ตอนที่ 5 : EP.03 โฉมสะคราญล่มเมือง
Game of Creation ภาค ประกาศิตเทพมารแสวงพ่าย
EP.03 โฉมสะคราญล่มเมือง
แต่ละยุคแต่ละสมัยสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั้นไม่เคยว่างเว้นการทำสงคราม ในยุคโบราณมีความเชื่อและพิธีกรรมมากมายเกี่ยวกับการรบทัพจับศึก ไม่ว่าจะเป็นการบรวงสรวงฟ้าดินหรือบูชายัญสิ่งมีชีวิตเพื่อสักการะเทพเจ้าตามคติความเชื่อทางศาสนา ดินแดนตงง้วนที่ยืนหยัดยาวนานมาหลายพันปีก็เช่นกันถึงแม้จะมีราชวงศ์ต่างๆผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปกครองแผ่นดิน แต่ความเชื่อในเรื่องราวเหนือธรรมชาติหลายสิ่งหลายอย่างก็ยังคงดำรงอยู่ โดยเฉพาะในยุคแห่งการผลัดเปลี่ยนที่แผ่นดินตกอยู่ในไฟสงครามเรื่องราวลึกลับและความเชื่อเกี่ยวกับภูตผีปีศาจหรือเทพเซียนก็ยิ่งถูกล่ำลือมากขึ้น
ตัวอย่างที่มีให้เห็นก็อย่างตำนานเทพยุทธ์ในศึกโค่นราชวงศ์ซางก่อตั้งราชวงศ์โจวซึ่งกลางมาเป็นการก่อเกิดทำเนียบเทพของจีนโบราณกับตำนานเจียงไท่กงและปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง หรือการก่อกำเนิดกบฏชาวนาโพกผ้าเหลืองซึ่งทำโดยสามพี่น้องผู้อวดอ้างว่าตนเองเชี่ยวชาญวิชาทางพรตอันทรงฤทธานุภาพรวมกองกำลังได้นับล้านหวังโค่นล้มราชวงศ์ฮั่น แต่กลับพ่ายแพ้ในท้ายที่สุดและเป็นชนวนเหตุหนึ่งที่กำให้ก่อกำเนิดเกิดยุคสมัยที่ถูกเรียกขานว่า “สามก๊ก”
และเรื่องราวล่าสุดที่ถูกพูดถึงกันแบบปากต่อปากคือเรื่องราวของช่องโหว่แดนสวรรค์ซึ่งเกิดขึ้นกลางสนานรบย่อยเมื่อหลายปีก่อน เนื้อหาใจความของเรื่องเล่ามีอยู่ว่าเกิดเหตุการณ์ประหลาดท้องฟ้าปรากฏช่องโหว่และมีวัตถุลึกลับโผล่ออกมาจากฟ้า ลำแสงมากมายพวยพุ่งออกจากช่องนั้นกระจายไปทั่วทุกสารทิศ เหล่าทหารมากมายที่กำลังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากกองซากศพ เพื่อค้นหาดาบโล่ชุดเกราะที่ยังมีสภาพดีสามารถใช้งานได้รวมไปถึงสิ่งมีค่าอื่นๆสำหรับนำไปใช้ในการศึกครั้งต่อๆไป หลายร้อนคนต้องลำแสงจากฟากฟ้าทำให้ร่างของพวกเขาระเบิดกลายเป็นกองเลือดเนื้อเพียงกองเดียว ผู้ที่พบเห็นล้วนเชื่อว่านั่นเกิดจากการต่อสู้ของเทพเซียนและปีศาจเหมือนครั้งบรรพกาลที่ก่อเกิดหายนะจนเทพมารดรหนี่วาต้องเสียสละตนเองใช้ศิลาห้าสีซ่อมฟ้า บ้างก็กล่าวว่าแผ่นดินตงง้วนถึงคราวกลียุคครั้งใหญ่ดังเช่นเมื่อคราวราชวงศ์ซางล่มสลาย จนกระทั่งเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความพินาศของกลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง
และนั่นคือจุดเริ่มต้นขอเรื่องราวทั้งหมด...
6 ปีต่อมาภายหลังการล่มสลายของกองทัพโจรโพกผ้าเหลือง
“สถานการณ์ล่าสุดของฝ่ายหัวเมืองต่างๆเป็นยังไงบ้าง?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะล้ำค่าผู้นั่งอยู่บนหลังม้าสีดำสนิทตัวสวยท่วงท่าองอาจสมเป็นอาชาชั้นเลิศ คนผู้นี้มีนามนามเล่ากั๋งเป็นแม่ทัพชาญศึกผู้หนึ่งยามนี้เขากำลังควบม้านำหน้าขบวนเกี้ยวหรูหราหลังหนึ่งพร้อมด้วยทหารมือดีที่สุด 8 คน ซึ่งเล่ากั๋งเป็นผู้คัดเลือกด้วยตัวเอง ยามนี้กลุ่มของแม่ทัพผู้นี้เคลื่อนตัวผ่านเส้นทางเลียบชายป่าตำบลหยังตี๋เมืองอิ่งชวน(มณฑลเหอหนาน) หูเฉินนายทหารคนสนิทผู้หนึ่งที่กำลังควบม้าตามหลังเมื่อได้ยินคำถามจากผู้เป็นนาย ก็ได้ทำการออกแรงบังคับม้าให้วิ่งไล่กวดตามขึ้นมาด้านหน้าจนเกือบจะเรียกไว้ว่าควบม้าเดินเคียง เขายกมือทั้งสองข้างประสานกันในท่าทำความเคารพก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“เรียนนายท่าน 7 วันมานี้กองเสบียงของฝ่ายเราถูกโจมตีทั้งสิ้น 4 กอง ทหารเสียชีวิต 392 คน รอดชีวิตเพียง 8 นาย ซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยขนส่งเสบียงของนายกองหลี่มี่,นายกองบู๊ชง,นายกองจิ่วอั้งและนายกองเวิ่นไป่ขอรับ”
“จุดเกิดเหตุล่ะ ที่ใด?”เล่ากั๋งถามขึ้น
“ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นภายในพื้นที่เมืองอิ่งชวนขอรับ” หูเฉินตอบ
“เมืองที่พวกเราอยู่ตอนนี้สินะ แล้วพวกโจรมันช่วงชิงอะไรไปบ้าง?” เสียงอันเปี่ยมไปด้วยอำนาจถามขึ้น
“สิ่งที่ถูกชิงไปมีเพียงเกลือจำนวน 30 กระสอบ ส่วนข้าวสารอาหารแห้งอื่นๆยังอยู่ครบขอรับ”
“ปล้นแต่เกลืองั้นหรือ...น่าแปลกจริงๆ โดยปกติแล้วการปล้นสะดมกองเสบียงไม่น่าจะหลงเหลือสิ่งใดเอาไว้ แล้วคนร้ายมีกันกี่คน?”ผู้นำขบวนกล่าวถามอีกครั้ง
“คนเดียวขอรับ” ทหารคนสนิทกล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย
“คนเดียว!”เล่ากั๋งอุทานทวนคำเสียงดัง “เจ้าโจรนั่นเป็นเทพเทวดามาจากที่ใดกัน? หมู่นี้ข้าได้ยินแต่เรื่องเล่าลือเกี่ยวกับเทพเซียนและภูตผีเต็มไปหมด”
“การโจมตีครั้งสี่ครั้งเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ผู้รอดชีวิตทุกคนต่างยืนยันเหมือนๆกันขอรับ”
“พวกมันว่าเช่นไร?” เล่ากั๋งหันมาถามนายทหารคนสนิท
“เหล่าผู้รอดชีวิตต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคนผู้นี้ประหลาดนัก การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วดุจภูตผีใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถสังหารพวกเขาแทบหมดสิ้น แต่ก่อนจะลงมือปลิดชีพมักจะถามคำถามเดิมซ้ำๆ เมื่อตอบแล้วจึงจะลงมือ ซึ่งผู้รอดชีวิตทั้งหมดไม่ได้หนีรอดมได้แต่ถูกปล่อยตัวมาขอรับ”
“คำถามนั้นว่าอย่างไร?”เล่ากั๋งขมวดคิ้วครุ่นคิดมือก็ค่อยๆลูบเคราของตัวเอง
“คำถามนั้นมีอยู่ว่า เจ้าเคยสังหารคนที่ไร้ทางสู้บ้างไหม? เจ้าเคยฉุดคร่าข่มขืนอิสตรีหรือไม่? เจ้าเคยลงมือฆ่าเฒ่าชราทารกบ้างหรือเปล่า? แล้วรู้สึกยังไงเมื่อทำไปแล้ว? ทั้งหมดสี่ประโยคขอรับ” นายทหารคนสนิทตอบตามสิ่งที่ได้สอบถามมาจากผู้รอดชีวิต
“เจ้าตัวประหลาด คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองหรือยังไงถึงได้เที่ยวตั้งคำถามตัดสินโทษคนพวกนี้ มิหนำซ้ำยังมาปล้นชิงเสบียงที่จะใช้ในการศึกโค่นล้มทรราชย์ผู้ครอบงำราชสำนัก หากข้าเจอมันข้าจะใช้อาวุธยาวของข้าทำให้มันขาดเป็นสองท่อนเลยทีเดียว” เล่ากั๋งประกาศกร้าวเสียงดังด้วยความไม่พอใจ
“หากเจ้ามีความสามารถเหมือนที่ปากพูดจริงก็คงจะดีไม่น้อย”
เสียงหนึ่งแว่วขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เล่ากั๋งและเหล่าผู้ติดตามชะงักไปชั่วขณะ เมื่อกวาดสายตามองสำรวจโดยรอบก็พบชายหนุ่มปริศนาผู้หนึ่งที่มีดวงตาสีน้ำตาล คนผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาผิดแผกไปจากชาวตงง้วนใบหน้าคมผิวสีแทนรูปร่างกำยำสมส่วน แม้จะอยู่ในชุดชาวบ้านชนบทที่ดูมอซอแต่ก็ยังเปล่งอานุภาพน่าเกรงขามออกมาไม่น้อย ยามนี้ชายหนุ่มคนดังกล่าวกำลังนอนอยู่บนลำไผ่ต้นหนึ่งที่ส่วนปลายโค้งเอียงลงมาซึ่งสูงจากพื้นราวๆ 4-5เมตรห่างออกไปเบื้องหน้าของฝ่ายทหาร เขาทำตัวตามสบายและไม่มีทีท่าว่าจะตกลงมาเลยแม้แต่น้อยเสมือนหนึ่งว่ามันเป็นที่นอนชั้นดี
“เจ้าเป็นใคร?” เล่ากั๋งพลิกมือคว้าทวนคู่กายกระชับแน่นแผดเสียงตลาดถามออกไป
“พวกเจ้าเคยฆ่าคนที่ไร้ทางสู้บ้างไหม?”ชายปริศนาถามขึ้นโดยที่ไม่ยอมตอบคำถามก่อนหน้า
“โจรร้าย”หูเฉินตวาดพร้อมกับกระโดดออกจากม้าทะยานตัวเข้าหาอีกฝ่าย ดาบเล่มใหญ่ในมือสะบัดซ้ายป่ายขวารุกไล่พัลวัน
“ไม่เจียมตัว”ชายหนุ่มปริศนาตวาดคำรามก้องขึ้น พลังคลื่นเสียงขยายวงกว้างออกจากปากกระแทกหูเฉินกระเด็นกลับไป ข้างทหารคนอื่นๆจำต้องยกมือปิดหูป้องกันอันตรายข้างฝ่ายเล่ากั๋งที่มีฝีมากกว่าพลันอดกลั้นแล้วทะยานตัวขึ้นไปรับร่างของคนสนิทเอาไว้
“ทำใจดีๆเอาไว้หูเฉิน”
“ขออภัยนายท่าน” นายทหารคนสนิทกล่าวด้วยเสียงโรยแรงอย่างยากลำบาก สองหูของเขาปรากฏเลือดไหลออกมาจากภายในเป็นทางยาว ท่าทางจะบอบช้ำไม่ใช้น้อย
“เจ้าพักก่อนเถอะ”ผู้เป็นนายบอกกล่าวพร้อมกับวางร่างของคนสนิทเอาไว้ ส่วนตัวเองลุกยืนขึ้นกระชับคมทวนแน่นก่อนจะกระโดดเงื้ออาวุธฟาดใส่อีกฝ่าย ชายหนุ่มปริศนาหมุนกายกลับหลังเพื่อหลบการโจมตีก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้าเพื่อเตรียมระเบิดพลังเสียงโจมตีครั้งต่อไป
ว๊ากกกก! เสียงคำรามที่ทรงพลังพุ่งออกอีกครั้ง เล่ากั๋งไม่เกรงกลัวดาหน้าเข้าปะทะอย่างไม่สะทกสะท้าน ใบหน้าของเขาสั่นไหวเพราะพลังเคลื่อนเสียงเลือดค่อยๆไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด เล่ากั๋งฝืนเจ็บอาศัยช่วงที่พลังคลื่นเสียงอ่อนแรงลงซัดทวนด้วยแรงทั้งหมดที่มีโดยเล็งจู่โจมบริเวณลำคอของอีกฝ่าย
ฉว้ะ! เสียงอาวุธยาวสะบั้นศีรษะชายหนุ่มปริศนาดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงร่างกระแทกพื้นดังขึ้นครั้งหนึ่ง แม้ยามตายชายลึกลับกลับเบิกตากว้างเสมือนหนึ่งไม่ยอมรับว่าคนที่มีพลังเหนือมนุษย์เช่นเขาจะพลาดท่าให้กับการโจมตีที่แสนธรรมดาเช่นนี้ ทว่าผู้ชนะกลับไม่ได้มีท่าทียินดีเลยแม้แต่น้อยนั่นเป็นเพราะทั่วร่างของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือดเสียยิ่งกว่าหูเฉิน อาการบอบช้ำภายในไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“เหยื่อตัวนี้โดยตัดหน้าไปซะได้แฮะ” น้ำเสียงทีเล่นทีจริงเปรยขึ้น สร้างความวิตกให้กับเล่ากั๋งไม่น้อยแถมเขายังบาดเจ็บหนักเสียจนมองไม่เห็นอีกฝ่าย ในใจเต็มไปด้วยความห่วงใยลูกน้องและบุคคลสำคัญผู้ที่อยู่ภายในเกี้ยว แต่แล้วชั่วอึดใจเดียวต่อมาเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังมากมายที่เอ่อล้นเข้ามาภายในร่างกาย พลังสายนี้ช่วยรักษาอาการผิดปกติต่างๆให้กับตัวของเขาไม่น้อย
“ท่านคือ?” เมื่อพอมองเห็นได้ลางๆ และรับรู้ได้ว่าผู้ที่มาไม่ได้มีกลิ่นอายของมือสังหาร น้ำเสียงของเขาจึงแฝงความเป็นมิตรเอาไว้ไม่น้อย
“ซันซั่งเทียน! ที่ผมยอมยื่นมือช่วยเหลือก็เพราะคุณอุตส่าห์มีน้ำใจจัดการเจ้าหมอนี่แทนผม นับว่าทุ่นเวลาไปได้อีกนิด” น้ำเสียงนุ่มกล่าวตอบ
ภาพที่เล่ากั๋งได้เห็นคือภาพของชายผู้มีดวงตาสีมรกตจะใช้มือควักเอาหัวใจออกร่างที่ไร้ศีรษะ พร้อมกับค่อยๆเคี้ยวกันด้วยสีหน้ามีความสุขเสมือนหนึ่งได้ชิมรสอาหารชั้นเลิศ แม่ทัพสูงวัยสาบานได้ว่าชั่วขณะนั้นเขาเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเรืองรองขึ้นเหมือนไม่ใช่มนุษย์ บนไหล่ของเขามีวัตถุทรงกลมที่มีปีกโลหะสีดำลอยอยู่ใกล้ๆ เขาเบิกตากว้างราวกับเคยเห็นคนประหลาดผู้นี้มาก่อน
ปีศาจ! เหล่าทหารมือดีที่คุ้มกันเกี้ยวทั้ง 8 คนอุทานพร้อมๆกันด้วยความแตกตื่น ต่างคนต่างกระชับอาวุธเอาไว้พลางถอยห่างออกไปหลายเก้า มีเพียงเล่ากั๋งเท่านั้นที่ยังคงนั่งคุกเข่านิ่งอยู่ที่เดิมราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่าง อึดใจหนึ่งต่อมาเขาก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดนั่นก็คือการโขกหัวลงกับพื้นคล้ายกำลังขอร้องอะไรบางอย่างครั้งแล้วครั้งเล่า
“7 ปีผ่านมาท่านกลับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ได้โปรดเถอะข้าผู้น้อยขอรบกวนท่านเซียนสักเรื่องหนึ่ง” น้ำเสียงนั่นหนักแน่นยิ่ง
“คุณต้องการอะไร?” เจ้าของดวงตาสีมรกตกล่าวถาม
“ขอให้ท่านช่วยนำพาบุคคลในเกี้ยวไปส่งยังที่แห่งหนึ่ง”เล่ากั๋งกล่าวออกไป
“แล้วผมจะได้อะไรตอบแทน?” ชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคล้ายกับไม่ใส่ใจ
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าสามารถทำให้ได้”เขาตอบหนักแน่น
“งั้นก็ลองฆ่าทุกคนที่มากับคุณหน่อยสิ”
มือไวเท่าความคิดเล่ากั๋งอาศัยเรี่ยวแรงที่เหลือทั้งหมดลงมือสังหารทหารกล้าที่เขาฝึกฝนมาเองกับมือทั้งแปดคน ก่อนจะลงมือปลิดชีวิตทหารคนสนิทที่บาดเจ็บสาหัสทั้งน้ำตาพร้อมกับการคุกเข่าต่อหน้าบุคคลผู้แสนลึกลับโดยไม่ยอมปริปากใดๆ
“ใจเด็ดดีนี่ ทำไมถึงกล้าทำเรื่องพวกนี้ทั้งๆที่พวกเราไม่เคยรู้จักกัน และผมก็ยังไม่ได้รับปากอะไรเลย?”
“เพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่น ทั้งข้าและทหารคนสนิทที่ข้าไว้ใจบาดเจ็บสาหัสเชื่อว่าคงไม่มีทางไปถึงที่หมาย ส่วนทหารผู้ติดตามคนอื่นๆแม้ข้าจะคัดเลือกและฝึกสอนพวกเขามากับมือแต่ข้าก็รู้ดีว่าพวกเขาไว้ใจไม่ได้มากนัก เมื่อไม่มีข้าพวกเขาก็พร้อมที่จะตีจากซึ่งนั่นจะทำให้ความหวังของข้าและผู้มีพระคุณต้องล้มเหลว” เล่ากั๋งกล่าวตามความสัตย์ “จากสถานการณ์หากท่านคิดโจมตีแม้ข้าร่วมมือกับพวกเขาก็คงเล่นงานท่านไม่สำเร็จมีแต่จะตายกันหมดซึ่งทุกสิ่งก็สูญเปล่าอยู่ดี สู้ใช้โอกาสนี้เสี่ยงขอร้องท่านเซียนไม่ดีกว่าหรือ?”
“เมื่อเรียกผมว่าเซียนคุณคงจะเคยเห็นผมมาก่อนสินะฮ่าๆ น่าสนุกดีนี่ถ้าผมรับปาก ผมต้องนำคนในเกี้ยวไปส่งที่ไหน?”เจ้าของดวงตาสีมรกตกล่าวถาม
“เมืองลกเอี๋ยง...ส่วนสถานที่นัดพบคนในเกี้ยวจะแจ้งให้ท่านทราบเอง”เล่ากั๋งตอบ
“เมื่อใดที่คุณตายผมก็จะรับปากท่าน”น้ำเสียงนั้นเย็นยะเยือกคล้ายกับหยั่งเชิงแม่ทัพสูงวัยผู้เจนสงคราม ยังไม่ทันขาดคำแม่ทัพเล่ากั๋งก็ทุ่มเดิมพันทั้งหมดด้วยการปลิดชีวิตตัวเองในทันที สิ่งนั้นทำให้เจ้าของดวงตาสีมรกตยิ้มบางๆอย่างพอใจ
“ใจกล้าดีแฮะ! ถือซะว่าพักร้อนชั่วคราวก็แล้วกัน” เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินข้ามศพของเล่ากั๋งมุ่งหน้าไปยังเกี้ยว เพียงสะบัดมือเล็กน้อยสายลมวูบหนึ่งก็พัดพาให้ผ้าม่านปลิวขึ้นสู่เบื้องบนเผยโฉมบุคคลผู้นั่งอยู่ภายใน
ซันซั่งเทียนนิ่งงันชั่วขณะเมื่อได้สบตากับสาวงามผู้โดยสารอยู่ภายในเกี้ยว ใบหน้างามซึ้งดวงตากลมโตเป็นประกายผิวกายขาวอ่อนละมุน จมูกโด่งริมฝีปากสวยได้รูปคิ้วเรียวสวยกลิ่นกายหอมสะอาด เรือนผมดำขลับเงางามรูปร่างอรชรราวกับนางสวรรค์อาภรณ์ที่สวมใส่มีสีชมพูอ่อนบางเบามาดนางพญา แววตาของนางเด็ดเดี่ยวไม่หวั่นเกรงอันตรายสมเป็นยอดกุลสตรี ซันซั่งเทียนถึงกลับยิ้มบางๆอย่างพอใจก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า
“คุณคือ?”
นางไม่ตอบคำถามใดๆเพียงขยับกายก้าวลงจากเกี้ยว เมื่อถูกแสงสว่างภายนอกนางยิ่งงามล้ำมากกว่าเดิม นางย่อตัวเล็กน้อยคล้ายคำนับชายหนุ่มด้วยท่าทีนิ่งๆไร้ความหวาดกลัว ซันซั่งเทียนรู้สึกชอบใจในความสวยและถูกชะตากับท่วงท่าสง่างามและจิตใจที่เข็มแข็งผิดกับสตรีนางอื่นๆในยุคโบราณที่เขาเคยพบมา แววตาของนางหวานซึ้งเต็มไปด้วยความชื่นชมราวกับว่านางรู้จักเขามานานแล้ว รอยยิ้มละไมแสนอ่อนโยนสร้างความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดให้แก่ชายหนุ่ม
“ผมขอถามอีกครั้ง คุณชื่ออะไร?” น้ำเสียงนั้นเน้นย้ำคล้ายกับมีบางอย่างที่เขาสงสัย
“ผู้น้อยมีนามว่า...เตียวเสี้ยน” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ซันซั่งเทียนเอียงคอน้อยๆเหมือนยังมีบางสิ่งบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ
นับแต่นั้นวงล้อแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มผิดเพี้ยนไปจากเดิม...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คนมองโลกด้านเดียวเเบบนี้ อนาคตต้องหาเรื่องพระเอกเเน่เลย = =