ตอนที่ 21 : EP.19 ข่าวสาร
Game of Creation ภาค ประกาศิตเทพมารแสวงพ่าย
EP.19 ข่าวสาร
ยามศึกสงครามนั้นข่าวสารต่างๆนับสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับการรบ ซึ่งบ่อยครั้งที่ข่าวสารเป็นตัวกำหนดแพ้ชนะในสมรภูมิ บางครั้งข่าวสารก็ช่วยในการวิเคราะห์สถานการณ์ชิงความได้เปรียบ ทั้งยังสามารถล่าถอยหรือตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการป้องกันและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับทั้งพลเรือนและทรัพย์สินของประเทศต่างๆ แม้แต่ยุคที่วิทยาการของมนุษย์ก้าวหน้าไปไกล ก็ยังมีข่าวลวงข่าวเท็จปะปนอยู่มากพอสมควร ซึ่งบางครั้งก็สร้างความพินาศให้กับฝ่ายรับข่าวสารไม่น้อย แต่การสื่อสารก็นับได้ว่ารวดเร็วฉับไว เพียงใช้เวลาไม่มีกี่วินาทีก็สามารถส่งข่าวสารได้ข้ามโลก
ทว่าในยุคโบราณที่ไร้เทคโนโลยีและเครื่องมือสื่อสารต่างๆ การส่งข่าวสารมักจะใช้ม้วนตำราม,จดหมายบันทึกข้อความ,หรือสิ่งของสื่อความหมาย การส่งข่าวนั้นมีอยู่หลายวิธี การใช้ม้าเร็วก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง มักเป็นที่นิยมในกลุ่มชนชั้นสูง หรือพ้อค้าคหบดี,ข้าราชการและฝ่ายทหาร รวมไปถึงราชสำนักและเหล่าเชื้อพระวงศ์ รองลงมาก็เป็นการฝากไปกับพวกพ่อค้านักเดินทางที่ไว้ใจได้ หรือใช้สัตว์ปีกจำพวกนกพิราบที่เลี้ยงเอาไว้โดยเฉพาะ แต่ละวิธีใช้เวลาเป็นวันบางทีอาจหลายวันหรือเป็นเดือน บ่อยครั้งที่ข้อความถูกฝ่ายตรงข้ามแย่งชิงหรือเกิดการสูญหายเพราะสาเหตุต่างๆกัน ประชาชนแต่ละชนชั้นมีโอกาสได้รับข่าวสารไม่เท่ากัน
ยิ่งเป็นสามัญชนคนธรรมดาด้วยแล้ว โอกาสที่จะเข้าถึงข่าวสารต่างๆก็ยิ่งยากขึ้น โดยเฉพาะในยามศึกสงคราม กลุ่มชนเบื้องบนมักจะห่วงแต่ฐานอำนาจของตัวเอง มีน้อยมากที่จะแบ่งข่าวสารสำคัญๆให้ บรรดาประชาชนผู้อาศัยอยู่นอกกำแพงเมืองใหญ่ๆหรือตามชนบทอันห่างไกล มักจะถูกปล่อยปละละเลยให้เผชิญหน้ากับฝ่ายข้าศึกตามยถากรรม ชาวบ้านผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่จึงมักถูกทหารเลวของกองทัพ บุกปล้นสะดมฉุดคร่าข่มขืนจับชาวนาชาวไร่ไปเป็นทหาร หรือเชลยผู้ใช้แรงงานในการก่อสร้างสิ่งต่างๆ ซึ่งมีจำนวนน้อยมากที่จะรอดชีวิตกลับมา
“ค้นให้หมดทุกหลัง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของมีค่าเงินทอง,ข้าวสาร,เกลือหรืออาหารตากแห้ง ขนกลับค่ายท่านอ้วนเสี้ยวให้หมด” เสียงหนึ่งประกาศคำสั่ง
เหล่าทหารเลวของทัพอ้วนเสี้ยว ต่างแยกย้ายกันบุกเข้าตรวจค้นบ้านเรือนทุกหลัง ของหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เจียงหยง,ตงเซียว อดีตสองดาราค้ำฟ้าของกองทัพไท่ผิงสังกัดเตียวก๊ก ที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นนายทหารใต้สังกัดอ้วนเสี้ยว พวกมันทั้งสองกำลังดื่มด่ำความสุขจากความทุกข์ของชาวบ้านตาดำๆที่ไร้ทางสู้
“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด...”
“ไม่! อย่าเข้ามานะ กรี๊ดดด!”
“เจ้าพวกเดรัชฉาน ถึงตายเป็นผีข้าก็จะตามหลอกลหอนพวกเจ้า”
“ท่านแม่ข้ากลัวเหลือเกิน ท่านอยู่ที่ใด?”
“หนีเร็ว แยกกันหนีอย่าให้พวกมันจับตัวได้”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญขอชีวิตควบคู่เสียงก่นด่าสาปแช่ง ดังระงมไปทั่วทุกบริเวณของหมู่บ้าน ฉากการสังหารโหดข้างเดียวช่างเป็นภาพที่น่าเวทนา บรรดาทหารเลวทั้งหลายทำกับประชาชน เหมือนไม่ใช่คนแต่เป็นเพียงผักปลา ไม่ต่างอะไรกับพวกโจรโพกผ้าเหลืองก่อนล่มสลาย ทหารบางคนที่ยังพอมีคุณธรรมและความเป็นคนมากพอ ก็แกล้งปล่อยปละละเลยหรือทำเป็นมองไม่เห็น ครั้นเจอฉากฆ่าฟันก็ได้แต่หลับตาเบือนหน้าหนีไม่กล้าห้ามปราม
ชาวบ้านบางส่วนที่ไหวตัวทันไม่ห่วงทรัพย์สิน ก็พากันวิงหนีเอาตัวรอดไปคนละทิศละทาง แต่ก็ยังมีทหารบางส่วนที่ตามไล่ลาพวกเขาอยู่ เหมือนเกมล่าสัตว์ของเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ไม่มีผิด ไม่นานกลุ่มผู้ไล่ล่าก็กระชิดเข้ามาเรื่อยๆ สองเท้าวิ่งหรือจะสู้ขี่ม้า คนที่อยู่ด้านหลังจึงค่อยๆถูกฟันล้มลงไปทีละคนๆ จนกระทั่งเหลือเพียงสามชีวิตซึ่งอยู่หน้าสุด เสียดายที่เคราะห์กรรมยากจะหลีกหนี หญิงวัยกลางคนผู้กำลังถูกพยุงโดยเด็กสาวและชายหนุ่มอีกคน เกิดสะดุดหกล้มลมกะทันหันระหว่างหลบหนี
“ท่านแม่” หญิงสาวชาวบ้านร้องด้วยความตกใจ พลางล้มลงประคองมารดา ทว่าผู้เป็นแม่กลับพยายามแกะมือเธอออก แล้วผลักให้ไปข้างหน้า
“ไม่ต้องห่วงแม่ รีบหนีไปไม่งั้นเราจะต้องตายกันหมด” เธอบอกกล่าวแก่บุตรีทั้งน้ำตาด้วยความห่วงใย ทั้งๆที่เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวตายอย่างที่สุด
“ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้นหากท่านไม่ยอมไปกับข้า” เสียงสะอื้นตอบกลับ สองมือของนางกุมมือมารดาเอาไว้แนบแน่น แต่มารดาก็ยังพยายามที่จะรักษาชีวิตของลูกเอาไว้ โดยหันไปร้องขอชายหนุ่มอีกคนที่ยืนลังเลอยู่
“ชีหลาง”น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้น มือซ้ายที่สั่นเทาพยายามเอื้อมไปหาชายหนุ่มที่กำลังสับสน ว่าจะอยู่หรือหนีไปดี “ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาตั้งแต่ยังเล็กๆ ชั่วชีวิตไม่เคยร้องขอสิ่งใด ได้โปรดเถอะพาซูเจินหนีไปด้วย ไม่ต้องห่วงข้า”
“ท่านแม่ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่กับท่าน” หญิงสาวยกมือกุมอก เพราะรู้สึกจุกแน่นพูดคุยแทบไม่ออก หากแต่ชายหนุ่มกลับกระชากข้อมือของนางอย่างแรงเพื่อลากตัวไป
“บุญคุณข้าคงต้องทดแทนชาติหน้าแล้ว ท่านป้า” ซีหลางหลับตาลงก้าวเดินอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่มีใครรู้ว่าในใจของเขาตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ แม้ซูเจินพยายามที่จะสลัดแขนของชายหนุ่มเพื่อกลับไปหามารดา แต่เรี่ยวแรงของสตรีย่อมมิอาจสู้บุรุษฉกรรจ์ นางจึงได้แต่ด่าทอด้วยถ้อยคำที่รุนแรง แต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับจากผู้ฉุดดึงเลยแม้แต่น้อย
“ขอบคุณ” หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ร่างกายสั่นเทาทว่าใบหน้าของนางกลับปรากฏสีหน้าแห่งความสุข คนป่วยใกล้ตายเช่นนางถึงจะฝืนหนีไปพร้อมทั้งคู่ก็รังแต่จะเป็นตัวถ่วง ไม่นานบรรดาทหารก็ตามมาทัน เมื่อรู้ว่าวาระสุดท้ายมาเยือนแล้วนางจึงไม่คิดหลบหนี เพียงหลับตานิ่งยอมรับชะตากรรมทั้งๆที่กลัวจับขั้วอยู่ใจ
“ตาย!” เสียงดุดันตวาด พร้อมคมดาบใหญ่ฟาดลงบริเวณลำคอของนาง
เพล้ง! เสียงอาวุธแตกหักดังก้องขึ้น
ฉว้ะ! ตามด้วยเสียงบางสิ่งพุ่งทะลุเลือดเนื้อสิ่งมีชีวิต
โพละ! เสียงระเบิดของบางสิ่งบางอย่างที่มีของเหลวปะปนอยู่มาก
หญิงวัยกลางคนพลันลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนที่จะพบกับภาพสะเทือนขวัญ ร่างของทหารนับสิบนายต่างล้มตายในรูปแบบต่างๆ บ้างถูกอาวุธของตัวเองที่หักทิ่มแทงสู่จุดตาย บ้างร่างกายแหลกเหลวแทบไม่เหลือเค้าแห่งความเป็นคน เสมือนหนึ่งว่าผู้ลงมือไม่ใช่มนุษย์ คิดเพียงแค่นั้นจิตใจของนางก็หล่นวูบลงไป เพราะหากตายด้วยน้ำมือของคนชั่ว อย่างน้อยนางก็ยังคาดหวังว่าจะได้ดื่มน้ำชายายเมิ่งข้ามภพเกิดใหม่ แต่หากตายด้วยน้ำมือของปีศาจร้าย น่ากลัวว่าวิญญาณนางจะถูกจองจำเอาไว้ไม่ได้ผุดไม่เกิด เสียงย่างเท้าของใครสักคนค่อยๆย่างสามขุมเข้าหานางจากด้านหลัง เงาร่างที่ถูกแสงอาทิตย์ส่องกระทบฉายภาพผ่านพื้นดินช่างใหญ่โต นางได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่ยอมหันหลังกลับไปมอง
“ไม่ต้องกลัว เจ้าปลอดภัยแล้ว” เสียงนุ่มแฝงความอ่อนโยนบอกกล่าว
“ท่านคือ...?” เมื่อเห็นว่าบรรยากาศผ่อนคลายขึ้น อีกทั้งผู้มาเยือนไม่ได้มีท่าทีของคนคิดร้าย หญิงวัยกลางคนก็ค่อยโล่งใจกล่าวถามออกไป
“นายจ้างของบุตรชายเจ้า”เสียงนุ่มตอบกลับ พร้อมกับร่างสง่าของซันซั่งเทียนที่ทะยานตัวตีลังกามายืนอยู่เบื้องหน้าของนาง
“บุตรของข้า!”นางอุทาน “ท่านรู้จักหลงเอ๋อ”
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้” ชายหนุ่มตอบ พร้อมกับสะบัดมือหนึ่งครั้ง ภาพอุจาดตาของซากศพทหารทัพอ้วนเสี้ยว ก็ถูกเปลวเพลิงที่ลุกพรึบขึ้นเผาผลาญอย่างรวดเร็ว สร้างความตื่นตะลึงให้กับนางเป็นอย่างมาก จากนั้นชายหนุ่มก็วางมือทาบลงบนบ่าของนาง พลันอันอบอุ่นสายหนึ่งก็ไหลผ่านเข้าไปภายในร่าง ความอ่อนล้าเริ่มทุเลาอาการเจ็บป่วยจากโรคร้ายเองก็เริ่มดีขึ้น
“ท่านเป็นหมอเทวดาหรือไร? ไฉนแค่แตะตัวก็รักษาข้าได้” หญิงวัยกลางคนถามไถ่พร้อมกับยันตัวลุกขึ้น “ข้าเคยได้ยินมาว่า มีหมอวิเศษที่ยังหนุ่มแน่นเดินทางช่วยเหลือผู้คนไปทั่วแผ่นดิน ท่านใช่หมอฮัวโต๋หรือไม่?”
“หมอเทวดา...ข้าไม่เคยคิดจะเป็น แต่คนที่ได้พบเห็นข้ามักจะเรียกขานว่าเทพเซียน”
“ท่านเซียน!” นางอุทาน ก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่าคำนับโดยเอาหัวโขกพื้นหลายครั้ง “ข้ามีตาแต่ไร้แวว ขอท่านโปรดอภัย”
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ” ซันซั่งเทียนบอกพร้อมกับสะบัดแขน ร่างของนางก็ถูกโอบอุ้มด้วยสายลมอุ่นๆให้ลอยขึ้นจนอยู่ในท่ายืน “ข้าจะพาเจ้าไปหาบุตรชาย เพื่อให้เจ้าช่วยงานข้าเรื่องหนึ่ง”
“ท่านเซียนไหว้วาน ข้าย่อมทำสุดความสามารถ แต่บุตรีและบุตรบุญธรรมของข้า...ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่”
“สองคนเมื่อกี้นะหรอ?” ชายหนุ่มเปรยพร้อมกับหันไปมองทางด้านหลัง สายตาที่ดีเยี่ยมของเขาทำให้มองเห็นคนทั้งคู่อย่างชัดเจน “ก็ได้ข้ารับปาก”
“ขอบคุณท่านเซียน” นางกล่าวด้วยความยินดี ก่อนที่ร่างของนางจะถูกย่อส่วนลงจนเล็กจิ๋ว เขานำนางเก็บไว้ในกล่องวัสดุอย่างดี ก่อนจะเก็บไว้ในกระเป๋าเล็กๆใกล้เอว จากนั้นจึงทะยานตัวไล่ตามชายหนุ่มหญิงสาวไป
--“ไม่คิดจะไปจัดการพวกทหารเลวกลุ่มนั้นหรอ”--
“ผมว่าไม่จำเป็นหรอกไกอา ยังไงชาวบ้านก็ตายหมดแล้ว อีกอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องของเราไม่เห็นต้องทำตัวเป็นคนมากคุณธรรมเลย ยังไงซะอีกไม่นานสงครามก็จะเกิดคนจะยิ่งตายมากกว่านี้อีก ถ้าคราวนี้เล่นงานพวกมัน ไม่ต้องไปจัดการทุกๆที่หรอกรึไง?” ซันซั่งเทียนแย้ง
--“ความคิดแบบนี้จะเป็นพระเอกในซีรีย์ได้ยังไงล่ะ”--
“ผมนะ ตัวฆ่าพระเอกเลยนะ เป็นไม่ได้หรอก” ว่าแล้วก็หัวเราะออกมา “แต่ระบบติดตามสายเลือดผ่านดาวเทียมพิเศษของนายนี่ใช้ได้เลยนะ ถ้าพวกรัฐบาลโลกได้วิทยาการนี้ไป ผมคงถูกฆ่าไปตั้งแต่เด็กๆแล้ว”
--“สิ่งที่ GOD คิดค้นขึ้นมานั้น พวกรัฐบาลโลกยังเข้าใจไม่ถึง 20% เลย พวกมันถึงได้ประสบกับปัญหาใหญ่เหมือนทุกวันนี้ยังไงล่ะ ป่านนี้ที่โลกอนาคตพวกนั้นก็คงจะนั่งเสียใจอยู่ที่ดูถูกชิ้นส่วนจารึกแห่งแกนกลางมากเกินไป”--
“นั่นสิ อีกไม่นานหรอก ขอเล่นสนุกอีกสักหน่อย พอสร้างเครือข่ายฐานอำนาจเสร็จแล้ว เราจะออกล่าพวกนั้นด้วยขุมกำลังที่เราสร้างขึ้นมา” ซันซั่งเทียนเหยียดรอยยิ้มชั่วร้าย ระหว่างพุ่งกายทะยานตัวด้วยพลังจารึกแห่งความเร็ว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl
Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl Flghtlngl