ตอนที่ 22 : EP.20 เซียนพยากรณ์
Game of Creation ภาค ประกาศิตเทพมารแสวงพ่าย
EP.20 เซียนพยากรณ์
ทัพพันธมิตรกวนตง(ค่ายอ้วนเสี้ยว)
ค.ศ.190 ขุนพลผู้เลื่องชื่อจาก 18 หัวเมืองร่วมกันเป็นพันธมิตร อาศัยเหตุตั๋งโต๊ะตั้งตัวเป็นใหญ่ปลดพระเจ้าเซ่าตี้ออกจากราชบัลลังก์ ยกหองจูเปียนเป็นพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นข้ออ้าง ชูธงผู้รักชาติกอบกู้ราชบัลลังก์นำทัพรุกเข้าประชิดเมืองหลวงลกเอี๋ยง ทัพพันธมิตรนำโดยอ้วนเสี้ยว,โจโฉ,ซุนเกี๋ยนและคนอื่นๆ แม้ภายนอกจะดูแข็งแกร่งแต่ภายในกลับมีความแตกแยกอยู่ เพราะต่างคนต่างก็คิดจะเป็นใหญ่หมายช่วยฮ่องเต้เพื่อใช้เป็นฐานอำนาจ ซึ่งตอนนี้อ้วนเสี้ยวแม่ทัพใหญ่ได้เชิญแขกคนพิเศษมาหารือถึงในค่ายพัก
“ท่านเซียนเนตรสวรรค์อุตส่าห์ให้เกียรติมาเยือน ต้องขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับ” อ้วนเสี้ยวกล่าวระหว่างที่ลงมือรินสุราใส่จอกมอบให้แขกคนสำคัญด้วยตัวเอง
“เรื่องเล็กน้อยขอท่านอ้วนอย่าใส่ใจ” สตรีในชุดคลุมสีขาวบอกกล่าว นางยกจอกเล่าขึ้นก่อนจะเทลงพื้นข้างๆตัว “ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องทดสอบข้าก็ได้ ในเมื่อข้าล่วงรู้มติฟ้าเห็นอนาคต มีหรือจะไม่ทราบว่าในเหล้านี้มีพิษ”
“ข้าต้องขออภัยท่านด้วย บรรดาลูกๆของข้าเพียงแค่อยากชื่นชมความสามารถของท่าน หาได้มีเจตนาคิดร้ายไม่ พิษดังกล่าวก็แค่ทำให้ชาขยับกายลำบากแต่ไม่ถึงชีวิต” อ้วนเสี้ยวกล่าวขึ้นด้วยท่าทางสงบเงียบ หางตาของเขาเหลือบไปมองบุตรชายทั้งสามด้วยสายตาคาดโทษ ส่งผลให้คนที่นั่งอยู่เยื้องออกไปไม่ไกลเริ่มมีอาการร้อนๆหนาวๆ
“แม้จะเห็นแก่หน้าท่าน แต่ข้าก็ต้องสั่งสอนเด็กๆของท่านให้รู้จักว่าใครเป็นใคร คำพยากรณ์ที่ท่านต้องการทราบ ข้าจะไม่บอกชื่อของคนที่จะลงมือทำลายฝัน ‘ใต้หล้าหนึ่งสกุลของท่าน’ สิ่งที่จะมอบให้มีเพียงปริศนาที่พวกท่านต้องตีความกันเอาเอง” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่รับไมตรี
“ขอได้โปรดอภัยด้วยเถิด..”อ้วนเสี้ยวเริ่มร้อนรน แต่ก็คงวางตัวทรงภูมิเช่นเดิม
“ทัพพันธมิตรกวนตงของท่าน อายุไม่ยืนนักหรอกไม่นานก็ต้องแตกแยกกัน แทนที่จะสนใจลกเอี๋ยงข้าว่าท่านไปจับตามองเมืองเตียงอันดีกว่า เพราะคนที่จะทำลายฝันของท่าน และนำพาสกุลอ้วนไปสู่ความพินาศ อยู่ที่นั่น” นางกล่าวจบก็ลุกขึ้นสะบัดผ้าคลุมหันหลังเดินจากไป
“นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป ขุนนางใหญ่อย่างพ่อข้าไม่อยู่ในสายตาเลยรึไง” อ้วนชงแผดเสียงตวาดวางลุกขั้นด้วยจิตใจที่ขุ่นมัวไปด้วยโทสะ
“อ้วนชง”อ้วนเสี้ยวพลังใช้เสียงดุ มองบุตรชายด้วยสายตาไม่พอใจ
“ไม่เจียมตัว” สตรีในชุดคลุมสะบัดแขนเสื้อข้างขวาวูบหนึ่ง เปลวไฟก็พุ่งออกไปโดยมีเป้าหมายเป็นว่าที่ผู้สืบทอดของสกุลอ้วนทั้งสาม
พรึบ! ทันทีที่โต๊ะจัดวางอาหารและสุราติดไฟ สามบุตรชายของอ้วนเสี้ยวก็กระโดดออกคนละทิศละทาง ไฟดังกล่าวลุกไหม้เร็วผิดวิสัยไฟปกติชั่วพริบตาโต๊ะทั้งสามก็กลายเป็นตอตะโก มิหนำซ้ำยังเริ่มลามไปติดบริเวณรอบๆอีก อ้วนชงรวบรวมพลังวัตรไว้ที่ฝ่ามือก่อนจะซัดออกไป สตรีนางนั้นยกหลังมือขึ้นกันแหวนสีเงินของนางวูบวาบขึ้น พร้อมกับม่านพลังโปร่งใสไร้สภาพครอบคลุมตัว เพลงฝ่ามือของอ้วนชงถูกสลายอย่างง่ายดาย
“รนหาที่” นางตวาดสะบัดแขนเสื้อซ้าย ไอเย็นแรงกล้ำพุ่งออกไป อ้วนชงตีลังกาหลบด้วยความรวดเร็ว ทว่าผ้าคลุมของเขากลับมีน้ำแข็งเกาะอยู่มากมาย ชายหนุ่มถึงกับหน้าเสียไปเลยทีเดียว เมื่อเห็นเรื่องราวใกล้จะบานปลายอ้วนสุดจึงต้องยื่นมือเข้ามาห้ามปราม
“บุตรชายข้ายังเยาว์ไม่รู้ความ ขอท่านเซียนโปรดเมตตา ข้ายินดีมอบทองคำพันตำลึงทองแทนการขอขมา”อ้วนเสี้ยวพูดออกไปด้วยเสียงอันดังฟังชัดอย่างมั่นใจ เขารู้มาว่าแม้สตรีนางนี้จะได้ถูกเรียกว่าเซียน แต่นางยังยึดติดกับทางโลกชมชอบทรัพย์สินเงินทองมากที่สุด การใช้เงินทองย่อมดีกว่าใช้คำพูดเป็นไหนๆ
“ข้าจะยอมไว้ไมตรีสักครั้ง” นางกล่าวพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อซ้าย ไอเย็นก็พุ่งออกไปดับไฟทั้งหมดจนดับสนิท “ข้าพักที่เตียงอัน นำทองของท่านไปให้ข้าที่นั่น”
“ข้าจะจัดการโดยไวที่สุด” ผู้นำของทัพพันธมิตรรับคำหนักแน่น
สตรีนางนั้นไม่ตอบอะไรเพียงเดินออกไปเงียบๆ ไม่มีใครกล้ารั้งหรือว่าพูดกล่าวใดๆออกมา ทุกคนได้แต่เพียงใช้สายตาที่แฝงความรู้สึกต่างๆกันมองตาม จนกระทั่งนางลับสายตาไปในที่สุด นางผู้นี้คือเซียนนารีเนตรสวรรค์ผู้วิเศษจากภาคตะวันออกของจงหยวน นางสร้างชื่อด้วยการทำนายเรื่องราวความวุ่นวายของราชสำนัก เริ่มจากมรสุมสิบขันที ความตายของโฮจิ๋น ตั๋งโต๊ะเรืองอำนาจ พระเจ้าเซ่าตี้ถูกปลดรวมถึงการสถาปานาพระเจ้าเหียนเต้ กิติศัพท์ของนางระบือไกลไปทั่วแผ่นดิน ในที่สุดอ้วนสุดก็เดินทางไปหานาง นางก็บอกใบ้ว่าโจโฉจะเดินทางมาหาเพื่อร่วมมือกันสร้างกองกำลัง 18 หัวเมือง หมายโค่นล้มตั๋งโต๊ะช่วยเหลือฮ่องเต้ฮั่น ซึ่งทุกสิ่งก็เป็นจริงดั่งคำนางทุกประการ เมื่อทำนางโกรธเช่นนี้ ต่อไปจะขอคำทำนายอะไรก็คงยากขึ้นอีกหลายเท่า
“เจ้าพวกไม่ได้ความ” อ้วนเสี้ยวตวาดบุตรทั้งสามด้วยความเกรี้ยวกราด จนทั้งอ้วนชง อ้วนถำ อ้วนฮี ได้แต่ก้มหน้านิ่งสำนักผิด “หากข้ามีบุตรที่เก่งกล้าสามารถสักคน ราชบัลลังก์ฮั่นจะไปไหนได้”
แม้จะดูเหมือนเป็นขุนนางใหญ่ผู้จงรักภักดี แต่ภายในใจลึกๆแล้วอ้วนเสี้ยวก็แอบหวังที่จะให้ตระกูลของตนได้ครองแผ่นดิน น่าเสียดายที่บุตรชายทั้งสามของเขาล้วนไม่เอาไหน เป็นกลุ่มพวกลูกไม้หล่นไกลต้น ยากจะช่วยงานใหญ่ของบิดา อ้วนเสี้ยวจึงได้เก็บงำความต้องการของตนเอาไว้ในใจลึกๆตลอดมา
อีกด้านหนึ่งยามนี้นารีเนตรสวรรค์ได้เดินทางมาถึงรถม้าของตนแล้ว คนรถและองครักษ์ของนางคุ้มกันนางขึ้นรถ ก่อนที่ขบวนของนางจะเคลื่อนออกจากค่ายโดยมียอดฝีมือขี่ม้าขนาบทั้งหน้าหลังรวม 8 คน บรรดาทหารเลวและแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างมองดูนางอยู่ห่างๆ บ้างชื่นชมบ้านตื่นกลัวบ้านคิดว่านางเป็นเพียงพวกลวงโลก
“ได้มาอีกพันตำลึงทอง ธุรกิจของพวกเราดีวันดีคืนเลยนะ” นางกล่าวระหว่างที่ปลดเสื้อคลุมออก บริเวณข้อมือทั้งสองข้างมีอุปกรณ์บางอย่างติดอยู่ ลักษณะคล้ายกับปืนแบบพิเศษ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นวิทยาการของโลกอนาคต ภายในรถม้ามีคนอยู่สองคนคือ ตัวของนางซึ่งมีนามว่า เสี่ยวเฟยกับชายอีกคนหนึ่งที่มีชื่อว่า จางอัน ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน แต่เดิมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลโลกที่ผันตัวเองมาเป็นหมอดูเทวดา โดยอาศัยอาวุธสมัยใหม่ผสานกับความรู้ทางประวัติศาสตร์และพลังของจารึกแรกกำเนิด
“เงินมากขนาดนี้เห็นทีคงได้เวลาลงหลักปักฐานแล้วล่ะ เสี่ยวเฟยพี่ไม่อยากไปเตียงอันเลย กุยแกอยู่ที่นั่น” จางอันกล่าว เขาอยู่ในชุดคลุมสีดำดวงตาสีแดงทอประกายเจิดจ้าเหมือนผู้มีพลังพิเศษ ผู้เป็นน้องสาวหันมามองพี่ชายตาขวางขณะรถม้ากำลังเคลื่อนที่
“พี่จะบ้ารึไง! เรายังทำเงินได้อีกมาก ประวัติศาสตร์ที่พี่รู้บวกกับพลังในการเห็นอนาคตของพี่ จะช่วยให้พวกเราสบายไปทั้งชีวิต” ผู้เป็นน้องสาวขึ้นเสียง แสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจ นางทำตัวเหมือนเพื่อนฝูงมากกว่าครอบครัว
“พลังของพี่ไม่ใช่การมองเห็นอนาคต แต่เป็นการย้ายจิตของพี่ไปสู่ร่างในอนาคต พลังพวกนี้มันไม่แน่นอน บางทีอยู่ได้ร่วมชั่วโมงแต่บางครั้งก็เพียงไม่กี่นาที พี่ถึงต้องคอยเตือนตัวเองว่าต้องจดเรื่องราวสำคัญๆเอาไว้ยังไงล่ะ” เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ประวัติศาสตร์คล้ายกับกำลังเปลี่ยนแปลง จู่ๆกุยแกก็ไปปรากฏตัวอยู่เตียงอันสร้างฐานกำลัง ทั้งๆที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกับโจโฉ มิหนำซ้ำชายขี้โรคอย่างเขากลับมีสีหน้าอิ่มเอิบผิดวิสัยคนใกล้ตาย ต้องมีคนจากอนาคตช่วยเหลือเขาแน่ๆ”
“จะกลัวทำไม เราก็คนที่มาจากโลกอนาคตเหมือนกัน อาวุธเราก็มีมากมาย แหวนสร้างเกราะป้องกันก็มี แถมพี่ยังมองเห็นอนาคตอีก”
“พี่กลัว...ว่ากุยแกอาจจะเกี่ยวข้องกับมัน ได้ข่าวว่าเจ้านั่นกำลังป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆลกเอี๋ยง พวกขุนพลก็พากันเล่าลือถึงมัน แล้วจู่ๆกุยแกก็นำพวกพ่อค้าจำนวนมากย้ายถิ่นฐานเหมือนกับรู้ว่าลกเอี๋ยงจะถูกทำลาย คนที่ชอบอ่านหนังสือแบบพี่ก็มีไม่มาก และมันเป็นหนึ่งในนั้น ถ้ามันหาเราเจอ ต่อให้มีเงินมากกว่าในท้องพระคลัง พวกเราก็คงตายก่อนที่จะได้ใช้ลืมไปแล้วรึไง!” ผู้เป็นพี่พูดโดยใช้เหตุผล
“ไม่รู้จะอะไรกันนักกันหนา ขนาดย้อนยุคกลับมา 2,200 ปี มันยังจะอาฆาตไม่ยอมเลิกรา” เธอเบือนหน้าออกไปมองชมด้านนอก ด้วยความไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะยกไหเหล้าขึ้นดื่ม “รสชาติแย่ที่สุด คนในยุคโบราณทำแต่ของไม่ได้เรื่อง สู้ไวน์ชั้นเลิศจากยุคของพวกเราก็ไม่ได้”
“ไปอยู่กังตั๋งจะดีกว่าไหม?”ผู้เป็นพี่ชายกล่าวก่อนจะเอนกายพิงกับผนังรถม้า
“ไม่เอา กว่าจะยิ่งใหญ่ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี อดทนหน่อยพี่ ไว้ถึงเตียงอันพวกเราก็จะสบายกันแล้ว” นางกล่าวขึ้น “ทำไมเราไม่ไปเมืองลกเอี๋ยงทั้งๆที่เป็นเมืองหลวง”
“เพราะที่นั่นจะถูกเผาเป็นจุลในสงครามครั้งนี้ยังไงล่ะ” จางอันบอกกับน้องสาว
“น่าเสียดาย ฉันกะว่าจะไปเที่ยวสักหน่อย” เสี่ยวเฟยทำหน้าเว็งๆ นั่งไขว่ห้างไปจิบสุราไป พลางมองบรรดาทหารจากหน้าต่าง ตลอดทางที่ขบวนรถม้าของนางเคลื่อนผ่านไป ในใจก็อยากจะให้ถึงเมืองเตียงอันไวๆ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายกับเงินจำนวนมากที่ได้มา
นางไม่รู้เลยว่าอันตรายอันใหญ่หลวงกำลังรอนางกับพี่ชายอยู่...
ด้านซีหลางและซูเจินที่หลบหนีการไล่ล่าของทหารทัพอ้วน ทั้งสองมุ่งหน้าสู่ตะวันตกเพื่อไปหาพี่ชายของซูเจินที่ลกเอี๋ยง เนื้อตัวขอคนทั้งคู่เต็มไปด้วยรอยแผลเล็กๆน้อยๆจากการถูกกิ่งไม้เกี่ยว เพราะเลือกหนีเข้าป่าแทนที่โล่ง ด้วยหวังว่าพวกทหารจะล้มเลิกการติดตามเพราะความลำบาก ยามนี้เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว เสียงนกกามากมายร้องขับขานระหว่างบินกลับรัง สองหนุ่มสาวพบเจอลำธารระหว่างทาง จึงได้ถือโอกาสพักหายใจหายคอดื่มน้ำดื่มท่า
“รอบข้างเงียบสงัด ไม่มีเสียงใดๆ พวกมันคงถอดใจกลับไปกันแล้ว” ซีหลางกล่าวขึ้นพร้อมใบหน้ายินดี ที่ตัวเองสามารถทำตามคำร้องขอของแม่บุญธรรมได้
“ท่านแม่” เมื่ออันตรายผ่านพ้น ซูเจินก็ทรุดตัวลงด้วยความอาลัยในมารดา หยาดน้ำเอ่อล้นรอบดวงตาของนางพลางไหลอาบสองแก้ม นางรู้สึกจุกในอกจนพูดไม่ออกหายใจหายคอลำบาก แต่ก็ยังมีเสียงสะอื้นแผ่วเบาดังอยู่เนืองๆ
ซีหลางรู้ดีว่าเวลาแบบนี้เขาควรปล่อยให้นางอยู่เพียงลำพัง เพื่อที่จะได้คลายคามอัดอั้นที่อยู่ภายในใจออกมา เมื่อนางดีขึ้นเล็กน้อยเขาค่อยปลอบประโลมให้ความหวังกับนาง คิดดังนั้นเขาจึงมองไปรอบๆเพื่อสำรวจที่ทางเตรียมพักค้างแรม ความผ่อนคลายและรู้สึกปลอดภัยทำให้เขาลืมระวังตัว จนกระทั่งกลิ่นหอมของปลาย่างลอยมาเตะจมูก ชายหนุ่มจึงมีท่าทีสะดุ้งหันไปมองด้านข้าง ชายหนุ่มแปลกหน้าในชุดหรูหราเหมือนพวกเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโขดหิน ในมือของเขาถือเบ็ดคันหนึ่งจุ่มลงไปในน้ำ บนพื้นทรายมีกองถ่ายไฟกับปลาย่างสีสันน่าทานเป็นที่สุด ชายคนนั้นกระตุกเบ็ดเล็กน้อยปลาตัวโตเท่าแขนก็ลอยขึ้นเหนือน้ำ คนประหลาดใช้เพียงมือเดียวก็จัดแจงปลดตะขอออกจากตัวปลาได้ ร่างของปลาถูกซัดมาวางบริเวณเท้าของซีหลาง ก่อนที่ตะขอเบ็ดอันไร้เหยื่อจะหย่อนลงไปในน้ำอีกครั้ง
“ข้าให้ ทำอาหารให้แม่นางคนนั้นกินเถอะ” น้ำเสียงเป็นมิตรบอกกล่าว
ซีหลางไม่ตอบ เพียงมองชายแปลกหน้าสลับกับปลาที่ดิ้นไปมาบนทราย ครั้งพอหันหลังไปมองก็พบว่าซูเจินกำลังสั่นกลัว แถมยังปรากฏความอ่อนล้าและความหิวเด่นชัด เมื่ออาหารอยู่ตรงหน้าเขาเองก็รู้สึกหิวเช่นกัน
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ได้มาร้ายหรอก” ไม่ทันขาดคำปลาตัวใหม่ที่มีขนาดไม่ต่างจากตัวแรก ก็ถูกคันเบ็ดไม้ไผ่เหวี่ยงมาวางข้างๆเท้าของเขาอีกตัว “ไม่อยากอดตายก็รีบย่างปลากินซะสิ”
“ขอบคุณ...” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายท่าทางสุภาพอ่อนโยน สองหนุ่มสาวจึงค่อยผ่อนคลายก้มลงจับปลาอย่างทุลักทุเล
ซันซั่งเทียนยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับว่าจะเริ่มต้นแผนการบางอย่าง...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สนุกมาก มาต่อไวๆนะ