ตอนที่ 41 : EP.39 ต่างฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว
Game of Creation ภาค ประกาศิตเทพมารแสวงพ่าย
EP.39 ต่างฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว
“ประวัติศาสตร์เริ่มผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น...” เสียงแหบพร่าเอื้อนเอ่ยขึ้นภายในวิหารบนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง มือเหี่ยวย่นสั่นเครือค่อยๆยกขึ้นลูบไปมากลางอากาศ เพื่อปิดจอโฮโลแกรมซึ่งกำลังแสดงผลอยู่ ก่อนจะหันกลับมาโดยมีผู้ร่วมสนทนาอีกสองคน
“ขืนเป็นแบบนี้บรรพบุรุษของพวกเราก็อาจตายได้ทุกเมื่อ แล้วพวกเราที่สืบเชื้อสายจากพวกเขาจะไม่สูญสลายหายไปหรอกหรือ?” เสียงที่ดูหนุ่มกว่ากล่าวเสริม ในระหว่างที่เจ้าของเสียงกำลังจ้องมองบรรดาชิ้นส่วนจารึกขนาดเท่านิ้วก้อย ซึ่งถูกบรรจุอยู่ในโหลแก้วนับดูแล้วคงไม่ต่ำกว่า 100 ชิ้น ชายหนุ่มลูบมือไปมาบริเวณผิวกระจกอย่างชั่งใจ
“ตอนที่ยานระเบิดข้ารวบรวมชิ้นส่วนจารึกแรกกำเนิดมาได้ 112 ชิ้น ส่วนมากเป็น ระดับ C มีระดับ B 20 ชิ้น และ A 5 ชิ้น ส่วนระดับ S มีแค่ 2 ชิ้น คิดดีแล้วหรือที่จะมอบมันให้กับพวกที่เราเลี้ยงไว้ใช้งาน?” ผู้ร่วมวงสนทนาอีกคนกล่าวขึ้น ฟังจากน้ำเสียงเห็นได้ชัดว่าเป็นอิสตรี
“ตราบเท่าที่ไม่ใช่ส่วนหลักทั้ง 108 ชิ้น ซึ่งถูกประเมินให้อยู่ในระดับ S รูปแบบพิเศษ พวกเราจะมอบให้กับใครเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะทันทีที่รวบรวมส่วนหลักได้ครบทั้งหมด จารึกแรกกำเนิดก็จะสมบูรณ์ พวกชิ้นส่วนเล็กน้อยก็จะสูญเสียพลังอำนาจของมันไปเอง” เฒ่าชราอธิบาย
“พูดยังกับทำได้ง่ายๆ อย่าลืมสิว่าแกนกลางที่แท้จริงอยู่กับมัน!”เสียงแหลมแหวใส่
“สิ่งนั้นใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว” เฒ่าชราเปรยขึ้นโดยไม่สนใจคำของหญิงสาว
“เครื่องสร้างเขตแดนจะเสร็จแล้วหรือ” ชายหนุ่มแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้า สตรีผู้ร่วมวงสนทนาด้วยก็มีท่าทีไม่ต่างกัน “ขอแค่มันถูกเปิดใช้งานพวกเราก็ไม่ต้องกลัวเจ้าเด็กเปรตนั่นอีกแล้ว จารึกแห่งแกนกลางก็กลายเป็นเพียงแค่ของไร้ค่าชิ้นหนึ่ง”
“แต่ว่ามันกินพลังงานสูงมากทำให้ใช้ได้แค่ไม่กี่นาที พวกเรายังต้องเตรียมความพร้อมมากกว่านี้ถ้าจะจัดการกับมันให้ได้ผล ข้าเชื่อว่าหากพวกเราพลาดพลั้งไปมันจะไม่มีโอกาสครั้งที่สองอย่างแน่นอน”ผู้อาวุโสสุดกล่าวเตือนสติ
“เข้าใจแล้ว! แต่ตอนนี้เราควรจัดการเรื่องที่ประวัติศาสตร์กำลังถูกเปลี่ยนแปลงจะดีกว่า ข้าไม่ยากหายไปจากโลกก่อนแผนการของพวกเราเสร็จสิ้นลง” นางเสนอความเห็น
“ข้าจะจัดการเอง พวกเจ้าอยู่เฉยๆเถอะ!” น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวอาสา
เฒ่าชราผู้นี้อยู่ในชุดคล้ายกับพวกเจ้าลัทธิชนชั้นสูงถือไม้เท้าประดับแก้วผลึกเจ็ดสีโดดเด่น เขาค่อยๆเดินไปข้างหน้าอาศัยไม้เท้าค้ำยันถึงกระนั้นก็ยังทำด้วยความลำบาก ทันทีที่ออกมาจากวิหารไม้ก็พบกับผู้คนมากมายซึ่งนั่งคุกเข่ารออยู่ เฒ่าชรานั่งลงบันเก้าอี้ไม้สลักรูปมังกรกับหงส์สายตาอ่อนล้าทอดยาวไปข้างหน้า
ไม้เท้าแก้วผลึกเจ็ดสีสันค่อยๆถูกชูขึ้นท้องฟ้าด้านบนก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทันที ภาพโฮโลแกรมขนาดยักษ์ปกคลุมทั้งท้องฟ้าฉายตำแหน่งแผ่นที่ของแผ่นดินจีนยุคโบราณ ท่ามกลางเสียงฮือฮาของบรรดาผู้ที่อยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น มันแสดงตำแหน่งด้วยจุดวงกลมเล็กๆ สีแดงสีเขียวและสีเหลืองซึ่งแต่งแต้มอยู่ตามจุดต่างๆของแผนที่ บางแห่งมีการกระพริบบางแห่งกลับนิ่งสงบคล้ายสัญญาณหรือสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง
“เวลานี้ทั่วแผ่นดินควรจะมีสงครามน้อยใหญ่ปรากฏขึ้น ทว่าเวลานี้มันกลับไปเป็นอย่างที่ควรจะเป็น เห็นได้ชัดว่ามีบางคนคิดท้าทายโองการสวรรค์เปลี่ยนแปลงมติฟ้า ข้าให้ฐานะเทพเซียนผู้เฒ่าย่อมไม่อาจปล่อยผ่านโดยง่าย จำต้องส่งคนดีมีฝีมือไปจัดการทุกสิ่งให้กลับสู่เส้นทางเดิม เพื่อไม่ให้โลกหล้าตกอยู่ในความวุ่นวายอันไม่รู้จบ พวกเจ้าในที่นี่ล้วนได้รับการฝึกฝนจากข้าอย่างดี ในตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ถึงเวลาแล้วที่พวกเจ้าทั้งหลายจะต้องสร้างผลงานให้ปรากฏ เสมือนดั่งเหล่าผู้กล้าในยุคโค่นล้มราชวงศ์ซาง ซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็นเทพเซียนมีชีวิตและความสุขตราบจนชั่วนิรันดร”
เสียงโห่ร้องด้วยความฮึกเหิมดังก้องทั่วทั้งลานกว้างบนยอดเขาสูง เหล่าลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันโขกศีรษะกับพื้นเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ
“ศิษย์เอกของข้า จงออกมาให้หมดทุกคน”
สิ้นเสียงประกาศิตหลายคนในกลุ่มก็ค่อยๆก้าวเดินออก ซึ่งมีทั้งหมดห้าคนแต่งกายมิดชิดปกปิดหน้าตา สิ่งที่จะระบุตัวตนของพวกเขาได้เห็นจะมีเพียงป้ายหยกระบุฐานะเท่านั้น
“เพราะเจ้าเฒ่าพิษผู้บงการกองทัพผีดิบ ทำให้เวลานี้กองทัพสกุลอ้วนตกอยู่ในสถานการณ์อันลำบาก คงไม่สามารถกลืนกินกองซุนจ้างได้โดยง่ายเผลอๆอาจจะถูกจัดการเสียเองก็ได้ หากไม่ยื่นมือเข้าช่วยประวัติศาสตร์ก็คงจะเสียหายอย่างหนัก ไหนจะเรื่องของขุนพลผู้กล้าคนอื่นๆอีก ในบรรดาศิษย์ของข้าคงมีเพียงพวกเจ้าทั้งห้าเท่านั้นที่จะช่วยได้” เฒ่าชราบอกพร้อมกับหยิบม้วนตำราห้าม้วนออกมาวางเบื้องหน้าของพวกเขา
“ท่านอาจารย์ สิ่งนี้คือ?”
“ภารกิจของพวกเจ้า...หยิบไปคนล่ะหนึ่งม้วนแล้วกระทำให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ข้าเขียนบอกเอาไว้ ข้าได้สอดแทรกพลังเซียนเอาไว้ให้แล้วในตำรา คนที่สามารถจัดการทุกสิ่งที่เขียนไว้ได้เสร็จสิ้นก่อน ข้าจะให้เป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงร่ำเรียนวิชาเซียนโดยตรงแต่เพียงผู้เดียว” กล่าวจบก็ชูไม้เท้าขึ้นอีก ภาพโฮโลแกรมแผนที่แผ่นดินก็เลือนหายไป ก่อนจะมีมังกรตัวใหญ่สีทองและม่วงแหวกว่ายกลางอากาศ ก่อนที่ตรงกลางระหว่างมังกรสองตัวจะมีภาพของประตูสวรรค์ปรากฏขึ้น สิ่งเหล่านี้ เกิดจากเทคโนโลยีของโลกอนาคต การสร้างภาพเสมือนนั้นสมจริงยิ่งกว่า CG ของยุค ศตวรรษที่20-21 เกือบ 20 เท่า เมื่อใช้ในโลกยุคโบราณจึงกลายเป็นปาฏิหาริย์ชักนำให้ผู้คนหลงทางได้อย่างดี
“ช่างงดงามเหลือเกิน” บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างก็รู้สึกปลาบปลื้มอย่างที่สุด
“ศิษย์เอกของข้าทั้งห้าเอ๋ย...ถึงเวลาของพวกเจ้าแล้ว จงเร่งรุดไปกอบกู้แผ่นดิน ทวงคืนโชคชะตากลับมาจากพวกคนเลวทรามต่ำช้าพวกนั้น ให้โลกได้ประจักษ์เถิดว่าภูตผีปีศาจทั้งหลายล้วนต้องสยบภายใต้นามแห่งข้า สุมาเต็กโช”
“ศิษย์รับบัญชา”
ดูท่าการเผชิญหน้าระหว่างมิวแทนท์ในคราบผู้วิเศษกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
ภายใต้การศึกนอกจากเสบียงแล้วกำลังพลเองก็ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีหากมีเสบียงแต่ไร้ทหารก็ยากที่จะกระทำการใหญ่ได้ หรือหากมีกำลังพลมากมายแต่ไร้ข้าวปลาอาหาร เคลื่อนพลไม่นานก็ต้องอดตายกันทั้งกองทัพทำให้ขุนพลผู้เจนศึกยากจะออกรบโดยไร้ทั้งสองสิ่ง เวลานี้บริเวณชวนเจ่าไร้ซึ่งวี่แววของกองทัพพันธมิตรกวนตงอันยิ่งใหญ่ เพราะพวกเขานั้นแตกสามัคคีกัน ต่างฝ่ายต่างก็ถอนทัพกลับคืนสู่เมืองของตนกันหมดแล้ว ซุนเกี๋ยนก็สำรวจซากเมืองลกเอี๋ยงหมายบูรณะขึ้นมาใหม่ ข้างฝ่ายโจโฉยามนี้กองทัพหลักของเขาได้เขารบกับทัพตั๋งโต๊ะจนแตกพ่ายหมดสิ้น ซึ่งทุกสิ่งล้วนอยู่ในการคำนวนของคนกลุ่มหนึ่ง ใต้ร่มไม้บนเนินผาสูงมีคนสองคนกำลังยืนทัศนาภาพเบื้องล่าง ซึ่งเป็นภาพความพินาศของกองทัพโจโฉ ด้านหลังของพวกเขามีรถม้าคันหรูพร้อมเวรยามซึ่งจัดว่าเป็นยอดฝีมือคอยอารักขาอยู่
“คนผู้นี้หรือที่ท่านจะให้ข้าสนับสนุน” เสียงหนึ่งเปรยขึ้น
“ถูกแล้ว” เสียงหนึ่งกล่าวตอบพร้อมกับกระแอมไอคล้ายคนป่วยกระเสาะกระแสะ คนผู้นั้นชี้มือไปยังกองทัพที่เหลือกำลังพลอยู่น้อยนิด “หากเป็นคนผู้นี้ช้าก็มั่นใจได้เต็มร้อยว่าเขาจะไม่มีทางตั้งตัวเป็นใหญ่โค่นล้มราชวงศ์ลงเสียเอง อย่างมากก็ทำตัวคล้ายตั๋งโต๊ะแต่ดีกว่ามาก พัฒนาบ้านเมืองให้มั่งคั่งร่ำรวยปวงประชาอยู่เย็นเป็นสุข สมดังที่น้องเราปรารถนา”
“หากท่านกล่าวเช่นนั้นข้าก็จะยื่นมือช่วยเขาสักครั้ง”
“เรื่องทุนรอนเจ้าไม่ต้องห่วงข้าจะจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อมสรรพ” เขาบอกพร้อมกับไออีกครั้ง คราวนี้มีเลือดติดแขนเสื้อออกมาด้วย
“อาการของท่านทรุดลงไม่น้อย ควรหาหมอเทวดามาช่วยเหลือดีกว่า ข้าได้ยินว่ามีอยู่ผู้หนึ่งฝีมือของเขานั้นร้ายกาจนัก บางทีท่านอาจจะหายขาดเลยก็ได้” ผู้มาใหม่กล่าวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เสมือนกับว่าคนทั้งคู่เป็นสหายรักหรือไม่ก็ญาติมิตรที่ดีต่อกัน
“ไม่จำเป็นหรอก ข้ายังมีนายท่านอยู่” เขากล่าว
“ข้าไม่เคยเห็นท่านชื่นชมผู้ใดเช่นนี้มาก่อน เขาเป็นเทพเทวดามาจากที่ใดกัน?”
“หากจะให้เปรียบเทียบนายของข้าเป็นยิ่งกว่าเทพเซียนเสียอีก” เสียงนั้นเปรยขึ้น พร้อมกับที่เจ้าของร่างก้าวเท้าออกมานอกร่มไม้ เมื่อแสงแดดยามบ่ายส่องกระทบจึงเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ก็คือกุยแกนั่นเอง เขาทอดสายตาลงไปมองเบื้องล่างด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย
“สักวันข้าคงต้องขอไปชื่นชมบารมีของเขาดูบ้างเสียแล้ว” อีกคนกล่าวพร้อมกับเดินออกมายืนอยู่เคียงข้างกุยแก คนผู้นี้ดูหนุ่มแน่นวางตัวภูมิฐานท่าทางฉลาดเฉลียวไม่น้อย จะเดินจะเหินก็สุภาพอ่อนน้อมท่าทีสุขุมราวกับเป็นยอดนักปราชญ์
“ขอเพียงท่านช่วยเหลือโจโฉให้ตั้งตัวได้ นายของข้าย่อมไปเยือนท่านเองไม่ต้องกังวลไปหรอก” กุยแกตอบ “และข้าเชื่อมั่นอยู่เต็มอกว่าท่านทำได้”
“เมื่อท่านพี่กล่าวเช่นนี้ข้าย่อมต้องกระทำสุดความสามารถ” เขากล่าวพลางยกมือคำนับอย่างที่สหายที่ดีพึงกระทำ “ข้าซุนฮกขอสาบานต่อฟ้า ว่าข้าจะทำให้โจโฉกลายมาเป็นยอดคนผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พูดยังกับ - อย่างกับ
นั่งลงบันเก้าอี้ไม้ - บน
ทว่าเวลานี้มันกลับไปเป็นอย่างที่ควรจะเป็น - ไม่
ข้าให้ฐานะเทพเซียนผู้เฒ่า - ใน
พวกเจ้าในที่นี่ล้วนได้ - ที่นี่ ที่นี้ ที่นี้ ที่นี่ เหมือนจะนิยมใช้ที่นี้มากกว่าที่นี่ สุดท้ายใช้คำที่ไรท์สบายใจ
หยิบไปคนล่ะหนึ่งม้วน -
หากเป็นคนผู้นี้ช้าก็มั่นใจ - ข้า
Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl
Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl
Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl
จิ้นกว่างสร้างปัญหาให้หรือเปล่าเนี่ย.....
ตูก็ดันรออ่าน