ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels คนบ้าระห่ำ แหกกฎสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #10 : Curse of the dark soul I

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 61


     9

    Curse of the dark soul I

     

    ( Adolph's Part )

     

         คือผมเอง...

     

         'มันเป็นไปได้ยังไง ไม่มีทางที่ผมจะซวยขนาดนั้นได้หรอก บางที...แสงจากวัตถุประหลาดนั่นอาจจะส่องไปที่คนอื่น แล้วสะท้อนเข้าตาผมก็ได้' ผมคิดแล้วมองไปรอบๆ เพื่อหาว่าลำแสงนั้นจะส่องไปตกกระทบอยู่ที่ใคร แต่ยิ่งมองก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความซวยของตัวเอง เมื่อผมพบว่า...โอ้ว~ พระเจ้า แสงนั่นมันส่องมาที่กูเต็มๆ เลยว่ะ

     

         และตอนนั้นสายตาของทุกคนก็ได้จับจ้องมาที่ผม ผมได้ยินพวกมันแอบหัวเราะเยาะผมในใจ นี่ผมน่าสมเพชรมากขนาดนั้นเลยหรอ ไม่มีทาง! ผมไม่ยอมรับภารกิจนั่นเด็ดขาด แล้วผมก็ไม่คิดจะไปเหยียบดินแดนชื่ออัปมงคลนั่นด้วย แมร่ง! แค่ได้ยินชื่อเมืองก็ขนลุกแล้ว

     

         ตอนนี้ผมยังคงนิ่งต่อไป ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยไม่สนใจสายตาประณาม และคำนินทาของพวกเขาเหล่านั้น กูไม่ทำ แล้วมึงจะทำไม? สักพัก...เหมือนกับว่าไอ้ดรากเนสมันจะรู้ทันผม มันจึงเดินเข้ามาตบตัวผมแรงๆ หนึ่งทีก่อนที่จะตะคอกขึ้นว่า

     

         " อดอล์ฟ มึงเม่ออะไร รีบๆ รับภารกิจเร็วๆ สิวะ จะได้จบๆ ไป " 


         'หึ...ดรากเนส เหมือนมึงจะอยากให้มันจบมากเลยนะ ก็ได้ กูทำก็ได้ ถ้าพวกมึงตายก็อย่ามาโทษกูละกัน' ผมคิดก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " เอ่อ...โทษทีว่ะเพื่อนที่ทำให้เสียเวลา พอดีกูดีใจไปหน่อย ก็เลยอึ้งไปนาน ไม่คิดเลยว่าจะได้เป็นคนที่ถูกเลือก " หึ...เฟคมากกู ใครเชื่อก็โคตรควายแล้ว แต่พวกมึงก็เป็นควายกันหมดน่ะแหละ เพราะดูจากสีหน้าก็รู้แล้วว่าพวกมึงเชื่อกูซะสนิทเลย " เอ่อ...โซเฟจ ฉันต้องทำอะไรบ้าง? " ผมหันไปถามโซเฟจ แล้วโซเฟจก็เปิดฝาวัตถุประหลาดนั่นดูอีกครั้งก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " เนื่องจากดินแดนวิชเชล่า เป็นดินแดนที่เป็นมีประวัติยาวนาน และเป็นที่เล่าลือเรื่องความเสื่อมเป็นอย่างมาก เพราะประชาชนทุกคนที่นั่นต่างก็ถูกสัตว์นรกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า'ริโซเลโต้'ดูดจิตวิญญาณธาตุสว่างไป ทำให้ตอนนี้ในร่างของประชาชนทุกคนเหลือแต่จิตวิญญาณธาตุมืด แต่มีประชาชนบางกลุ่มที่ถึงแม้ว่าจะสูญเสียจิตวิญญาณธาตุสว่างไปแล้ว ก็ยังมีจิตสำนึกที่ดีหลงเหลืออยู่ หน้าที่ของคุณก็คือคุณต้องปกป้องประชาชนเหล่านั้นที่ยังมีจิตสำนึกที่ดีหลงเหลืออยู่ไว้ให้ได้ และภารกิจที่สามารถทำให้คุณ และเพื่อนผู้ร่วมเดินทางรอดพ้นจากความตายได้ก็คือคุณต้องทำลายริโซเลโต้เพื่อที่จะนำจิตวิญญาณธาตุสว่างกลับคืนมาสู่ชาววิชเชเลียนให้ได้ "แค่ฟังคำสั่งเสร็จก็รู้เลยว่า คราวนี้พวกเราคงต้องตายกันหมดแน่ๆ ทำไมมันเยอะอย่างนี้วะ แล้วอีกอย่างคำสั่งพวกนี้มันก็ตรงข้ามกับสิ่งที่ผมเคยทำเสียด้วย หึ...อย่าหวังเลยว่าจะรอด

     

         " แล้วภารกิจนี้ต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่ล่ะ? " ผมถามขึ้น เอาแค่วันเดียวก็พอแล้ว เมืองเสื่อมๆ แบบนี้ อย่าอยู่นานเลย เดี๋ยวจะเสื่อมตามไปด้วยเปล่าๆ

     

         " เนื่องจากภารกิจนี้มีระดับความยากเป็นพิเศษ และยากที่สุดในบรรดาภารกิจทั้งหมด ดังนั้น...เจ้าแห่งเบื้องบนจึงให้เวลาคุณในการทำภารกิจนี้มากถึงสามวัน " สามวัน! แล้วเป็นภารกิจที่ยากที่สุดอีกต่างหาก หึ...แล้วไงล่ะ พวกแกได้ตายสมใจแน่ๆ

     

         " เดี๋ยวก่อนนะ ที่เจ้าแห่งเบื้องบนมอบภารกิจที่ยากที่สุดให้ฉัน แล้วมันจะไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยหรอ? "

     

         " ไม่หรอกครับ เจ้าแห่งเบื้องบนท่านไว้วางใจในความสามารถของคุณ และก่อนหน้านี้...ผมก็พอจะได้ยินชื่อเสียงของคุณมาบ้างจากหนังสือพิมพ์ของมิติมรณะ คุณคงเก่งมากจนทำให้เรื่องราวของคุณปรากฏอยู่บนข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยครั้ง " พอโซเฟจพูดจบ ผมก็อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ พวกทูตศักดิ์สิทธิ์คงอ่านภาษาเลกเกียโร่ไม่ออกสินะ ถึงคิดว่าที่ผมลงหนังสือพิมพ์ข่าวหน้าหนึ่งของมิติมรณะเป็นเรื่องดีน่ะ นี่! โซเฟจ มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอกนะ เพราะแต่ละข่าวที่เขียนเกี่ยวกับผมเนี่ย เป็นเรื่องเสียๆ หายๆ ทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ผมแหกกฎของมิติมรณะแล้วถูกขึ้นศาลตัดสินลงโทษ หรือไม่ก็เรื่องที่ผมไปฆ่าผู้บริสุทธิ์อะไรทำนองนั้น แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาคิดแบบนั้นก็ปล่อยเขาไป เพราะมันเป็นเรื่องดีที่มีคนมองเราในทางที่ดี หรือคุณว่าไม่จริง

     

    ภาษาเลกเกียโร่ = ภาษาราชการที่ใช้ในมิติมรณะ

     

         " อื่มม์...ขอบคุณนะที่ไว้วางใจฉัน ฉันจะทำพยายามทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ และจะไม่ปล่อยให้มีใครต้องตายเด็ดขาด " รู้สึกว่า เวลาที่ผมพูดแบบนี้ทีไร ก็มักจะมีการตายเกิดขึ้น ไม่เร็วก็ช้า สัญชาตญาณของผมบอกไว้แบบนั้นนะ

     

         " ตอนนี้ก็เกือบเก้าโมงแล้ว ให้เราไปกันเถอะ " พอโซเฟจพูดจบ เขาก็ผายมือออก จากนั้นช่องสีขาวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเรา ผมคิดว่ามันคงเป็นเส้นทางลับที่เชื่อมระหว่างดินแดนเลเพรซโซกับดินแดนวิชเชล่า แล้วพวกเราทั้งหมดก็เดินเข้าไปในช่องนั้นในครู่ต่อมา

     

          ยังไม่ทันจะหายใจ ผมก็ได้ก้าวเท้าเหยียบลงบนดินแดนชื่ออัปมงคลแห่งนี้เสียแล้ว ตอนแรกที่มาถึง พวกเราก็ไปแลกเปลี่ยนสกุลเงินกันซะก่อน และดินแดนวิชเชล่าแห่งนี้มันก็เสื่อมสมชื่อจริงๆ ไม่เชื่อคุณลองอ่านต่อไปสิ

     

         " จะเอาเท่าไหร่ว่ามา " เสียงลุงคนแลกเปลี่ยนเงินตะคอกขึ้น นี่พวกกูเป็นลูกค้ามึงนะเว๊ย พูดดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไงวะ? " เร็วๆ สิวะ ข้ารีบนะเว๊ย " ด้วยความที่ทนไม่ไหว ผมจึงกระแทรกเงิน ที่เหลืออยู่เพียงแค่สามพันCZลงบนเคาท์เตอร์รับแลกเงินอย่างแรง แล้วไอ้ลุงนั่นก็หันมามองหน้าผมอย่างไม่พอใจก่อนที่จะรับเงินของผมไป ก่อนที่จะส่งเงินวิชเชล่ามาให้ผม แล้วผมก็ออกไปยืนรอคนอื่นที่ยังจัดการธุระไม่เสร็จอยู่ข้างนอก ระหว่างนั้นผมก็นับเงินรอ เงินสามพันCZ สามารถแลกได้เป็นเงินห้าพันเหรียญวิชเชล่า ถ้าใช้สามวันมันจะพอมั้ยเนี่ย?

     

         พอทำธุระเรื่องแลกเงินเสร็จ เราก็ไปขึ้นรถขนส่งเพื่อเข้าไปในเขตุเมืองกันต่อ รถขนส่งของที่นี่เป็นรถคันเล็กๆ สำหรับจุคนได้ประมาณยี่สิบคน(ตามความคิดของผมนะ) เป็นรถเก่าๆ สนิมเขรอะ เครื่องยนต์ไม่ดี แถมเบาะขาด พวงมาลัยหลุดอีกต่างหาก แมร่ง คนขับท่าจะเทพน่าดูว่ะ

     

         ตั้งแต่ก้าวแรกที่พวกเราก้าวขึ้นไปบนไอ้รถขนส่งเวรๆ คันนั้น ผมก็รู้ทันทีว่า เราคงไม่ตายดีแน่ เพราะบนรถคันนั้นมีคนยืนอัดกันอยู่ในนั้นเกือบร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานทั้งนั้น แค่พวกนั้นยืนอยู่ในรถขนส่ง รถก็มีท่าทีว่าจะเอียง แต่พอพวกเราขึ้นมา รถก็มีท่าทีว่าจะล่มในอีกไม่ช้า

     

         ไอ้เรื่องเบียดกันบนรถ ผมก็พอทนได้อยู่นะ แต่ไอ้เรื่องที่คนพวกนั้นเป็นพวกไร้มารยาทน่ะสิ ผมทนไม่ได้จริงๆ ไอ้ยักษ์พวกนั้นทำอย่างกับว่าพวกมันเป็นเจ้าของรถ แมร่งพากันยืนถ่างขาซะกว้างเชียว แถมยังตะโกนเสียงดังไม่หยุด ล่าสุดมันบอกให้พวกเราเขยิบไปหน่อย เพราะมันจะไม่มีที่ยืน แมร่ง! มึงตาบอดกันหรือเปล่าว่า พวกมึงน่ะทำตัวใหญ่เบียดพวกกูจนหายใจกันไม่ออกหมดแล้ว ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก เห็นแก่ตัวจริงๆ เลย

     

         ดูเหมือนว่า ความซวยกำลังจะมาเยือนพวกเราแล้ว เมื่อลุงคนขับรถเกิดเลือดร้อน อยากขับรถซิ่งขึ้นมา ลุงแกขับโคตรเร็ว แถมยังเปลี่ยนเลนไปมาชวนให้เวียนหัว นี่ลุง รถลุงเก่าแล้วนะ ลุงก็แก่แล้วนะ มาทำแบบนี้ยังไม่เจียมสังขารตัวเองอีกหรอ กูไม่ไหวแล้วนะเว๊ย! แมร่ง...เราคงได้กลายเป็นศพก่อนที่จะเข้าไปถึงเขตุเมืองแน่ๆ จากนั้น...ก็มีไอ้ยักษ์คนหนึ่งก็ทนไม่ไหว มันเลยอ้วกลงพื้นตรงจุดที่มันยืนอยู่ แล้วอ้วกนั้นก็กระจายไปทั่วพื้นโดยสาร เป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง นี่! ลุง หยุดซิ่งเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นผมจะฆ่าลุงแน่

     

         ประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมา รถขนส่งนรกคันนั้นก็ส่งเราถึงเขตุเมืองหลวงแล้ว และทันทีที่เราลงจากรถขนส่งแล้วก้าวเท้าลงมาเหยียบลงบนพื้นถนนสายหลักของเขตุเมืองหลวง ผมก็รู้ว่าตอนนี้เราทั้งหมดได้มาถึงนรกจริงๆ แล้ว

     

         บนถนนสองฝั่งข้างทางของถนนสายหลักต่างก็อานาถไปด้วยภาพของเหล่าหญิงชั่วชายโฉดที่นอนราบเปลือยกายอยู่ริมทางเดิน ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านี่คือวิธีต้อนรับแขกของเมืองนี้หรือเปล่า พอเดินไปอีกหน่อยก็ต้องเจอกับภาพคนผิวคล้ำ ผอมโซที่กำลังคุ้ยขยะกินด้วยความหิวโหยตั้งแต่ชาติที่แล้ว จากนั้นก็ต้องช็อคต่อด้วยภาพของชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเลื้อย(?)ลงไปมีอะไรอยู่ในถังขยะ ไม่ทราบว่าพวกคุณหาสถานที่ที่โรแมนติกกว่านี้ทำกันไม่ได้แล้วหรือ? พอเดินไปได้สักประมาณหนึ่งกิโลเมตร ก็ได้ยินเสียงวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งตะโกนด่ากันเป็นเพลงแร็ป อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา...ผมก็ต้องตกตะลึงกับโปสเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีภาพของเหล่าหญิงสาวเปลือยกายพากันโพสท่าเซ็กซี่ อวดทรวงอกอันทรงเสน่ห์ของตัวเอง เมืองนี้มีข้อเสียเต็มไปหมด แต่มีข้อดีเพียงอย่างเดียวคือผู้หญิงเซ็กซี่เร่าร้อน อะฮ้า~ เห็นแล้วอยากจับนมฉิบหาย

     

         อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเราก็ได้มาถึงโรงแรมที่พวกเราจะพัก เนื่องจากพวกเรามีงบน้อย เราจึงได้พักในโรงแรมที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่ค่าใช้จ่ายโคตรถูกอ่ะ แค่หนึ่งพันเหรียญวิชเชล่าต่อคืนเอง เราพักอยู่ที่นี่สามวัน ก็ต้องจ่ายได้สามพันเหรียญวิชเชล่า ถ้าหักจากค่าที่พัก กับค่ารถแล้ว ตอนนี้พวกเราก็เหลือเงินแค่คนละพันกว่าเหรียญวิชเชล่าเอง อนาถสุดๆ

     

         จากนั้น...เราก็ไปถึงที่ห้องพักสุดอนาถ มันเป็นห้องเล็กๆ แคบๆ ไม่มีเตียง หน้าต่างก็บานเล็กนิดเดียว แล้วจะอยู่กันได้ยังไงวะ แต่ผมก็ต้องช็อคมากกว่าเดิมเมื่อพนักงานโรงแรมนี้บอกพวกเราว่า ให้พวกเราทั้งหมดนอนห้องเดียวกัน ที่ก็มีอยู่แค่นี้จะนอนพอได้ยังไงวะ นอกจากจะต้องนอนทับกัน ถ้าทำอย่างนั้นก็กระดูกหักตายห่าสิวะ บ้าหรือเปล่า

     

         ดูเหมือนว่าพื้นห้องที่จะถล่มลงมาจะทำให้เรามีโอกาสตายมากกว่าที่เราจะนอนเบียดกันตายเสียเอง เพราะเมื่อพวกเราเข้ามาในห้องพักเพื่อวางสัมภาระเก็บไว้ข้างๆ ที่นอนแล้ว พื้นห้องก็ส่งเสียงเอี๊ยดๆ ดังลั่น และมีท่าทีว่ามันจะถล่มลงมาในอีกไม่ช้านี้ พวกเราจึงพยายามที่จะก้าวเดินอย่างระมัดระวังที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่จะเดินลงไปที่ภัตคารของโรงแรมที่อยู่ชั้นล่าง เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน เพราะตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้ว และดูเหมือนว่าชาวเมืองวิชเชล่าจะกินข้าวไม่เป็นเวลาเสียด้วย เมื่อเรานั่งรอมาประมาณชั่วโมงหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่มีอาหารมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะเลย พวกเราจึงคุยกันแก้เซ็งกันไปก่อน

     

         " จะเอายังไงกับเมืองนี้ต่อไปดี ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เรามาถึงเราก็เจอแต่เรื่องซวยๆ ทั้งนั้น " มอนสเตลล่าเป็นคนเริ่มเปิดประเด็น

     

         " ใช่ๆ นี่มันนรกชัดๆ ดูห้องพักที่ทางโรงแรมจัดให้เราสิ ห้องเล็กขนาดนั้นจะนอนกันได้ยังไง คงนอนแล้วรวดตายด้วยมั้ง " ยัยดอลล่าร์เริ่มเห่า

     

         " ห้องพักนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ นี่เราต้องทนอยู่ที่นี่ถึงสามวันเชียวนะ " เบลลาทริกซ์ว่า

     

         " เราไปปล้นห้องคนอื่นอยู่ก็ได้นี่ ถ้ามันไม่ยอมก็ผลักมันตกระเบียงตายเลย " ดรากเนสผู้ซึ่งเป็นผู้เริ่มความคิดห่ามๆ พูดขึ้น

     

         " ป่าเถื่อนที่สุด " เบลลาทริกซ์ว่า แมร่ง คู่นี้หวานไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ

     

         " จะบ่ายสองอยู่แล้วนะ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน จะให้รอกินข้าวเย็นเลยหรือยังไง!!! " ยัยดอลล่าร์ร้องขึ้น

     

         " ถ้าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คงไม่ดีแน่ " แบล์คลีซาร้องขึ้น " ใครก็ได้ ช่วยทำอะไรสักอย่างสิ "

     

         " อดอล์ฟ มึงเป็นคนที่ถูกเลือกให้ทำภารกิจที่เมืองนี้ไม่ใช่หรอวะ? มึงจะปล่อยให้เป็นแบบนี้หรอ? ทำอะไรสักอย่างสิ " ดรากเนสพูดกดดันผม นี่มึงคิดจะเอาคืนกูใช่มั้ย?

     

         " เอ่อๆ เดี๋ยวกูมานะ " ผมว่าก่อนที่จะเดินออกด้วยความเร่งรีบไปท่ามกลางสายตาของผู้คนที่พากันจับจ้องมาที่ผม

     

         " มึงจะไปไหนวะ? " ดรากเนสตะโกนถาม แต่ผมกลับไม่ตอบแล้วเดินไปเรื่อยๆ จนผมเดินมาเจอกับพนักงานโรงแรมคนหนึ่ง ผมจึงถามพนักงานโรงแรมคนนั้นว่า

     

         " ห้องทำอาหารของโรงแรมอยู่ไหนครับ? " พอผมพูดจบ พนักงานคนนั้นก็ทำหน้างง ผมเลยชักรำคาญ จึงจับหัวของพนักงานโรงแรมคนนั้นแล้วดึงขึ้น จากนั้นร่างของพนักงานโรงแรมคนนั้นก็ลอยขึ้นสูงจากพื้นประมาณสามฟุต ตอนนี้ผมเริ่มบ้าแล้วนะ ถ้าอยากฆ่าคน ผมก็จะฆ่าโดยที่ไม่เกรงใจใครทั้งนั้น แล้วตอนนี้ ผมก็สามารถใช้อำนาจได้ตามปกติเหมือนเดิมแล้วด้วย ถ้าพนักงานโรงแรมคนนี้ไม่บอก ผมจะฆ่ามันแน่ แต่ไอ้พนักงานคนนั้นกลับพูดขึ้นมาก่อนว่า

     

    " เลี้ยวซ้าย แล้วตรงไป " มันว่า ผมจึงรีบปล่อยมือจากหัวมันทันทีแล้วรีบเดินไปตามทางที่มันบอก

     

    พอผมได้เดินมาถึงหน้าห้องทำอาหารของโรงแรมเวรๆ นี่ ผมจึงรีบเดินเข้าไปทันที และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกอยากฆ่าคนตายที่สุดก็คือภาพของเหล่าคนทำอาหารของโรงแรมที่พากันนอนเรียงกันอยู่บนพื้น และแล้ว...ภารกิจแรกของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้นณ.บัดนี้

     

    " เฮ้ย! ตื่นดิวะ " ผมว่าพลางใช้ตีนเขี่ยตูดของคนที่นอนอยู่ใกล้ประตูที่สุด จากนั้น...พวกมันทั้งหมดก็สะดุ้งตื่นด้วยความกลัว แล้วคนทำอาหารคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาด้วยความงัวเงียว่า

     

    " อะไรวะ? ไอ้นี่เป็นใคร? มึงมากวนกูทำไม? กูจะนอน " พอมันพูดจบ ผมก็เริ่มยื่นตีนไปเหยียบลงบนหน้าของไอ้คนพูดแล้วพูดขึ้นว่า

     

    " นอนหรอ? ตอนนี้บ่ายสองแล้วนะเว๊ย มึงยังมีหน้ามานอนอีก คนอื่นเค้าหิวข้าวกันจะตายห่าอยู่แล้ว " พอผมพูดจบ พวกมันทั้งหมดก็อ้าปากค้าง " เฮ้ย! นิ่งกันทำห่าไร เอาอาหารไปเสิร์ฟสิ " จากนั้น...พวกมันทั้งหมดก็รีบยกอาหารที่ถูกบรรจุไว้ในกล่องสีเขียวสลับม่วงไปเสิร์ฟ

     

    พอพวกมันทั้งหมดออกไปจากห้องทำอาหารแล้ว ผมจึงกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง จากนั้นผมก็มองเห็นกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำอาหาร ผมจึงเดินไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน มีข้อความเขียนไว้ว่า 'โรงงานค้าอวัยวะผู้บริสุทธิ์แห่งวิชเชล่า ถนนสายหลัก เขตุ58 ซอย437' และด้านหลังก็มีแผนที่ของโรงงานนั้น และตอนนี้...ผมก็ได้พบกับกล่องอาหารสีเขียวสลับม่วงซึ่งเป็นกล่องอาหารที่ไอ้พวกคนทำอาหารยกไปเสิร์ฟเมื่อครู่นี้ หน้ากล่องเขียนไว้ว่า 'อวัยวะผู้บริสุทธิ์แห่งวิชเชล่าอบกรอบ รสชาติกลมกล่อม' รสชาติกลมกล่อมแม่มึงสิ เมื่ออ่านเสร็จผมจึงรีบวางกล่องนั้นลง แล้วยัดแผนที่โรงงานนั้นใส่ในกระเป๋ากางเกงก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปเพื่อห้ามไม่ให้เพื่อนของผมกินอาหารในกล่องนั้น

     

    เหตุการณ์เหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปด้วยความตื่นเต้น ระทึกใจ เมื่อผมได้มาถึงภัตคารของโรงแรมแล้ว สายตาของผมจับจ้องไปที่เพื่อนของผม และผมจำเป็นต้องรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุดเมื่อเห็นว่า พวกเขาทั้งหมดกำลังจะกินชิ้นส่วนอวัยวะอบกรอบนั่นเข้าไปแล้ว

     

    " วางอาหารนั่นลงซะ! " ผมร้องสั่ง จากนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงหันมามองหน้าผมแล้วพูดขึ้นพร้อมกันว่า

     

    " ทำไม? " แล้วจะร้องประสานเสียงกันขึ้นหาอะไรวะ เฮ้อ~ยิ่งฟังแล้วยิ่งเครียด

     

    " อ่านข้อความหน้ากล่องอาหารนั่นซะ แล้วพวกแกจะรู้ว่านั่นเป็นอะไรที่พวกแกไม่ควรจะกินมัน " พอผมพูดจบ พวกเขาก็ก้มหน้าลงไปอ่านข้อความบนกล่องอาหารนั้นก็ที่จะเงยหน้าขึ้นมาพูดพร้อมกันว่า 

     

    " อ่านไม่ออก " อ้าว...ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ แต่ละคนก็ดูท่าทางเก่งๆ กันทั้งนั้น ทำไมข้อความสั้นๆ แค่นี้กลับอ่านไม่ออกกันล่ะ แมร่ง...ไม่ไหวแล้วนะมึง

     

    " มันอ่านว่า"อวัยวะของผู้บริสุทธิ์แห่งวิชเชล่าอบกรอบ รสชาติกลมกล่อม"เข้าใจมั้ย!?! มันคือสิ่งที่พวกแกกำลังจะกินเข้าไปได้ยินมั้ย!?! " พอผมพูดเสร็จ คนที่กำลังนั่งอยู่ในภัตคารทั้งหมดก็หันมามองหน้าผม มองทำไมวะ ไม่เคยเห็นคนพูดเสียงดังหรือไง? พวกแกน่าจะคุ้นกันได้แล้วนะ เพราะว่าที่เมืองของแกก็มีคนแบบนี้อยู่เต็มไปหมดไม่ใช่หรอ?

     

    " สรุปก็คือไม่ต้องกินอาหารในกล่องนี้ แต่ให้ไปซื้ออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์มากินน่ะ เข้าใจมั้ย? " ผมว่าก่อนที่จะหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อที่จะทำให้ตัวเองใจเย็นลงเมื่อรู้ตัวว่าตอนนี้ผมรู้สึกอยากฆ่าคนเต็มทนแล้ว " ขอโทษ " ผมเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงตำแหน่งที่ตรงข้ามกับดรากเนส

     

    " ฉันเข้าใจนายนะ " เรอัสว่า " เป็นเพราะนายถูกงดใช้อำนาจมาหนึ่งเดือนเต็มๆ จนทำให้นายไม่ได้ทำสิ่งที่นายต้องการจะทำมาหนึ่งเดือนเต็มๆ และตอนนี้เมื่อนายกลับมาใช้อำนาจได้ตามปกติแล้ว นายจึงเลือดร้อนมากเป็นพิเศษ ตอนนี้นายอยากฆ่าคนแล้วใช่มั้ย? "

     

    " อื่มม์ " ผมว่าแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเรอัส ก่อนที่จะยิ้มบางๆ ที่มุมปากแล้วพูดขึ้นว่า " คืนนี้ฉันจะได้ฆ่าคนสมใจแน่ "

     

    " หมายความว่ายังไงน่ะ? " พวกเขาประสานเสียงกันขึ้น ถ้าจะประสานกันขนาดนี้ วันหลังก็ให้ร้องเป็นเมโลดี้ด้วยเลยสิ ผมไม่ตอบ แต่กลับหยิบที่อยู่ของโรงงานค้าอวัยวะผู้บริสุทธิ์แห่งวิชเชล่าขึ้นมาให้ดู " นี่คือที่อยู่ของโรงงานที่เป็นแหล่งค้าอวัยวะผู้บริสุทธิ์แห่งวิชเชล่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการใช้ทำอาหารที่บรรจุในกล่องนี้ และฉันก็เชื่อว่าที่โรงงานนั่นก็ต้องมีผู้บริสุทธิ์จำนวนมากที่กำลังรอที่จะถูกฆ่าอยู่แน่ๆ "

     

    " ถ้าจำไม่ผิด ฉันเคยฝันเห็นโรงงานนั่นเมื่อวานมานี้เอง " ยัยดอลล่าร์ว่า ผมว่ายัยนั่นเทพจริงๆ ขนาดสลบจนไม่ได้สติขนาดนั้นยังฝันเห็นอนาคตได้อีก " คนในโรงงานนั้นจะทำการฆ่าหั่นศพผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ที่นั่นทั้งหมดคืนนี้ตอนสองทุ่มครึ่ง "

     

    " เพราะฉะนั้น วันนี้ตอนสองทุ่มครึ่งเป็นเวลาของมึงที่มึงจะแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาให้พวกนั้นเห็น แล้วครอบครัวของมึงที่กลายเป็นฝุ่นละอองไปแล้วในตอนนี้ก็คงจะภูมิใจในตัวมึงมาก " ดรากเนสว่าพลางตบไหล่ผมเบาๆ แต่ก็แอบมือหนักนะเนี่ย

     

    " ตอนนี้กี่โมงแล้ว? " ผมถามขึ้น

     

    " บ่ายสองโมงครึ่ง " มอนสเตลล่าว่า " เหลืออีกตั้งหกชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานั้น และหกชั่วโมงนี้ยังสามารถทำอะไรได้ตั้งเยอะแยะ "

     

    " มีใครจะออกไปไหนอีกมั้ย? " ดรากเนสเอ่ยถามขึ้น

     

    " ไม่ต้องถามก็รู้ว่าตอนนี้คงไม่มีใครอยากออกไปข้างนอกหรอกนะ เพราะว่าสภาพเมืองมันอนาถขนาดนี้ อยู่แต่ในห้องพักยังจะดีกว่า " ยัยดอลล่าร์ว่า

     

     " ฉันจะไปนอน " ยูลิคพูดขึ้น

     

    " ฉันก็เหมือนกัน การเดินทางครั้งนี้มันเหนื่อยจริงๆ " โซเฟจว่าพลางหาว พวกทูตศักดิ์สิทธิ์ต้องการพลังงานมากเท่าไหนกันนะถึงจะพอต่อการดำเนินชีวิตในแต่ละวันน่ะ

     

     " อื่มม์...ก็ดี ไปกันเถอะ " ดรากเนสตัดบทก่อนที่จะเดินนำเราขึ้นไปยังห้องพักเก่าๆ แคบๆ นั่น



     

    เมื่อถึงห้องพัก พวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปจองที่ของตัวเองแล้วพากันนั่งเงียบ ซึ่งทำให้สถานการณ์ตอนนี้ดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก เพราะพวกเราไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดีในตอนนี้ เพราะการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มันน่าเบื่อเกินไป

     

    สองชั่วโมงแรก ผมจึงแอบฟังเสียงในใจของพวกเขาเหล่านั้น และเสียงเหล่านั้นก็ต่างเป็นน้ำเสียง และถ้อยคำที่ฟังดูหดหู่ทั้งสิ้น ด้วยความที่ยิ่งฟังแล้วยิ่งเครียด ทำให้อีกสองชั่วโมงต่อมา...ผมจึงเปลี่ยนไปหลับตาลงแล้วจินตนาการถึงภาพที่อยากเห็น แล้วก็พบว่ามันน่าเบื่อเกินไป ทำให้อีกสองชั่วโมง ผมจึงไม่มีอะไรทำ จะนอนก็นอนไม่หลับ ก็ไอ้สถานการณ์ที่มีความตายรออยู่ตรงหน้าน่ะ ใครเจอแบบนี้แล้วไม่เครียดก็บ้าแล้ว

     

    เอาล่ะ...ผมนึกออกแล้ว ในสองชั่วโมงสุดท้ายนี้ ผมจะเล่าเรื่องของตัวเองให้คุณฟังดีกว่า ยังไงพวกคุณก็ทนฟังกันหน่อยนะ เพราะผมไม่มีอะไรทำแล้ว

     

    ผมเป็นยมทูตชนชั้นสูงแห่งมิติมรณะ ซึ่งเป็นมิติที่มีผู้ที่เกิดเป็นวิญญาณตั้งแต่กำเนิดนั้นอาศัยอยู่ แล้วคุณคิดยังไงกับคำว่ายมทูตชั้นสูงล่ะ คิดว่าเป็นยมทูตที่มีฐานะเทียบเทียมกับชนชั้นขุนนางบนโลกน่ะหรอ? คุณคิดผิดแล้ว เพราะผมกำลังจะบอกว่า ยมทูตชนชั้นสูงก็คือคำที่ใช้เรียกยมทูตที่มีหน้ามีตาในสังคม ซึ่งในมิติมรณะ ก็มีตระกูลของผมที่เป็นยมทูตชนชั้นสูงแค่ตระกูลเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าบรรพบุรุษของผมต่างก็สร้างชื่อเสียงในทางที่ดี และทำคุณประโยชน์มากมายแก่สังคม พวกท่านถึงถูกยมทูตที่ไม่ใช่ชนชั้นสูงยกย่องเป็นแบบอย่าง และต่อจากนั้น...ก็มีการก่อตั้งวันยมทูตชนชั้นสูงแห่งมิติมรณะขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติของพวกท่าน แต่ด้วยความมั่นไส้ของยมทูตบางกลุ่ม ทำให้พวกเขาเหล่านั้นขอร้องให้ผู้ใช้พลังมืดสาปพวกบรรพบุรุษของผมให้อายุสั้น ดังนั้นทุกคนในตระกูลของผมจะตายทันทีเมื่ออายุครบสี่สิบปี และสำหรับพวกเราผู้อาศัยในมิติมรณะ ความตายเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุด เพราะพวกเราเป็นวิญญาณมาตั้งแต่เกิดแล้ว และถ้าเราได้ตายอีกครั้งล่ะก็ พวกเราก็จะกลายเป็นฝุ่นละอองล่องลอยไปในอากาศ และไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิดอีกเลย

     

    และคำสาปนั้นก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตั้งแต่รุ่นผู้ก่อตั้งตระกูล จนกระทั้งถึงรุ่นพ่อแม่ของผม ตอนที่พ่อแม่ของผมตาย ตอนนั้น...ผมอายุเพียงแค่สิบสามปีเท่านั้น พอพวกท่านตาย ผมจึงต้องรับภาระหนัก เพราะผมเป็นเพียงทายาทเพียงคนเดียวที่ต้องสืบทอดเจตนาของตระกูล และตอนนั้น...ผมจึงต้องเริ่มที่จะเข้าทำงานในฐานะยมทูตชนชั้นสูงโดยปริยาย

     

    อย่างที่คุณรู้ว่าเด็กชายอายุเพียงแค่สิบสามปีที่ไม่มีความรับผิดชอบอะไรเลยอย่างผมไม่มีความสามารถพอที่จะอดทนต่อภาระหนักเหล่านั้นได้ ตอนนั้น...ผมเป็นเพียงแค่เด็กซนๆ ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่พวกคนใหญ่คนโตของมิติมรณะกลับเอางานระดับชาติมาให้ผมทำ พวกเขามอบความรับผิดชอบเรื่องด้านมั่นคงระดับชาติไว้กับผม

     

    แต่ถ้าคุณรู้จักผมดี คุณจะรู้ว่าผมไม่มีวันทำแบบนั้นอย่างแน่นอน และมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะผมในตอนนั้นเป็นคนที่ไม่เคยจะยอมใคร ผมมักจะแหกกฎทุกข้อ และทำตามใจตัวเองเสมอ อยากไปทำงานวันไหนก็ไป ถ้าวันไหนไม่มีอารมณ์ไปทำงานก็จะหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ผมในตอนนั้นเป็นพวกที่ว่าอยากอะไรก็ทำ ชนิดที่ว่าไม่เกรงกลัวใครทั้งนั้น ตอนหลังๆ มา พวกผู้ใหญ่ก็เริ่มเอือมกันแล้ว วันนั้นพวกเขาโกรธมาก ก็เลยโทรมาด่าผม แล้วขู่ว่าจะไล่ผมออก วันต่อมา...ก็มีจดหมายไล่ออกส่งมาที่บ้าน แต่คืนนั้น ผมก็ยังหน้าด้านไปทำงานอยู่ แล้วก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ พวกผู้ใหญ่ก็ทำอะไรผมไม่ได้ พวกเขาก็เลยให้อิสระผมอย่างเต็มที่ แล้วตอนนั้น ผมก็เริ่มแหกกฎ จากกฎที่มีโทษเล็กน้อย จนถึงกฎที่มีโทษถึงตาย จนผมต้องขึ้นศาลอยู่บ่อยครั้ง โดนสั่งลงโทษเบาๆ บ้าง โดนสั่งงดใช้อำนาจบ้าง แต่ก็โดนลงโทษอยู่ไม่นาน เพราะพวกเขาเห็นว่าผมอยู่ในตระกูลยมทูตชนชั้นสูง พวกเขาจึงไม่ทำอะไรผมมาก เพราะเห็นแก่บรรพบุรุษของผมที่ล่วงลับไปแล้ว และผมก็เป็นทายาทที่แย่ที่สุด เพราะผมเป็นผู้ที่ทำลายชื่อเสียงในด้านดีที่พวกท่านได้สะสมกันมาจากรุ่นสู่รุ่น พอมาถึงรุ่นผม ชื่อเสียงในด้านดีเหล่านั้นก็ถูกชื่อเสียงในด้านชั่วของผมกลบจนไม่เหลืออะไรเลย

     

    นั่นแหละ ยิ่งพวกเขายิ่งทำแบบนี้ ผมก็ยิ่งได้ใจ แล้วผมก็เริ่มบ้าขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มที่จะใช้อำนาจไปในทางที่ผิดโดยการฆ่าผู้บริสุทธิ์ ซึ่งตามกฎของผู้อาศัยในมิติมรณะแล้ว จะสามารถใช้อำนาจในการฆ่าผู้ที่ถึงคาดแล้วเท่านั้น แต่สำหรับผมที่ชอบแหกกฎอยู่แล้วจึงไม่สนกฎบ้าๆ นั่นหรอกนะ ดังนั้น...ผมจึงฆ่าผู้บริสุทธิ์บ่อยขึ้น...บ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนติดเป็นนิสัย ถ้าไม่ได้ฆ่าคนตายวันไหนคงทรมานน่าดู แล้วผมก็ไม่ได้ฆ่าคนตายมาเดือนหนึ่งแล้วด้วย ไม่รู้ว่าผมทนมาได้ยังไง

     

    ใช่! ผมทนได้ไม่หรอก เพราะก่อนหน้านี้ คุณก็เห็นผมคลั่งแล้วนี่ เพราะเวลาที่ผมถูกขัดใจไม่ให้ทำในสิ่งที่ผมอยากทำ อารมณ์ของผมจะไม่มั่นคง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่โชคดีที่ผมเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดี สามารถเก็บอารมณ์ได้แค่ในบางสถานการณ์เท่านั้น

     

    " เฮ้ย! อดอล์ฟ สองทุ่มแล้วเว๊ย " ดรากเนสร้องขึ้น ใกล้เวลาแล้วสินะ คืนนี้จะเป็นคืนของผม และเป็นคืนที่ดีที่สุดในรอบหนึ่งเดือน เพราะในคืนนี้ผมจะได้ฆ่าคนตายแล้ว ฮ่าๆ! มีความสุขจริงๆเลย " เร็วๆ ดิวะ เดี๋ยวผู้บริสุทธิ์ก็ถูกฆ่าตายกันหมดหรอก มึงไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรอวะ? " จะรู้สึกอะไรล่ะ ก็ผมฆ่าผู้บริสุทธิ์มาจนติดเป็นนิสัยแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุดสำหรับผม

     

    " เอ่อๆ กูรู้แล้ว " ผมว่าก่อนที่จะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ " มึงกลัวอะไรวะ? กูไม่ยอมปล่อยให้ต้องมีใครตายหรอกเว๊ย "

     

    " อดอล์ฟ นายวางแผนมาก่อนหน้านี้มั้ยว่าจะจัดการพวกมันยังไง? " มอนสเตลล่าเอ่ยถาม

     

    " แน่นอน " หึ...ที่จริงผมยังไม่ได้คิดอะไรเลย จะคิดให้มันหนักหัวทำไมวะ? ในเมื่อผมเป็นอัจฉริยะ คิดสดได้

     

    " บอกแผนของนายมาสิ เผื่อพวกเราจะได้ช่วยนายได้ "

     

    " เอ่อ...บอกไม่ได้หรอก เพราะถ้าบอกไปแล้วมันจะไม่ขลัง รับรองคืนนี้ฉันต้องทำสำเร็จแน่ๆ " ผมตัดบทก่อนที่จะเดินออกไป แล้วผมก็ได้ยินเสียงตะโกนตามหลังมาว่า

     

    " โชคดีนะ แล้วพวกเราทุกคนจะอยู่ที่นี่อธิษฐานเผื่อเธอเอง " พอผมได้ยินดังนั้น ผมก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีกว่านั้นก็คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

     

    ผมเดินไปตามแนวถนนแคบๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงงานค้าอวัยวะผู้บริสุทธิ์แห่งวิชเชล่าตามที่อยู่ที่ผมขโมยมาจากห้องทำอาหาร

     

    ด้วยความที่ว่า ระยะทางจากโรงแรมและโรงงานนั่นไกลกันเป็นพิเศษ ทำให้ผมใช้เวลาตั้งสิบนาทีกว่าจะมาถึงหน้าโรงงานนรกนั่น ผมจึงแอบย่องเข้าไปในโรงงานอย่างเงียบๆ ทันทีที่มาถึง และด้วยบรรยากาศที่เงียบสงัดภายในโรงงานทำให้ผมได้ยินเสียงสนทนาของคนที่อยู่ข้างในโรงงานนั้นได้อย่างชัดเจน

     

    " เฮ้ย! เดี๋ยวแกขนศพขึ้นไปที่ชั้นสามห้องทางขวาสุดนะ เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมเครื่องมือก่อน "

     

    " ได้ แต่อย่าช้านักนะ เดี๋ยวจะไม่ทัน ช่วงนี้มีคนสั่งของเยอะเสียด้วย "

     

    นี่คงเป็นเสียงของคนที่ผมจะฆ่าสินะ เมื่อกี้พวกมันบอกว่าจะขนศพขึ้นไปที่ชั้นสามห้องทางขวาสุดใช่มั้ย? แมร่งพูดดังขนาดนี้ ใครไม่ได้ยินก็บ้าแล้ว " ผมคิดก่อนที่จะแอบขึ้นไปที่ชั้นสามของโรงงาน แต่ผมจะไม่เข้าไปในห้องทางขวาสุดหรอกนะ เพราะผมมีแผนเตรียมเอาไว้แล้ว ก็อย่างที่คุณรู้ คืนนี้เป็นคืนของผม มันคืนที่ผมมีอำนาจสูงสุด หึ...แล้วเราจะได้เห็นดีกัน

     

    ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มเป๊ะซึ่งเป็นเวลาที่พวกมันจะจัดการแยกชิ้นส่วนอวัยวะจากร่างที่ไร้สติของเหล่าผู้บริสุทธิ์ชาววิชเชล่า ตอนนี้...ผมกำลังแอบมองดูสถานการณ์อยู่ในห้องข้างๆ ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งได้ขนย้ายศพเข้าไปในห้องทางขวามือแล้ว ต่อมา...ผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งถือเครื่องมือสำหรับการแยกชิ้นส่วนนี้ก็ได้ตามเข้าไป เมื่อผมเห็นว่าพวกมันกำลังเริ่มทำการแยกชิ้นส่วนแล้ว ผมจึงเริ่มที่จะทำตามแผนของตัวเอง มันคืออะไรน่ะหรอ? ถ้าคุณอยากรู้ก็ลองอ่านต่อไปดูสิ

     

    ภายในห้องบนชั้นสามทางขวาสุด ผู้ชายสองคนกำลังวุ่นอยู่กับการทำการแยกชิ้นส่วนอวัยวะจากร่างที่ไร้สติของผู้บริสุทธิ์แห่งวิชเชล่า พวกเขาต่างก็เตรียมพร้อมในการแยกชิ้นส่วนอวัยวะ และจัดการเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ อย่างมืออาชีพ แต่เมื่อผู้ชายคนหนึ่งหยิบเครื่องมือสำหรับการแยกชิ้นส่วนอวัยวะที่มีลักษณะปลายแหลมขึ้นมา แล้วกำลังจะใช้งานบนร่างอันเปลือยเปล่าของผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น ทันใดนั้น...เหตุการณ์ก็ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น

     

    พรืบ!!!

     

    ทันใดนั้น...แสงไฟจากโคมไฟที่ห้อยอยู่บนผนังห้องก็ได้ดับลง และความมืดก็ได้ปกคลุมไปทั่วห้อง ผู้ชายสองคนต่างก็ตื่นตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า

     

    " เฮ้ย! ใครปิดไฟวะ? "

     

    " ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้วนอกจากเราสองคน แล้วอยู่ดีๆ ไฟมันดับเองได้ยังไงวะ? "

     

    " เอ่อว่ะ ข้าก็สงสัยอยู่เหมือนกัน หรือว่า...เราจะเจอดีเข้าแล้ว " จากนั้นผู้ชายสองคนนั้นก็พากันคิดไปต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น หลังจากนั้น...

     

    บรื๊นนนนนนนนนนนนนนน!!!

     

    " อ๊ากกกกกกกก~ " ผู้ชายคนที่ถือเครื่องมือสำหรับการแยกชิ้นส่วนอวัยวะร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด " ไอ้เครื่องมือนี้มันปั่นนิ้วข้า อ่ะ...เอามันออกไปที!!! "

     

    " แกจะบ้าหรอ? เครื่องมือนี้ยังไม่ได้ถูกเดินเครื่องเลย แล้วมันจะทำงานได้ยังไงล่ะ? " ผู้ชายอีกคนหนึ่งว่า

     

    " อ๊ากกกกกกกกกก~ " ผู้ชายคนที่ถือเครื่องมือนั้นยังคงร้องต่อไป เขาพยายามสะบัดเครื่องมือนั้นออก แต่ยิ่งเขาออกแรงมากเท่าไร เครื่องมือนั่นก็ยิ่งจะบดร่างกายของเขาให้เกิดความเสียหายมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุด...ผู้ชายคนนั้นก็กลายเป็นศพที่มีสภาพเละ แล้วเลือด และชิ้นส่วนอวัยวะของเขาก็ได้กระจายไปทั่วห้อง

     

    และแล้ว...ก็เหลือผู้ชายอีกคนหนึ่งอยู่แค่คนเดียว และผมก็กำลังจะทำให้เขาตายตามเพื่อนของเขาไปในอีกไม่ช้านี้

     

    ครืดดดดดดดด!!!

     

    ทันใดนั้น...ผนังห้องก็สั่นสะเทือนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ของที่วางอยู่ในห้องนั้นล่นกระจัดกระจายไปทั่ว ผู้ชายคนนั้นวิ่งหลบของเหล่านั้นอย่างไม่หวาดไม่ไหว และโคมไฟขนาดมหึมาที่แขวนไว้บนผนังห้องนั้นก็ตกลงมาใส่หัวผู้ชายคนนั้น

     

    " โอ๊ย!!! " เขาร้องก่อนที่จะสลบไป และเลือดก็ได้ไหลออกจากร่างเขาคนนั้นจนหมดตัวทำให้เขากลายเป็นศพผิวซีดที่มีสีหน้า และนัยน์ตาซึ่งบ่งบอกว่าเขากำลังกลัวได้อย่างชัดเจน 

     

    ทันใดนั้น...ก็มีลมพัดเข้ามาในห้องนั้น ทำให้ร่างของเหล่าผู้บริสุทธิ์ได้ลอยขึ้นสูงจากพื้นดิน และในวินาทีนั้นเอง พวกเขาทั้งหมดก็ได้ตื่นจากห้วงมรณะด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุขพร้อมทั้งร้องสรรเสริญพระเจ้า

     

    ครู่ต่อมา...ผมที่อยู่ในสภาพของชายผิวซีดร่างผอมเกร็ง สวมหน้ากากสีซีด และเสื้อคลุมสีดำผิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงไว้ก็ได้ไปปรากฏตัวขึ้นที่ห้องนั้น เหล่าผู้บริสุทธิ์เมื่อเห็นผม ก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย พวกเขาจึงถามขึ้นอย่างไร้เดียงสาว่า

     

    " ท่านเป็นใครกัน? " ผมจึงยิ้มบางๆ ให้พวกเขา ก่อนที่จะตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งฟังดูน่าขนลุกว่า

     

    " เรียกข้าว่า'The soul hunter' "

     

    และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจปกป้องผู้บริสุทธิ์ของผม และเป็นจุดเริ่มต้นของ'The soul hunter' วีรบุรุษลึกลับผู้ซึ่งมีสภาพไม่ต่างไปจากผู้เสพความตาย 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×