คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 จุดจบ
สะพานกลางแม่น้ำของเมืองหลวงที่มีแสงไฟสาดส่องทั่วทุกทิศ รถที่ขับผ่านไปมาในช่วงเวลาที่กำลังเร่งรีบในคืนวันศุกร์ ผู้คนที่ตั้งใจรอคอยก่อนคืนวันหยุดกับหลายปัจจัยที่อยากทำ ก็คงจะมีหลายเหตุผลด้วยเหมือนกัน
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาก็คงไม่ได้เกิดขึ้นกับใครบางคนอย่างตัวเขา สองขาวิ่งด้วยความเร็วมาตามแนวสะพานจนเกือบจะสิ้นลม เสียงเรียกไล่หลังก็ไม่ทำให้เขาหยุดได้ ปลายทางที่ยังมองหาทางออกและไม่รู้ว่าจะต้องไปหยุดที่ตรงไหน หากต้องวิ่งต่อไปเรื่อยๆก็คงไม่วายที่จะหมดลมหายใจไปเสียก่อน
ใบหน้าที่มีบาดแผลไปทั่วบริเวณเงยหน้ารับกับโชคชะตาที่พบเจอมาโดยตลอด แฟนหนุ่มที่ตั้งใจคบกันมาเป็นปีๆ แต่เบื้องหลังดันมีเมียและลูกอยู่ในอ้อมอก ไม่หนำซ้ำยังติดหนี้พนันแล้วมีชื่อเขาเป็นหลักประกัน พออีกคนรู้ตัวก็หนีไปปล่อยภาระหน้าที่ในการหาเงินใช้หนี้มาทดแทนอยู่เป็นเดือนๆ อีกทั้งสภาพจิตใจตอนนี้ก็หมดหนทางไร้ที่พึ่ง เพราะตัวเองก็กำพร้าพ่อแม่ด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ต้องใช้ชีวิตในความโดดเดี่ยวมาเพียงลำพัง
ทุกอย่างมันเลวร้ายจนไม่มีทางออก
"เห้ย!! หยุดนะ"
ผู้ชายประมาณ 4-5 คน ตะโกนร้องเรียกมาตลอดตามทางยาวของสะพานมาเป็นกิโล ขาเรียววิ่งนำด้วยแรงสุดของกำลังที่มีแล้วจึงหันหน้าไปมองพวกมันที่สภาพเหนื่อยหอบไม่ต่างกัน ใบหน้าเหลียวมองหาทางออกไม่เจอนอกจาก 2 ฝั่งของสะพานเป็นแม่น้ำกว้างใหญ่และสูงมาก แต่ถ้าให้วิ่งต่อไปจากตรงนี้ก็คงจะไปต่อไม่ไหวและคงจะหนีไม่พ้นต้องโดนพวกมันกระทืบซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายเรื่องราวก็จะวนกลับมาแบบเดิม
มือเรียวเกาะราวสะพานแน่น หลับตาลงนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา โชคชะตานำพาให้ชีวิตเขาย้ำแย่มาตั้งแต่แรกจนถึงจุดจบ ตอนนี้ชีวิตเขาไม่มีอะไรต้องห่วงและไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว หากนับจากนี้จะไม่มีชื่อเขาอยู่บนโลกใบนี้อีกก็คงไม่แปลกใจอะไร เพราะคนอย่างเขาไม่ได้สำคัญอะไรอยู่แล้ว
"ถ้าคิดว่าตามมาได้" เสียงพูดเฮือกสุดท้ายที่พยายามเปล่งออกมา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลไม่น้อย พร้อมกับแสยะยิ้มที่มุมปาก ก็จะตัดสินใจกระทำสิ่งที่คิดในทันที "ก็ตามมา"
ไม่ทันที่พวกนั้นจะวิ่งมาถึง ร่างผอมบางจับราวสะพานสูงกระโดดลงไปทันทีที่พูดจบ เขาไม่ได้อยากให้ชีวิตจบลงแบบนี้ แต่เพราะโชคชะตาเป็นคนกำหนดให้เป็นแบบนี้ต่างหาก ไม่ว่ายังไงคนที่โชคไม่ดีแบบเขาก็ต้องถึงจุดจบสักวันอยู่ดี
เพียงแค่วันนั้นมันมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้เสียที
ร่างโปร่งค่อยๆล่องลอยอยู่ในอากาศก่อนจะดำดิ่งสู่แม่น้ำใจกลางเมืองที่ไม่มีใครพบเห็บนอกจากพวกที่วิ่งตามมา หากจะต้องแจ้งตำรวจว่ามีคนตกน้ำ ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่พวกมันทำผิดกฏหมายอยู่เบื้องหลังจะถูกเปิดเผยในทันที และแน่นอนพวกมันไม่ได้สนใจร่างที่พึ่งกระโดดลงน้ำไปเมื่อครู่ คงจะดีเสียอีกที่พวกมันจะได้มีข้ออ้างไปบอกกับหัวหน้าพวกมันว่าเด็กคนนั้นตกน้ำตายไปแล้ว
รูปร่างและใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผล ยิ้มให้กับโชคชะตาของตัวเองเมื่อร่างจมลงในน้ำ ดวงตาเหลือบมองดวงจันทร์บนโลกของตนเป็นครั้งสุดท้าย แสงสว่างบนนั้นมีทั้งช่วงเวลาที่งดงามและมืดมนเหมือนกับชีวิตของตน เขาอธิษฐานก่อนจะสิ้นใจ หากเลือกเกิดได้เขาขอไม่เกิดมาที่โลกนี้อีกเลยจะดีกว่า..
หยาดน้ำตาที่เก็บไว้ไม่อยู่ก็ไหลรินออกมาปะปนกับสายน้ำ ป่านนี้คุณพ่อคุณแม่คงรอเขาอยู่ที่ไหนสักที่ สุดท้ายครอบครัวก็กลับมาเจอกันอีกจนได้สินะ
แต่เหมือนจะคิดผิด..
มือบางที่ตั้งใจจะปล่อยให้กายหยาบของตนไหลวนไปกับสายน้ำ จู่ๆมือเรียวก็ดันไปคว้าเข้ากับชายเสื้อจนรู้สึกหนักอึ้งทำให้ปล่อยมือออกจากตรงนั้นไม่ได้ ทันทีที่รู้สึกตัวใบหน้าก็หันมองทันที
เบื้องหน้าคือชายหนุ่มดวงตาคมจ้องมองมาเหมือนคนกำลังจะขาดใจอยู่ตรงหน้า แววตาที่มองมาเหมือนกับว่ากำลังขอความช่วยเหลือก่อนจะสิ้นลมและหลับตาลงในเวลาต่อมา แน่นอนว่าสถานการณ์แบบนี้ชายตรงหน้ากำลังจมน้ำแน่นอน..
ร่างบางรีบคว้าร่างอีกคนตระกายขึ้นมาให้โผล่พ้นผิวน้ำสุดแรงกำลังที่มีถึงแม้ตัวเองจะไม่ไหวแล้วก็ตาม ก่อนจะมองไปทั่วทิศทางบริเวณจนไปเจอชายฝั่งที่อยู่ใกล้ที่สุด สายฝนที่ตกลงกระหน่ำทำให้เขากับอีกคนไปได้ค่อนข้างยาก ก่อนจะพลิกกลับให้อีกคนไขว้หลังและตะเกียกตะกายเข้าฝั่งในที่สุด
"แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก"
ริมชายฝั่งที่มืดสนิทมีเพียงอัศจรรย์ประภาคารตั้งอยู่ริมฝั่งบนเนินเขาชายฝั่งทะเล อีกไม่นานสัญญาณไฟก็คงมาถึงพวกเขาทั้งคู่ ดวงตากลมมองไปรอบๆกับสถานที่ไม่คุ้นเคย อาจเพราะฝนตกหนักหรือไม่เขาก็ตกน้ำอยู่นานจนแม่น้ำพัดให้เขามาไกลถึงขอบทะเล แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกลั้นใจไม่จมน้ำตายไปเสียก่อน
มือบางเอื้อมไปสัมผัสที่จมูกและแตะที่ชีพจรข้างลำคอ ความจริงเขาก็ไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้มากเท่าไหร่แต่ก็เคยดูผ่านละครมาบ้าง และนั่นก็ทำให้เขาโล่งใจว่าอีกคนยังไม่ตายแน่นอน ร่างบางจึงทิ้งตัวลงนอนข้างๆอีกคนด้วยความเหนื่อยอ่อนอย่างหมดแรง ก่อนที่ดวงตาเล็กนั่นจะหลับลงไปด้วยในทันที
เพียงไม่นานแสงไฟจากประภาคารก็ส่องมาถึงและแจ้งไปยังสำนักงานหลักที่ห่างไกลเป็นกิโลให้ทราบข่าว แต่กว่าจะมาถึงฝนที่กระหน่ำมาเมื่อครู่ก็หยุดลง เจ้าหน้าที่จึงรีบเข้ามาช่วยเหลือและประสานงานไปยังผู้เกี่ยวข้องในทันที
ระหว่างนั้นก็มีรถเข้ามาสมทบพร้อมกับชายชุดสูทสีดำอยู่ 2 คันรถ เมื่อประตูรถเปิดออกพร้อมกับชายร่างเล็กที่ร้องไห้ไม่หยุดอยู่หลายวันและมีบอดี้การ์ดคนสนิทที่ตามติดลงรถมาด้วย
"พี่อิฐ!!!!"
"น้องไอยระวัง!"
บอดี้การ์ดรีบคว้าร่างบางเอาไว้ไม่ให้ล้มหน้าทิ่มลงพื้น เมื่อทันทีที่ทราบข่าวก็รีบตามมายังที่เกิดเหตุทันที ร่างเล็กรีบวิ่งลงไปยังริมทะเลจนไม่ทันสังเกตว่าพื้นที่ต่างระดับและบริเวณตรงนั้นมีโขดหินอยู่ด้วย บอดี้การ์ดประจำตัวก็อดเป็นห่วงไม่ได้กลัวว่าจะบาดเจ็บไปอีกคน เพราะหลายวันที่ผ่านมาอีกคนก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว
"รออยู่นี่ด้วยผมไปดูให้"
"เราอยากไปดูด้วยตาเราเอง"
"คุณหนู!"
เสียงที่หนักแน่นขึ้นทำให้รู้ว่านี้คือคำสั่ง แต่อีกคนที่ยังเป็นกังวลแววตาที่ดูเศร้าหมองเหลือบมองผู้ติดตาม หยดน้ำตาที่คลออยู่นัยตาใสทำให้บอดี้การ์ดของเขาอ่อนใจอย่างเหลือทน
"เห้อออ.. งั้นก็ค่อยๆเดิน"
"ขอบคุณครับ"
แสงจากไฟฉายส่องไปยังบริเวณเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่กำลังทำการช่วยเหลือบุคคลที่พึ่งพบ ร่างบางค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ร่ที่นอนนิ่งก่อนจะเผยใบหน้าที่มองเห็น ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยนั้นคล้ายบุคลที่หายไปเกือบอาทิตย์ และเขาแน่ใจว่าใช่พี่ชายของตนอย่างแน่นอน
"พี่อิฐ.."
ร่างเล็กเตรียมพุ่งเข้าไปกอดพี่ชาย แต่ผู้ติดตามรั้งไว้ก่อนเพราะบุคคลที่น่าสงสัยเคียงข้างกันทำให้บอดี้การ์ดที่เหลือเข้าไปตรวจสอบในทันทีว่าเป็นใคร
"คุณไอย"
ใบหน้าหวานฉุกคิดอยู่ครู่นึง เขาไม่อยากให้เรื่องนี้เผยแพร่ไปไกล คนรับรู้น้อยมากเท่าไหร่ยิ่งดี
"พี่เซน ติดต่อไปที่บ้านเตรียมหมอกับห้องให้พอสำหรับคนป่วย"
"แต่..คุณไอย" บอดี้การ์ดเอ่ยทักทวง
"อืม เราจะพาเขากลับไปพร้อมกับพี่อิฐ" ร่างเล็กนิ่งเงียบพร้อมมองไปที่ร่างอีกคน "อย่างน้อยจะได้รู้ว่าเขาคือคนมาช่วยชีวิต หรือ เป็นศัตรูกันแน่"
ความคิดเห็น