ตอนที่ 3 : EP.01 ชายผู้มาจากอนาคต
Game of Creation ภาค ประกาศิตเทพมารแสวงพ่าย
EP.01 ชายผู้มาจากอนาคต
ยามเมื่อราชสำนักเสื่อมโทรมปวงประชาทุกข์ยาก แผ่นดินตกอยู่ในกลียุคเหล่าแม่ทัพขุนพลมากฝีมือต่างสั่งสมกำลังเตรียมตั้งตัวเป็นใหญ่ เป็นนี้มาทุกยุคทุกสมัย ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองนั้น นับได้ว่าเป็นกบฏชาวนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ก๊กหนึ่ง นำโดยสามพี่น้องแซ่เตียวพร้อมเหล่าสาวกเรือนล้าน ยึดถือเอาเมืองกิลกกุ๋นเป็นฐานที่มั่นสำคัญ ตั้งตนเป็นเทพเซียนนำทัพหมายโค่นล้มราชวงศ์ฮั่น
“ฟากฟ้าตายแล้ว!” นั่นคือถ้อยคำหนึ่งซึ่งผู้เผยแพร่คำสอนของลัทธิไท่ผิงของกองทัพกบฏชาวนา เฝ้าพร่ำสอนผู้คนที่มารับการรักษาโรคหรือมีใจคิดเข้าร่วมกองกำลัง โดยยึดเอาเหตุการณ์ซึ่งถูกผู้คนทั่วแผ่นดินเรียกว่า “หนี่วาซ่อมฟ้า” เมื่อปีกลายมาแต่งเติมเสริมเรื่องเข้าไป เริ่มต้นด้วยสงครามเล็กๆระหว่างราชสำนักกับกบฏชาวนากลุ่มหนึ่ง บนสนามรบซึ่งเต็มไปด้วยซากศพของทั้งสองฝ่ายจู่ๆท้องฟ้าก็เกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ พร้อมกับการมาเยือนของส่วนหนึ่งแห่งประตูสวรรค์ ประกายแสงหลากสีพุ่งไปทั่วทุกสารทิศ นั่นคือเหล่าเทพมาที่รุกไล่กันพัลวัน ราชสำนักฮั่นไม่ต่างจากราชวงศ์ซางในยุคก่อน ไม่นานจะต้องก่อเกิดราชวงศ์ใหม่เช่นเดียวกับราชวงศ์โจวของจีฟา เมื่อฟากฟ้าได้ตายลงแล้วก็ถึงเวลาของเหล่าผู้กล้าที่จะมากอบกู้แผ่นดิน
ยุคแห่งความสับสนวุ่นวายจึงเริ่มต้นนับจากนี้...
อีกไม่กี่วันจะมีการจัดงานบวงสรวงฟ้าดินของเตียวก๊ก ก่อนการทำสงครามครั้งใหญ่กับราชสำนัก ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกจากการตระเตรียมงาน ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างทยอยเดินทางเข้ามาภายในตัวเมือง ทั้งที่ได้รับเชิญมาร่วมงานและแอบเข้ามาสืบหาข่าวฝ่ายกบฏ ข้าวปลาอาหารสารพัดอย่างถูกตระเตรียมอย่างดี ขาดเหลืออะไรก็ส่งคนออกไปปล้นสะดมเหล่าคหบดีตามเมืองต่างๆมาชดเชย
ชายหนุ่มผู้หนึ่งอาศัยชุดคลุมสีหม่นปกปิดร่างกายรวมทั้งใบหน้า มีเพียงดวงตาสีมรกตสวยงามเท่านั้นที่คนอื่นจะพอมองเห็น เขาค่อยๆเดินเข้าสู่ประตูเมืองกิลกกุ๋นอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ โดยไม่สนใจที่จะเข้าคิวต่อแถว เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ พวกกองโจรเองก็สังเกตเห็นจึงได้ชักดาบเดินเข้ามาขวางเขาเอาไว้
“เลือกเอา จะกลับไปต่อแถวหรือว่าตาย?” ทหารคนหนึ่งถามขึ้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของคนอื่นๆ ทว่าชายหนุ่มในคลุมดูจะไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆเลยสักนิด
“เมืองนี้ไม่ผิดแน่นะ?” เขากล่าวลอยๆเสียงเบา คล้ายกับพูดกับตัวเอง ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปยังบริเวณรอบๆราวกับกำลังตามหาบางสิ่งบางอย่าง พลางสาวเท้าต่อไปด้านหน้าโดยไม่แม้แต่จะชายตามองทหารคนดังกล่าว ผู้ที่แทบจะเอาดาบจ่อคอเขาอยู่แล้ว
“บังอาจ” นายทหารคนนั้นบังเกิดโทสะเพราะชายหนุ่มปริศนาไม่เห็นตนอยู่ในสายตา ดาบในมือฟันฉับเข้าใส่ส่วนศีรษะของชายหนุ่มผู้อวดดีอย่างรวดเร็ว
เพล้ง! เสียงดาบหักสะบั้นดังขึ้น สร้างความประหลาดใจให้กับผู้พบเห็นไม่ว่าจะชาวบ้านหรือกลุ่มทหาร เพราะเด็กหนุ่มปริศนาผู้นั้นเพียงยกมือขึ้นกันโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง เพียงแค่นั้นก็สามารถทำลายอาวุธของทหารกองโจรโพกผ้าเหลืองได้แล้ว ความพรั่นพรึงบังเกิดแก่ผู้คนโดยทั่ว
“ฆ่ามัน!” เสียงหนึ่งดังขึ้น เหล่าทหารหลายสิบคนซึ่งรับหน้าที่ตรวจคนเข้าออกต่างก็พากันชักดาบเข้ารุมล้อมในทันที
“น่ารำคานจริงๆ”ชายหนุ่มบ่นเบาๆ พร้อมกับปลดปล่อยรังสีสังหารภายในตัวออกไปชั่วขณะ ฉับพลันบรรยากาศโดยรอบก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกอึดอัดและหวาดผวาอย่างแรงกล้ากดดันรอบบริเวณหนักหน่วง ชาวบ้านบ้างคนทนรับไม่ไหวถึงกับล้มคะทำสลบลงกองกับพื้น เหล่าทหารเองก็ได้แต่ยืนแข็งทื่อ มือซึ่งกุมดาบคมกล้าอยู่ไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย เสมือนหนึ่งแมวตัวเล็กๆที่กำลังเผชิญหน้ากับจ้าวพยัคฆ์
“เจ้านี่!” ทหารบางคนกล่าวออกมา แม้ว่าเขาจะฝึกหนักหลายปีจนเป็นยอดฝีมือของเมืองนี้ แต่ก็ยังไม่เคยพบเจอใครที่ร้ายกาจแบบนี้มาก่อน แม้แต่พี่น้องแซ่เตียวก็ยังไม่อาจทำได้
“ที่นี่แน่นะ ไกอา” เขาถามซ้ำอีกครั้งระหว่างเดินเข้าเมืองไป
–“ไม่ผิดแน่ ข้าจับสัญญาณของพวกมันได้แม้จะเบาบางก็ตามที ในเมืองนี้จะต้องมีคนที่มาจากโลกอนาคตอยู่แน่ๆ”--
“ขอให้เป็นพวกครอบครองจารึกแรกกำเนิดชิ้นส่วนหลักทีเถอะ ผ่านมาเกือบปีเจอแต่พวกชิ้นส่วนธรรมดากับเจ้าหน้าที่ทั่วไปทั้งนั้น”เขาบ่นพึมพำ
–“ใครใช้ให้นายมัวแต่เล่นสนุกอยู่ล่ะ ตอนที่พวกมันกำลังย้ายฐานบัญชาการหลักจากโลกไปดวงจันทร์ แทนที่จะรีบจัดการดันปล่อยให้มันเปิดเอราเกจได้เป็นผลสำเร็จ พวกเราถึงได้มาติดแหง่กอยู่ในยุคโบราณไร้ความเจริญแบบนี้”--
“ทั้งอากาศอันบริสุทธิ์ ทั้งความสวยงามของธรรมชาติและอาหารอันเลิศรสไร้สารพิษ ยุคของพวกเราสิ่งเหล่านี้แทบไม่เหลือแล้ว ถือว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัวก็แล้วกัน ยังไงเสียจารึกส่วนหลักแห่งมิติเวลาก็อยู่ในยุคนี้ แค่เราเจอแม่นั่นทุกอย่างก็คงจะง่ายขึ้น”เขายิ้มร้าย
–“ทำไมจารึกแห่งแกนกลางถึงได้เลือกนายเป็นผู้เชื่อมต่อกันล่ะเนี่ย”--
“เพราะผมไม่เหมือนคนอื่นๆล่ะมั้ง” เขาอมยิ้มเล็กน้อย
–“เพราะนายมันคนสองบุคลิก อารมณ์แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้นะสิ แถมมันก็ไม่ใช่จุดเด่นในทางที่ดีเลยสักนิด”--
ถ้าไกอาเป็นมนุษย์คงจะมีเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมาด้วยแน่ๆ
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แล้วชื่อที่ฉันให้ช่วยคิดได้หรือยัง?”
–“อืม รอสักครู่ ชื่อที่เหมาะกับบุคลิกและอุปนิสัยของนายฉันคำนวณออกมาแล้วมีอยู่ 50 ชื่อเลือกใช้เอาเองก็แล้วกัน คิดยังไงถึงอยากมีชื่อภาษาจีนกับเขาบ้าง”--
“เรายังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน จะใช้ชื่อจริงของโลกอนาคตมันก็ดูจะแปลกเกินไปหน่อย”
–“อย่าบอกนะ ว่านายจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ นายจะบ้าไปแล้วหรือไง?”--
“ฉันไม่เคยยุ่งกับใครก่อน นอกจากจะถูกใจหรือมีใครแกว่งเท้าหาเสี้ยน” เขายิ้มเจ้าเล่ห์
–“แปลว่าคิดจะเล่นสนุกกับประวัติศาสตร์สินะ”--
“การตามล่าพวกมิวแทนท์ออโรร่าเคิร์สกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลโลกมันน่าเบื่อนี่นา ผมเองก็อยากจะใช้ชีวิตในแบบของตัวเองบ้าง ในระหว่างที่ทำตามเจตนารมของ “G” ก็ขอทำตามใจตัวเองบ้างสิ” เขายักคิ้วเล็กน้อย สายตาก็กวาดมองรายชื่อจำนวนหนึ่งซึ่งไกอาแสดงออกมาให้ได้เห็น จนกระทั่งมาสะดุดอยู่กับชื่อๆหนึ่ง “เดียวดายค้ำฟ้า! ชื่อดีนี่ เหมือนชีวิตของผมเลย...คงต้องคิดฉายาเพิ่มให้เข้ากันด้วย นับจากนี้ผมจะใช้ชื่อ ซันซั่งเทียน ตกลงไหม”
–“ตามใจนายสิ อย่ามัวแต่เล่นจนลืมเจตนารมแห่ง “G” ก็แล้วกัน”--
“ถ้าชิ้นส่วนจารึกแห่งแกนกลางยอมให้ผมลืมเลือนมันได้ก็ดีสิ” รอยยิ้มเศร้าๆแต้มอยู่บริเวณมุมปาก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผืนฝ้าอันกว้างใหญ่อย่างไร้จุดหมาย
–“ถึงไม่มีแกนกลาง คนอย่างนายจะกล้าลืมความฝันได้รึ?”--
“คุณนี่รู้ดีจริงๆ ไอ้นั่นน่ะของมันแน่อยู่แล้ว แต่ว่าก่อนอื่นคงต้องหาอะไรกินเติมพลังเอาไว้ก่อน” ซันซั่งเทียนกล่าวระหว่างเดินฝ่าฝูงชนบนถนนในเมือง มองเพียงครู่เดียวเขาก็รู้ได้ว่าที่นี่กำลังจะมีการจัดงานใหญ่งานใดงานหนึ่ง ในยุคเช่นดีคงจะมีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
คิดดังนั้นชายหนุ่มผู้มาจากโลกอนาคต จึงเลือกที่จะเข้าพักโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง ภายในถนนเส้นหลักของเมืองกิลกกุ๋น โดยอาศัยเงินตำลึงที่ได้ช่วงชิงมาจากกลุ่มโจรซึ่งหมายจะปล้นชิงเขาระหว่างทาง แต่กลับกลายเป็นอาหารมื้อค่ำของเขาไปเพราะความไม่รู้จักเจียมตัว ภายในโรงเตี้ยมดูหรูหราไม่น้อยเจ้าของคงเป็นคหบดี วันนี้ผู้คนดูเหมือนจะคับคั่งคงจะเป็นกลุ่มคนผู้มาร่วมงานชุมนุมที่จะจัดขึ้นในเร็ววันนี้ ซันซั่งเทียนนั่งอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งบริเวณชั้นสอง สั่งอาหารมาทานสองสามอย่างรสชาติอาหารแดนเหนือดูจะไม่ถูกปากของเขาสักเท่าไหร่ หมั่นโถวเองก็ดูจะจืดไปสักนิดไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิด
“เสี่ยวเอ้อ มีผลไม้บ้างไหม?” ซันซั่งเทียนกล่าวนั้นด้วยความฉุนเฉียวเล็กน้อย น้ำเสียงนั้นก้องกังวานมาก เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยพลังอันร้ายกาจแม้ไม่ใช่พลังวัตรแต่ชาวยุทธ์ก็สัมผัสมันได้ จึงมีหลายคนที่นั่งอยู่ชั้นเดียวกันยกมือแตะอาวุธของตัวเองตามสัญชาติญาณ จนกระทั่งรู้ตัวว่าเจ้าของเสียงเมื่อสักครู่ไม่มีจิตสังหาร และไม่ได้พุ่งเป้ามาทางพวกตนจึงค่อยวางใจคลายมือลง แล้วทำตัวตามปกติเหมือนเมื่อสักครู่
เมื่อเสี่ยวเอ้อนำผลไม้มาให้ที่โต๊ะ บรรยากาศก็ดูจะกลับสู่สภาพปกติ ซันซั่งเทียนอาศัยพลังจารึกแห่งการรับฟังหาข่าวสารภายในโรงเตี้ยม ทำให้ทราบว่าอีกไม่กี่วันจะมีงานบรวงสรวงฟ้าดิน ของเตียวก๊กผู้นำของโจรกบฏโพกผ้าเหลือง เขาจึงคิดที่จะเข้าร่วมงานโดยการฉกชิงเทียบเชิญจากใครสักคนในโรงเตี้ยม ใจหนึ่งคิดอยากชิมอาหารอีกใจก็คิดอยากหาเรื่องสนุกทำ ที่สำคัญเขาคาดว่าเป้าหมายตนเองก็คงอยู่ในงานเลี้ยงดังกล่าวด้วยแน่นอน
หวังว่างานเลี้ยงนั่น คงจะไม่น่าเบื่อเกินไปหรอกนะ...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มันคือตอนแรกของเรื่องที่ต่อจากบทนำ ซึ่งถูกเขียนขึ้นเพื่อให้เรื่องดุสมบูรณ์มากกว่าเดิม
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 4 สิงหาคม 2558 / 10:24
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 4 สิงหาคม 2558 / 10:25