ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พาราเรล ออนไลน์ [ online ]

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 4 รวมกลุ่มลุยทะเลทรายเดือด

    • อัปเดตล่าสุด 12 ม.ค. 56


    ตอนที่ 4 รวมกลุ่มลุยทะเลทรายเดือด

        มิเชลเริ่มต้นทำกิจวัตรประจำวัน กินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน ท่องหนังสือ และออกกำลังกาย พอครูสอนพิเศษกลับบ้านตอนบ่ายสาม เธอก็พุ่งตรงไปยังห้องนอน แล้วเข้าสู่เกมทันที

        เด็กหญิงล้วงสมุดรายชื่อเพื่อนขึ้นมาเพื่อเปิดดูข้อความใหม่จากลาล่า เอลฟ์สาวเล่าว่าพวกตนล่วงหน้าข้ามไปถึงทวีปหลักแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรทั้งคู่ก็ติดสอบมหาลัยเสียก่อน ตัวเธอกับอิลคงหายหน้าหายตาสักพัก

        เวลาในเกมเป็นช่วงเย็น พ่อค้ารับซื้อขยะจึงยังเปิดให้บริการอยู่ มิเชลขายของทิ้งเกือบหมด เหลือไว้แค่อาวุธบางชิ้น ทีแรกตั้งใจรอโทนี่ แต่กว่าเขาจะมาก็ราวหนึ่งทุ่ม เด็กชายต้องทำการบ้าน กินมื้อเย็น และอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนเล่นเกม เรียกว่าอีกตั้ง 20ชั่วโมงในเกมเชียวนะ... เธอไม่คิดอยู่เฉยๆนานขนาดนั้น เลยกางแผนที่ดู คิดไปเที่ยวเองคนเดียว...

        บนแผนที่นอกจากถ้ำภูเขาไฟสองคูหาและทุ่งลามะ ก็มีบ้านกระท่อมน้อย โดยทางผ่านคือทะเลทรายกะทะร้อนกับบึงอสรพิษ  จากนั้นเป็นเมืองท่าบรรพบุรุษซึ่งต้องย้อนกลับมาที่เดิม แล้วข้ามป่าต้นสนดงฟ้าเพื่อไปให้ถึง มิเชลเลือกไม่ถูกจึงคิดขอความเห็นจากเจสสิก้า สาวนักเต้นประจำสมาคมผู้กล้า

        พอไปถึง... วันนี้ลูกค้าในร้านดูบางตาลง น่าเป็นเพราะนอกเกมยังกลางวันอยู่ แต่คนประจำเคาน์เตอร์ภารกิจกลับไม่ใช่สาวนักเต้นเจ้าเก่า กลายเป็นผู้หญิงผมแดงสั้นกระเซิงที่ติดโบว์สีฟ้าอันใหญ่กลางกระหม่อม  เธอเองก็ใส่กางเกงทรงอินเดียกับผ้าคาดอกเหมือนเจสสิก้า มิเชลเลยเดาเอาว่าคงทำตำแหน่งเดียวกัน

        “สวัสดีค่ะ คุณมิเชล” เธอกล่าวทัก

    มิเชลผงะ... เพราะนอกจากโดนรู้ชื่อแล้ว สาวผมแดงยังแผ่บรรยากาศคล้ายเจสสิก้า เธอเป็นคนเซ็กซี่มีเสน่ห์ ทั้งใบหน้า จมูกและริมฝีปากเรียกว่าลอกแบบกันมา เว้นไว้แต่ดวงตาสีแดงโตที่ดูซุกซน ไม่ใช่สีฟ้าคมคาย

    “ดิฉันสามารถดูข้อมูลของผู้เล่นได้ในส่วนของเพศ และชื่อค่ะ” เธอยิ้มหวาน “ดิฉันเห็นมันลอยอยู่บนหัวของทุกคนเสมอ และเจสสิก้าได้เล่าเรื่องพวกคุณให้ฟังนิดหน่อย บอกว่าเป็นแก๊งเด็กตัวโตกับตัวเล็กที่ถล่มราชาหมาป่าได้ ทีแรกจะมีการปรับให้ภารกิจนี้ง่ายลงหากไม่มีคนทำสำเร็จในหนึ่งเดือนแรก แต่โครงการนี้ถูกพับโดยคุณมิเชลกับเพื่อนของคุณมิเชลไปซะแล้ว”

        “แล้วเจสสิก้าล่ะคะ... ล่ะครับ” เด็กสาวรีบแก้หางเสียง แม้เวลานี้ขาดโทนี่ที่คอยบ่น แต่เธอก็ไม่อยากเป็นกะเทยต่อหน้าคนอื่น... “คุณเจสสิก้าไม่ได้ประจำที่นี่ทุกวันหรือครับ”

        “คนเราต้องออกไปพักผ่อน กินอาหาร หลับนอนกันข้างนอกบ้างนิคะ ถ้าเปรียบกับเวลาจริงๆ นอกเกมแล้ว ดิฉันจะทำงานช่วงกลางวัน ส่วนเจสสิก้าทำหน้าที่รอบกลางคืนค่ะ ดังนั้นคืนนี้ถ้าคุณมิเชลอยู่ดูก็จะเห็นดิฉันเต้นนะคะ รับรองว่าไม่แพ้เจสสิก้าแน่ค่ะ เพียงแต่คนเขานิยมสาวผมยาวสีทอง ดิฉันผมสีแดงกระเซิงๆ ความนิยมเลยไม่เท่าเจสสิก้าเท่าไหร่”

        “ถ้าคืนนี้มาได้ก็จะมาดูพี่สาวเต้นครับ... แต่ตอนนี้ผมอยากรู้ว่าบ้านกระท่อมน้อย กับเมืองท่าบรรพบุรุษไปทางไหนก่อนดี ผมต้องรอเพื่อนอีกยี่สิบชั่วโมงในเกม เลยว่าจะไปหาที่เที่ยวล่วงหน้าก่อน”

        “ถ้าคิดจะหาที่ผจญภัยรอเพื่อน แนะนำบ้านกระท่อมน้อยค่ะ เมืองท่าบรรพบุรุษนั้นสามารถใช้ในการเดินทางออกจากทวีปตายายไปยังทวีปหลักได้ คุณมิเชลจะได้ไม่ต้องไปๆ กลับๆ ทางไปบ้านกระท่อมน้อยมีทะเลทรายกะทะร้อน และบึงอสรพิษที่เป็นโอเอซิสหนึ่งเดียวกลางทะเลทราย” เธออธิบาย และยิ้มหวานต่อเนื่อง

        “อสูรที่นั่นเป็นแบบไหนครับ”

        “เรื่องนี้เกินขอบเขตที่ดิฉันสามารถบอกได้ คุณมิเชลต้องสอบถามจากผู้เล่นด้วยกัน หรือลองด้วยตัวเองเท่านั้นค่ะ และเตือนว่าถึงเป็นโอเอซิสกลางทะเลทราย แต่น้ำในบึงอสรพิษไม่สามารถดื่มได้โดยตรง กรุณาเตรียมตัวไปดีๆ”

        “แล้วต้องเตรียมอะไรไปบ้างครับ” มิเชลถามอีก เธอไม่ชอบคิดเลยถามทันทีที่สงสัย

        “ดิฉันไม่สามารถบอกได้ค่ะ การไม่รู้เป็นจุดประสงค์ของเกม แต่คุณมิเชลสามารถหาทางลัดได้โดยการสอบถามจากผู้เล่นอื่น”

        เธอพยายามนึกถึงของที่ต้องเตรียมโดยอิงตอนเข้าค่ายกับโรงเรียน กระติกน้ำ ข้าวกล่อง ขนมกินเล่น มือถือเก่าตกรุ่น เบรลคีย์บอร์ด ไม้เท้าขาวติด GPS และเสื้อผ้าเปลี่ยน ในเกมไม่มีโทรศัพท์หรืออุปกรณ์อิเลคโทรนิค ส่วนชุดก็ใช้ตัวเดิมได้ตลอดเพราะสกปรกยากกว่าโลกแห่งความเป็นจริงหลายเท่า

        เด็กหญิงในร่างชายหนุ่มผลักประตูก้าวออกจากร้าน สาวผมแดงประจำเคาน์เตอร์ทำท่าสะดุ้งเล็กน้อย เธอเพิ่งฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้แต่สายไปแล้ว....

        “บ้านกระท่อมน้อยไม่ใช่สถานที่ๆ จะไปกลับได้ใน 20ชั่วโมง... นี่นา....”

    ...........................................................


        มิเชลเติมน้ำให้เต็มกระบอกจากลำธารใกล้ๆ ส่วนเสบียงสามารถหาเอาตามทางได้ เมื่อบวกลบจากของที่เคยจัดสมัยเข้าค่ายกับโรงเรียน ก็ถือว่าตนเตรียมตัวเสร็จแล้ว เธอก้มหน้าอ่านแผนที่ พยายามหันหลังให้ตัวเมืองเพื่อเทียบว่าตนต้องเดินทางซ้าย ขวา หรือตรงไป... เวลานี้เด็กสาวต้องการตัวช่วยอย่างโทนี่เหลือเกิน…

        นักเวทสาวสอดส่องสายตาหาผู้เล่นอื่นโดยรอบเผื่อว่าจะมีใครช่วยบอกทางได้ เธอหันไปเจอคนกลุ่มใหญ่  4คน ที่ยืนอยู่ห่างๆ พวกเขาเหลือบมองมิเชลสักพัก ลักษณะเหมือนกำลังเถียงกัน แน่นอนว่าเด็กหญิงรีบถลาเข้าไปถามโดยไม่ดูบรรยากาศทันที

        “ขอโทษครับ จะไปทะเลทรายกะทะร้อนทางไหน ผมอยากไปบ้านกระท่อมน้อย”

        “ทางนั้น” หนึ่งในนั้นชี้ไปข้างหลังมิเชล เขาเป็นชายร่างใหญ่ที่ลักษณะเหมือนหมีตลอดทั้งตัว ยกเว้นไว้แต่แววตาดุๆ กับการห้อยขวานอันใหญ่กลางหลัง “ตรงไปเรื่อยๆ ถ้าเจอพื้นเป็นทรายเมื่อไหร่ก็ถึงแล้ว เดินยังไงก็ได้ให้เป็นเส้นตรงก็จะเจอโอเอซิส แล้วไปถึงบ้านกระท่อมน้อยเอง”

        “เดี๋ยวสิ พวกเรามีเรื่องต้องถามเขาด้วยไม่ใช่หรือไง” อีกคนรีบพุ่งตัวออกมาทันที คราวนี้เป็นชายที่ส่วนสูงรูปร่างไม่ต่างจากมิเชล มีผมสีฟ้าชี้ๆ ยุ่งเหยิง กับมีดสั้นสองอันข้างเอว “เขาคงไม่ได้คิดจะข้ามทะเลทรายนรกคนเดียวหรอกนะ”

        “เอ้อจริง ขอโทษ ฉันลืมอีกแล้ว...” ชายร่างหมีผงกหัวปะหลกๆ ให้คนอื่น “พวกเราเห็นนายยืนนานแล้ว แถมสัตว์อสูรก็ไม่ได้โจมตีนาย แปลว่าเลเวลคงพอตัว ถ้านายจะข้ามทะเลทรายก็ไปด้วยกันเลยสิ พวกเราไปทางเดียวกัน”

        “นั่นสิ ไปกับพวกเราดีกว่า อย่าคิดจะข้ามทะเลทรายคนเดียวเลย รอบก่อนพวกเราสามคนนอกจากเฮียตัวใหญ่ๆ ที่ใช้ขวานยักษ์นี่” เขาหมายถึงชายร่างหมี... “นั่นแหละ.... ไปกันสามคน ข้ามทะเลทรายไปปุ๊บ ตายกลางบึงอสรพิษเลยเพราะยาหมด ยิ่งคนเยอะเท่าไหร่ยิ่งดีเพราะสัตว์อสูรรายทางเยอะมาก นายไปด้วยกันเถอะ”

        “อื้ม” มิเชลตอบรับทันที มีคนนำทางให้ แค่เดินตามไปเรื่อยๆ ไม่ต้องดูแผนที่เองนั้นดีกว่าเป็นไหนๆ

        “ฉันอาชีพนักรบเทพ ชื่อแพนด้าน้อย” พอชายร่างหมีแนะนำตัวเสร็จ มิเชลสูดลมกลั้นหัวเราะแทบขาดใจ

        “ฮ่าๆๆๆ พวกเราเรียกเฮียเค้าว่าพี่หมีน่ะ ให้เรียกแพนด้าน้อยทำใจไม่ได้จริงๆ ส่วนฉันชื่อจั๊งค์ อาชีพโจร” ชายผมฟ้าผู้พกมีดสั้นข้างเอวแนะนำตัว

        “ฉันเป็นนักบวชขาว ชื่อเรวิน” ชายร่างเล็กเพิ่งพูดขึ้นเป็นประโยคแรก แล้วผายมือไปยังคนตัวใหญ่กว่าข้างๆ “นี่เป็นน้องชาย ชื่อเรเชล”

        “สวัสดีครับ ผมเป็นนักดาบ” เขาตัวสูงกว่ามิเชล แต่ยังไม่เท่าแพนด้าน้อย เรเชลมีไหล่กว้าง ร่างบึกบึน แต่ดูขี้อายที่สุดในกลุ่ม

        “ชื่อมิเชล เป็น...นักมายาธาตุ” เธอกดอ่านข้อมูลตัวเองจากกำไล ที่จริงมิเชลเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนเป็นนักเวท

        “นักมายาธาตุ? อาชีพอะไรน่ะ” จั๊งค์กระตุกคิ้ว

        “นักมายาธาตุก็เป็นนักเวทน่ะ”
     
        “เวทสายโจมตีหรือเวทสายฟื้นพลัง” เรวิน นักบวชขาวประจำกลุ่มถามเสียงห้วน

        “ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยใช้เวทเท่าไหร่อยู่แล้ว” มิเชลตอบ ที่จริงเธอยังไม่เห็นข้อดีของมันนอกจากตอนย่างเนื้อลามะทำอาหารเลยสักนิด ยิ่งในถ้ำภูเขาไฟเรียกว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

        “นักเวทที่ไม่ใช้เวท.... บอกแล้วไงว่าเจ้านี่ดูอ่อนแอ” นักบวชขาวโพล่งออกมาตรงๆ ไม่คิดเกรงใจมิเชล

        “พี่อย่าพูดดังขนาดนั้นสิ” เรเชลรีบปราม สีหน้าลุกลี้ลุกลน

        “เอาน่า หยวนๆหน่อยสิเรวิน จะเก่งไม่เก่ง แต่ถ้าเลเวลไม่ต่ำมาก ยืนอยู่ข้างหลังก็ใช้ยาฟื้นพลังช่วยพวกเราได้เหมือนกัน” โจรหนุ่มเสริม

        “ทั้งๆ ที่มีนักบวชอย่างฉันอยู่แล้วน่ะนะ มาเป็นภาระให้ฉันต้องคอยฟื้นพลังเพิ่มอีกคนมากกว่า”

        “ถ้าเขาไม่เก่ง จะกลายมาเป็นภาระล่ะก็ ค่อยแยกทางกันตั้งแต่ต้นทะเลทรายเลยตกลงไหม” แพนด้าน้อยช่วยสรุป “พวกนายบอกว่าโหดมาก ขนาดว่ามีฉันเพิ่มมาอีกคนยังไม่น่ามีโอกาสรอดเลยนี่ ถ้าแบบนั้นก็ลองเพิ่มเป็นห้าคนดูก่อน ถ้าเขาไม่ไหวเราก็รีบแยกทางกันแต่เนิ่นๆ”

        “ก็ได้” เรวินยอมเพราะข้อตกลงของชายร่างหมีฟังขึ้น โจรหนุ่มเห็นด้วยแต่แรกอยู่แล้ว ส่วนเรเชลเป็นพวกตามเสียงส่วนมาก มิเชลจึงได้เริ่มร่วมกลุ่มกับสี่คนนี้

        สัตว์อสูรบนเส้นทางไปทะเลทรายกะทะร้อนเป็นม้าป่าสีดำ มันไม่โจมตีก่อนเพราะเลเวลทุกคนสูงกว่า มิเชลคิดจะลุย แต่ถูกรั้งเอาไว้ พวกเขาอยากตุนน้ำยาฟื้นพลังและอยู่ในสภาพพร้อมรบให้มากที่สุด

        จั๊งค์กับแพนด้าน้อยเริ่มตีซี้ชวนเธอคุยเล่น เรเชลเองก็ออกอาการอยากร่วมวงสนทนาแต่เกรงใจเรวิน พี่ชายตนดันตั้งตัวเป็นศัตรูแต่แรก เลยจำใจต้องเงียบไปด้วย ทิวทัศน์ตามทางนั้นเหมือนกับที่ผ่านๆ มา ทุ่งหญ้าสีเขียวกว้าง ต้นไม้ขนาดกลางขึ้นเป็นหย่อมกระจายทั่วบริเวณ ขนาดมิเชลผู้ชื่นชอบการเที่ยวชมบรรยากาศยังเบื่อจนเลิกดูมันไปเอง และสนใจกับเพื่อนใหม่มากกว่า

        “นายเพิ่งเริ่มเล่นเกมได้สองวันหรือเนี่ย เก็บเลเวลเร็วชะมัด” จั๊งค์เอ่ย “พวกฉัน เรวิน เรเชล สามคนเล่นตั้งแต่วันแรกที่เกมเปิดเลยแหละ ก็ก่อนหน้านายสองอาทิตย์ แล้วก็ไปเจอพี่หมีเอาเมื่อวาน เพราะเดินตะโกนรับสมัครคนไปลุยทะเลทรายนรกร้อน”

        “ทะเลทรายกะทะร้อน” แพนด้าน้อยแก้

        “สำหรับฉัน ขอเรียกมันแบบนั้นแหละ ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านั้นแล้ว คนสร้างเกมนี้โรคจิตแหงๆ มีแต่พื้นที่โหดๆ ยิ่งไอ้ภารกิจสุดท้ายที่ให้เข้าถ้ำภูเขาไฟ มันภารกิจผู้เล่นใหม่ตรงไหนฟะ”

        “ทะเลทรายนั่นสัตว์อสูรเก่งขนาดนั้นเลย?” เธอถาม

        “จริงๆ ถ้าตัวต่อตัว ก็พอจัดการได้อยู่ แต่พี่ท่านเล่นมาเป็นฝูง มาถึงก็รุมเอาๆ เรียกว่าหมดแรงตายก่อน แถมพอไปถึงบึงอสรพิษจะโดนมันกัดไม่ได้เลย รอบที่แล้วพวกเราติดพิษตายกันหมดทั้งกลุ่ม แต่คราวนี้ให้เรวินเรียนเวทแก้พิษมาแล้ว น่าจะดีกว่าเดิมมั้ง”

        สักพักจั๊งค์ก็ชวนพูดต่อถึงหุ่นทรวดทรงองเอวของเจสสิก้า แพนด้าน้อยหน้าแดงนิดหน่อย โจรหนุ่มเลยแสร้งกระซิบเสียงดัง จงใจให้ได้ยินทั่วกันว่าเฮียหมีแอบปลื้มเจ้าหล่อนอยู่ ชายร่างยักษ์รีบแก้ตัวพัลวัน มิเชลกับเรเชลยิ้มขำ ขนาดเรวินยังเผลอหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

        ทั้งห้าเดินทางเรื่อยๆ สบายๆ จนถึงบริเวณที่ต้นหญ้ากลายเป็นพื้นทราย เรวินมองมิเชลด้วยสายตาดุดัน หากเธอทำได้ไม่ดีพอก็ต้องแยกทางกันตรงนี้ จั๊งค์กับแพนด้าน้อยส่ายหัว พวกเขานึกว่านักบวชหนุ่มจะลืม แต่ยังอุตส่าห์จำสลักไว้ในหัวแน่น ทุกคนชักอาวุธ และก้าวเข้าไปในอาณาเขตของทะเลทรายกะทะร้อน

        สำหรับมิเชล เธอยังคงใช้มีดของมือใหม่ ทุกคนหันมามองด้วยสายตาพิลึก เพราะร่วมกลุ่มกันแล้วจึงมองเห็นจากหน้าต่างกลุ่มว่าเลเวลไม่ได้น้อย แต่ทำไมถึงใช้อาวุธชิ้นแรกสุดอยู่ ความรู้สึกของจั๊งค์เริ่มเอนเอียงไปทางเรวิน กระทั่งแพนด้าน้อยยังเลิกชวนเด็กสาวคุยเล่นโดยทันที

        ทั้งสี่ตีความที่มิเชลเคยบอกเรื่องไม่ค่อยได้ใช้เวทเป็นอีกทาง พวกเขาคิดว่าเธอคงเกาะดูดค่าประสบการณ์โดยไปร่วมกลุ่มกับใครสักคน เลเวลจึงสูงเร็วมากแต่ยังถืออาวุธชิ้นแรกอยู่ วิธีนี้เป็นที่น่ารังเกียจและถูกดูแคลนจากผู้ตั้งใจเล่นเกม

        “นายเป็นพวกสู้แถวหน้าหรือแถวหลัง?” จั๊งค์ถามเสียงเรียบ

        “แถว?” ที่ผ่านมาสู้กับโทนี่แค่สองคน มิเชลจึงไม่เข้าใจคำว่าแถวหน้าแถวหลัง

        “หมายถึงสู้อยู่แนวหน้า หรือเป็นกองหลัง จะได้จัดตำแหน่งยืนได้ถูก” เขาอธิบายย้ำ

        “อ๋อ!” มิเชลเริ่มเข้าใจ ถ้าแบบนั้นเธอเป็นแนวหน้า เพราะโทนี่เป็นกองหลัง

        “นักเวทก็ต้องยืนแถวหลังสิ... แต่ไม่มีไม้เท้า จะร่ายเวทยังไง เฮ้อ...” เรวินแขวะ ตั้งใจเน้นเพื่อย้ำจั๊งค์กับแพนด้าน้อยที่ไม่เชื่อตน และฝืนพาคนใหม่มาด้วย

        “แนวหน้า อยู่แนวหน้าตะหาก!” เธอค้าน

        “อืมเนอะ... ก็ใช้มีดนี่นา แบบนั้นจะไปร่ายเวทได้ยังไง จริงไหม” นักบวชขาวประชด “หลบให้ไวๆ ละกัน อย่าเกะกะพวกแนวหน้าอีกสามคน ให้ฉันไม่ต้องเหนื่อยรักษาเกินเหตุ”

        “ได้เลย!” มิเชลฟังแค่คำว่าหลบแล้วรีบตอบ ถ้าเป็นเรื่องหลบ เธอมั่นใจว่าไม่แพ้ใคร

        “ปกติฉันจะนำหน้า” แพนด้าน้อยพูดขึ้น เขายังรักษะระดับเสียงให้เป็นมิตรได้เสมอแม้เริ่มนึกไม่ชอบใจเธอ “เรเชลกับจั๊งค์ช่วยดูแลซ้ายขวา เรวินตามหลัง นายถนัดอยู่ตรงไหนล่ะ”

        “เจ้าหมอนี่เลือกขอตรงกลางแหงๆ เพราะเป็นที่ปลอดภัยที่สุด” เขายังคงไม่เลิกประชด

        “อ้าว แบบนั้นจะเป็นแนวหน้าได้ไง แล้วตรงกลางก็ไม่จำเป็นต้องหลบด้วยสิ”

        เรวินเงียบลงเอง พอมาทวนนึกดูอีกรอบ ไอ้เจ้านักเวทถือมีดผู้เริ่มต้นตรงหน้าไม่ได้เอาคำประชดประชัดเขาใส่หัวเลยสักนิด สงสัยจะกลวงไปถึงกะโหลก

        “นายเลือกยืนตามใจชอบ อย่าเกะกะพวกเราละกัน” นักบวชขาวพูดสั้นๆ “ถ้าทำประโยชน์ให้ไม่ได้ก็แยกทางกัน พวกเราไม่ไปส่งด้วย”

        “พรืด....” จั๊งค์หลุดเสียงหัวเราะในที่สุด “ซื่อๆ เหมือนกันแบบนี้ เรเชลได้เพื่อนแล้วสิเนี่ย ถ้ายังไม่โดนไล่กลับเมืองก่อนน่ะนะ”

        พอให้มิเชลเลือกยืนตามใจ เธอดันเดินนำลิ่ว จั๊งค์กับแพนด้าน้อยกลัวเกิดอันตรายเลยรีบตามไป ส่วนเรวิน เรเชลจำใจต้องออกแรงวิ่งไล่ด้วย เด็กสาวโถมเข้าใส่สัตว์อสูรตัวแรกที่เห็นโดยไม่มีใครทัดทานได้ทัน

        ที่จริงหากอยากข้ามทะเลทรายอย่างปลอดภัยควรเลี่ยงการต่อสู้ให้มาก ออกแรงแค่ยามจำเป็น น้ำยาฟื้นพลังจะได้เหลือให้พอไปถึงบ้านกระท่อมน้อย ทว่า มิเชลเริ่มติดใจรสชาติการลุยกับสัตว์อสูรเสียแล้ว

        เด็กสาวสู้กับกระทิงร้อนที่มีไฟลุกอยู่บนเขาสองข้าง เธอโยกหลบอย่างชำนาญ และตอดสร้างบาดแผลบนตัวมัน พลางตะโกนให้คนอื่นช่วยลงมือด้วย เมื่อไม่มีทางเลือก จั๊งค์ แพนด้าน้อย กับเรเชลจึงต้องร่วมผสมโรง ส่วนเรวินคอยดูค่าเลือดทั้งกลุ่มอยู่ห่างๆ

        พอเห็นว่ารับมือกระทิงร้อนตัวแรกไหว เธอจึงไปลากตัวที่สองเพิ่มอีก จั๊งค์ทำหน้าเหวอแต่ไม่มีเวลาโวยวาย สุดท้ายมิเชลก็พาพวกมันมาทั้งหมดสี่ตัว แพนด้าน้อยคิ้วกระตุก ส่วนเรวินก่นด่าเด็กสาวอยู่ในใจ ในมือก็ถือน้ำยาฟื้นพลังเตรียมไว้เป็นตัวช่วย เพราะขืนเกิดบาดเจ็บพร้อมกันหมด คงร่ายเวทไม่ทัน

        มิเชลทำหน้าที่ของตนได้ดี เธอคอยสะกัดการโจมตีของกระทิงร้อนให้ทุกคน แม้ไม่ใช่คนลดค่าเลือดศัตรูเพราะมีดสั้นมือใหม่มีพลังน้อย แต่พวกเขาสามารถปิดฉากสู้โดยไม่ต้องการฟื้นพลังจากเรวินเลย จั๊งค์กับแพนด้าน้อยมองสมาชิกใหม่อึ้งๆ ส่วนเรเชลทำตาลอย บ่งบอกว่าปลื้มสุดฤทธิ์

        “นายทำพวกเราแทบหัวใจวาย จะทำอะไรแบบนี้ก็รีบบอกก่อนหน่อย” จั๊งค์บ่น แต่น้ำเสียงของเขาแฝงความยินดีอยู่

        “ผ่านเกณฑ์แบบไม่ต้องมีข้อกังขาล่ะ” แพนด้าน้อยเสริม หันหน้าไปทางนักบวชขาว

        “อืม ถ้าแบบนี้ล่ะก็โอเค ยินดีต้อนรับ” เรวินเปลี่ยนท่าทีทันควัน เขาส่งมือให้จับ

        มิเชลเขย่ามือกับเรวิน เด็กสาวรู้สึกว่านักบวชขาวเป็นมิตรมากขึ้น แพนด้าน้อยหัวเราะร่วน ตบหลังของทั้งคู่ด้วยความดีใจ และพอพี่ชายเห็นดีเห็นงามแล้ว เรเชลจึงกล้าชวนเธอคุยบ้าง

        เธอพบว่าเพื่อนกลุ่มนี้มีความสามารถสูงกว่าโทนี่ลิบลับ แพนด้าน้อยมีกำลังแขนหนักหน่วง ขวานของเขาสับสัตว์อสูรได้สองตัวพร้อมกัน เรเชลแม้พลังโจมตีต่ำกว่า แต่ก็ยกดาบฟันได้ไวและรัว ส่วนจั๊งค์สามารถหาจุดตายอย่างแม่นยำ ทว่า... มิเชลยังคงครองแชมป์จ้าวความเร็วอยู่

        “เก่งขนาดนี้ทำไมนายไม่หาอาวุธใช้ดีๆ... อ้อ ลืมไปเป็นนักเวทนี่นา ต้องไม้เท้าสินะ” จั๊งค์ทัก

        “เลือกอาชีพผิดชัดๆ เลย” แพนด้าน้อยเสริม
     
        “ตอนแรกจะซื้อไม้เท้าแต่เงินไม่พอ” เธอเล่า “ตอนออกจากเมืองเงินพอแล้วก็ลืมซื้อ”

        “จะลุยทะเลทรายนรกทั้งทีไม่เตรียมตัวเลยหรือไง ที่จริงตอนเปลี่ยนอาชีพเขาต้องให้อาวุธประจำอาชีพมาสิ อย่างฉันก็ได้มีดคู่มา แต่ขายทิ้งไปแล้ว ซื้อไอ้นี่ใช้แทน” โจรหนุ่มโชว์มีดสั้นโค้งสองด้ามให้ดู

        “ได้แต่ผ้าคลุมที่ใส่ตอนนี้กับอาหารสำเร็จรูป แล้วก็....” เธอเริ่มนึก “มีกิ่งไม้เลเวล 1 กับหีบสีม่วง”

        “นั่นแหละ เปิดหีบดูเลย เผื่อมีอาวุธอยู่ข้างใน” จั๊งค์ชี้ไปยังเป้บนหลังเธอ

        “มันเปิดไม่ออก ลองแล้ว”

        “แล้วกิ่งไม้นั่น ไม่คิดว่าเป็นกุญแจไว้ไขเรอะ”

        มิเชลสะดุ้งพอฟังคำพูดจั๊งค์จบ เธอรีบรื้อเอาหีบออกมาวาง แล้วหยิบกิ่งไม้ที่มีผลึกแก้วใสสอดลงในรูเพื่อไข... ผลปรากฏว่าไม่ใช่
        
        “หรือว่ากิ่งไม้นี่คือไม้เท้านักเวท” เรวินหยิบขึ้นมาสำรวจ “ลองร่ายเวทอะไรก็ได้ดู”

        “แต่มันมีพลังโจมตีกายภาพ 0 พลังโจมตีเวทมนตร์ก็ 0...”

        “ลองก่อน” เรวินขึ้นเสียง เธอเลยยอมทำตาม

        “จุดไฟ” มิเชลชูกิ่งไม้ขึ้น

        สิ้นเสียง ไฟกองใหญ่ก็ลุกพรื่บกลางอากาแล้วดับทันทีเพราะไม่ได้ล็อคเป้าหมาย เวทของเด็กสาวแรงขึ้นจริงๆ ทั้งที่พลังเวทมนตร์แค่0 เรวินให้ข้อสังเกตว่า คงเพราะทักษะมิเชลไม่ใช่ท่าโจมตี เธอเก็บมีดลงกระเป๋า เปลี่ยนไปถือกิ่งไม้แทนด้วยอาการร้อนใจ อยากลองวิชา

        “อะโห ถ้ามีเวทดีๆ แบบนี้ทำไมไม่ใช่ตั้งแต่แรก” แพนด้าน้อยตื่นเต้น

        “มันไม่ใช่เวทโจมตี แค่ทำให้เป้าหมายมีสถานะลุกไหม้เท่านั้น” เธออธิบาย “ปกติเป็นไฟกองเล็กๆ แต่กิ่งไม้ทำให้อาณาเขตที่ไฟลุกไหม้กว้างขึ้น”

        “แล้วเวทโจทตีอันอื่นล่ะครับ ลองใช้ดูเลย” เรเชลทำตาวาว

        “ไม่มีหรอกเวทโจมตี... มีแค่สาดน้ำทำให้เปียก จุดไฟทำให้ติดสถานะลุกไหม้ กับทำให้ดอกไม้บาน อันหลังสุดยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่องการใช้งาน....”

        “สุดยอดแย่เลยนะนั่น” จั๊งค์หัวเราะ “คิดยังไงไปเลือกอาชีพนี้เนี่ย”

        “มันแย่ขนาดนั้นเลย?” เธอถาม ท่าทางเป็นกังวล

        “ฝีมืออย่างนายเลือกอาชีพอะไรก็คงเก่งได้เหมือนกันหมดแหละ แค่เสียดายแทนนิดหน่อย” โจรหนุ่มตอบ

        “ไม่แย่หรอกครับ ตอนแรกพี่เรวินก็มีแค่เวทฟื้นพลัง กับเวทแก้ชาไม่ใช่หรือครับ เดี๋ยวก็มีท่าใหม่ๆ มาเอง”

        “เทียบกับเรวินไม่ได้หรอกมั้ง ขอแค่หมอนั่นแค่ฟื้นพลังได้ จะเรียนเวทอะไรเพิ่มมาฉันก็ไม่สนแล้ว” จั๊งค์เปรย

        “เวทติดพิษก็ไม่สนด้วยงั้นสินะ?” นักบวชขาวแสยะยิ้ม

        “เอ่อ... ขอโทษคร้าบ คุณเรวิน..... กระผมเห็นคุณค่าทุกเวทของคุณท่านเรวินเท่าเทียม... ไม่สิ... สูงส่งเท่าเทียมกันหมดจริงๆ นะคร้าบบบบ...”
        
        ………………………………………




        มิเชลยังคงหาเรื่องกับสัตว์อสูรตลอดเส้นทาง แต่ไม่มีใครบ่น เพราะเธอช่วยสะกัดศัตรู ป้องกันการเสียค่าเลือดของทั้งกลุ่มได้ ทั้งสี่ต่างพอใจในค่าประสบการณ์ที่ไหลมาอย่างรวดเร็ว กิ่งไม้อันเป็นอาวุธใหม่ก็สามารถเพิ่มเลเวลเองอีกด้วย และสงสัยว่าเด็กสาวหนักใช้งานแบบทุบตี มันจึงไปเพิ่มพลังโจมตีกายภาพให้มากกว่าเวทมนตร์

        พวกเขาลุยต่อจนถึงบริเวณที่เริ่มส่งกลิ่นน้ำแบบปะแล่มๆ ออกมา โจรหนุ่มกับสองพี่น้องกำอาวุธหน้าตาเครียดขึ้นเพราะจำได้ว่านั่นเป็นสัญญาณของบึงอสรพิษ แพนด้าน้อยเองก็พลอยตั้งท่าเตรียมพร้อมไปด้วย มิเชลเลยต้องเอาบ้าง แต่อย่างไร ในหัวเธอบอกว่ากิ่งไม้มันช่างไม่เท่ซะจริงๆ

        “มีเรื่องอย่างนึงที่สงสัยนานแล้ว ถ้ารู้ว่าสู้ลำบากทำไมไม่อ้อมไปล่ะ” มิเชลถามขึ้นในที่สุด “ตอนแรกนึกว่าเพราะกลัวหลงทาง แต่เดินอ้อมโอเอซิสพิษ เว้นระยะห่างนิดหน่อย ก็ไม่น่าหลง”

        “พวกเราไปถึงบ้านกระท่อมน้อยแล้วด้วยการเดินเลี่ยงบึงอสรพิษ ที่จริงพวกเราก็ลืมบอกพี่หมีไป มัวแต่นึกว่าต้องกลับมาบึงอสรพิษอีกรอบ” พอจั๊งค์พูดจบ แพนด้าน้อยทำตาโต “บ้านกระท่อมน้อยให้ภารกิจมา ต้องไปหาดอกไม้สีดำคนละดอกจากบึงอสรพิษ”

        “ดอกไม้สีดำอะไรก็ได้เหรอ?” เธอถามย้ำ

        “NPC ที่ให้ภารกิจมาเขาบอกว่าดอกไม้สีดำมีเพียงประเภทเดียวไม่มีทางหยิบผิด” จั๊งค์ตอบ

        “ก็ดี ไม่ต้องย้อนไปย้อนมาบ่อยๆ รู้ล่วงหน้าไปเลยว่าที่ๆ จะไป เขาอยากขออะไร” แพนด้าน้อยตบหลังจั๊งค์แรงๆ

        มิเชลซดน้ำหยดสุดท้ายจากกระบอกหมด จากนั้นทั้งทีมก็มุ่งหน้าไปยังโอเอซิสในท่าเตรียมพร้อม

        งูสองหัวเป็นสัตว์อสูรตัวแรกที่เจอ พวกมันมีความยาวประมาณหนึ่งเมตร ขนาดลำตัวเท่าแขน ด้านความเร็วยังตามมิเชลไม่ทันแต่ก็ไวกว่าทุกคนในทีม เด็กสาวไม่แปลกใจถ้าพวกจั๊งกับเรเชลและเรวินต้องถูกหามกลับเมืองรอบก่อน แต่คราวนี้เธออยู่ด้วย ทั้งสี่คนจะต้องไปถึงดอกไม้สีดำให้จงได้

        แพนด้าน้อยบุกตลุยเข้าคนแรกไม่เกรงกลัวต่อพิษ เขาตวัดขวานเล่มโตกวาดฝูงงูเบื้องหน้า เรเชลกับจั๊งค์คอยจัดการอสรพิษร้ายด้านข้าง ส่วนทัพหน้าอย่างมิเชล คราวนี้กลับยืนระวังหลังให้นักบวชประจำกลุ่ม เธอพยายามปัดป้องให้เพื่อนผู้เฝ้าระวังปีกซ้ายปีกขวาของทีมทั้งสองไปด้วย แต่ชายร่างหมียืนห่างจนเจ้าหล่อนหมดปัญญาช่วย เรวินเลยต้องท่องมนตร์ฟื้นพลังเผื่อเอาไว้ตลอด

        สภาพโดยรอบเฉอะแฉะ มีน้ำขังและบึงน้อยใหญ่มากมาย กลุ่มกอไม้ขึ้นรกชัฏ แสงแดดส่องผ่านรำไร นอกจากเหล่าสัตว์อสูรจะใช้หลบซุ่มโจมตีแล้ว ยังเป็นที่เพาะเชื้อรากับเห็ดสีประหลาดๆ อีกต่างหาก กลิ่นขมปนหวานฉุนแรงเจือแฝงอยู่ในอากาศ ยิ่งดมยิ่งมึน เกิดอาการอยากอาเจียน สักพัก...เรเชลก็อ้วกออกมาคนแรก เรวินนักบวชขาวประจำทีมรุ้จักอาการนี้ เขารีบร่ายเวทรักษาพิษให้ทุกคนทันที และตามด้วยมนตร์ป้องกันพิษปกคลุมทั้งกลุ่ม

        อาการวิงเวียนหายไปทันควัน มิเชลจับอาวุธได้มั่นคงกว่าเดิม ส่วนนักดาบหนุ่มกลั้วปากล้างอ้วกด้วยน้ำดื่มก่อนรุดหน้าต่อ พวกเขายิ่งต้องรีบบุกตลุยไปข้างหน้าเร็วขึ้น เพราะเรวินบอกว่าเวทป้องกันพิษสามารถใช้ได้ไม่นาน และดูดค่าเวทมนตร์ตลอดเวลา ชายร่างหมีตวัดขวานเล่มโต เร่งเปิดทางให้พรรคพวก

        “ไม่จบไม่สิ้นเลยเจ้าพวกนี้... พี่หมีก็สุดยอดเลยจริงๆ” จั๊งค์ร้องชม

        “ไม่สุดยอดหรอก ถ้าเทียบกับตัวประหลาดที่พวกเราพ่วงมาด้วยน่ะนะ” เขาหมายถึง...มิเชล “นายมีทักษะเพิ่มความเร็วอะไรที่แต๊บไว้ไม่ยอมบอกรึไงกัน ไวเป็นลิงเลย ถ้าไม่ใช่นักเวท ถืออาวุธแรงๆ ได้คงโหดน่าดู”

        “แหะ” เธอยิ้มเขิน จากนั้นจึงโดนงูฉกหนึ่งที

        “พี่หมีอย่าเพิ่งไปชมมิเชลซี่ ตะกี้ก็โดนไปทีเพราะเรเชลประทับใจเกินเหตุ” โจรหนุ่มปราม “คำชมทั้งหมดเก็บเอาไว้ใช้ที่เมืองสำหรับเจ้าบ้านี่เหอะ”

        .......................................................



        ทั้งห้าตลุยจนผ่านช่วงดงเห็ดสีประหลาดๆ บริเวณนี้อากาศแห้งกว่าเพราะแสงแดดส่องถึงดี เรวินลองปลดเกราะป้องกันพิษออก พอทดลองสูดดมไม่พบกลิ่นหวานปนขมอีกจึงค่อยเบาใจ ทว่าอันตรายใหม่มาเยือน กอไม้บริเวณนี้เตี้ย มีดอกตูมสีแดงโต แต่ไอ้เจ้าดอกตูมที่ว่าจู่ๆ กลับเปิดอ้า เผยอให้เห็นเขี้ยวแหลมๆหลายร้อยซี่เตรียมงับ แพนด้าน้อยถอยหลังหลบได้ฉิวเฉียด เสียงขบลมดังฟังคล้ายคมมีดกระทบกัน ทว่า... จากนั้น... มันยกลำต้นขึ้นจากพื้น แล้วใช้รากวิ่งต่างขา... เรเชลขนลุกพอง เขาเกือบหนีคนแรกโดยลืมไปว่าค่าเลือดยังเต็มหลอด

        นอกจากมีฟันแหลมคมกับวิ่งเร็ว พวกมันยังยกรากยาวๆขึ้นรัดแขนขาได้อีก ทุกคนต้องช่วยกันตัดทิ้ง ขนาดมิเชลยังหลบไม่พ้นเพราะถูกล้อม เธอโดนมัดรวบพร้อมกับจั๊งค์ ดีว่าแพนด้าน้อยรีบมาปลดแอกให้ทันที ส่วนดาบของเรเชลถูกตรึงไว้ เขาพยายามกระชากสู้ ยื้อแย่งอาวุธคืนจากดอกไม้ปีศาจ

        ชายร่างหมีเป็นหนึ่งเดียวที่สะบัดหลุดจากการรัดของพวกมันได้ กำลังวังชาของแพนด้าน้อยมหาศาล เขาโถมตัวบุกฟันต้นเหตุ ต้องการฆ่าดอกไม้กินคนให้ตายไปมากที่สุด ส่วนเรวินพยายามทำตัวลีบอยู่กลางกลุ่มพร้อมร่ายมนตร์ฟื้นพลัง เขาต้องปลอดภัยไว้ก่อนช่วยคนอื่น ไม่งั้นจะกลายเป็นภาระแทน

        “บอกแล้วไงว่าเฮียหมีของเราสุดยอด!” จั๊งค์ชมอีกครั้ง

        พอแพนด้าน้อยล้มดอกไม้ปีศาจลงได้เกินครึ่ง มิเชล จั๊งค์ และเรเชลจึงเริ่มหายใจคล่อง พวกเขาลงมือช่วยกันจัดการตัวอื่นต่อจนหมด แต่แล้วหลังเสร็จกิจ จู่ๆ เด็กสาวก็ล้มตัวนอนแผ่...

        “พักกันสักนิดเถอะ” มิเชลพักเองโดยไม่รอคำตอบ ตั้งแต่ลุยกับกระทิงร้อน ก็เกือบสิบชั่วโมงแล้ว ขนาดท้องยังประท้วงหิว

        “ไม่ได้ แถวนี้ยังไม่ปลอดภัย” เรวินว่า “ไปต่อกันได้แล้ว”

        “เราเดินกันมาสิบกว่าชั่วโมงแล้วนะ...” เธอคร่ำครวญ พลางบวกจำนวนชั่วโมงเพิ่มเข้าไปเอง “ขอนั่งแป๊ปเดียว”

        “จะได้นั่งแป๊ปเดียวแน่นอนเพราะสัตว์อสูรที่นี่มันโหมบุกตลอด ลุกขึ้น” จั๊งค์ดุบ้าง

        “ก็ได้...”

        เธอหุบยิ้ม ไม่พูดไม่จา เริ่มงอแงอยู่ในใจ การเคลื่อนไหวฝืดลง มิเชลเลิกป้องกันซ้ายขวาให้จั๊งค์กับเรเชล เด็กสาวเดินนอยลากขาเอื่อยๆ เชื่องช้า ราวกับพยายามส่งภาษาร่างกายออกมาว่าเหนื่อยแล้ว แม้จะเคยสู้อย่างบ้าคลั่งตอนเจอราชาหมาป่า แต่นั่นเป็นแค่ช่วงเวลาประเดี๋ยวประด๋าว พอเทียบกับการลุยทะเลทราย ต่อด้วยโอเอซิสอสรพิษ แบบหลังโหดร้ายกว่าเยอะ

        เมื่อเข้าสู่เขตใหม่ ฮิปโปยักษ์ผุดขึ้นจากหนองน้ำสีม่วง มิเชลยังคงแสดงท่าเอื่อยเฉื่อยเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ โจรหนุ่มกับนักดาบสังเกตว่าตนโดนโจมตีมากขึ้น แต่ยามนั้นชุลมุนวุ่นวาย จึงไม่รู้ว่ามีการประท้วงเล็กๆ อยู่ คนงอแงเลยงอแงต่อ และจงใจปล่อยตัวเองถูกกัดบ้าง ทว่า... จู่ๆ สัตว์อสูรตัวหนึ่งได้พุ่งโหม่งมายังท้องเด็กสาวอย่างรุนแรง เธอกระเด็นทับเรวิน เขากำลังตั้งสมาธิฟื้นพลังให้แพนด้าน้อยที่ใกล้ตาย...

        ดีว่าโจรหนุ่มหันมาสังเกตเห็นจึงควักน้ำยาฟื้นพลังช่วยพี่หมีไว้ทัน แต่ก็โดนศัตรูที่จัดการค้างกัดเข้าไปเต็มๆ ก่อนนั้น... มิเชลช่วยระวังหลังให้เรวิน จั๊งค์ และเรเชล นักบวชประจำกลุ่มจึงแค่ดูแลแพนด้าน้อยคนเดียวพอ อุบัติเหตุนี้ ทั้งสี่เข้าใจว่าเธอแค่พลาด จึงไม่มีใครถือโทษ เด็กสาวกำความรู้สึกผิดไว้ แล้วระบายออกอย่างดุเดือดใส่ฝูงฮิปโปผู้โชคร้ายแทน...

        พวกเขาบุกตลุยจนเจอดอกตูมของดอกบัวสีดำ ณ ใจกลางโอเอซิส มันขึ้นอยู่บนโคลนตมที่มีฟองอากาศปุดๆ รอบข้างค่อนข้างเฉอะแฉะ มีดงไม้แหว่งๆ หน้าตาประหลาดขึ้นกระจาย แต่จริงๆ ทุกอย่างในบึงอสรพิษ ก็หน้าตาประหลาดมาตลอดทางทั้งนั้น

        “เก็บเลย” จั๊งค์ใจร้อน เตรียมลงมือตัด

        “เดี๋ยวสิครับ”​นักดาบหนุ่มแย้ง “NPC ภารกิจ เขาบอกว่าดอกไม้สีดำบานเบ่ง โชว์เกสร”

        “แต่ไม่เห็นจะมีดอกสีดำอะไรที่อื่นแล้วนี่ อันนี้แหละ เรเชลนายอย่าไปสนใจคำพูดพวกNPC มาก พวกนั้นแค่ถูกกำหนดให้พูดบทที่ฟังแล้วดูดี นายต้องฟังแต่เนื้อๆ พอ” จั๊งค์ยืนยันความคิดตน

        “ฉันเห็นด้วยกับเรเชล”​เรวินเอ่ยบ้าง “ขืนเอาไปผิด ต้องกลับมาใหม่รอบสามก็แย่สิ เช็คกันให้ดีๆ ก่อน”

        “ผมจำแม่นครับ ดอกไม้สีดำบานเบ่ง โชว์เกสร และไม่มีดอกไม้สีดำดอกอื่นแล้ว ผมว่าคำนี้คือประเด็นหลัก”

        “แปลว่า ถึงไปที่อื่นก็ไม่เจอดอกไม้สีดำแล้ว นอกจากต้องให้ดอกบัวพวกนี้บานเอง?”​แพนด้าน้อยถาม

        ทั้งสี่เถียงกันสักพัก ดีที่บริเวณนี้เงียบสงบ ใช้พักผ่อนได้เนื่องจากไร้ซึ่งสัตว์อสูรรบกวน คุยไปคุยมา วนเวียนอยู่แค่เรื่องทำให้ดอกบัวบาน จั๊งค์ขี้เกียจรอ จึงเสนอให้หาทางบังคับล็อคเอาท์ แล้วค่อยเข้าเกมพอเห็นว่าถึงเวลาสมควร แต่ชายร่างหมีส่ายหัว เพราะบังคับล็อคเอาท์แล้ว ยังไงจุดโผล่ครั้งแรกคือเมืองใกล้สุด ต้องเสียเวลาเดินทางกลับมาอีก แถมไม่รู้เมื่อไหร่มันจะบาน

        “มิเชล น่าจะทำให้มันบานได้นะ” เธอเปิดปากพูด หลังจากพวกเขาทุ่มถกกันไปนานมาก “มิเชลมีเวททำให้ดอกไม้บาน”

        เธอร่ายเวทใส่ดอกไม้ พวกมันบานขึ้นดังคาด เปิดออกให้เห็นเกสรสีเหลืองเรียงติดกัน สรุปว่าสิ่งที่เถียงกันมาตั้งนานเปลืองน้ำลายโดยเปล่าประโยชน์ แพนด้าน้อยกับจั๊งค์เลยต่อยเอวมิเชลเบาๆ ส่วนเรวินเอาไม้เท้าเคาะกะบาล ข้อหาทำเสียเวลา และก็ได้เวลาเก็บซะที

        ทีแรกมิเชลจะเก็บไปอันเดียว แต่ทุกคนบอกให้โกยไว้ก่อนไหวเผื่อใช้ทำกำไร พอเสร็จกิจ ต่างก็ช่วยกันฝ่าดงอสูรชุดเดิม รีบเร่งออกจากบึงอสรพิษโดยเร็ว ความเหนื่อยล้าขาออกไม่หนักหนาเท่าขาเข้า เพราะต่างหอบดอกบัวสีดำเต็มกระเป๋า โจรหนุ่มบ่นพึมพัมตาลอยว่าเงิน..​เงินมาแล้ว

    ………………………………………………

        พอทั้งกลุ่มกลับมาเจอบรรยากาศแห้งๆจากทะเลทรายกะทะร้อนเลยรู้สึกเหมือนได้พบสวรรค์ จั๊งค์ตั้งชื่อใหม่เป็นเกียรติมงคลแก่บึงอสรพิษว่าบึงโคตรนรกพิษพ่อพิษแม่ ทุกคนล้มลงนอนเกลือกกลิ้งดื่มน้ำหมดกระบอกและพักกินข้าว เมื่อเห็นมิเชลไม่มีเสบียง อีก 4 คนเลยแบ่งส่วนตัวเองทีละนิดละหน่อยให้

        “นายมันเหลือเชื่อ นอกจากไม่ซื้ออาวุธแล้วยังไม่ซื้อของกินไว้ด้วย” โจรหนุ่มเอามือลูบผมสีฟ้าตั้งๆ ของตนด้วยน้ำ ตั้งใจจัดทรง “ถึงเกมนี้ออกแบบให้คนเล่นอยู่ในสภาพขาดอาหารได้ทั้งวัน แต่นายไม่มีทางไปบ้านกระท่อมน้อยแล้วกลับไปทันกินมื้อดึกในวันเดียวกันแน่ๆ”

        “จริงๆก็ไม่คิดว่าจะใช้เวลาไปบ้านกระท่อมน้อยนานขนาดนั้น เพราะกำลังรอเพื่อน เขาจะเข้ามาประมาณทุ่มนึงเวลาจริง”

        “นัดกันไว้ที่ไหนล่ะ” แพนด้าน้อยถาม

        “เมืองตายาย”

        “เห... จะกลับไปทันเรอะ” จั๊งค์กดดูเวลาจากกำไล “นายต้องกลับไปในห้าชั่วโมง ขามาฟ้าสว่างจ้า ตอนนี้เห็นไหมว่ามืดจนกำลังจะเช้าใหม่อีกรอบแล้ว”

        “ทะเลทรายกลางคืน ผมเคยนึกว่าจะหนาวกว่านี้” เรเชลมองดาวบนทองฟ้า “ถ้าในเมืองเราเห็นดาวได้แบบนี้คงดีสิ”

        “บ้านพวกนายอยู่คอนโดสูง ยังมองไม่เห็นอีกเรอะ” จั๊งค์แทรก

        “คอนโดสูง แต่ถ้ามลพิษในเมืองบังอยู่ ก็ไม่ต่างกันหรอก” นักบวชขาวเริ่มเหม่อมองดาวเหมือนน้องชาย

        “พวกนายสามคนรู้จักกันนอกเกมด้วยสินะ” ชายร่างหมีถามขึ้น ที่จริงเขาพอเดาเรื่องนี้ได้ลางๆ อยู่แล้ว

        “ไม่เชิงหรอก ทุกๆ เกมพวกเราอยู่สมาคมเดียวกับจักรพรรดิหน้าตายไง พี่หมีคงพอเคยได้ยินชื่อ ฉันกับเรวินก็เล่นด้วยกันมาหลายเกม รู้จักกันนานอยู่ เรเชลก็เป็นน้องน้อยประจำสมาคม”

        “จั๊งค์ เรวิน.... ถึงว่าชื่อคุ้น พวกนายคือคนสนิทของจักรพรรดิหน้าตายนี่เอง” แพนด้าน้อยเริ่มสรุปเองในหัว “ถ้างั้นแปลว่าจักรพรรดิหน้าตายกำลังมาเล่นเกมนี้สิ”

        “ไม่รู้จะมารึเปล่าสิ ที่จริงพวกเราพยายามชวน แต่เฮียแกดันทำหน้าอี๋ใส่ เหมือนอคติอะไรกับเกมนี้ก็ไม่รู้” โจรหนุ่มเล่า ทำมือไม้ประกอบไปด้วย “ขืนมาเล่นช้ากว่านี้ เลเวลทิ้งห่างจากพวกเรามากๆ จะไม่ยอมให้มันเป็นหัวหน้าสมาคมจริงๆ ด้วย”

        “ไม่แน่หรอกมั้ง” เรวินเสริม “เกมนี้สนุกจะตาย คนติดเกมแบบนั้นทนนิ่งไม่เล่นไม่ได้หรอก”

        “ผมว่าพี่เขาเดี๋ยวก็มาแหละถ้าไปตื๊อกันไว้เยอะๆ” เรเชลเสนอความเห็นบ้าง

        “จักรพรรดิหน้าตาย ชื่อตลกดี เขาตั้งให้ตัวเองแบบนั้นหรือเนี่ย” เด็กหญิงฟังอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจถาม

        คำถามเธอหยุดบทสนทนาทั้งหมดไว้.... ทั้งสี่มองเธอแทบไม่เชื่อสายตา

        “นายเคยเล่นเกมออนไลน์อะไรมาบ้าง”

        มิเชลส่ายหัว.... เธอเพิ่งเคยเล่นเกมนี้ที่แรก

        “นายเคยอ่านนิตรยสารเกมหรือเปล่า” โจรหนุ่มเป็นฝ่ายเปิดคำถาม

        มิเชลส่ายหัว.... นิตรยสารพวกนั้นไม่เคยทำเวอร์ชั่นเบรลให้อ่านง่ายๆ

        “เว็บบอร์ดที่คุยกันเรื่องเกมล่ะ”

        มิเชลก็ส่ายหัวอีก....

        “แล้วไม่เคยได้ยินจากเพื่อนฝูงบ้างเลยเรอะ”

        มิเชลส่ายหัวครั้งที่สี่ เพื่อนที่โรงเรียนเด็กตาบอดของเธอไม่เล่นเกม

    ....เกมสำหรับคนตาบอดผลิตมาน้อยมาก ขนาดพาราเรลออนไลน์ยังถูกจั่วหัวว่า ผู้พิการประสาทตาและหูหากเกิดอาการมึนศีรษะให้รีบล็อคเอาท์ แล้วเว้นช่วงเป็นเวลา 24ชั่วโมงก่อนเข้าเกมอีกครั้ง เหตุนี้พ่อแม่ทั่วไปจึงไม่เคยคิดให้ลูกตนลองเล่นเลย

        “จักรพรรดิหน้าตายก็คือ....เอ่อ... หัวหน้าสมาคมคนนึงที่เล่นมาหลายเกม แล้วก็เป็นเพื่อนของฉันกับจั๊งค์” เรวินพยายามหาคำมาใช้อธิบาย

        “คำจัดกัดความแบบนั้น หลายคนก็เป็นจักรพรรดิหน้าตายได้แล้ว....” จั๊งค์บ่นเพื่อนตน “มันเป็นคนที่เก่งมากทั้งการจัดการ วางแผนระบบสมาคม แถมฝีมือการเล่นเกมสูง ไปเกมไหนๆ มันก็เก่งกลายเป็นผู้เล่นระดับต้นๆ ไปซะหมด เค้าเลยเรียกว่าจักรพรรดิ.... เพียงแต่หมอนี่มันขี้เก็ก ชอบทำหน้าตาย หรือไม่ก็เลือกตัวละครที่มีหน้าเก๊กหล่อ เลยได้ฉายาหน้าตายเติมเข้าไปด้วย”

        “พี่ชาร์ลีเขาเปล่าเก๊กนะ” เรเชลพยายามแก้ตัวแทน “ผมว่ามันเป็นธรรมชาติของเขาไม่ได้ตั้งใจมากกว่า”

        “เออรู้แล้วน่า ฉันก็แกล้งมันเล่นไปเรื่อยแหละ” จั๊งค์ขยี้หัวเรเชลที่ตัวสูงกว่า ดูไม่ค่อยเข้ากันแปลกๆ “ถ้าพี่หมีกับมิเชลยังไม่มีสมาคมที่คิดจะเข้าล่ะก็ รอจักรพรรดิหน้าตายมาเมื่อไหร่ พวกฉันจะไปชวนเข้าสมาคมนะ ทั้งคู่ฝีมือดีไม่มีใครค้านอยู่แล้ว”

        “ไม่แน่ใจเท่าไหร่ ที่จริงฉันไม่ชอบเข้าสมาคม มันเป็นระบบน่าเบื่อ ชอบจับกลุ่มเล็กๆ แบบนี้ลุยมากกว่า” แพนด้าน้อยตอบตรงๆ

        “ก็อยาก แต่มีเพื่อนอีกคน ถ้าเขาไม่ได้เข้าด้วยก็คงไม่เอา” เธอนึกถึงโทนี่

        “แล้วเพื่อนเก่งหรือเปล่า”

        “ไม่เก่ง โทนี่ห่วยมาก แต่... ถ้าไม่ใช่เรื่องลุยเขาก็เก่งกว่า โทนี่เป็นจักรพรรดิความจำ…”

        ............................................



        กลุ่มมิเชลเดินข้ามทะเลทรายถึงบ้านกระท่อมน้อยและรับส่งภารกิจสำเร็จ ที่นั่นมีตาแก่คนหนึ่งร้องขอดอกไม้สีดำไว้บดเป็นยาเพื่อพยุงชีวิตลูกชาย โรคของเด็กคนนั้นไม่มีทางรักษา ได้แต่ใช้ยื้อลมหายใจไปเรื่อยๆ ชายชราให้ผ้าคลุมหนังมังกร คุณสมบัติทนไฟ 100% มาคนละตัวเป็นค่าตอบแทน

        พวกเขาคงยากจนมาก เพราะตัวบ้านทำจากฟางเป็นหลัก มีรั้วเป็นไม้ไผ่ปักโดยรอบ เฟอร์นิเจอร์ข้างในมีแค่เสื่อปูนอนแข็งๆ กับครกบดยา เด็กชายผู้ป่วยหลับอยู่ใต้ผ้าห่มสาน หัวหนุนข้างบนบนหมอนฝ้ายแบนๆ ลมหายใจแผ่วเบา มิเชลแสดงอาการนึกสงสาร แต่ถูกขัดโดยแพนด้าน้อย ชายร่างหมีเตือนว่าทั้งหมดเป็นแค่โปรแกรมคอมพิวเตอร์กำลังเล่นละครให้ดู

        “มิเชล....อยู่ไหน”

        พลันเสียงโทนี่ดังแทรกขึ้นมาในหัว มิเชลเข้าใจว่าเป็นวิธีสื่อสารในเกมอย่างหนึ่ง แต่เธอตอบไม่เป็น... เลยขอคำแนะนำจากกลุ่มเพื่อนใหม่ พวกเขาบอกให้เปิดดูจากกำไลแล้วพูดใส่

        “อยู่บ้านกระท่อมน้อย... ขอโทษ... ทีแรกนึกว่าจะกลับไปเมืองตายายทัน แต่ออกมาไกลมาก คงถึงเอาตอนเช้าโน่นเลย”

        “งั้นฉันหาอะไรทำไปก่อนละกัน ถ้าไม่เจอก็เรียกผ่านกำไลเอา เรียกเป็นแล้วใช่ไหมล่ะ....”

        “เป็นแล้ว” เธอตัดการติดต่อ

        “เพื่อนมาแล้วคงต้องรีบกลับสินะ” แพนด้าน้อยทัก “คราวนี้เราเดินอ้อมบึงนั่น ถ้าพยายามเลี่ยงการต่อสู้คงไปถึงในหกชั่วโมง”

        ทั้งกลุ่มให้เรวินเติมพลังเต็มเรียบร้อยแล้วฝ่าทะเลทรายกลับ พวกเขาคอยเลี่ยงสัตว์อสูรตามทางแต่มักหนีไม่พ้นเพราะมาหลายคน สุดท้ายเลยต้องหันกลับไปสู้อยู่ดี และกว่าจะถึงเมืองตายายก็แทบนอนหมดสภาพที่หน้าประตูเมือง มิเชลไล่แลกบันทึกชื่อเพื่อนทั้งสี่ลงสมุดก่อนโบกมือลา

    ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ มิเชลกลับมายืนอยู่ในเมืองตายายอีกครั้ง เท้าของเด็กสาวเดินย่ำบนพื้นขัดเงาสะอาดตา รอบเมืองมีโต๊ะกับม้านั่งหินอ่อนว่างๆเกลื่อนกลาด แต่ใครบางคน.... ดันเลือกไปงีบกลางถนนแถวๆ บริเวณน้ำพุเฉย เขากำลังนอนท่าคอหักหลังหักพิงเสา ดูแล้วเมื่อยแทน

    “โทนี่...” มิเชลเขย่าตัวปลุก

    เด็กชายเอามือนวดคอ หน้าตาสลึมสลือดูทรมาณ เหมือนกำลังปวดเมื่อยจากการนอนผิดท่า และยังทำหน้างงอยู่พักใหญ่ๆ เธอรู้สึกเซ็งเล็กน้อย ไม่อยากคิดเลยว่าตั้งแต่เข้าเกมมา เขาก็นั่งหลับอยู่ตรงนี้ตลอด นัยแรกนั้น ให้มอง ตนคงเป็นคนใจร้าย ปล่อยให้เพื่อนรอหลายชั่วโมง ส่วนนัยที่สอง โทนี่บื้อมาก!
        
        พอเด็กสาวอ้าปากบ่น โทนี่ก็รีบค้าน เขาเปล่านั่งคอยเฉยๆ แต่เพิ่งได้เรียนทักษะมาต่างหาก ว่าแล้วจึงรีบโชว์ผลผลิตจากช่างฝีมือฝึกหัดให้ดู เป็นหมวกผ้าไหมถักขนาดพอดีศีรษะมิเชล ทว่า เธอร้องห้ามเอามันมาวางอยู่บนหัวของตน เพราะกระดุม.. กระดุม... มีแต่กระดุมติดเต็มไปหมด! ไม่รู้ไปถูกใจอะไรกับกระดุม!

    "แต่กระดุมนี่มีคุณสมบัติรับแรงกระแทกด้วยนะ! คล้ายๆ หมวกกันน็อคเลยเห็นไหม"

    ใช่.... มันเหมือนหมวกกันน็อคมาก แต่นั่นก็เพราะพื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยกระดุมสารพัดสีและขนาด.... เอามือคลำหาสัมผัสผ้าไหมไม่เจอ...

        โทนี่เริ่มต้นเล่า ดูเหมือนเสื้อโค้ทราชาสัตว์อสูรแห่งถ้ำภูเขาไฟเป็นต้นเรื่องทั้งหมด ระหว่างที่เด็กชายแวะดูไอเทมในตลาด อยู่ๆ เถ้าแก่ร้านเจ้าหนึ่งเอ่ยปากขอแงะขนหมาป่าคิเมร่าจากชุดดื้อๆ ตอนแรกยังอิดออด แต่สู้ธารน้ำตาลุงวัยกลางคนไม่ไหวเลยต้องยอม เมื่อให้ไปแล้ว เฮียแกก็เผยตัวว่าตนคือลูกศิษย์ลำดับสี่ของเซียนถักทอ และจะมอบวิชาทำหมวกตอบแทน

        เล่าถึงตรงนี้ มิเชลเหลือบตามองชุดโล้นเลี่ยนของเพื่อน พอขนหายไป มันก็ดูเหมือนโค้ทหนังสีครีมธรรมดา ไม่ได้สวยแต่ไม่ถึงขั้นขี้เหร่ และยังดีกว่าใส่แค่เสื้อกล้ามตัวใน นับว่าผ่านเกณฑ์อยู่ เธอเลยฟังต่อเงียบๆ

        เด็กชายเรียนมาแค่ทักษะทอหมวกด้วยผ้า ส่วนวัตถุดิบอื่นเช่นไม้ โลหะ หรืออัญมณีต้องตามหาเอาเองทีหลัง แต่ถ้าใช้ของดี อัตราล้มเหลวก็สูงตาม โทนี่พลิกหนังสือช่างฝีมือให้ดู มีจำนวนหน้าเพิ่มขึ้นยี่สิบกว่าแผ่น โดยมากเป็นรูปเครื่องหมายอะไรเอ่ยเพราะเขายังไม่ได้ลองทำ

        “ก็ระหว่างที่รอเธอ ฉันออกไปล่าสัตว์อสูรหาวัตถุดิบตามในหนังสือมาทำ นอกจากหมวกผ้าไหมแล้ว เลยมีหมวกขนลามะด้วย อันนี้ของฉันเอง” เด็กชายยื่นหมวกขนสีขาวเทาขุ่นๆให้ดู มันทำขึ้นมาเป็นทรงโดมคว่ำ ขนาดพอดีหัวตน และไม่มีกระดุม! “เสียดายเงินน้อย ซื้อกระดุมได้จำกัด หมวกขนลามะเลยต้องโล้นเลี่ยนแบบนี้”

        “มิเชลยินดีสละกระดุมทั้งหมดให้โทนี่เลย.... ว่าแต่โทนี่เย็บปักถักร้อย... อยากเห็นจัง” เธอนึกภาพตาม

        “หยุดจินตนาการอะไรแบบนั้นซะ ที่จริงแค่เอาของทั้งหมดโยนลงช่องเล็กๆของกล่องเครื่องมือเอง พอปิดแล้วเปิดมาอีกทีก็ได้หมวกแล้ว ขนาดของหมวกขึ้นกับปริมาณผ้าไหมที่ใส่ลงไป” เขายื่นหมวกกันน็อคกระดุมให้อีกครั้ง “เห็นไหมว่าทำมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ พอดีหัวมาก อย่าให้เสียน้ำใจ ใส่ซะดีๆ!”

        “ไม่!!”

        *********************************




        ทีแรก เด็กสาวนึกสนใจช่วยเพื่อนหาวัตถุดิบทำหมวก จึงขอเปิดดูหนังสือ แต่พลิกไปพลิกมาก็ต้องปิด เพราะไม่เห็นรู้จักสักกะชิ้น มิเชลโชว์ผ้าคลุมหนังมังกรของตนบ้าง แล้วส่งดอกบัวสีดำให้พร้อมเสนอพาทัวร์บ้านกระท่อมน้อยเพื่อจบภารกิจ

        โทนี่ปฏิเสธโดยบอกว่าอยากใช้ฝีมือตัวเอง มิเชลไม่แม้แต่พยายามจะเข้าใจ แถมยังยัดเยียดต่อ พอบังคับมากๆเข้า เขาก็โมโห เงียบลงเอาดื้อๆ เธอเพิ่งเคยโดนเพื่อนเชื้อสายจีนคนนี้อารมณ์เสียใส่ครั้งแรก จึงโกรธคืนอย่างไร้เหตุผล แล้วทำหน้ามุ่ยเบ้ปาก เสียที่เป็นร่างของผู้ชายโตแล้ว อาการงอนประสาเด็กแลดูน่าเกลียดสิ้นดี

        "ถ้าฉันเก่งพอเมื่อไหร่ ฉันจะเข้าไปเอาดอกบัวอันนั้นมาเอง" โทนี่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวชิงพูดขึ้นมาก่อน "อันที่เธอเก็บมา เอาไปขายเถอะ เพื่อนใหม่ของเธอก็เอาไปขายกันไม่ใช่หรือไง"

        "แต่มิเชลหยิบมาตั้งเยอะ ทำไมต้องเสียเวลาเข้าไปใหม่อีกรอบด้วย ขนาดมิเชลยังไม่อยากเข้าไปเป็นรอบที่สองเลย โทนี่ไม่ไหวหรอก"

        "จะให้ไม่ไหวไปตลอดก็ไม่ได้ ฉันจะเข้าไปเก็บใหม่เอง"

        "งั้นเราก็จะเข้าไปเก็บดอกบัวด้วยกันอีกรอบ?" มิเชลรู้สึกไม่แน่ใจความคิดเพื่อนตน

        "แบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์กับเธอน่ะสิ เธอไปมาแล้วและกลับมาแล้ว ฉันค่อยเข้าไปเอาเองทีหลังดีกว่า"

        "จะเอาแบบนั้นสินะ เข้าใจแล้ว" ในใจเธออยากค้าน แต่ไม่ต้องการให้มาโกรธกันใหม่จึงยอมๆ ไป

        โทนี่สนใจสาวนักเต้นผมแดงอีกคนที่เพื่อนเล่าให้ฟัง จึงพากันแวะไปดู ปรากฏว่า ตอนนี้เป็นเวลาทำงานของเจสสิก้า เจ้าหล่อนยังคงต้อนรับพวกเขาด้วยท่าทียั่วยวน เธอวางมือเท้าคางบนเคาน์เตอร์ ใช้แขนสองข้างบีบหน้าอกรวมไว้ตรงกลาง... ขนาดมิเชล พอเห็นอะไรใหญ่ๆ แบบนั้น ยังอยากลองเอานิ้วจิ้มดูสักที

        "คิดถึงจังเลย" สาวนักเต้นรวบเอาเด็กทั้งสองควบเข้าไปกอดพร้อมกัน แถมจุ๊บที่แก้มคนละครั้ง

        "ฮะๆ" มิเชลหัวเราะชอบใจ รู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อยเพราะเธอก็คิดถึงเจสสิก้าเหมือนกัน  ส่วนโทนี่พยายามขัดขืน แต่ตัวเล็กสู้ขนาดไม่ได้

        "คุณมิเชลน่ะไม่เป็นไร แต่ดิฉันว่าคุณโทนี่ไม่ควรอยู่ในนี้นานนะคะ" เธอเริ่มเอ่ยเตือน "การที่ดิฉันคอยประกาศให้ทุกคนในร้านเหล้ากับสมาคมผู้กล้ารับรู้เมื่อมีคนล้มหมาป่าคิเมร่าเป็นหน้าที่ก็จริง แต่ดิฉันไม่ได้เห็นด้วยกับระบบนี้เท่าไหร่ ผู้เล่นเก่งขนาดไหนหากโดนรุมก็เท่านั้น ส่วนใหญ่ของรางวัลจากราชาสัตว์อสูรจะโดนเล็งขโมยกันเพราะแบบนี้ ยิ่งคุณโทนี่มีลักษณะที่จำง่ายมากเพราะคนที่เลือกใช้ตัวละครตัวเตี้ยๆ มีน้อย"

        "มีระบบขโมยด้วยหรือครับ"

        "ขโมยกันทางอ้อมค่ะ ถ้าไม่ยอมให้ไอเทมก็จะโดนฆ่าลดเลเวล ผู้เล่นที่ตายจะกลับไปเมืองที่ใกล้ที่สุดอยู่แล้ว ที่จุดเกิดก็จะมีคนมารอฆ่าต่อจนเลเวลไม่เหลือ หรือจนกว่าจะให้ของ"

        พวกเขาทำตากะปริบ ที่จริงความเจ็บปวดจากการตายเป็นเรื่องสยองยิ่งกว่าเลเวลลดซะอีก

        "ต่อไปเวลาจบภารกิจยากๆ ของสมาคมผู้กล้า กรุณาปลอมตัวมานะคะ แต่งชุดปิดหน้าตาอย่างไรก็ได้ไม่ให้คนรู้ เพราะดิฉันจะไม่ประกาศชื่อของผู้จบภารกิจออกมาตรงๆค่ะ หน้าที่ของพนักงานสายแจกภารกิจอย่างดิฉันคือการแสดงความยินดีเท่านั้น" เธอก้มลงหยิกแก้มโทนี่เบาๆ แล้วฉีกยิ้มหวานใส่พวกเขา "ขอให้สนุกกับการเล่นเกมค่ะ"

        มิเชลเปิดแผนที่ดู ทวีปตายายลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า เมืองหลวงปักตรงกลาง ล้อมด้วยทุ่งหญ้าสีเขียว แหล่งกำเนิดสัตว์อสูรรักสงบ ฝั่งซ้ายเป็นโซนผู้เริ่มต้น เธอเจอลาล่ากับอิลจากในนั้น ข้างบนคือถ้ำภูเขาไฟสองคูหาของหมาป่าคิเมร่า ทะเลทรายกะทะร้อนและบ้านกระท่อมน้อยอยู่ทิศตะวันออก เดินเลยอีกนิดก็พอดีถึงทะเล ส่วนเมืองท่าบรรพบุรุษตั้งซะสุดขอบขวาล่าง จะไปต้องผ่านป่าต้นสนดงฟ้า

        เป้าหมายถัดไปคือทวีปใหม่ แต่ต้องขึ้นเรือที่เมืองท่าซะก่อน พวกเขาสอบถามระยะเวลาเดินจากเจสสิก้าได้ความว่าประมาณสามวัน เหตุเพราะทางคดเคี้ยว ให้เตรียมค้างคืนไว้ดีๆด้วย

        “เอ้อ... เธอไปค้างคืนในทะเลทรายกับคนอื่นมานี่นา เตรียมอะไรไปบ้างล่ะ”

        “น้ำอย่างเดียว...​ก็ทะเลทรายมันร้อน” เธอเริ่มนึกถึงตอนที่ต้องถูกแบ่งของกินให้...

        “ของอย่างอื่นไม่มีเลยหรือไง?”

        “กลางทางมีของกินตั้งเยอะ....” เด็กสาวพยายามตอบอ้อมๆ ในหัวนึกถึงกระทิงร้อน บางทีมันอาจจะกินได้อยู่นะ...

        “งั้นช่างมันเหอะ...”​โทนี่ตัดบท “ในตลาดฉันเดินจนทั่วแล้ว มีร้านขายของสำหรับการพักแรมอยู่ เธอตามฉันมาละกัน”

        เด็กชายเปลี่ยนฝั่ง จากผู้ตามกลายเป็นคนเดินนำ เขาคงไปมาทั่วเมืองแล้วในระหว่างเธอไม่อยู่ด้วย เพราะเล่นรู้จักทางลัดทุกซอกมุม โทนี่พาเข้าตรอกสุดแคบ ปีนบันไดขึ้นหลังคา จากนั้นกระโดดข้ามตึกหลายตึก และถึงตลาดภายเร็วกว่าเดิมสิบนาที

        “...จากสามสิบนาที เหลือยี่สิบนาที..​ก็เร็วนะ แต่ดูไม่คุ้มค่าพลังงานยังไงบอกไม่ถูก” มิเชลเปรย























    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×