คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : เพื่อนใหม่ไฉไลกว่าเดิม
“นี่ถ้าเธอยังไม่มีแฟนฉันคงคิดว่าเธอกับจีเป็นคู่จิ้นกัน”
อะไรนะ?
คู่จิ้นงั้นเหรอ บ้าหรือเปล่าฉันกับนิชาเนี่ยนะจะเป็นคู่จิ้นกัน ฟ้าผ่าพอดีน่ะสิ
คิดได้ยังไงผู้หญิงกับผู้หญิง อีกอย่างเราสองคนไม่ได้แสดงไปในทางนั้นซะหน่อย
“ริช” นิชาผลักฉันให้ถอยห่างจากจุดที่เธอกับริชยืนอยู่ ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ยอมหน่อยก็ดีนะนี่มหาวิทยาลัยไม่ใช่สนามมวย
ก่อนที่เรื่องจะไปกันใหญ่ฉันเลยตัดสินใจที่จะเข้าไปห้ามนิชาเอาไว้ให้เธอใจเย็นกว่านี้
เพราะริชเองก็ยังไม่ได้ทำอะไรฉันเลย
“นิชาใจเย็นๆ ก่อนนะ ค่อยๆ พูดกันก็ได้นี่”
“แต่ยัยริชจะทำร้ายเธอนะ”
โอเวอร์ไปหรือเปล่าลิลลี่ ฉันยังไม่เห็นว่าริชจะทำร้ายฉันตรงไหนเลย
เธอแค่เดินมาเรียกชื่อฉันเท่านั้นเอง ยังไม่ได้แตะตัวกันด้วยซ้ำ
อย่าทำให้เรื่องต้องไปกันใหญ่สิ
“แต่จีก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่”
ฉันร้องบอกเพื่อนให้เข้าใจว่าริชไม่ได้จะเข้ามาทำร้ายฉันอย่างที่เพื่อนเข้าใจผิดกันอยู่หรอก
เพราะเมื่อวานเราสงบศึกกันแล้ว เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว
ไม่มีเหตุผลอะไรที่ริชจะทำร้ายหรือกลั่นแกล้งฉันอีกต่อไป
“แต่...”
“ฉันไม่ได้ร้ายขนาดนั้นหรอกนะนิชา ฉันทำร้ายคนที่ช่วยฉันไว้ไม่ได้หรอก”
น้ำเสียงของริชจริงจังขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆ
ของฉันกันท่าไม่ให้ฉันได้พูดกับริชสักที
นิชาพอได้ยินแบบนั้นเธอก็หันไปมองหน้าริชอย่างงุนงงว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
“ช่วย?”
ก็คงไม่แปลกที่เพื่อนๆ ของฉันจะงง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ฉันยังไม่ได้เล่าให้เพื่อนๆ
ฟังน่ะสิ นิชาหันหน้ามามองฉันสลับกับมองหน้าริช ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆ ไปให้
เพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงดี “เล่ามาให้หมดเลยนะจี”
ปกติแล้วนิชาไม่ใช่คนที่จะมายุ่งเรื่องของคนอื่นหรอกนะ ใครเป็นอะไร ทำอะไร เธอมักจะไม่ถามเลยถ้าคนนั้นไม่พูดมาเอง แต่เล่นมาถามแบบนี้ฉันก็คงต้องเล่าให้ฟังสินะ
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เพื่อนทุกคนฟัง
และทุกคนก็ตั้งใจฟังดีมากเลยล่ะอย่างกับว่าเรื่องที่ฉันเล่าเป็นเรื่องของพวกเธอเอง
พอเล่าจบทั้งนิชา ลิลลี่ และหว่าหวาก็หันไปมองริชที่นั่งยิ้มให้พวกเราอยู่
มันเป็นรอยยิ้มที่แสดงความจริงใจอย่างไม่มีปิดบัง
และเป็นรอยยิ้มแรกที่เธอยิ้มให้พวกฉันด้วยความเต็มใจ
“ที่ฉันมาหาเธอก็แค่จะเอาน้ำใบบัวบกมาให้แก้ฟกช้ำน่ะ ไม่ได้จะทำร้ายอย่างที่พวกเธอเข้าใจซะหน่อย”
ริชย่นจมูกใส่เพื่อนๆ ของฉันก่อนจะยื่นน้ำใบบัวบกมาให้ฉัน ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เอาแต่แกล้งฉันอยู่ตลอดเวลาที่มีโอกาสจะทำเรื่องดีๆ แบบนี้เป็นด้วย ถ้าเราเข้าใจกันตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเรียนก็คงจะดีสินะ คงไม่ต้องเจอเรื่องร้ายๆ มาตลอดแบบนี้
แต่ยังไงก็ถือว่าเรื่องพวกนั้นมันผ่านมาแล้วและฉันก็จะให้มันเป็นบทเรียนของฉัน
ว่าจะไม่กลับไปทำผิดอีก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม
“แล้วใครจะไปคิดล่ะว่าคนอย่างเธอจะกลับตัวได้”
ลิลลี่ก็ช่างเป็นเพื่อนที่ชอบหาเรื่องจริงๆ
พูดแบบนี้เหมือนริชเป็นโจรผู้ร้ายอย่างนั้นแหละ
ริชทุบโต๊ะเสียงก่อนจะตะเบ็งเสียงใส่ลิลลี่จนเธอต้องยกมือขึ้นปิดหูแทบไม่ทัน
“คนอย่างฉันมันทำไมคิดว่าฉันเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว เข้าใจกันแบบนี้มันก็ดีแล้วนี่นา” หว่าหวาช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ทันก่อนที่เพื่อนของฉันทั้งสองคนจะเถียงกันจนไม่มีใครยอมใคร
ฉันหันไปมองนิชาที่นั่งเงียบมาตลอดที่ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังก็เห็นว่าเธอเอาแต่มองริชอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างริชจะทำเรื่องแบบนี้ได้
“ขอโทษด้วยที่เข้าใจเธอผิด” นิชาเอ่ยคำขอโทษริชอีกครั้ง
แต่ใบหน้าของเธอไม่ได้ปรากฏรอยยิ้มออกมาหรอกนะ ฉันรู้ว่านิชาเป็นคนยังไง
ถึงเธอจะทำหน้านิ่งแบบนี้แต่ในใจลึกๆ ของเธอเริ่มรู้สึกดีกับริชแล้ว
นั่งคุยกันได้สักพักอยู่ดีๆ
ริชก็จับมือนิชาขึ้นมากุมไว้ ทำให้เพื่อนๆ ต่างพากันตกใจ
รวมถึงนิชาด้วยที่ทำสีหน้าไม่ถูกกับการกระทำของริช ริชมองหน้านิชาก่อนจะส่งยิ้มให้
มันเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่หาได้ยากจากคนที่ชื่อริช
พวกเรานั่งมองหน้ากันนิ่งไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาก่อน
แต่เพียงไม่นานริชก็พูดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบนี้ลง
“หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะ”
ประโยคนี้ริชไม่ได้พูดกับฉันหรอกนะ แต่เธอกำลังพูดกับนิชา เธอกุมมือนิชาเอาไว้แน่นมากเหมือนกลัวว่านิชาจะไม่ตอบรับคำขอจากเธอ
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”
นิชาเผยรอยยิ้มออกมากอดจะโผเข้ากอดริช
ทั้งสองคนกอดกันแน่นมาจนดูเหมือนเป็นคู่รักกัน
ฉันมองภาพที่น่าประทับใจที่หาดูได้ยากจากที่นี่
เพราะตั้งแต่ที่เข้ามาฉันก็โดนแกล้งเลย ต่อไปนี้ฉันจะไม่ถูกแกล้งอีกต่อไปแล้วสินะ
หลายอาทิตย์ต่อมากลุ่มของฉันก็มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาถึงสองคน
ก็คือริชกับเอ็มเคไง พวกเราไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น วันหยุดก็นัดกันดูหนังบ้าง
ไปเที่ยวในเมืองบ้าง หรือนัดกันที่บ้านของริชโดยนิชาจะเป็นคนมารับพวกเราไปเอง
ตอนนี้ฉันมีความสุขมากเลยล่ะกับมิตรภาพใหม่แบบนี้
อีกอย่างความสัมพันธ์ของฉันกับเซอร์คัสก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
“วันนี้ตื่นสายนะจ๊ะ”
ป้านอริสยืนทำอาหารอยู่ในครัวเอ่ยทักฉันเมื่อเห็นว่าฉันเดินลงมาจากชั้นบนแล้ว ลืมบอกไปว่าตอนนี้ป้านอริสกลับมาที่บ้านแล้วนะ ทำให้เซอร์คัสไม่สะดวกในการปรากฏตัวที่นี่เท่าไหร่ เขาก็เลยเลือกที่จะมาหาฉันที่ระเบียงแทนและยังชอบส่งเสียงดังให้ป้านอริสได้ยินอีกด้วย
เดียวนี้เขาเริ่มกระล่อนมากขึ้นทุกวัน นิสัยเหมือนมนุษย์เข้าไปทุกที อีกอย่างเขายังเคยมาปรากฏตัวให้ป้านอริสเห็นอีกด้วย
แต่มาในรูปแบบค้างคาวทำให้ฉันเลือกที่จะโกหกป้าว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงของฉัน
ทีแรกป้าก็กลัวว่าค้างคาวจะทำร้ายฉัน
แต่พอเห็นว่าค้างคาวเชื่องมากป้าก็เลยยอมให้ฉันเลี้ยงต่อไป
“ป้ากำลังทำอะไรคะ?”
ฉันเดินเข้าไปหาป้านอริสเพื่อที่จะทำอาหารช่วย เมื่อกี้ได้กลิ่นอะไรหอมๆ
ลอยมาแตะจมูกด้วย ป้านอริสเป็นคนทำอาหารอร่อยนะใครได้กินจะต้องติดใจมากเลยล่ะ
“ป้าทำซุปเห็ดจ๊ะช่วงนี้หิมะกำลังจะตกอากาศก็หนาวมากขึ้นเรื่อยๆ
ได้ทานอะไรร้อนๆ แบบนี้คงช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นได้”
จริงด้วยพยากรณ์อากาศบอกว่าอีกไม่กี่วันหิมะก็จะตกแล้ว
ดีใจจังฉันอยากเห็นหิมะมากเลยนะ อยากลองนอนกลิ้งลงไปบนหิมะว่ามันจะนุ่มมากแค่ไหน
“เดี๋ยวจีช่วยทำค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ๊ะป้าทำเสร็จพอดี อ้อ! ป้าลืมถามหลานไปเลย”
ป้านอริสยกถ้วยซุปออกมาวางบนโต๊ะก่อนจะหันมาถามฉันที่นั่งรอกินอยู่ก่อนแล้ว
ฉันมองหน้าป้าอย่างงงว่าป้าจะถามอะไร
“ค้างคาวตัวนั้นที่หลานเลี้ยงไว้หลานไปเอามาจากไหนจ๊ะ”
“เอ่อ...”
เอาแล้วไง
คิดคำโกหกไม่ทันเลย เล่นถามมาแบบนี้แล้วฉันจะตอบยังไงดี
มันไม่ใช่หมาแมวที่พอจะบอกว่าไปรับมาเลี้ยง
คงไม่มีมนุษย์คนไหนอยากจะเลี้ยงค้างคาวหรอกใช่มั้ย ฉันเองก็ด้วย
ฉันไม่ได้อยากเลี้ยงเลยแต่ถ้าไม่ตอบป้านอริสไปแบบนั้นมีหวังป้าได้เอาปืนมายิงเซอร์คัสน่ะสิ
โทษฐานที่แอบขโมยลูกเบอร์รี่ของป้าไป
“ว่าไงจ๊ะหลาน?”
“คือ...จีเห็นมันบาดเจ็บบินมาตกที่ระเบียงเห็นมันน่าสงสารเลยเอามาเลี้ยงไว้น่ะค่ะ”
โกหกคำโตเลยฉันเนี่ย นี่ถ้าตกนรกไปไม่ต้องถามเลยนะว่าไปทำอะไรมา
มีแต่เรื่องโกหกทั้งนั้นเลย
“ระวังหน่อยนะเพราะมันไม่ใช่สัตว์ที่น่าเลี้ยงเอาไว้เท่าไหร่”
ฉันพยักหน้าให้ป้านอริสก่อนจะก้มลงทานอาหารที่ป้ายกมาไว้ที่โต๊ะ
ฉันไม่ได้อยากจะโกหกนะแต่มันจำเป็นจริงๆ
ตุ้บ!!!
ตายยากชะมัดเลยเซอร์คัส
พูดถึงปุ๊บก็โผล่มาปั๊บเลย ป้านอริสคงยังไม่ชินกับเสียงนี้เท่าไหร่
เวลาที่ได้ยินทีไรก็ตกใจทุกที แต่ตอนนี้ฉันชินไปแล้ว ไม่ได้ตกใจเหมือนอย่างตอนแรก
และฉันคิดว่าสักพักป้านอริสก็คงจะชินไปเอง เพราะมันเป็นแบบนี้มาเป็นอาทิตย์หลังจากที่ป้านอริสกลับมา
“เสียงดังแบบนี้ป้านึกว่าไม่ใช่ค้างคาวแล้วนะ ถ้าหลานบอกว่าเลี้ยงสุนัขก็เชื่อ”
ป้านอริสยกมือทาบอกตัวเอง
เข้าใจนะว่าป้าแก่แล้วการได้ยินเสียงแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่นัก
ฉันก็บอกเซอร์คัสหลายครั้งแล้วว่าอย่าทำเสียงดังเกรงใจป้านอริสบ้าง เขาก็รับปากแต่ก็ยังทำเหมือนเดิม
“งั้นจีขอไปดูมันหน่อยนะคะ” ฉันรีบลุกขึ้นเพื่อไปหาเซอร์คัส
กะว่าจะดุเขาสักหน่อยที่ทำเสียงดังแบบนี้แทบทุกวัน
แถมยังไม่ได้ทำแค่ครั้งเดียวด้วยนะ เขาทำเสียงดังแบบนี้วันละหลายๆ ครั้งเลยล่ะ
ฉันเปิดประตูเข้าห้องไปเท่านั้นล่ะเซอร์คัสก็กระโจนโผเข้ากอดฉันทันที
นี่ถ้ากอดแรงอีกนิดมีหวังฉันได้ล้มหงายหลังไปกองกับพื้นแน่ๆ เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้
พอฉันกำลังจะผละออกจากเขาเขาก็ก้มลงมาฝังจมูกที่แก้มของฉันแน่นมาก
ไม่คิดบ้างเลยหรือไงว่าฉันจะเขินมากแค่ไหน
“ปล่อยจีเถอะค่ะ”
ฉันพยายามดันตัวเซอร์คัสให้ออกจากตัวฉัน เพราะตอนนี้เขากอดฉันแน่นมากจนแทบหายใจไม่ออกอยู่แล้ว แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยไหนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อยๆ จนปากของเราชนกันเข้าอย่างจัง
นะ...นี่เขาขโมยจูบของฉันไปอีกแล้วนะ
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแวมไพร์ก็ชีกอเป็นเหมือนกัน อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
อีกอย่างเขาก็ชอบทำแบบนี้ เขาบอกให้ฉันชินได้แล้ว
แต่เรื่องแบบนี้ใครจะไปชินได้ล่ะมันเป็นเรื่องน่าอายมากเลยนะ
“ผมอยากให้คุณรู้จักกับครอบครัวผม” จู่ๆ
เขาก็พูดถึงเรื่องครอบครัวขึ้นมาทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเล่าอะไรให้ฉันฟังเลย
แล้วทำไมถึงอยากให้ฉันรู้จักกับครอบครัวเขาล่ะ
หรือเขาพร้อมที่จะเล่าเรื่องของตัวเองให้ฉันฟังแล้วเหรอ
“เซอร์คัส”
ฉันเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขามองหน้าฉันยิ้มๆ
เหมือนจะบอกฉันว่าเขาพร้อมที่จะบอกเรื่องราวตัวเองให้ฉันรับรู้แล้ว
นี่เราจริงจังจนถึงขั้นจะไปพบครอบครัวของกันและกันแล้วเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย
แล้วเราจะรักกันได้เหรอในเมื่อฉันเป็นมนุษย์แต่เขาเป็นผีดูดเลือดแบบนี้
“คุณอยากรู้จักกับครอบครัวผมหรือยัง?”
“ถ้าจีบอกว่าอยากคุณจะพาจีไปพบครอบครัวคุณเหรอคะ?” ฉันถามกลับ
เพราะน้อยครั้งมากที่เขาจะพูดถึงเรื่องครอบครัวตัวเอง
นี่ถึงกลับจะพาฉันไปรู้จักกับครอบครัวเขาฉันว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก
ร่างสูงทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะหันมามองหน้าฉันด้วยแววตาที่จริงจังก่อนจะพยักหน้าให้เป็นคำตอบ
“ผมอยากให้คุณรู้จักกับครอบครัวของผม เพราะต่อไปคุณจะได้มาเป็นครอบครัวเดียวกับผมแล้ว”
เขาส่งยิ้มมาให้ฉัน
ฉันรับรู้ความรู้สึกของเขานะว่าเขาจริงจังกับฉันมาก
แต่เรื่องนี้ครอบครัวฉันยังไม่รู้เลย ฉันรู้ว่าถ้าบอกเรื่องที่ฉันมีแฟนไปยังไงพ่อกับพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก
แต่ถ้าบอกว่าแฟนของฉันเป็นแวมไพร์ล่ะจะมีใครรับได้บ้าง
“ใครบอกว่าจีจะเป็นครอบครัวเดียวกับคุณ”
ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าตัวเองเป็นแฟนของเขา โมเมเอาเองหมดเลยผู้ชายคนนี้
เซอร์คัสมองหน้าฉันพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์เล่นเอาฉันขนลุกซู่เลย
“ผมบอกเอง”
ตรรกะอะไรของเขาเนี่ย บ้าหรือเปล่าพูดเองเออเองหมด ถามฉันบ้างก็ดีนะ
เล่นพูดมาแบบนี้ก็ไปต่อไม่ถูกเลยแฮะ
เซอร์คัสขยับอ้อมกอดให้แน่นมากขึ้นเหมือนไม่อยากปล่อยฉันไปให้ใครทั้งนั้น ฉันชอบนะ
ชอบให้เขาทำแบบนี้มันเหมือนว่าฉันมีความหมายกับเขามาก
“เพ้อเจ้อ”
“ถ้าอยากรู้ว่าผมเพ้อเจ้อจริงหรือเปล่าต้องพิสูจน์”
เซอร์คัสไม่พูดเปล่าแต่ยังจับไหล่ฉันทั้งข้างก่อนจะดันร่างฉันให้ไปชนกับผนังก่อนจะประกบปากกับฉันทันที ไม่รอให้ฉันได้คัดค้านอะไรอีกต่อไป เขาจูบฉันร้อนแรงมากแทบพรากสติฉันไปหมด แต่ก็ยอมรับว่าตัวฉันเองก็ชอบให้เขาทำแบบนี้
สติฉันล่องลอยหายไปในอวกาศยากที่จะดึงกลับมา มันช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากจริงๆ อ้อมกอดที่เขากอดฉันมันช่างอบอุ่น ริมฝีปากของเขามันทำให้ฉันโหยหาเขาอยู่ตลอดเวลา
ไม่อยากจะคิดเลยตอนที่เขาไปจูบกับผู้หญิงคนอื่นแบบนี้มันรู้สึกแย่มากแค่ไหน
ฉันอยากจะเป็นคนที่ได้ครอบครองริมฝีปากและอ้อมกอดของเขาเพียงคนเดียว
-ฝากเพจอีกสักที-
ความคิดเห็น