยนะ ถ้าเราพ้นตรงนี้ไปได้ เราก็จะรอดแล้วล่ะ " เบลลาทริกซ์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอหอบถี่ๆ ไปด้วยในขณะที่พูด
ฉันรู้สึกว่า ยิ่งฉันเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งกลัวมากเท่านั้น ด้วยบรรยากาศของป่าที่เงียบสงัด มีเพียงแค่เสียงลมเท่านั้น ทำให้ฉันได้ยินเสียงฝีเท้า และเสียงหอบหายใจของตัวเองได้อย่างชัดเจน หัวใจของฉันเต้นอย่างเร็วระรัวไม่เป็นจังหวะ และตอนนี้ เหงื่อก็ได้ไหลมาท่วมตัวฉัน และน้ำตาแห่งความกลัวของฉันก็ได้เริ่มไหลออกมา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉันกลัวหรือเปล่า ทำให้ฉันรู้สึกว่ามีใครบางคนได้ตามฉันมา และสายตาของคนคนนั้นก็จับจ้องมาที่ฉันตลอดเวลา ด้วยความระแวง...ฉันจึงหันไปดู แต่ก็ไม่พบอะไร และดูเหมือนว่า คนอื่นๆ คงจะรู้สึกแบเดียวกันกับฉัน ฉันพบว่าพวกเขาได้เหลือกตาขึ้นไปมองบนฟ้าด้วยความกลัว
ทันใดนั้น...ฝนที่ไม่มีท่าทีว่าจะตกมาก่อนก็ได้ตกลงมา และเสียงฟ้าผ่าก็ได้ดังขึ้นตามลำดับ จากนั้น...กิ่งไม้ทั้งหมดก็ได้ตกลงมา พวกเราทั้งหมดจึงวิ่งเพื่อที่จะหลบกิ่งไม้เหล่านั้น เพราะพวกมันเป็นกิ่งไม้ดูดเลือดคน!!!
กึก!!!
เสียงพื้นดินที่เตือนเราว่าพื้นดินกำลังจะแตกออกในอีกไม่ช้าได้ดังขึ้น ถ้าหากเราไม่รีบออกจากเขตุต้องคำสาปนี่ซะ เราจะต้องตกลงไปข้างล่างอย่างแน่นอน
พวกเราทั้งหมดจึงรีบวิ่งออกจากป่าไปให้เร็วที่สุด ถึงแม้ว่าเราจะมองไม่เห็นหนทางว่าจะรอดเลย แต่เราทั้งหมดก็ยังคงมีความหวังอยู่ว่าเราจะรอดอยู่เสมอ
" กรี๊ดดดดดดดดดดดดด! " เบลลาทริกซ์กรีดร้องขึ้นเมื่อมีหนามทิ่มที่ขาข้างขวาของเธอ เลือดของเธอได้ไหลอาบขา และไหลลงพื้นดินในที่สุด ดรากเนสจึงรีบดึงหนามนั้นออกจากขาของเบลลาทริกซ์ และมันเป็นภาพที่ไม่น่าดูนัก
แต่ดูเหมือนว่าความตายยังไม่หยุดตามรังควานพวกเราเมื่อพายุลูกใหญ่ได้เกิดขึ้นที่นั่น เราทั้งหมดจึงวิ่งฝ่าพายุนั้นไป ถึงแม้ว่าเราจะทรงตัวไม่ค่อยดีแล้วก็ตาม
ด้วยความที่พวกเราฝืนความตายนั่นเอง ทำให้เลือดของเราทั้งหมดได้ไหลลงอาบพื้นดิน ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่มีแรงที่จะทำอะไรได้แล้ว ร่างของฉันชาไปหมดทั้งร่าง ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นอีกล่ะก็ ฉันคงจะไม่มีแรงวิ่งแล้ว แล้วฉันก็คงจะตายอยู่ที่นั่น
ดูเหมือนว่าพระเจ้าคงฟังฉัน เมื่อพายุได้สงบลง และท้องฟ้าที่ครึ้มฝนได้เปลี่ยนเป็นท้องฟ้าสีเทาสดใส ฉันจึงหันกลับไปมองในป่านั้น แล้วพบว่ามันได้กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
" เรายังไม่ตาย! " อดอล์ฟร้องขึ้น จากนั้นทุกคนก็ร้องขึ้นด้วยความยินดี พวกเขาต่างก็กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีโดยที่ลืมไปว่าตัวเองยังเจ็บขาอยู่ แต่พวกเขาคงไม่เจ็บแล้วล่ะ เพราะทั้งแผล และคราบเลือดของเราทั้งหมดได้หายไปแล้ว
" เอ๊ะ...รอยเท้านั่น " ดีซีดอเรต้าว่าพลางเดินไปตามรอยเท้าที่ทอดเป็นแนวยาว ปรากฏอยู่ตรงหน้าเรา " ฉันคิดว่าเราควรจะเดินตามรอยเท้านี่ไปนะ เผื่อเราจะได้พบกับผู้ชายคนนั้น เขาคงจะช่วยอะไรเราได้หลายอย่างเลยทีเดียว " สิ้นคำดีซีดอเรต้า พวกเราจึงก้าวเท้าตามรอยเท้านี่ไปทันทีอย่างไม่มีจุดหมาย เพราะเราไม่รู้เลยว่า รอยเท้านี่จะนำเราไปที่ไหน
ห้านาทีต่อมา...พวกเราได้หยุดอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง มันเป็นลานกว้างๆ ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง และถ้าดูจากสภาพแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็คงถูกปล่อยให้รกร้างเช่นกัน เพราะมันเป็นเพียงแค่ลานกว้างๆ ที่ไม่มีสิ่งก่อสร้าง และไม่มีใครอาศัยอยู่เลย และมีป้ายแขวนไว้บนกิ่งไม้ที่อยู่ตรงหน้าเรา ป้ายนั้นถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง และมีข้อความเขียนไว้ว่า 'เลเพรซโซ ดินแดนแห่งความเยือกเย็น'
ด้วยรอยเท้าที่ทอดยาวไปข้างหน้าอย่างไม่จบสิ้น เราจึงตัดสินใจที่จะเดินตามมันเข้าไปในดินแดนเลเพรซโซแห่งนี้ เมื่อเดินไปได้สักพัก ฉันก็รู้สึกหนาวจับใจ ร่างของฉันได้ชาไปหมด จนทำให้ฉันก้าวเท้าไม่ออก
" บรื๊อออออ!!! หน่ะ...หนาวจัง " เบลลาทริกซ์ว่า ปากของเธอได้สั่นไปหมด
" มันหนาวจริงๆ ด้วย ฉันเริ่มก้าวเท้าไม่ออกแล้ว " มอนสเตลล่าว่า
" เราก้าวช้าๆ ไปกันก่อนก็ได้ " ดรากเนสว่า แล้วพวกเราก็ได้เริ่มที่จะฝืนตัวเองให้เดินไปอีกครั้ง
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาบาดเข้าที่ขา มันทั้งเจ็บทั้งชา บัดนี้...ร่างกายของฉันไม่มีความรู้สึกอีกต่อไปแล้ว และขาของฉันก็เคลื่อนที่อย่างปกติไม่ได้อีกแล้ว ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ ก็ยิ่งหนาว ราวกับว่าฉันกำลังอยู่ในนรกที่เต็มไปด้วยความหนาวเย็น และมีน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วบริเวณ และอย่างที่ฉันคิด ที่นี่ก็คือนรกนั่นเอง
" โอ๊ย! ฉันไม่ไหวแล้ว " เบลลาทริกซ์ร้องก่อนที่จะล้มลงไป
" เบลลาทริกซ์ แข็งใจไว้นะ เธอต้องไม่เป็นอะไร " ดรากเนสร้องบอก
" เกรงว่าฉันคงจะแข็งตายไปซะก่อนน่ะสิ " เบลลาทริกซ์พูดพลางหอบ และน้ำตาของเธอก็ได้ไหลออกมา ฉันรู้ว่าเบลลาทริกซ์คงจะไม่ไหวแล้วจริงๆ
" ดีซีดอเรต้า พวกเราจะตายกันมั้ย? " อดอล์ฟถามขึ้นอย่างร้อนรน
" ไม่แน่ใจนะ เพราะภาพที่ฉันเห็นมันไม่ชัดเจน " ดีซีดอเรต้าร้องตอบในขณะที่ปากยังสั่นอยู่
" สรุปคือตายมั้ย? "
" อื่มม์ " พอดีซีดอเรต้าพูดจบ พวกเราก็ถึงกับช็อค นี่พวกเรากำลังจะตายแล้วหรอ? ไม่นะ! มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ
" แต่จะมีคนรอดกลับไปแค่คนเดียวนะ " พอดีซีดอเรต้าพูดจบ พวกเราก็มองหน้ากัน ก่อนที่จะประสานเสียงกันถามขึ้นว่า
" ใคร? "
" ฉันไม่รู้ " คงเป็นใครสักคนในพวกเรานั่นแหละ แต่คงไม่ใช่ฉันแน่ๆ
" เอาล่ะ...ไหนๆ พวกเราก็จะตายกันแล้ว เราควรสั่งเสียอะไรกับคนที่รอดกลับไปหน่อยก็แล้วกันนะ " ดรากเนสว่า " ข้าพเจ้า ดรากเนส เจ้าแห่งคาร์ริส ขอกล่าวไว้ว่า หากข้าพเจ้าตายไป ข้าพเจ้าขอยกดินแดนคาร์ริสทั้งหมดไว้ให้กับคนที่รอดกลับไป เพื่อให้เขาได้เป็นผู้ปกครองต่อจากข้าพเจ้า "
" ข้าพเจ้า อดอล์ฟ ยมทูตชนชั้นสูงแห่งมิติมรณะ ขอกล่าวไว้ว่า หากข้าพเจ้าตายไป ข้าพเจ้าขอยกตำแหน่ง และงานทั้งหมดให้กับคนที่รอดกลับไป เพื่อเขาจะได้ทำหน้าที่ต่อจากข้าพเจ้า "
" ข้าพเจ้า ดีซีดอเรต้า เลดี้แห่งตระกูลฟานซ์สเตลเดอราสแชร์ ขอกล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าขอยกทรัพย์สมบัติทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเงินสดจำนวนไม่ต่ำกว่าหมื่นแสนล้านเหรียญ และบริษัทแฟชั่นรอบโลกที่ข้าพเจ้าถือหุ้นอยู่ให้กับคนที่รอดกลับไป เพื่อเขาจะได้ใช้ทรัพย์สมบัติของข้าพเจ้าอย่างคุ้มค่าที่สุด "
" ข้าพเจ้า เรอัส ผู้ไร้เวทย์แห่งดินแดนทูต แคร์เซียน่า ขอกล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าขอยกตำราเกี่ยวกับโลกอื่นทั้งหมดให้กับคนที่รอดกลับไป เพื่อให้เขาจะได้เป็นผู้สืบทอดความรู้ต่อจากข้าพเจ้า "
" ข้าพเจ้า มอนสเตลล่า นักเวทย์รุ่นที่หกแห่งตระกูลผู้วิเศษเกียรติยศ เดอ มาเรียไนล์ ขอกล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าขอยกอำนาจทั้งหมดให้แก่คนที่รอดกลับไป เพื่อเขาจะได้มีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งเหมือนกับผู้วิเศษเกียรติยศตระกูลเดอ มาเรียไนล์คนอื่นๆ "
" ข้าพเจ้า เบลลาทริกซ์ ลูกสาวคนโตแห่งตระกูลเวลส์ไดมอนด์ ขอกล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าขอมอบเสบียงอาหารในกระเป๋าทั้งหมดให้กับคนที่รอดกลับไป เพื่อให้เขาจะได้มีอาหารกินอย่างสบาย และเดินทางอย่างปลอดภัย "
" ข้าพเจ้า ยูลิค สมาชิกแห่งS.O.G. ขอกล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าขอมอบล็อกเกตอันนี้ให้กับคนที่รอดกลับไป เพื่อเขาจะได้เดินทางเพื่อค้นหาที่ที่ข้าพเจ้ามาต่อจากข้าพเจ้า และเพื่อให้เขานำศพของข้าพเจ้าไปไว้ที่นั่นได้สำเร็จ "
" ข้าพเจ้า แบล์คลีซา ลูกสาวคนรองแห่งตระกูลเวลส์ไดมอนด์ ขอกล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าของมอบกระเป๋าสัมภาระของข้าพเจ้า รวมทั้งเงินในกระเป๋าทั้งหมดที่เหลือเพียงเล็กน้อยให้กับคนที่รอดกลับไป เพื่อเขาจะได้มีชีวิตอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย "
เมื่อพวกเรากล่าวเสร็จแล้ว ลมก็ได้พัดแรงขึ้น และความตายกำลังจะเริ่มขึ้นเมื่อเท้าของฉันได้กลายเป็นน้ำแข็ง พวกเราได้ล้มลงไปทีละคนโดยเริ่มจากเบลลาทริกซ์ ดีซีดอเรต้า เรอัส มอนสเตลล่า อดอล์ฟ ดรากเนส และจนกระทั่ง...ความตายได้วนมาถึงฉัน...
ความคิดเห็น