ตอนที่ 52 : EP.50 พรรคอัคคี
Game of Creation ภาค ประกาศิตเทพมารแสวงพ่าย
EP.50 พรรคอัคคี
ยุทธภพแบ่งออกเป็นสามกลุ่มคือสำนักฝ่ายธรรมะและอธรรม อีกหนึ่งกลุ่มคือค่ายสำนักที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หลายร้อยปีก่อนในช่วงปลายยุครณรัฐ มีประกายแสงสว่างไสวลงมาจากฟากฟ้าและกระจายตัวไปตามแว่นแคว้นต่างๆ นักปราชญ์มากมายได้บันทึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวโดยเชื่อว่าเป็นนิมิตจากสวรรค์ หลังจากนั้นก็บังเกิดเรื่องเล่าขายที่แสนมหัศจรรย์ราวกับตำนานกำเนิดเทพในยุคปลายราชวงศ์ซางหวนกลับมา จิ๋นซีฮ่องเต้ ออกดั้นด้นค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ว่ากันว่าเขาค้นพบอัญมณีที่สวยงามและทรงพลังพร้อมกับโลหะพิสดาร ก่อนจะสร้างเป็นยอดศาสตราเล่มหนึ่ง พลังจากอัญมณีดังกล่าวส่งผลให้เขาสามารถฝึกฝนพลังลมปราณได้ถึงขั้นสูง พลังอำนาจนั้นช่วยให้เขาพิชิตทุกแว่นแคว้นก่อตั้งราชวงศ์ฉินขึ้น
ภายหลังผู้สืบสายเลือดของแคว้นที่ล่มสลายได้ออกตามหาขุมพลังดังกล่าวบ้าง ราชวงศ์ฉินดำรงได้เพียงสองรัชสมัยก็สิ้นสุดลงภายในเวลา 12 ปี สาเหตุสำคัญมาจากความโหดเหี้ยมของจิ๋นซีฮ่องเต้และความไม่เอาไหนของรัชทายาท กองกำลังต่างๆล้วนเปิดศึกรบพุ่งเพื่อชิงแผ่นดิน ช่วงปลายสงครามคงเหลือเพียงฌ้อปาอ๋องเซียงอี่กับหลิวปังสองฝ่าย พวกเขาต่างครอบครองพลังเหนือธรรมชาติคนละอย่าง ฌ้อปาอ๋องมีวิหคอมตะหลิวปังมีมังกรจักรพรรดิ ท้ายสุดฌ้อปาอ๋องพ่ายแพ้เชือดคอตายริมแม่น้ำอู่เจียง พร้อมกับสาบานว่าจะกลับมาล้างแค้นอีกครั้ง
วันเวลาล่วงเลยตำนานอภินิหารต่างๆค่อยๆเลือนหาย พลังแห่งมังกรจักรพรรดิของราชวงศ์ฮั่นพลันหายสาบสูญในยุคราชวงศ์ซิน(อองมังก่อกบฏ) แม้ราชวงศ์ฮั่นจะฟื้นฟูกลับมาทว่าหลายสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไป ทายาทของแคว้นฉู่ได้ออกค้นหาดวงจิตของวิหคอมตะมาหลายยุคหลายสมัย เพื่อหวังกอบกู้บ้านเมืองล้างแค้นให้ฌ้อปาอ๋อง ต้นรัชกาลพระเจ้าเลนเต้ราชสำนักเริ่มเสื่อมโทรมสายเลือดแคว้นฉู่ได้ก่อตั้งค่ายสำนักขึ้นในนาม พรรคอัคคี เซียงอู๋หมิงตั้งตนเป็นประมุขพรรคนำพาสายเลือดแคว้นฉู่ก่อการในยุทธภพ สิบกว่าปีผ่านไปพรรคอัคคีก็กลายมาเป็น 1 ใน 3 พรรคมาร ที่แสนชั่วร้ายของยุทธภพ
สี่ผู้อาวุโสพรรคอัคคีประกอบไปด้วย เซียงเหวย,เซียงซา,เซียงอู่จี๋,เซียงเซียน พวกเขาบรรลุวิชาปราณอัคคีถึงขั้นสูง ซ้ำยังเชี่ยวชาญเพลงกระบี่ฝีมืออยู่ในระดับหาตัวจับได้ยาก ทว่า 30 กระบวนท่าผ่านไปพวกเขาก็ยังไม่อาจสร้างบาดแผลใดๆให้กับชายหนุ่ม ซันซั่งเทียนที่ยามนี้ใช้ชื่อเจียงซั่งเทียนเพียงทำการตั้งรับอย่างรัดกุม อาวุธลับทำมือถูกปล่อยออกมาโดยเพิ่มจาก 10 เป็น 24 ชิ้น เขายังคงมีท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อนในขณะที่สี่ผู้อาวุโสเริ่มเหนื่อยหอบ เนื่องจากมีอายุมากซ้ำยังใช้พลังวัตรอย่างต่อเนื่อง ส่วนชาวยุทธ์คนอื่นๆได้แต่มองพร้อมกับถกวรยุทธ์กัน
“อัคคีผลาญฟ้า”เซียงซาซัดฝ่ามือพร้อมประกายเพลิงรุกไล่จากด้านบน
“ไม่มีเวลาคิดชื่อกระบวนท่าเท่ๆเลยแฮะ”เจียงซั่งเทียนเบ้ปากพลิกมือสะบัดอาวุธลับสามชิ้นไปต้านรับ ชายหนุ่มเริ่มแสดงอาการเบื่อหน่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางของเขาจริงจังขึ้นอาวุธลับทั้ง 108 ชิ้นถูกปล่อยออกมาจนหมด
ตูม! เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมการล่าถอยของสี่ผู้อาวุโสพรรคมาร พวกทุกเขาทุกคนต่างปรากฏรอยเลือดเป็นทางยาวที่แขน ซึ่งเกิดจากระเบิดขนาดเล็กที่ไกอาปลดปล่อยออกมาในจังหวะการปะทะสุดท้าย
“ขวางทำไม”เจียงซั่งเทียนถามด้วยท่าทีไม่พอใจ
--“นายไม่อยากเป็นจุดสนใจไม่ใช่รึไง ขืนใช้พลังของจารึกทุกอย่างก็พังนะสิ”--
“นั่นสินะ”เจ้าของดวงตาสีมรกตถอนหายใจเบาๆ
เซียงอู๋หมิงจ้องมองชายหนุ่มสวมหน้ากากไม้ไม่วางตา ชาวยุทธ์คนอื่นๆต่างทึ่งกับฝีมือของบุรุษปริศนา จูล่งรู้สึกเลื่อมใสอีกฝ่ายส่วนสมณะเส้าเจ๋อกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด ประมุขพรรคมารรวมพลังเพลิงไว้บนฝ่ามือก่อนจะทะยานตัวกลางอากาศฟาดมือเข้าใส่ ประกายเพลิงแตกกระจายออกโอบล้อม ชายหนุ่มผู้มาจากอนาคตเพียงควบคุมพลังอย่างระมัดระวังหมุนวนอาวุธลับทั้ง 108 รอบตัว
ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้นเงาร่างหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่เซียงอู๋หมิง ประมุขพรรคมารพลันฟาดฝ่ามือไปอีกทางแทนเพื่อรับมือกับผู้มาใหม่ เปลวเพลิงลุกพรึบขยายใหญ่ขึ้นทว่ามันกลับไม่อาจทำอันตรายใดๆแก่อีกฝ่าย นักพรตเทียนที่ผู้ที่ย่อยสลายพลังเสร็จสิ้นแววตาเป็นประกาย ผมเผ้าหนวดเคราสีขาวเรืองรองราวกับเซียนผู้วิเศษ กระบี่ที่ยังอยู่ในฝักถูกวาดเป็นวงกลมก่อเกิดสัญลักษณ์ปราณหยินหยาง พลังวัตรมหาศาลกระแทกให้ประมุขพรรคอัคคีต้องถอยออกไป
“ร้ายกาจ”เซียงอู๋หมิงกล่าวระหว่างพลิ้วกายลงสู่พื้น
“ท่านประมุขเซียงอุตส่าห์มาเยือน ขออภัยที่อาตมาออกมาต้อนรับช้า”
“ท่านดูเปลี่ยนไปจากเมื่อสิบปีก่อนมาก”เซียงอู๋หมิงกล่าว สายตาลุกวาวด้วยความกระสันอยากต่อสู้ประฝีมือ
“ทุกสิ่งยังคงเดิม”นักพรตเทียนที่บอกกล่าว มือจับกระบี่แน่นไม่คิดประมาทอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปยกมือคำนับเจียงซั่งเทียนอย่างนอบน้อม “เชิญท่านพักผ่อนก่อน หลังจากนี้อาตมาจัดการทุกสิ่งทุกอย่างต่อเอง ขอบคุณท่านมาก”
“อืม”เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับเดินกลับไปนั่งที่เดิม ขณะที่ศิษย์สำนักจักรวาลยกเก้าอี้ตัวใหม่มาให้แทนตัวที่ถูกทำลายไป ท่ามกลางความสงสัยของเหล่าชาวยุทธ์
ฉิ้ง! เสียงชักกระบี่ดังขึ้นพร้อมกับการต่อสู้ครั้งใหม่ กระบี่คมกล้าตวัดเป็นวงกว้างลมปราณรุนแรงแผ่ขยายรุกไล่ เซียงอู๋หมิงโคจรพลังอัคคีรับมืออย่างไม่คิดประมาท กระบี่ฟันฟาดมือยกขึ้นปะทะ เปลวเพลิงแม้ร้อนแรงแต่ก็ยังไม่อาจหลอมละลายกระบี่ที่เคลือบลมปราณ นักพรตเทียนที่แทงกระบี่ออกไปพร้อมกับกระโดดหมุนตัวเป็นแนวนอนพุ่งเข้าใส่ เซียงอู่หมิงตบมือเสียงดังโคจรลูกเพลิงสองลูกต้านรับ ประกายแสงสว่างวาบสะเก็ดไฟแตกออกทั่วลาน ชาวยุทธ์ผู้ด้อยฝีมือต่างกระโดดหลบฉากถอยออกไกล มีเพียงสมณะเส้าเจ๋อกับเจียงซั่งเทียนที่ยังคงอยู่วงใน
“ฝีมือร้ายกาจ ถ้าไม่บัญญัติวรยุทธ์ชุดใหม่คงยากที่จะไปไหนมาไหนโดยไม่ใช้พลังของจารึก”ชายหนุ่มครุ่นคิดระหว่างมองการต่อสู้
“คนๆนี้หรือว่าจะเป็น...”เส้าเจ๋อเองก็ลอบชายหนุ่มปริศนาตาไม่กระพริบ
ตูม! เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งเรียกสติของเส้าเจ๋อให้กลับสู่ร่าง ผลการต่อสู้ทำให้พวกเขาถอยไปคนละห้าก้าว นักพรตเทียนที่กับเซียงอู๋หมิงยืนจ้องกันราวกับกำลังค้นหาจุดอ่อน พวกเขายืนนิ่งไม่ไหวติงจนเวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป เมื่อเห็นว่าหมดโอกาสทำลายสำนักจักรวาล ทั้งกริ่งเกรงเหล่าชาวยุทธ์จะช่วยเสริมกำลังอีกฝ่าย แถมยังมีชายหนุ่มปริศนาที่ไม่ธรรมดาอีกคน ในที่สุดเซียงอู๋หมิงก็ตัดสินใจนำคนของพรรคมารจากไปอย่างเงียบๆ
“ยุติลงเสียที”นักพรตเทียนที่ถอนหายใจ เช่นเดียวกับชาวยุทธ์คนอื่นๆ
งานล้างมือในอ่างทองคำดำเนินต่อทันทีหลังจากทำความสะอาดสถานที่แล้วเสร็จ เมื่อจบงานบรรดาชาวยุทธ์ต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามห้องหับที่จัดไว้ให้ นักพรตเทียนที่จัดให้เจียงซั่งเทียนพำนักอยู่ที่หอดูดาวเก้าชั้นฟ้าเพียงลำพัง โดยมีศิษย์ลำดับต้นๆคอยเฝ้ารักษาความปลอดภัยอยู่หน้าทางเข้าชั้นแรงสุด
หลายวันผ่านไปเจียงซั่งเทียนก็ยังไม่อาจคิดค้นวรยุทธ์ใหม่ได้ เพราะคิดทีไรก็หนีไม่พ้นแนวเดิมๆสักที เขาไม่อยากใช้ที่อาวุธซ้ำแบบกับใคร ตัวอาวุธลับเองก็ดูไม่ค่อยเหมาะกับเขาหากไม่ยอดใช้พลังของจารึกแรกกำเนิด ด้วยความหงุดหงิดชายหนุ่มจึงทะยานตัวไปเดินเล่นบนหลังคาหอดูดาวเก้าชั้นฟ้า ด้วยหวังจะได้รับการผ่อนคลาย
ค่ำคืนนี้ดวงจันทร์ถูกเมฆบดบังพื้นพิภพพลันมืดมิดมีเพียงแสงไฟเล็กๆจากอาคารต่างๆในสำนัก แม้เขาจะใช้แซ่เจียงที่มาจากเจียงไท่กงในยุคปลายราชวงศ์ซางต้นราชวงศ์โจว แต่เขาก็ไม่อยากใช้คันเบ็ดเป็นอาวุธสักเท่าไหร่ เขาอยากได้อาวุธที่พิสดารและน่าจดจำมาเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว สำหรับใช้ในการท่องเที่ยวยุทธภพก่อนจะกลับไปวุ่นวายกับเรื่องชิงแผ่นดิน
“เหลือเวลาเที่ยวเล่นอีกนานแค่ไหน ไกอา”
--“ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ น่าจะไม่เกิน 2 ปี เพราะหากไม่มีอะไรผิดพลาดกุยแกจะตัดสินใจเข้าพวกกับโจโฉในที่สุด หลังจากนั้นไม่นานก็จะเกิดมรสุมในเตียงอันเนื่องจากลิฉุยและกุยกี คนที่นายนิยมชมชอบจริงๆก็คงจะปรากฏในตัวตอนนั้น แต่ก็นะประวัติศาสตร์เริ่มผิดแปลกไปนิดๆ นายต้องติดต่อกับเกาะโศกศัลย์เพื่อรับช่าวสารเรื่อยๆ”--
“เข้าใจแล้ว ว่าแต่นายนี่รู้ดีนักนะเรื่องคนๆนั้น”ซันซั่งเทียนยิ้มขำๆ
--“ก็ปกตินายไม่เคยให้คนของนายตามใครมาก่อน ทุกคนที่นายช่วยเหลือเพราะวาสนานำพาให้พบกันทั้งนั้น มีแค่หมอนั่นคนเดียวที่นายส่งสองในสิบศักดิ์สิทธิ์ไปคอยคุ้มครองดูแลอย่างลับๆ”--
“มันก็จริง...”ซันซั่งเทียนหรี่ตาลง “ ในยุคสงครามที่แสนสับสนวุ่นวาย จะมีกี่คนที่สามารถรักษาชีวิตรอดทั้งที่นับวันชื่อเสียงยิ่งเพิ่มพูนสูงส่ง คนที่มีชื่อเสียงทัดเทียมหรือสูงส่งล้วนแล้วแต่ตายลงจนหมด ส่วนตัวเองกลับอยู่ได้จนแก่เฒ่าแถมยังตายอย่างสงบเสียด้วย นายว่ามันไม่น่าสนใจรึไง?”
--แค่เด็กที่สนใจของเล่นชิ้นใหม่--
“อะไรกัน! เห็นฉันเป็นคนยังไง?”เจียงซั่งเทียนหัวเราะร่า เงยหน้าแหงนมองฟ้าอย่างอารมณ์ดี“แค่จะหากุนซือใหม่มาช่วยกุยแกเฉยๆ”
ชายหนุ่มผู้มาจากโลกอนาคตเลิกคิ้วทันที เมื่อกลุ่มเมฆเคลื่อนตัวออกจากการบดบังดวงจันทร์ ดวงตาของเขาพลันลุกวาวบังเกิดไอเดียในการสร้างอาวุธใหม่
****มาอีกทีกลางเดือนครับ ขอตัวไปดูแลลูกเมียหลวงต่อล่ะ อิอิ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ก็ตาม บทที่ไรเตอร์เขียนนั้นแหละ
ขอบคุณครับ ^^
เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นแล้วในตอนที่ 25 ตอนจบของseason 1 = =
กลับไปอ่านดูแล้วจะเข้าใจครับ