ตอนที่ 9 : EP.07 เรื่องวุ่นวายของย่านการค้า
Game of Creation ภาค ประกาศิตเทพมารแสวงพ่าย
EP.07 เรื่องวุ่นวายของย่านการค้า
รุ่งอรุณมาถึงพร้อมกับบรรยากาศอันแสนสดชื่นกระจ่างใส ค่ำคืนนั้นซันซั่งเทียนตัดสินใจพำนักอยู่กับฟ่งเซี่ยว ในบ้านของคหบดีเมืองลกเอี๋ยงรายหนึ่งนามเยี่ยหวน ในช่วงวิกฤตตั๋งโต๊ะเข้าเมืองบรรดาคหบดีน้อยใหญ่ถูกปล้นสะดมไปมาก ฟ่งเซี่ยวผู้นี้อาศัยสติปัญญาและกลอุบายช่วยเยี่ยหวนได้รอดตายมาได้หลายครั้ง จึงนับถือกันไม่ต่างจากญาติมิตร เมื่อรู้ว่าแขกของสหายมาเยือนเยี่ยหวนจึงให้การต้อนรับอย่างดี ซึ่งวันนี้ชายหนุ่มผู้มาจากโลกอนาคตดูจะตื่นเร็วกว่าปกติ เขามองดูนาฬิกาโฮโลแกรมจากตัวไกอาซึ่งบอกเวลา 06.35 น.
ซันซั่งเทียนเดินเล่นบริเวณสวนภายในตัวบ้าน มันดูสวยงามร่มรื่นไม่น้อยสิ่งปลูกสร้างก็ดูวิจิตรเลอค่าสมกับฐานะคหบดีมีชื่อ ทว่าน้ำในสระดูจะน้อยกว่าที่ควรจะเป็นอยู่มากโข ตามพงหญ้าเหมือนมีซากปลาตายอยู่หลายตัว ซ้ำยังมีโคลนตมเป็นทางยาวไปทางหน้าบ้าน คล้ายกับมีเหตุให้ต้องใช้น้ำจำนวนมากเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ชายหนุ่มเงยหน้ามองฟ้าดูเหมือนว่าวันนี้ก้อนเมฆจะไม่มากพอที่จะก่อให้เกิดฝน คิดดังนั้นจึงมีความรู้สึกไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย
“เมื่อช่วงสายๆวานนี้ บ้านของทหารฝีมือดีใต้สังกัดลิโป้ผู้หนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามของที่นี่เกิดเพลิงไหม้ ทุกคนจึงต้องเร่งช่วยเหลือเพื่อซื้อน้ำใจ นายท่านเยี่ยหวนเองก็ได้ยื่นมือเข้าช่วยเช่นกัน ข้าต้องขออภัยที่ทำให้เวลาพักผ่อนของท่านต้องเจอกับสภาพที่ไม่สมบูรณ์พร้อมของสระน้ำและสวนแห่งนี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังช่วยไขข้อข้องใจให้กับชายหนุ่ม พร้อมกับการมาของฟ่งเซี่ยว ซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปทางด้านหลังไม่กี่ก้าว
“ร่างกายยิ่งอ่อนแอยังจะมาเดินตากอากาศยามเช้าอีก ไม่ห่วงตัวเองรึไงครับ”
“ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้เดินเหินมานานร่วมสองเดือนแล้ว วันนี้มีโอกาสจึงอดไม่ได้ที่จะออกมาสูดอากาศยามเช้า” หนุ่มขี้โรคตอบกลับ
“ไม่ใช่ว่าเห็นผมมาเดินเล่น แล้วอยากพูดคุยด้วยรึไงครับ?” เจ้าของดวงตาสีมรกตกล่าวดักทางอย่างรู้ทัน
“เป็นเช่นนั้นจริง”เขายิ้มน้อยๆตอบกลับ “น่าเสียดายที่สวนนี้บรรยากาศไม่เหมาะแก่การสนทนาสักเท่าไหร่”
“น่าเสียดายจริงๆ”
“ดินโคลนมากมาย น้ำในสระก็เกือบจะแห้งขอด ทั้งยังมีซากปลาตายอีก เราไปคุยกันที่อื่นดีกว่าไหมท่าน?” หนุ่มขี้โรคยื่นข้อเสนอ
“ไม่เป็นไร แค่นี้ผมจัดการได้น่า” ดวงตาสีมรกตเปล่งประหายวูบไหว ราวกับมีแผนการบางอย่างภายในใจ
“ท่านคิดจะทำสิ่งใด?”
แทนคำตอบซันซั่งเทียนใช้ดวงตาคู่สวยจดจ้องไปยังท้องฟ้าเบื้องบน ก่อนที่จะเรืองแสงสีเขียวเป็นประกายเจิดจ้าจนใครๆสามารถมองเห็นได้จากที่ไกลๆ เขาชูมือชี้นิ้วไปที่แผ่นฟ้าชั่วขณะแล้วสะบัดมือลง ท้องฟ้าสีครามอันสดใสไร้เมฆก็ถูกปกคลุมโดยหมู่เมฆสีขาวหนาตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน นอกจากนี้ยังมีเมฆสีดำจำนวนหนึ่งถูกทำให้อยู่กึ่งกลาง ซึ่งปรากฏอยู่เพียงบริเวณเหนือบ้านตระกูลเยี่ยเพียงที่เดียว
“โดนฝนเข้าเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” ดุจคำประกาศิต! ร่างของหนุ่มขี้โรคคล้ายถูกผลักด้วยพลังอันนุ่มนวลสายหนึ่ง ฟ่งเซียวลอยหวือกลางอากาศเหมือนกับว่าเขามีน้ำหนักน้อยนิดเท่าปุยนุ่น ก่อนจะร่อนลงยืนหลังพิงผนังด้านนอกของตัวอาคาร ไม่กี่วินาทีต่อมาฝนก็ตกลงมาราวกับฟ้ารั่วเฉพาะบริเวณบ้านตระกูลเยี่ย
ซันซั่งเทียนสะบัดมือท้องสองข้างกางออก ก่อนจะเคลื่อนเข้าหากันทำท่าทางคล้ายกับว่ามีลูกบอลอยู่ในมือ เมื่อเคลื่อนมือเหมือนลูบลูกบอลกลางอากาศ สายฝนที่โปรยลงมาก็เหมือนกับตกลงสู่กรวยใหญ่จนไหลลงสู่สระน้ำเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ไม่นานนักน้ำก็กลับมาเต็มสระดังเดิมเพียงแต่ว่าขุ่นมัวไร้ความงาม ชายหนุ่มวางมือข้างซ้ายทาบกับอากาศโดยหันฝ่ามือลงพื้น เมื่อกดมือลงไปอย่างช้าๆ บรรดาตะกอนและสารแขวนลอยทั้งหลายก็ค่อยๆถูกผลักดันให้จมลงสู่ก้นสระ ไม่นานน้ำในสระก็กลับมาใสสะอาดดังเดิม ดวงตาสีมรกตแฝงความอ่อนล้าเล็กน้อย เพราะหลายวันที่ผ่านมาเขาใช้พลังพิเศษจากเหล่าจารึกไปมาก ทว่ากลับไม่ได้เติมพลังกลับคืนเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มรับรู้ว่าไกอาที่กำลังใช้ระบบปฏิบัติการล่องหนอยู่ กำลังส่งเคลื่อนความถี่พิเศษแจ้งเตือนเขาว่าควรหาอาหารได้แล้ว ก่อนที่จารึกแห่งแกนกลางจะเริ่มกระบวนการกลืนกินพลังงานเสียเอง
“ว่าแต่คุณจะให้ผมเรียกด้วยชื่อรอง ฟ่งเซี่ยว หรือเรียกกุยแกดีล่ะ?” น้ำเสียงทีเล่นทีจริงนั้นคล้ายหยั่งเชิงเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ให้ไกอาตรวจสอบประวัติศาสตร์เมื่อคืน พูดจบประโยคไม่กี่วินาทีร่างของเจ้าของเสียงก็มายืนอยู่เบื้องหน้าโดย ที่หนุ่มขี้โรคไม่ทันรู้ตัวเลยสักนิด เขาจึงผงะไปด้านหลังเล็กน้อยตามสัญชาติญาณ
“แล้วแต่ท่านเห็นสมควร”เขากล่าวตอบอย่างรวดเร็ว
“เอาเป็นกุยแกดีกว่า เรียกง่ายกว่ากันเยอะ อ้อรบกวนบอกคนที่กำลังแอบดูผมด้วยว่าผมคงกลับมาอีกทีตอนเย็นๆ” กล่าวจบก็โบกมือทักทายคนที่ซุ่มดูอยู่ไกลๆ ก่อนจะพลิ้วกายทะยานตัวกลางอากาศ เพียงแค่ชั่วลมหายใจเข้าออกร่างของเขาก็พลันหายไปจากสายตาของผู้คนภายในบ้านตระกูลเยี่ย
“ออกมาเถอะท่านเจ้าตระกูล” กุยแกกล่าวเชื้อเชิญ
“แขกของท่านนับว่าไม่ธรรมดายิ่งกว่าที่ท่านบอกข้าเสียอีก จากที่ดูเมื่อครู่เขาน่าจะเป็นผู้บรรลุถึงขั้นเซียนกระมัง เช่นนี้แล้วแม้แต่ตั๋งโต๊ะหรือลิโป้ก็ไม่อาจเทียบเคียง” เยี่ยหวนกล่าวชื่นชมจากใจ พร้อมกับเดินออกจากที่ซ่อน
“กับเทพเซียนผู้นี้ หากเขายอมอยู่ฝ่ายเราทุกสิ่งย่อมสมปรารถนา” กุยแกตอบ “ทว่าเขากลับมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่อาจชักจูงหรือหลอกใช้ได้ จะผูกมิตรย่อมต้องใช้ความจริงใจ ข้าจึงมองเขาเป็นทั้งผู้มีพระคุณและเซียนที่น่าเคารพมากกว่ามนุษย์ด้วยกัน”
“ท่านกล่าวเกินไป แม้เทพหรือเซียนก็ยังมีกิเลศความต้องการมากมาย อันว่ายอดยุทธ์ผู้กล้าและจอมคน มีหรือจะไม่ชมชอบลาภยศทรัพย์สมบัติและอิสตรี ข้าเองก็มีทั้งเงินทองและยอดสาวงามอยู่ในการดูแล ขอเพียงหาโอกาสเหมาะๆมอบนางให้เขาทุกสิ่งย่อมง่ายขึ้น” เจ้าตระกูลเยี่ยเปรยถึงแผนการของตน
“บุตรชายของท่านคงไม่ยืนยอมเป็นแน่ รายนั้นหลงนางอย่างกับอะไรดี” หนุ่มขี้โรคขัดขึ้น “อีกอย่างข้าคิดว่าแผนนี้ใช้กับคนผู้นั้นไม่ได้หรอก”
“แผนสาวงามมีหรือจะไม่ได้ผล น้องเราวิตกเกินไปแล้ว ส่วนเรื่องของจิ้นกว่างข้าจะจัดการเอง เพื่ออนาคตของตระกูลเยี่ย ไม่ว่าจะใช้วิธีใด หนิงเซียนก็ต้องเป็นสะพานที่เชื่อมโยงเรากับเซียนผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์” เยี่ยหวนตั้งใจแน่วแน่
กุยแกหรี่ตาลง เขาหวั่นว่าแผนการดังกล่าวแทนที่จะก่อคุณ กลับจะสร้างหายนะให้ตระกูลเยี่ยมากกว่า
เสียงจ้อกแจ้กจอแจของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าดังก้องย่านการค้าเมืองลกเอี๋ยง ผู้คนมากมายทั้งชายและหญิงเดินเลือกซื้อหาสินค้าเต็มไปหมด ร้านค้าตั้งเรียงรายสองฝั่งถนนเต็มไปด้วยสินค้าหลากหลายประเภท หลายคนวางหาบบรรจุผักสดและปลาชนิดๆต่างๆบนพื้นให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ ผู้คนมากมายกำลังออกันอยู่บริเวณแผงลอยที่ปูด้วยผ้าหยาบๆริมถนน ยามนี้ซันซั่งเทียนกำลังชมดูการแสดงของคณะกายกรรม แม้ว่าจะเป็นการแสดงดาษๆแต่กลับคนที่ไม่เคยเห็นอย่างเขาก็ดูน่าสนใจไม่น้อย ไม่ไกลกันนักมีหอคณิกาหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ ผู้คนมุงดูกันอยู่มากพลางส่งเสียงอื้ออึงคล้ายกับกำลังตกลงราคาอะไรบางอย่าง
เมื่อเงี่ยหูฟังชัดๆด้วยพลังจารึกแห่งประสาทสัมผัสก็ได้ความว่า คณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงได้จัดการแสดงพิณครั้งสุดท้ายก่อนเข้าไปรับใช้ตั๋งโต๊ะที่งานเลี้ยงภายในวังหลวงค่ำคืนนี้ การแสดงดังกล่าวรับแขกเพียงหกท่านเท่านั้น คหบดีหรือเหล่าขุนนางทหารกล้าที่หลงใหลในตัวนางต่างก็มาร่วมประมูลซื้อที่นั่งกัน
“จะงามแค่ไหนกันเชียว” ซันซั่งเทียนคิด แวบหนึ่งในหัวของเขาปรากฏภาพของผู่เยว่ “บ้าจริง ทำไมดันไปคิดถึงนางได้ล่ะ”
ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดจึงได้เดินจากไปอีกทาง ก่อนจะพบกับเหตุการณ์อีกอย่างเมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กำลังห้อมล้อมเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งกำลังแบกตัวตระกล้าสมุนไพรเอาไว้บนหลัง สายตาของคนเยาว์กว่าคอยมองหาช่องทางหลบหนีอยู่ตลอดเวลา คนที่กำลังหงุดหงิดอย่างซันซั่งเทียนจึงถือโอกาสเดินเข้าไปใกล้ๆเผื่อว่าจะได้ระบายอารมณ์
“ข้าให้สองตำลึงทอง” เสียงอันทรงพลังกล่าวขึ้น
“ท่านนายกองอุตส่าห์ขอซื้อสมุนไพรด้วยราคาขนาดนี้ รีบขายจะดีกว่าน่า”บรรดาผู้ติดตามกล่าวเย้ยหยันด้วยท่าทางดูถูก
“ไม่ได้หรอกท่าน ของพวกนี้มีท่านหมอตั้งใจมอบให้กับทางวัด ข้ามีหน้าที่นำกลับไปส่งหอยาไว้ดูแลเหล่าหลวงจีนหรือศิษย์วัดที่ป่วยไข้ หากขายให้ท่านจะเป็นการทำลายศรัทธาและความตั้งใจของท่านหมอ นับเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง “เด็กหนุ่มตอบปฏิเสธท่าทางหนักแน่น ทว่าสายตาของเขาปรากฏความหวาดหวั่นไม่น้อย
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นมีร่างใหญ่แต่งกายคล้ายทหารแลดูกำยำเต็มใบด้วยมัดกล้ามใบหน้าเหี้ยมเกรียมท่าทางดุดัน ที่มาพร้อมผู้ติดตามเป็นบัณฑิตหน้าหวานในชุดขาว ทันทีที่ชายคนนั้นก้าวเท้าเข้ามาบรรยากาศแสนอึดอัดก็ปกคลุมโดยรอบ พ่อค้าแม่ค้าละแวกนั้นรีบเร่งขนย้ายข้าวของเพราะคิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้น
“สมุนไพรหายากที่ยังสดใหม่พวกนี้ ข้าจะเอาไปฝากท่านเตียวเลี้ยว หากรักชีวิตก็รีบส่งมันมา” ผู้กล่าวคือหลิวเฉิน น้องชายของขุนพลล่าพยัคฆ์ ทหารคนสนิทของเตียวเลี้ยวใต้สังกัดลิโป้
ส่วนผู้ติดตามคือกุนซือหน้าหยก จางเจียน หลงเอ๋อใจเต้นโครมครามเพราะจากรูปการแล้วพวกเขาไม่ได้มาดี ตัวเองวรยุทธ์ก็ใช่จะล้ำเลิศยากที่จะรับมือได้
“ท่านนายกองพูดเจ้าไม่ได้ยินรึยังไง?” จางเจียนเสียงเข้ม บรรดาทหารลิ่วล้อนับสิบค่อยๆย่างสามขุมล้อมเข้ามามากขึ้น
“คนของจวนล่าพยัคฆ์คงไม่คิดจะรังแกลูกศิษย์วัดธรรมดาหรอกใช่ไหมท่าน” เสียงหนึ่งเปรยขึ้น เจ้าของเสียงคือชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง เขาอยู่ในชุดสีเทาเนื้อดีเหมือนบุตรชายตระกูลมีชื่อตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แววตาเด็ดเดี่ยวเปี่ยมพรสวรรค์
“เจ้าเป็นใคร” หลิวเฉินหันไปมองอย่างสนใจ
ชายคนนั้นไม่ตอบเพียงแต่ชูกระบี่ฝักสีเขียวที่มีพู่สีทองห้อยอยู่ให้คนทั้งหมดดู
“กระบี่มรกต เฉียวเป่ย” จางเจียนอุทาน “ยอดมือกระบี่แห่งเสเหลียง”
“เจ้าและข้าต่างติดทำเนียบร้อยยุทธ์ด้วยกันทั้งคู่”
หลิวเฉินเยียดรอยยิ้มดุดัน พลางกำหมัดแน่นลอบโคจรลมปราณเตรียมเปิดศึก ข้างฝ่ายเฉียวเป่ยกระชับกระบี่แน่นตาไม่กระพริบรังสีแห่งการฆ่าฟันคละคลุ้ง หลงเอ๋อศิษย์วัดหยกครามกลับถอนหายใจเฮือกเดินออกมาขวางคนทั้งสองเอาไว้ เรียกความสนใจจากทั้งคู่
“เจ้าหนูทำแบบนี้คงรำคานชีวิตแล้วสินะ” รองประมุขป้อมล่าพยัคฆ์กัดฟันกรอด ย่างสามขุมเข้าหาเด็กหนุ่มอย่างถือดี
“ข้าไม่อยากยุ่งกับพวกท่านหรอก แต่ถ้าสู้กันตรงนี้มีหวังชาวบ้านคงเดือนร้อนหนัก” เขาพยายามอธิบาย “ช่วยไปตีกันที่อื่นได้ไหม?”
“แทนที่จะห่วงชีวิตตัวเอง ดันเป็นห่วงคนอื่น บ้าไปแล้ว” จางเจียนหัวเราะขำขัน
“ไร้สาระ! ”หลิวเฉินคำรามก้อง พลังลมปราณแผ่กระจายออกโดยรอบ หลงเอ๋อโคจรพลังคุ้มกาย ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องถูกกระแทกให้ถอยหลังไปหลายก้าวยกมือกุมอกอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่วนร้านรวงรอบด้านพลันได้รับความเสียหายไปตามๆกัน แสดงให้เห็นถึงความห่างชั้นของฝีมือ ส่วนกระบี่มรกตยังคงยืนอยู่ที่เดิมบ่งบอกความสูสีระหว่างสองฝ่าย
“ไม่มีความเมตตาเลยสักนิด นี่หรือขุนทหาร” เด็กหนุ่มกล่าวเย้ยหยัน ทั้งที่เลือดลมยังปั่นป่วนไม่หาย
“น่ารำคาน” หลิวเฉินซัดฝ่ามือใส่ หลงเอ๋อตีลังกาหลบรอดตายหวุดหวิด ทว่ามีชาวบ้านธรรมดารับเคราะห์แทนสองราย เพียงต้องพลังลมปราณพยัคฆ์บูรพาขั้นที่ 1 ก็เพียงพอแล้วที่จะปลิดชีพผู้คน
“พยัคฆ์คำราม” หลิวเฉินรวบรวมลมปราณโคจรไปทั่วร่าง ก่อนจะกู่ร้องปล่อยคลื่นเสียงออกมาจากปาก เมื่อเห็นการโจมตีแรกพลาดเป้า หลงเอ๋อทะยานตัวขึ้นไปบนกำแพงใช้สองมืออุดหูเอาไว้ ข้างกระบี่มรกตเพียงยกกระบี่ขึ้นโคจรลมปราณมรกตต้านรับ สภาพก้ำกึ่งไม่ด้อยกว่ากัน
เมื่อพลังของอีกฝ่ายอ่อนลง เฉียวเป่ยชักกระบี่ทะยานตัวพุ่งแทงออกไปตรงๆ ลมปราณผนึกเป็นรูปมังกรเขียวพันเกลียวรอบกระบี่ก่อนจะพุ่งโจมตีรองเจ้าบ้านจวนล่าพยัคฆ์ หลิวเฉินกำหมัดแน่นซัดกระบวนท่า พลังสองสายกระแทกกันส่งผลให้คนทั้งคู่ก้าวถอยหลังคนละก้าว
“ปล่อยมือ” หลิวเฉินตวาดสาดพลังมหาศาลของลมปราณพยัคฆ์บูรพาขั้นที่ 6 หมายปลดอาวุธของอีกฝ่าย
เฉียวเป่ยอาศัยความใจเย็นพลิ้วกายด้วยพลังตัวเบาอันเหนือล้ำกว่า เขาจงใจเลี่ยงการปะทะตรงๆ แล้วคอยทิ่มกระบี่โจมตีจากรอบข้างโดยเว้นระยะห่างเพื่อความได้เปรียบ คมกระบี่รวดเร็วจู่โจมไว ไม่นานบาดแผลมากมายก็ปรากฏแก่หลิวเฉิน
“เจ้าตัวบัดซบ” รองเจ้าบ้านจวนล่าพยัคฆ์สบถ พริบตานั้นกระบี่มรกตก็พุ่งเข้าจู่โจมทันที
หากเทียบกันแล้วหลิวเฉินดูจะดุดันทรงพลังมากกว่า หมัดคู่ของเขาแข็งแกร่งราวกับสามารถทลายหินผาได้ ทว่าท่าร่างและความเร็วเฉียวเป่ยกินขาด ทั้งยังใจเย็นเปี่ยมด้วยสติ คิดอ่านรอบครอบฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำเหมือนจะเป็นหลิวเฉิน เพียงสี่กระบวนท่าก็เห็นผล เมื่อรองเจ้าบ้านจวนล่าพยัคฆ์เลือดโทรมกายแต่อีกฝ่ายกลับไร้รอยขีดข่วน
เมื่อเห็นดังนั้นอีกสองคนที่นิ่งเงียบอยู่นานท่ามกลางฝูงชนก็พลันจู่โจมทันที เป้าหมายของเขาคือกระบี่มรกตเฉียวเป่ย แต่ทว่ามือกระบี่คล้ายรู้อยู่ก่อน อาศัยวิชาตัวเบาดีดตัวออกห่างแล้วหมุนตัวขึ้นไปยืนอยู่บนกำแพงข้างๆหลงเอ๋อผู้จู่โจมคือ ทูตซ้ายขวาสังกัดป้อมวิถีราชันย์ หน่วยข่าวกรองของลิหยู
“สามรุมหนึ่งนี่หรือลูกผู้ชาย” เด็กหนุ่มโวยขึ้น
“พวกเราล้วนคนกันเอง มีหรือจะนิ่งดูดาย” เสียงแหลมของทูตขวากล่าวขึ้น มันสะบัดมือชักกระบี่สั้นออกมา
“เรากำลังเสียเปรียบ ถอยก่อนดีกว่าน้องชาย” เฉียวเป่ยกล่าวกับเด็กหนุ่ม
“ข้าไปไม่ได้หรอกท่าน ไม่งั้นเสียชื่อสามสมณะแห่งวัดหยกครามหมด” เขายิ้มบางๆ ก่อนจะตั้งท่าผนึกมือคล้ายกับเตรียมสู้รบเต็มกำลัง
ทูตซ้ายขวาและหลิวเฉินทะยานตัวเข้าปะทะ แต่ทว่าถูกผลักกลับไปด้วยพลังลึกลับบางอย่าง พวกมันหมุนกายถอยหลังไปสิบก้าว สายตามองหาผู้ลงมือก่อนจะเห็นชายปริศนาในชุดคลุมสีหม่น ดวงตาสีมรกตมองไปยังคนก่อความวุ่นวายด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“ให้ข้าเล่นด้วยคนสิ?” ซันซั่งเทียนกล่าวระหว่างเดินเข้ามาขวางทั้งสองฝ่าย
“เจ้าเป็นใคร?” ทูตซ้ายเอ่ยถามพลางโคจรพลังอย่างไม่ประมาท
“คนที่กำลังหาที่ระบาย” กล่าวจบก็กำหมัดชกมือตัวเองเล่นสองสามครั้ง ก่อนจะขยับศีรษะคล้ายกับวอร์มกำลัง
ทั้งหลงเอ๋อและเฉียวเป่ย มองด้วยความแปลกใจ ฝ่ายหน่วยข่าวกรองและทหารจวนล่าพยัคฆ์เองก็เช่นกัน เพราะไม่คิดว่าจะมีใครกล้าพอที่จะรับมือกับทั้งคนของลิหยูและเตียวเลี้ยวพร้อมๆกันแบบนี้
“เจ้าคนสาวหาว”
หลิวเฉินเหลืออด ระเบิดพลังลมปราณพยัคฆ์บูรพาขั้นที่ 7 อันเป็นขั้นสูงสุดที่เขาบรรลุ พร้อมกับกระโดดชกหมัดทั้งสองออกไปอย่างบ้าคลั่ง พลังกดดันดุจภูเขาถล่ม ซันซั่งเทียนถอนหายใจในความโง่งมของอีกฝ่าย ชายหนุ่มตั้งท่าแบมืออก งอนิ้วกลางให้โค้งลงมาแล้วใช้นิ้วโป้งกดไว้ ก่อนจะดีดนิ้วออกไปเมื่อหมัดนั้นจวนจะถึงตัว
เปรี้ยง! แสงสว่างวาบสีส้มวูบหนึ่งพุ่งออกจากนิ้วเป็นเส้นตรง พลังงานความร้อนกระจายออกโดยรอบ มือที่เต็มไปด้วยหมัดกล้ามกลับถูกกระแทกให้เบี่ยงออก ตามมาด้วยเลือดจำนวนมากที่พุ่งออกจากสองแขน เหมือนแจกันน้ำตกแตก หลิวเฉินตะลึงงันก่อนจะแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ยังดีที่มืออีกข้างไม่ถูกทำลายตามไปด้วย ทูตซ้ายขวา หลงเอ๋อและกระบี่มรกตเฉียวเป่ยยืนตะลึงกับภาพที่พวกเขาเห็น
จะฆ่าดีไหมนะ” ซันซั่งเทียนเหยียดรอยยิ้มชั่วร้าย แววตาลิงโลดเหมือนเด็กที่ได้รับของเล่นชิ้นใหม่อีกชิ้น
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เห็นหลายตอนแล้ว กรุณาแก้ด้วยค่ะ
Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl
Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl
อิอิ