คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Curse of the dark soul II
Curse of the dark soul II
และแล้ว...เช้าวันรุ่งขึ้นก็มาถึง ในที่สุด...ผมก็ทนอยู่ที่ดินแดนแห่งความเสื่อมนี่ได้หนึ่งวันเต็มๆ แล้ว เหลืออีกสองวัน เฮือก~ เหลืออีกตั้งสองวันเชียวหรอ!!!
แล้ววันนี้ก็มีเรื่องซวยๆ เกิดขึ้นแต่เช้า เมื่อเราทั้งเก้าคนกำลังนอนเบียดกันอยู่บนพื้นห้อง ทันใดนั้น...ก็มีเสียงที่ไม่พึงประสงค์ดังมาจากข้างห้อง
ปู๊ดดดดดดดดดดด!!!
ผมกล้าพูดได้เลยว่า นี่เป็นเสียงตดที่ดังที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา และผมก็คิดไปอีกว่า เจ้าของเสียงตดพิฆาตนี่ต้องเป็นผู้ที่มีพละกำลังมหาสารมากแน่ๆ ถึงตดได้ดังขนาดนี้ ป่านนี้คงได้ยินกันทั่วเมืองแล้วมั้ง แค่นั้นยังไม่พอ จากนั้น...ก็มีเสียงตดดังมาจากหลายๆ ห้องในโรงแรม มีทั้งตดดัง ตดเบา ตดสั้น ตดยาว และเสียงตดนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาได้ล่วงเลยไปถึงสองชั่วโมง เสียงตดเหล่านั้นถึงจะเงียบลง เอ่อ...ไม่ทราบว่า ทุกเช้าของที่นี่เขามีเทศกาลแข่งตดกันหรือไงครับ? แมร่ง ตดกันอยู่ได้ ตดจนพวกกูนอนไม่หลับแล้ว!!!
ต่อมา...เราทั้งหมดก็งัวเงียตื่นขึ้น เราทั้งหมดต่างก็ไปจัดการธุระของตัวเองให้เสร็จภายในครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็กลับมารวมกันอยู่ในห้องพักนี้อีกครั้งโดยที่ไม่คิดจะออกไปไหนอีก
แต่เช้าวันนี้ก็ได้กลายเป็นเช้าที่น่าเบื่อที่สุดไปแล้ว เพราะเราทุกคนต่างก็ไม่มีอะไรทำ ที่จริงมันก็ไม่มีอะไรทำตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พวกเราจึงเริ่มที่จะพูดคุยกัน แต่ยิ่งคุยก็ยิ่งเครียด ทำให้ประมาณบ่ายโมง พวกเราจึงเปิดทีวีดูแก้เซ็ง
" แม่ขา หนูขี้ไม่ออก ทำยังไงดีคะ? " เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ร้องขึ้นพลางทำหน้าเบ่งขี้ " อื๊...อื๊ "
ปู๊ดดดดดดดดดดด!!!
แมร่ง...เมืองนี้เขาถือเรื่องขี้เรื่องตดเป็นเรื่องสำคัญที่สุดหรือไงวะ? พอเปิดทีวีมาก็เจอเลย หวังว่าวันนี้เราคงไม่ได้กินขี้หรอกนะ
" เปลี่ยนช่องเถอะ ไม่ไหวๆ " ผมร้องบอกเรอัสซึ่งเป็นคนถือรีโมทอยู่ แล้วเรอัสก็พยักหน้ารับก่อนที่จะกดเปลี่ยนช่องทันที
" นี่เป็นพิธีกรรมที่แสดงออกถึงวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาววิชเชเลียน คือการที่ชาววิชเชเลียนได้ถวายเกียรติแต่เทพเจ้าสูงสุดด้วยความเร้าร้อนอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ "
" โอ๊ว~ " ผู้ชายที่อยู่ในสภาพเปลือยกายได้ครางขึ้นพร้อมทั้งใช้
กดทับร่างของหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างของเขา
" อ้า~ " หญิงสาวครางขึ้นเมื่อรู้สึกเสียวซ่านที่ผิวสัมผัสเมื่อถูกแรงกระทำของชายหนุ่ม
" พวกเขาทำแบบนี้ได้ยังไงกันน่ะ มันเป็นเรื่องที่ไร้อารยธรรมที่สุด ซึ่งในบ้านเมืองของฉัน ถ้าใครทำแบบนี้ถือว่าเป็นการดูหมิ่นพระเจ้านะ " โซเฟจว่า
" เรอัส เปิดไปเรื่อยๆ จนเจอช่องดีๆ " เบลลาทริกซ์ว่า
" เบลลาทริกซ์ นี่เธอมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วนะ เมืองป่าเถื่อนแบบนี้คงไม่มีอะไรดีๆ ให้เราดูหรอก ปิดทีวีแล้วนอนเล่นยังจะดีเสียกว่า " ดอลล่าร์ว่า
พอดอลล่าร์พูดจบ เรอัสก็จะปิดทีวี แต่ดรากเนสก็พูดขึ้นมาว่า
" เฮ้ย! ไม่ต้องปิดแล้ว ดูนี่แหละ " ดรากเนสมันจะดูอะไรของมันวะ หวังว่ามันคงไม่ขอดูช่องเมื่อกี้ต่อหรอกนะ เพราะผมจะเก็บไว้ดูคนเดียว ฮ่าๆ
" เมื่อวานนี้ เราได้รับรายงานข่าวจากศูนย์ข่าวท้องถิ่นแห่งวิชเชล่าว่าเมื่อวานนี้เวลาสองทุ่มครึ่ง ได้มีฆาตรกรรมบ้าระห่ำคนหนึ่งบุกเข้าไปในโรงงานค้าอวัยวะผู้บริสุทธ์แห่งวิชเชล่าแล้วฆ่าพนักงานทั้งสองคนจนเสียชีวิต ทั้งคู่มีสภาพศพที่สยดสยอง อีกคนศพเละ เลือด และชิ้นส่วนอวัยวะกระจายไปทั่วห้อง ส่วนอีกคน หน้าซีด ตาเหลือก จากภาพของกล้องวงจรปิดที่จับภาพได้ไม่ชัดเจนนัก พบว่าฆาตรกรรมคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นชายร่างผอมเกร็งผิวซีดที่อำพรางใบหน้าของตัวเองด้วยหน้ากากสีซีด และเสื้อคลุมสีดำ นอกจากเขาคนนั้นจะฆ่าพนักงานสองคนนั้นได้แล้ว เขาก็ยังทำการปลุกชีพให้บรรดาศพของผู้บริสุทธิ์จำนวนมากอีกด้วย และเมื่อได้สอบถามจากผู้ที่ฟื้นจากตายเหล่านั้น พวกเขาก็บอกว่า ฆาตรกรรมบ้าระห่ำคนนั้นเรียกตัวเองว่า'The soul hunter' แต่ตอนนี้ ฆาตรกรคนนั้นก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย ด้วยความที่เกรงว่า เขาจะหนีออกนอกเมืองไปแล้ว เราจึงขอกำลังเจ้าหน้าที่ทุกจุด ช่วยกันตามล่าหาThe soul hunterด้วยค่ะ "
พอพวกเขาดูข่าวนั้นจบ ทุกคนก็หันมามองหน้าผม ก่อนที่จะร้องขึ้นมาพร้อมกันว่า
" The soul hunter จงเจริญ!!! "
" ผมว่าแล้วว่าคุณต้องทำได้ " โซเฟจว่า
" ไม่เสียแรงจริงๆ ที่พวกเราอุตส่าห์อธิษฐานเผื่อเธอทั้งคืน " เบลลาทริกซ์ว่า
" กูคิดไว้แล้ว ว่าความบ้าของมึงมันต้องทำประโยชน์ได้ " ดรากเนสว่า " แต่เมื่อคืนมึงเล่นโหดไปหน่อยว่ะ "
" สมแล้วที่เก็บกดไม่ได้ฆ่ามาหนึ่งเดือน " เรอัสว่า
" ช่างเป็นวีรบุรุษที่น่าขันจริงๆ " มอนสเตลล่าเอ่ยขึ้น " ดูเหมือนคอสเพลย์ในสวนสนุกมากกว่านะ "
" เป็นการเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมมาก " แบล์คลีซาว่า
นี่ทุกคนกำลังยินดีกับผมที่ผมทำสำเร็จใช่มั้ย? ยิ่งผมได้ฟังคำชมพวกนี้ ผมก็ยิ่งมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากขึ้น แล้วผมก็คิดว่าพวกเจ้าหน้าที่ที่กำลังตามล่าผมอยู่ ต้องตามจับผมไม่ได้แน่ๆ เพราะผมเทพเกินไปยังไงล่ะ
" แล้วคืนนี้The soul hunterจะมีอะไรทำมั้ยนะ? " เบลลาทริกซ์ร้องขึ้น ซึ่งผมก็รู้ดีว่าคืนนี้ผมต้องนั่งอยู่ในห้องนี้ทั้งคืนแน่ๆ แต่มันก็น่าเบื่อเกินไป เพราะผมอยากทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมาสักหน่อย
" มีใครรู้บ้างว่าในเมืองนี้มีผู้บริสุทธิ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ถูกเก็บไว้ที่ไหนอีกบ้าง? "
" เรื่องนั้น...ฉันคิดว่านายต้องออกไปหาอะไรทำเองนะ " ดอลล่าร์พูดขึ้น เมื่อคืนยัยนั่นคงฝันเห็นเรื่องในอนาคตอีกแล้วล่ะสิ แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมคิด เมื่อยัยนั่นพูดต่อว่า " วันนี้ประมาณหกโมงเย็น ให้นายเดินไปตามแนวถนนสายหลัก แล้วนายจะรู้ว่าคืนนี้นายต้องทำอะไร? "
วันนี้ตอนหกโมงเย็นงั้นหรอ? ฮ่าๆ ผมแทบรอเวลานั้นไม่ไหวแล้วล่ะ
+ + + + + + + + + + +
ขณะนี้ เวลานั้นที่ผมรอคอยก็ได้มาถึงแล้ว ผมจึงรีบเดินออกจากห้องด้วยความเปี่ยมสุข ก่อนไปพวกเพื่อนๆ ก็ให้กำลังใจผมเช่นเคย พวกเขาบอกว่า ถ้ามีโอกาส พวกเขาก็จะไปแอบดูอย่างเงียบๆ ด้วย และแล้ว...ภารกิจที่สองของผมก็ได้เริ่มขึ้นณ.บัดนี้
นับตั้งแต่ก้าวแรกที่ผมออกจากโรงแรมนั้นมา ผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อพบกับป้ายประกาศ
ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ตรงหน้าโรมแรม มันเป็นภาพของชายผิวสีซีด ร่างผอมเกร็ง ผู้สวมเสื้อคลุมสีดำ ผู้ซึ่งมีใบหน้าอันขาวซีด และรอยยิ้มอันน่าสยดสยอง ผมคิดว่าถ้าใครมองภาพนี้ไปนานๆ อาจเกิดอาการจิตหลอนถึงขั้นเป็นบ้าได้
และใต้ภาพมีหมึกสีดำขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า 'The most wanted : The soul hunter ถ้าใครจับได้ จะมีรางวัลนำจับให้มากถึงหนึ่งล้านเหรียญวิชเชล่า' The soul hunter? ผมเองนี่หว่า เดี๋ยวนี้เขาเล่นติดประกาศไปทั่วเมืองเลยหรอวะ? ผมก็ชัดเสียวๆ ขึ้นมาแล้วนะเนี่ย
ผมจึงตัดสินใจหยุดมองป้ายประกาศนั้นก่อนที่จะเดินออกไป แล้วพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และผมก็คิดว่า...ไม่มีใครสามารถจับผมได้หรอก เพราะคนนั้นจะถูกผมฆ่าตายเสียก่อนน่ะสิ
พอผมเดินออกไปถึงปลายถนนสายหลัก ผมก็ได้ยินเสียงของพวกชาวบ้านแถวนั้นคุยกันเกี่ยวกับฆาตรกรบ้าระห่ำคนนั้นที่บุกไล่ฆ่าคนในโรงงานค้าอวัยวะผู้บริสุทธิ์แห่งวิชเชล่าอย่างไม่หยุดปาก
" แกเห็นข่าวเมื่อกลางวันนี้มั้ย ไอ้ฆาตรกรนั่นโรคจิตสุด โหดมากๆ " นี่ยังไม่โหดเท่าไรหรอกนะ
" แกอย่าพูดดังสิ ถ้ามันได้ยินมันคงบุกมาฆ่าพวกเราตายกันหมดแน่ " ผมได้ยินแล้ว แล้วก็ไม่คิดจะฆ่าพวกคุณด้วย ดังนั้น...เชิญพูดต่อไปเถอะ
" ไอ้ฆาตรกรนั่นมันทำลายอารยธรรมของเรา เมืองของเรามีการฆ่าผู้บริสุทธิ์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แล้วอยู่ดีๆ ไอ้ฆาตรกรบ้านั่นมันโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ มันก็เข้าไปฆ่าพนักงานโรงงานสองคนนั้นเฉยเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะมีคนที่เป็นเหยื่อมันไปกี่คนแล้ว " มากกว่าสองก็แล้วกัน
" คืนนี้มันจะฆ่าใครตายอีกมั้ยวะ? ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล " แน่นอน...คืนนี้ผมต้องได้ฆ่าคนตายแน่ อย่างน้อยหนึ่งคน
จากนั้น...ผมก็เดินต่อไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าทุกคนในเมือง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต่างพากันพูดถึงเรื่องของผมด้วยความกลัวว่าผมจะบุกไปฆ่าพวกเขาจนมีสภาพศพที่น่าสยดสยองเหมือนกับผู้ชายสองคนนั้น
จากนั้น...เสียงพูดคุยเหล่านั้นก็เงียบลง และแสงแดดก็เริ่มหายไปจากเมืองเมื่อถึงตอนพลบค่ำ ผมที่เดินมานานกว่าหนึ่งชั่วโมงจึงหยุดดูเวลา พบว่าตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มเศษๆ แล้ว และตอนนี้ผมก็ยังหาอะไรทำไม่ได้เลย 'ยัยดอลล่าร์ต้องบอกผมมั่วแน่ๆ ' ผมคิดแล้วจึงก้าวฝีเท้าเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ และทันใดนั้นเอง...
" กรี๊ดดดดดดดด!!! " เสียงกรีดร้องที่ฟังดูแสบแก้วหูที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาดังขึ้น เป็นโชคร้ายของผม ที่บรรยากาศในช่วงพลบค่ำของดินแดนวิชเชล่านั้นเงียบมาก ทำให้ผมได้ยินเสียงแหลมเล็กนั่นกรีดร้องได้อย่างชัดเจน ผมจึงหันไปมองทางต้นเสียงแล้วพบกับเจ้าของเสียงกรีดร้องแหลมสูงนั่นเป็นเด็กหญิงอายุประมาณสิบขวบที่กำลังยืนกรี๊ดอยู่บนดาดฟ้าของตึกสูงเสียดฟ้าหลังหนึ่ง นัยน์ตาของเด็กหญิงคนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้า จากนั้น...เธอก็ร้องไห้เสียงดังจนทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นออกมาดูพร้อมทั้งต่อว่าเด็กหญิงคนนั้นเป็นการใหญ่
" นี่! นังเด็กบ้า แกผีเข้าหรือไงวะ!?! หยุดส่งเสียงดังแล้วกลับเข้าไปนอนได้แล้ว รำคาญ! "
" กรี๊ดดดดดดดด! กรี๊ดดดดดดดดดด! กรี๊ดดดดดดดด!!! " ดูเหมือนว่า ยิ่งเด็กหญิงคนนั้นจะถูกต่อว่ามากแค่ไหน เธอก็จะยิ่งกรีดร้องเสียงดังขึ้น
" อีเด็กนี่นิ บอกแล้วยังไม่ฟังอีก บอกให้เงียบก็เงียบสิวะ อยากตายหรือไง!?! " พอชาวบ้านคนนั้นพูดเสร็จ เด็กหญิงคนนั้นก็ร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ
" เรียกร้องความสนใจทำไมวะ? มึงอยากได้อะไรอีก ไม่ไหวแล้วนะเว๊ย! " ชาวบ้านอีกคนหนึ่งพูดขึ้น
" อย่าไปสนใจมันเลย พวกเราก็รู้ว่าอีเด็กนี่มันโดนผีสิง ถึงพูดอะไรไป มันก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี " พอชาวบ้านอีกคนหนึ่งพูดจบ ชาวบ้านทั้งหมดก็พากันกลับเข้าไปอยู่ในบ้านของตัวเองแล้วปิดประตูเสียงดังก่อนที่จะบ่นพึมพำเป็นเสียงเดียวกันว่า "ซวยที่สุด!"
แล้วเด็กหญิงคนนั้นก็ร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ 'อะไรที่ทำให้เธอเป็นทุกข์ได้ถึงขนาดนี้นะ' ผมคิดก่อนที่จะตัดสินใจตะโกนขึ้นไปถามเด็กหญิงคนนั้น เพราะบางที...เด็กหญิงคนนั้นอาจจะมีอะไรให้ผมช่วยทำก็เป็นไปได้
" น้อง...ร้องไห้ทำไม? " พอผมพูดจบ เด็กหญิงคนนั้นก็หันมามองหน้าผมก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
" _))*^%$*@#$%^&*~ " อีเด็กนี่มันพูดอะไรของมันวะ กูฟังไม่รู้เรื่อง
" น้อง...หยุดร้องไห้ก่อนแล้วลงมาคุยกันข้างล่าง " ผมว่า จากนั้นเด็กหญิงคนนั้นก็เช็ดน้ำตาออกจนหมดก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า
" พี่ชายช่วยขึ้นมาหนูข้างบนได้มั้ยคะ คือว่า...หนูขี้เกียจลงไปข้างล่างน่ะค่ะ " กูก็ขี้เกียจขึ้นไปหามึงเหมือนกันว่ะ
" น้องลงมานั่นแหละดีแล้ว จะได้ถือเป็นการออกกำลังกายไปตัวด้วยไง " ผมว่า จากนั้น...เด็กหญิงคนนั้นก็รีบวิ่งลงมาหาผมทันที หึ...หลอกง่ายจริงๆ เลยว่ะ ฮ่าๆ
" น้องมีปัญหาอะไรหรือเปล่า? " ผมเอ่ยถาม แล้วเด็กหญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า
" แล้วถ้าหนูบอกไปแล้ว พี่ชายจะช่วยหนูได้หรือคะ? "
" แน่นอนสิ แล้วมีเรื่องอะไรล่ะ? "
" คือว่า...ตอนนี้พ่อแม่ และญาติคนอื่นๆ รวมทั้งพวกเพื่อนๆ ของหนู และคนอื่นๆ ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ได้ถูกพวกนักฆ่าฝ่ายมืดแห่งวิชเชล่าจับตัวไปตั้งแต่รุ่งเช้าวันนี้แล้วค่ะ หนูเกรงว่าตอนนี้มันจะไม่ทันแล้ว เพราะพวกมันจะลงมือฆ่าผู้บริสุทธิ์ตั้งแต่ตอนสองทุ่มวันนี้ "
" แล้วพวกมันจับตัวผู้บริสุทธิ์ไปไว้ที่ไหนล่ะ? "
" ที่ลานกว้างในสวนสาธารณะวิชเชล่าค่ะ " พอผมได้ยินดังนั้น ความบ้าระห่ำของผมก็ได้ปรากฏขึ้นมาทันที
“ รออยู่นี่นะ เดี๋ยวฉันจะจัดการเรื่องนั้นให้ " ผมว่าก่อนที่จะวิ่งออกไปให้เร็วที่สุด
สิบนาทีต่อมา...ผมก็ได้มาหยุดอยู่ที่หน้าสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งมีรั้วหนามสูงเสียดฟ้าบดบังทัศนียภาพภายในสวนสาธารณะนั้น ผมจึงไม่รอช้า และตัดสินใจที่จะปืนรั้วหนามนั้นเข้าไปในสวนสาธารณะทันที
ครู่ต่อมา...ผมที่อยู่ในร่างของThe soul hunterกำลังวิ่งไปที่ลานกว้างซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของสวนสาธารณะนั้น
ภายในลานกว้างกลางสวนสาธารณะ ผู้บริสุทธิ์จำนวนไม่ต่ำกว่าสองร้อยที่ถูกมัดรวมกันอยู่บริเวณตรงกลางลานกว้างนั้นกำลังร้องไห้ด้วยความทุกข์ระทมเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกฆ่าตาย
" ฮึก...ฉันขอร้องล่ะ อย่าฆ่าพวกเราเลย ป่ะ..ปล่อยพวกเราไปเถอะนะ " ผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งร้องขึ้น
" ไม่ได้! ยังไงซะพวกแกทุกคนก็ต้องตาย นี่เป็นกฏหมายของวิชเชล่าที่บอกไว้ว่าผู้บริสุทธิ์ทุกคนจะต้องตาย!!! " นักฆ่าคนที่หนึ่งตะคอกขึ้น ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต่างก็กลัวจนตัวสั่น
" อย่าฆ่าเราเลยนะ ให้เราหนีไปอยู่เมืองอื่นก็ได้ " ผู้บริสุทธิ์อีกคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
" เอ่อ...เงียบน่า จะตายแล้วยังจะปากดีอีก " นักฆ่าคนที่สองพูดขึ้น
" เฮ้ย! รีบฆ่ามันเร็วๆ สิวะ รออะไรกันอยู่!!! " นักฆ่าคนที่สามตะคอกขึ้น พอได้ยินดังนั้น นักฆ่าคนที่หนึ่งก็หยิบปืนขึ้นมา และ...
เปรี้ยงงงงงงงง!!!
พอสิ้นเสียงปืน นักฆ่าคนที่หนึ่งที่ล้มลงไปนอนกับพื้นขณะที่เลือดของเขาได้สาดไปทั่วตัว
" เฮ้ย! มึงยิงตัวเองทำไมวะ? " นักฆ่าคนที่สามร้องขึ้น " แค่กๆๆ " แล้วหลังจากนั้น นักฆ่าคนที่สามก็กระอักเลือดตายคาที่ ซึ่งสภาพศพของนักฆ่าคนที่สามได้อยู่ในสภาพตาเหลือก ลิ้นจุกปาก
" เฮ้ย! " นักฆ่าคนที่สองร้องขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าเพื่อนของเขาทั้งสองคนได้กลายสภาพเป็นศพเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ร่างของเพื่อนทั้งสองคน และทันใดนั้น...
กึก...กึก...กึก!!!
พื้นดินณ.จุดที่เขาได้ยืนอยู่ได้แหวกออกเป็นเป็นหลุมกว้างๆ นักฆ่าคนที่สองร้องสุดเสียงก่อนที่เขาจะตกลงไปในหลุมนั้น แล้วกลายเป็นศพตามเพื่อนของเขาอีกสองคนไปในที่สุด
ทันใดนั้น...ก็มีลมพัดแรงขึ้น ทำให้ร่างของผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นได้สั่นสะเทือนด้วยความแรงสูง จากนั้น...ลมก็ได้พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถคลายปมของผ้าที่มัดพวกเขาไว้อย่างแน่นหนานั้นออก
ต่อมา...ผมก็ได้ก้าวเข้าไปในลานกว้างนั้นอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมมองดูสภาพของเหล่าผู้บริสุทธิ์ที่พากันหลับตาปี๋ด้วยความกลัวอย่างรู้สึกสงสารจับใจ แล้วผมก็พูดกับพวกเขาว่า
" ตอนนี้พวกคุณทั้งหมดยังไม่ตาย ลืมตาขึ้นสิ " พอผมพูดเสร็จ เหล่าผู้บริสุทธิ์ก็พากันลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วมองมาที่ผม ตอนนี้สีหน้าของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความปิติยินดี
" ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงส่งวีรบุรุษสวรรค์อย่างคุณมาช่วยพวกเรา " เหล่าผู้บริสุทธิ์ต่างพูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อได้ยินดังนั้น ผมจึงยิ้มให้พวกเขาก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า
" ตอนนี้ ขอให้ทุกคนรีบกลับไปยังบ้านของพวกคุณเถอะ ผมเชื่อว่าคนที่บ้านของคุณต้องกำลังเป็นห่วงคุณอยู่แน่ " พอผมพูดเสร็จ พวกเขาก็พยักหน้ารับก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปยังบ้านของตัวเอง
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ผมจึงรีบออกไปจากสาธารณะแห่งนี้ในสภาพปกติทันที ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว บรรยากาศในเมืองต่างก็เงียบสงบ และผู้คนต่างก็พากันอยู่แต่ในบ้านของตัวเอง
" เฮ้อ~ " ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าวันที่สองของการอยู่ในดินแดนแห่งความเสื่อมแห่งนี้กำลังจะผ่านพ้นไป ‘เราก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย’ ผมคิดแล้วยิ้มให้กับความสำเร็จของตัวเองก่อนที่จะเดินกลับโรงแรม และทันใดนั้นเอง...
วืด...วืด...วืดดดดดดดดด!!!
โทรศัพท์ของผมก็สั่นขึ้น 'อะไรอีกวะเนี่ย?' ผมคิดแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วพบว่าคนที่โทรมากวนผมตอนในตอนนี้ก็คือดรากเนส ผมจึงสถบออกมาสองสามคำก็ที่จะรับโทรศัพท์ด้วยความไม่ค่อยเต็มใจนัก
" ว่าไงเพื่อน " ผมเอ่ยขึ้นแล้วพยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุด
" ตอนนี้มึงอยู่ไหน? " พอมันพูดเสร็จ ผมก็ตอบมันไป แล้วมันก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนที่ทำให้ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อยว่า " เอ่อๆ มึงหยุดอยู่ตรงนั้นนะเว๊ย ห้ามไปไหนทั้งนั้น เดี๋ยวกูจะไปหา! "
" อะไรของมึงอีกวะ ไอ้เหี้ย!?! " อ้าว...ไอ่ห่า มันวางไปแล้วนี่หว่า แล้วผมก็เอาโทรศัพท์ยัดใส่ในกระเป๋ากางเกง แล้วยืนรอมันต่อไป
ด้วยความรวดเร็ว ว่องไวของมัน ทำให้จากนั้นไม่เกินสามวินาที มันก็มาปรากฏตัวต่อหน้าผม แล้วไอ้ดรากเนสก็ทำหน้าตาตกใจก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า
" มึง ตอนนี้เราไม่มีเวลาแล้วนะเว๊ย มึงต้องมากับกูเดี๋ยวนี้ " พอพูดเสร็จ มันก็ลากแขนผมแล้วพาผมวิ่งไปที่ไหนก็ไม่รู้
อีกไม่เกินสามวินาทีต่อมา มันก็พาผมมาหยุดอยู่ที่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง มันเป็นสุสานเก่าๆ ที่ดูหรูหรา โออ่า มันถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมขอบเหลี่ยมชุบทองคำ และดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นสถานที่เก่าแก่ที่ถูกสร้างมานาน
" มันส์มั้ยมึง? " นี่เป็นประโยคแรกที่ไอ้ดรากเนสพูดกับผมเมื่อเรามาถึงสถานที่นี้ ไอ่ห่านี่กวนตีนว่ะ ถ้ากูไม่เห็นว่ามึงเป็นเพื่อนนะ กูฆ่ามึงไปนานแล้ว
" มันส์เหี้ยรัยวะ อยากอ้วกจะตายอยู่แล้ว ขอกูไปอ้วกก่อนได้มั้ย? " พอผมพูดเสร็จ มันก็ตบหัวผมก่อนที่จะตะคอกใส่ผมว่า
" มึงรู้มั้ยว่าที่นี่คือที่ไหน? "
" ไม่รู้ " ผมตอบพลางทำหน้านิ่ง แล้วผมก็ได้ยินเสียงในใจของดรากเนสร้องขึ้นมาว่า 'ไอ้นี่...แมร่งกวนตีนได้ทุกสถานการณ์จริงๆ น่าฆ่าตายจริงๆ ' หึ...มึงฆ่ากูไม่ได้หรอก เพราะกูจะฆ่ามึงก่อนน่ะสิ ฮ่าๆ
" ที่นี่คือสุสานฝังศพของผู้ก่อตั้งแห่งวิชเชล่า ซึ่งที่นี่ถูกสร้างเมื่อมาประมาณหนึ่งพันปีก่อน ที่นี่เป็นทั้งที่ฝังพระศพ และที่ฝังทรัพย์สมบัติจำนวนมากของผู้ปกครองดินแดนวิชเชล่าในอดีต บังเอิญ กูได้ยินดอลล่าร์บอกว่า พรุ่งนี้มึงจำเป็นต้องใช้เงินเยอะเป็นพิเศษ กูถึงพามึงมาที่นี่ " พอมันพูดจบ ผมก็พยักหน้ารับก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า
" ข้อมูลพวกนี้ เรอัสเป็นคนบอกมึงใช่มั้ย? เพราะกูไม่เชื่อหรอกว่ามึงจะฉลาดได้ถึงขนาดนี้ " พอผมพูดจบ ดรากเนสก็หันมาพยักหน้าให้ผมก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า
" อื่มม์...ที่จริงมอนสเตลล่าเป็นคนหาสถานที่ พอได้ข้อมูลแล้วก็โทรไปบอกเรอัส แล้วเรอัสก็ไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่นี้ในห้องสมุดของวิชเชล่า พวกเราทุกคนก็พยายามช่วยแกให้ถึงที่สุด เพราะเราอยากให้แกทำสำเร็จไง แต่ถึงเราไม่ช่วย แกก็คงจะทำสำเร็จอยู่แล้วมั้ง แกเก่งอยู่แล้วนี่ ตั้งแต่ที่แกมาถึงวิชเชล่า แกก็ฆ่าคนตายได้ห้าคนแล้วนี่ "
" เฮ้ย! ไม่ขนาดนั้นหรอกเพื่อน ก็แค่นิดหน่อยเอง "
" นิดหน่อยบ้าอะไรวะ ก็พวกเราทุกคนแอบดูแกผ่านอุปกรณ์รับภาพของมอนสเตลล่า แกเทพมากเลยว่ะ! "
" แน่นอนว่ะเพื่อน ถ้าไม่เทพก็ไม่ใช่เพื่อนแกแล้ว จริงมั้ย? "
" จริงที่สุด จริงซะจนไม่สามารถหาคำบรรยายได้ " นี่มันคือเทศกาลแห่งการชมหรือไงวะ? แมร่ง ชมกูอยู่ได้ เอ่อ...กูรู้แล้วว่ากูเก่ง รู้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้วเว๊ย
" เอ่อ...ดรากเนส เรามาที่นี่ทำไมนะ? " ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะว่าถ้าชมกันไปชมกันมาแบบนี้ มันคงไม่จบง่ายๆ หรอกนะ ยิ่งถ้าเป็นไอ้ดรากเนส ซึ่งมันเป็นพวกที่ไม่ยอมเลิกสักทีอยู่ด้วย นึกหรอว่ามันจะจบลงง่ายๆ น่ะ
“ มาขุดเงินไง เอาสุสานไหนดี? " ขุดเงิน? อื่มม์...ท้าทายดีนะ ชักจะอยากทำขึ้นมาแล้วสิ สาบานได้เลยว่าความคิดที่ว่าจะให้ผมไปขุดเงินต้องเป็นความคิดของไอ้ดรากเนสแน่ๆ เพราะความคิดห่ามๆ แบบนี้มีแค่คนเดียวที่จะคิดเรื่องแบบนี้ได้
" เอาสุสานของผู้ปกครองที่อยู่ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดก็แล้วกัน "
" เอ่อ...แปปนะ เดี๋ยวโทรถามเรอัสก่อน " พอดรากเนสพูดจบมันก็รีบโทรหาเรอัสทันที
" อื่มม์...ว่ามา " น้ำเสียงเย็นๆ ที่ชวนขนหัวลุกของเรอัสดังขึ้นจากปลายสาย
" เรอัส แกรู้มั้ยว่าสุสานของผู้ปกครองที่อยู่ในยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของวิชเชล่าอยู่ที่ไหน "
" หมายถึงผู้ปกครองซอสเทอนูโต้ใช่มั้ย? คือว่า...ฉันก็ไม่รู้ตำแหน่งของสุสานหรอกนะ เอาเป็นว่า...ให้พวกนายไปหากันเองก็แล้วกัน ดูจากป้ายชื่อที่ติดอยู่หน้าสุสานน่ะ "
" เฮ้ย! ฉันอ่านภาษาวิชเชเลียนไม่ออกนะโว๊ย "
" ก็อดอล์ฟอ่านออกไม่ใช่หรอ ภาษาวิชเชเลียนที่คล้ายๆ กับภาษาเลกเกียโร่นั่นแหละ แค่นี้นะ ฉันมีเรื่องต้องทำต่อ " พอเรอัสพูดจบ มันก็วางสายไป ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเรอัสต้องพยายามทำตัวให้ตัวเองต้องยุ่งอยู่ตลอดเวลาด้วย
และแล้ว...ตอนนี้ภาระอันแสนหนักอึ้งก็ได้ตกอยู่กับผมแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ ผมไม่อยากจะคิดถึงมันเลยจริงๆ !
ในที่สุด...ผมกับดรากเนสก็มาถึงหน้าสุสานของผู้ปกครองซอสเทอนูโต้ ศพของผู้ปกครองซอสเทอนูโต้ถูกบรรจุไว้ในสุสานหลังใหญ่ทรงแปดเหลี่ยม ประตูสุสานถูกปิดสนิท และไม่มีท่าทีว่าจะสามารถเปิดออกได้ ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมของดรากเนส ทำให้เขามองเห็นตราประทับสมัยผู้ปกครองซอสเทอนูโต้ซึ่งเป็นตราประทับรูปสัตว์ประหลาดสีเทา-เขียวขนาดใหญ่ที่ถูกประทับอยู่บนพื้นหน้าสุสานนั้น และดรากเนสก็บอกให้เราช่วยกันกระทืบบนตราประทับนั้น จนกระทั่ง...
แกร๊ก!!!
" นั่นเสียงประตูสุสานเปิดออกใช่มั้ย? " ผมว่า
" ไม่ใช่ว่ะ แต่เป็น--- " ยังไม่ทันที่ดรากเนสจะพูดจบ ผมก็รู้สึกว่าพื้นข้างล่างกำลังสั่น และตราประทับนั้นก็ได้แยกออก ทำให้เกิดช่องกว้างขึ้น และช่องกว้างนั้นก็ได้พาเราดิ่งลงไปณ.เบื้องล่าง
" อ๊ากกกกกก!!! " ทั้งผม และดรากเนสต่างกันร้องสุดเสียง เมื่อเรากำลังถูกทำให้ดิ่งลงไปข้างล่างลึกลงเรื่อยๆ และ...
ตุ้บ!!!
และแล้ว เราก็ถูกทำให้ตกลงมาในจุดที่ลึดที่สุดของสุสาน มันเจ็บไปทั้งตัวเหมือนกับว่ากระดูกจะหักออกเป็นท่อนๆ และตรงจุดนี้ก็มืดมาก จนทำให้ผมมองไม่เห็นอะไรเลย
" ดรากเนส มึงยังอยู่หรือเปล่าวะ? " ผมตะโกนเรียกดรากเนส แล้วมันก็ส่งเสียง'ฮึ่ม'ตอบกลับมา " มึงอยู่ไหนวะ? กูมองไม่เห็นอะไรเลยว่ะ "
" กูก็อยู่แถวๆ นี้แหละ " มันตอบ " อย่าเพิ่งกวนนะเว๊ย กูกำลังหาสวิตซ์เปิดไฟอยู่ อ่า...เจอแล้ว "
พรึ่บ!!!
ทันทีที่ไฟเปิดออก ผมจึงมองเห็นภายในสุสานแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน ตรงจุดที่ผมยืนอยู่เป็นลานกว้างๆ ที่มีพื้นผิวขรุขระทำให้เดินไม่ค่อยสะดวกนัก ภายในสุสานถูกตกแต่งด้วยเครื่องประดับสีทองที่หรูหรา และมีรูปปั้นวางอยู่ตรงมุมสุสาน
ดรากเนสเดินนำผมออกไปทางประตูที่ทำจากแก้วมณีโชติแล้วจึงพบบันไดวนที่ทำจากหินสีอ่อน พวกเราจึงเสี่ยงที่จะเดินขึ้นไปตามทางบันไดวนนั้น โดยที่ไม่รู้ว่า บันไดวนนี้จะพาเราไปสิ้นสุดอยู่ที่ใด
พวกเราเดินขึ้นบันไดวนไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่า ยิ่งเดินขึ้นไปสูงเท่าใด ก็ยิ่งจะทำให้ปวดตัว และกระหายน้ำมากขึ้น ซ้ำกลิ่นฝุ่นที่ตลบอบอวลไปทั่วสุสานก็ทำให้ผมรู้สึกหมดแรงได้ง่ายๆ
และบันไดวนก็พาเรามาหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง ซึ่งมีอักษรวิชเชเลียนสลักไว้หน้าที่ห้องนั้นว่า'ห้องเก็บพระศพของผู้ปกครองซอสเทอนูโต้ ห้ามบุคคลภายนอกเข้า ใครฝ่าฝืนมีโทษถึงตาย' ตอนนี้เราได้ก้าวเข้าไปในห้องเก็บพระศพของผู้ปกครองซอสเทอนูโต้โดยที่ไม่สนใจข้อความนั้นแล้ว เพราะตั้งแต่ที่เราเข้ามาในมิตินี้ เวลาที่เราเจอป้ายแบบนี้ทีไร เราก็ฝ่าฝืนมันทุกครั้ง มันบอกว่าถ้าเราฝ่าฝืนแล้วเราจะตาย แล้วตอนนี้มีใครตายหรือยังล่ะ?
ภายในห้องเก็บพระศพของผู้ปกครองซอสเทอนูโต้ มันเป็นห้องกว้างที่ถูกจุดโคมไว้ส่องสว่างไปทั่ว และกลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยนั่นก็ดึงดูดให้เราเดินเข้าไปในห้องนั้นเรื่อยๆ พวกเราล้วนแต่รู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับวัตถุล้ำค่าที่ถูกเก็บไว้ในห้องนั้น ครั้งแรกที่เดินเข้าไปในห้องนั้น เราก็พบกับรูปปั้นของกองทัพทหารวิชเชเลียนในสมัยก่อนซึ่งเหล่าทหารที่สวมเสื้อเกราะแบบวิชเชล่าสีทองต่างก็ต่างมีท่าทางที่ฮึกเหิมทั้งสิ้น พอเดินต่อไปอีกหน่อยก็จะเจอเครื่องดนตรีสมัยก่อน ซึ่งผมลองเล่นดูจึงพบว่า เสียงของเครื่องดนตรีชนิดนี้อยู่ในโทนเสียงแหลมสูง ให้ความรู้สึกเศร้า และสดใสในเวลาเดียวกัน ถัดมา...เราก็พบกับม้วนหนังคัมภีร์ที่จารึกเรื่องราวทั้งหมดในสมัยของผู้ปกครองซอสเทอนูโต้ซึ่งหนากว่าสองพันหน้า ต่อมา...เราก็พบกับพระศพของผู้ปกครองซอสเทอนูโต้ที่ถูกบรรจุไว้ในโลงศพรูปทรงประหลาดสีแสบตาที่ถูกประดับเหล่าอัญมณีหายากจากที่ต่างๆ และพอเดินไปจนสุดห้อง เราก็พบกับหินก้อนใหญ่สีเขียวมรกตที่วางอยู่ตรงหน้า ดรากเนสจึงตัดสินใจให้มือกดลงบนหินก้อนนั้น จากนั้น...
แอด!!!
แนวกำแพงที่อยู่ตรงหน้าได้ถูกเปิดออกเผยให้เห็นทรัพย์สมบัติที่ถูกใส่ไว้ในกำแพงรอบห้องของผู้ปกครองซอสเทอนูโต้ เมื่อเห็นดังนั้น ผมจึงรีบโกยทรัพย์สมบัติเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด เมื่อได้ตามจำนวนเงินที่ต้องการแล้ว ผมจึงโยนเงินทั้งหมดที่ได้มาออกไปข้างนอก ก่อนที่จะรีบเบียดตัวออกไปตามช่องแคบให้เร็วทีสุด
ห้านาทีต่อมา...พวกเราจึงช่วยกันโกยเงินเหล่านั้นใส่ในถุงหนังที่ดรากเนสหยิบมาจากในห้องเก็บพระศพนั้น เมื่อเรียบร้อยแล้ว พวกเราช่วยกันลากถุงหนังนี้กลับโรงแรมไป
ทันทีที่มาถึงห้องพัก พวกเราจึงรีบเอาถุงหนังนั้นวางไว้ที่มุมห้องก่อนที่จะมานั่งประจำที่ของตัวเอง 'เฮ้อ! คืนนี้เป็นคืนที่เหนื่อยที่สุดในโลกเลย' ผมคิดแล้วเอนตัวนอนลงกับพื้น
" อดอล์ฟ นายอย่าเพิ่งนอนนะ พรุ่งนี้นายจะต้อง- - - " ก่อนที่มอนสเตลล่าที่พูดจบ ผมก็พูดขึ้นมาว่า
" พรุ่งนี้ฉันต้องทำอะไรน่ะหรอ? เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกันนะ ฉันจะนอนแล้ว " ผมตัดบทก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราไป...
ความคิดเห็น